ดาวดับไปอีกดวงแล้วเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายนนี้ ลือชัย นฤนาท พระเอกตุ๊กตาทองคนแรกของเมืองไทย ผู้สร้างแฟชั่นให้วัยรุ่นยืนคอเอียงกันทั้งเมืองตามบทบาท ชีพ ชูชัย ที่เขาแสดงใน “เล็บครุฑ” ของ “พนมเทียน” ได้จากไปในวัย ๘๕ ด้วยโรคชรา นับเป็นพระเอกที่ผจญชะตากรรมสาหัสกว่าพระเอกทุกคน ถูกศาลตัดสินจำคุก ๖ ปี ๘ เดือนขณะที่กำลังดังสุดขีด ซึ่งคาดกันว่านี่คือจุดจบของเขา แต่ในวันที่เขาก้าวออกมาสู่อิสรภาพนั้น ผู้คนไปต้อนรับหน้าเรือนจำเหมือนเป็นวีรบุรุษ บริษัทหนังไทยและเทศแย่งตัวกัน แต่เสือปืนไวแอบไปเซ็นสัญญาถึงในเรือนจำไว้แล้ว
ในปี ๒๕๐๐ ได้มีการจัดประกวดภาพยนตร์ไทยขึ้นเป็นครั้งแรก และผู้แสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมในปีนั้น ก็ได้แก่ ลือชัย นฤนาท จากภาพยนตร์เรื่อง “เล็บครุฑ” ซึ่งก็เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา
ลือชัยมีชื่อจริงว่า พิชัย จิตตรีขันธ์ มีอาชีพเป็นตำรวจ เคยจับ วิไลวรรณ วัฒนพานิช ดาราสาวที่รับตุ๊กตาทองผู้แสดงนำฝ่ายหญิงในปีเดียวกับเขา ในฐานขับรถเร็ว และที่ได้มาเล่นหนังก็เพราะผลงานการจับอีกเหมือนกัน
ในต้นปีนั้น ขณะลือชัยเป็นนายสิบตำรวจอยู่ที่กองปราบฯ เขาได้จับรถขนสินค้าหนีภาษีจากอรัญประเทศได้ ๔ คัน เจ้าของรถก็คือ สุพรรณ พราหมณ์พันธ์ ผู้อำนวยการสร้างแห่งบริษัทสหนาวีไทย เจ้าของฉายา “ยักษ์” แห่งวงการภาพยนตร์ไทย สุพรรณไม่ได้ตื่นเต้นเรื่องที่ถูกจับ แต่กลับสนใจตำรวจหนุ่มคนที่จับเขามากกว่า จึงส่ง ชาลี อินทรวิจิตรไปเจรจาว่าสนใจจะแสดงหนังหรือไม่ เขามีบท ชีพ ชูชัย ในเรื่อง “เล็บครุฑ” ของ “พนมเทียน” ให้แสดง ความจริงลือชัยก็เคยชะเง้อคออยู่ในกลุ่มของตัวประกอบในหนังเรื่อง “ก่อนอรุณจะรุ่ง” ของ ประภาพรรณ นาคทอง มาแล้ว เลยตกลงรับที่จะเป็นพระเอกเรื่องนี้
เพียงเริ่มเข้ากล้องและมีภาพแจกออกไปตามนิตยสารบันเทิง ก็มีแฟนหนังไทยไม่น้อยสนใจในความเป็นพระเอกมีลักยิ้มแก้มบุ๋มของเขา และให้ฉายาว่า “พระเอกลักยิ้ม”
เมื่อ “เล็บครุฑ” ออกฉาย บทยียวนและท่ายืนเอียงคอของลือชัยได้สร้างแฟชั่นให้วัยรุ่นยืนคอเอียงกันทั้งเมือง เหมือนเมื่อตอนที่นิยายเรื่อง “เสือใบ” ของ ป.อินทรปาลิต ฮิต วัยรุ่นก็ใส่เสื้อเชิร์ตดึงปกเสื้อให้ตั้งขึ้น เหมือนเสือใบกันเป็นแถว
จากตำรวจกองปราบฯ ส.ต.ต.พิชัย จิตตรีขันธ์ เพียงข้ามคืนก็ดังอย่างรวดเร็ว กลายเป็น ลือชัย นฤนาท “พระเอกลักยิ้ม” ขวัญใจของแฟนหนังไทย และมีหนังให้แสดงไม่ขาดสาย
แต่แล้วลือชัยก็เข้าวัฏจักรเช่นเดียวกับพระเอกนางเอกดังของหนังไทยทั้งหลาย คือแตกหักกับผู้ปั้นทุกรายไป
ลือชัยประกาศตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับสหนาวีไทย และสร้างหนังของตัวเองในนาม นฤาชาภาพยนตร์ ด้วยเรื่อง “กงกรรม” ให้ “เนรมิต” กำกับการแสดง โดยมีเขาแสดงนำร่วมกับ มิสคูมี่ “คีรีบูนสาว”จากฮ่องกง ซึ่งกลายมาเป็นคู่ในชีวิตจริงด้วย
ระหว่างที่ลือชัยถ่ายทำ “กงกรรม”อยู่นั้น เขาก็ถูกก่อกวนด้วยการด่าทออย่างรุนแรงมาทางโทรศัพท์เป็นประจำนับสิบๆครั้งโดยคนที่ไม่รู้จัก ลือชัยเคยพูดกับคนใกล้ชิดว่าเป็นแผนทำลายของคนที่รู้นิสัยเขาดีว่า เป็นคนอารมณ์ร้อนและมุทะลุ
แต่แล้วในคืนวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๓ เวลาประมาณ ๒๑ น. ขณะที่ลือชัยกลับมาจากถ่ายหนัง นั่งกินข้าวอยู่กับคูมี่ที่บ้านซอยสุทธิสาร โทรศัพท์จากผู้ก่อกวนก็ดังขึ้นอีก ครั้งนี้บอกชื่อเสียงเรียงนามมาด้วยว่า ชื่อ “ชอบ มงคลทรง” ท้าให้ลือชัยไปพบที่โรงแรมรัตนพิทักษ์ ถนนราชปรารภ มักกะสัน ลือชัยอึดอัดมานานอยากจะไปดูให้รู้เรื่อง คูมี่ห้ามก็ไม่ฟัง ผลุนผลันขับรถจิ๊ปออกไปพร้อมกับพรรคพวกอีก ๔ คน
พอไปถึง นายตุ๋ย หรือ สมศักดิ์ แสงดาสิทธิ์ ซึ่งเคยเป็นบ๋อยที่โรงแรมนี้ ก็โดดลงจากจิ๊ปเป็นคนแรก และชี้ตัวนายชอบเพราะรู้จักดี ขณะเดียวกันนายเชิงน้องชายนายชอบก็ถือไม้วิ่งมาจากหน้าโรงแรม และเข้าหวดกลุ่มของลือชัย พลตำรวจปราชญ์แห่ง สน.บางซื่อ ที่ไปด้วยถูกตีเป็นคนแรก จากนั้นชายฉกรรจ์อีก ๔-๕ คนในโรงแรมก็กรูเข้ามา มีเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัด พลฯปราชญ์จึงวิ่งไปตามตำรวจจากป้อมยามหัวมุมถนนดินแดงมาระงับเหตุ ปรากฏว่าคนที่ถูกยิงคือนายเชิง มือตี ถูกกระสุนทะลุท้องไปตุงที่ขา ระบุว่าลือชัยเป็นคนยิง ตร.ได้คุมตัวพรรคพวกของลือชัยไป สน.พญาไท รวมทั้งลือชัยซึ่งขับรถจิ๊ปเวียนดูอยู่แถวหน้าโรงแรมก็ยอมให้จับแต่โดยดี
นายชอบปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนโทรศัพท์ และว่าเคยเห็นวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมาโทรศัพท์ด่าลือชัยที่โรงแรมหลายครั้งแล้ว แต่ไม่รู้จักว่าวัยรุ่นกลุ่มนั้นเป็นใคร
พ.ต.อ.ไมตรี บานเย็น ผู้บังคับการเหนือ พร้อมด้วยนายตำรวจผู้ใหญ่รอสอบอยู่ พอพบหน้าลือชัย ผู้บังคับการเหนือก็ถามว่า “เรื่องอะไรกัน” เมื่อลือชัยตอบว่า “ผมก็ยังงงๆอยู่...” ก็เลยถูกตั้งข้อหาอันธพาลและพยายามฆ่าคนตาย
ลือชัยเล่าว่าเขาเข่าอ่อนทันทีเมื่อได้ยินข้อหาอันธพาล เพราะอยู่ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครองเมือง และใช้คำสั่งนายกรัฐมนตรีจับคนพาลเกเร คนไม่มีอาชีพเปิดเผย เข้าคุกในข้อหาอันธพาล โดยไม่มีการสอบสวนและไม่มีกำหนดออก ลือชัยและพรรคพวกถูกส่งเข้าห้องขัง สน.พญาไททันที ถึงแม้คนใกล้ชิดจะพยายามยื่นหลักทรัพย์ขอประกัน แต่ ตร.ก็ว่าผู้บังคับการเหนือสั่งห้ามประกัน
๒๔ น. คืนนั้น ตร.ได้พาลือชัยไปค้นบ้านขณะที่คูมี่เข้านอนแล้ว เธอถามลือชัยว่าเกิดอะไรขึ้น ลือชัยก็ตอบแต่เพียงว่า “ผมคงแย่แน่” เขาจูบลาเธอขณะที่สวมกุญแจมือ
นายตุ๋ย ลูกน้องของลือชัยรับว่าเขาเป็นคนยิงเอง ตร.จะนำลือชัยไปตรวจเขม่าปืนที่มือ ลือชัยบอกไม่ต้องตรวจหรอกมีแน่ เพราะวันนั้นถ่ายหนังก็ยิงปืนมาเป็น ๑๐ นัด
ต่อมาตำรวจก็ให้ประกันตัวลือชัยและพรรคพวกไปในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ โดยตีราคาคนละ ๒๐,๐๐๐ บาท ลือชัยรีบไปรดน้ำมนต์ล้างซวยแล้วถ่ายหนังที่ค้างอยู่ทันที แต่แล้วในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์หลังจากที่ลือชัยล้างซวยมาแล้วแต่คงยังล้างไม่หมด ขณะที่กำลังถ่าย “กงกรรม”อยู่ที่ซอยสีฟ้า บางซื่อ ตำรวจก็เข้ามาคุมตัวไปจากกองถ่าย เอากลับไปเข้าห้องขังที่ สน.พญาไทอีกรอบ โดยอ้างว่าผู้บัญชาการตำรวจนครบาลสั่งให้ถอนประกันเพราะเกรงจะเสียรูปคดี
ในที่สุดศาลก็นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๓๐ ลือชัยมาถึงศาลด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสท่ามกลางแฟนหนังที่มาให้กำลังใจแน่นขนัด ดูเขามีความเชื่อมั่นว่าจะต้องหลุดพ้นคดีนี้ เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาไปได้ครึ่งหนึ่ง ลือชัยก็ยังหันไปโปรยยิ้มให้แฟนๆ แต่เมื่อศาลสรุปคำให้การของพยานเชื่อว่าจำเลยทำผิดจริง ลือชัยก็หน้าซีดเผือด ศาลได้ตัดสินให้จำคุก ๑๐ ปี แต่ลดหย่อนในฐานให้การเป็นประโยชน์แก่รูปคดี ๑ ใน ๓ คงเหลือโทษจำคุก ๖ ปี ๘ เดือน และศาลในยุคจอมพลสฤษดิ์ก็เป็นศาลทหาร บ้านเมืองตกอยู่ใต้กฎอัยการศึก คดีจึงสิ้นสุดที่ศาลแรกนี้เท่านั้น ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกาต่อไป
พระเอกลักยิ้ม ยิ้มไม่ออก เดินคอตกตามเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คุมตัวขึ้นรถไปสู่เรือนจำ เมื่อผ่านกลุ่มแฟนหนังเขาพนมมือไหว้ บอกด้วยเสียงเศร้าๆแต่เพียงว่า
“ผมขอลาก่อน....”
อนาคตของพระเอกตุ๊กตาทองคนแรกที่ดังเร็วเพียงข้ามคืน ทำท่าว่าจะดับอยู่เพียงแค่นี้ แต่เมื่อเขาต้องสิ้นสุดบทบาทของพระเอกในจอแล้ว ลือชัย นฤนาทก็ยังไปรับบทพระเอกนอกจอปราบอธรรมในคุกอีก
โปรดติดตามบทบาทหลังกำแพงเรือนจำของเขาต่อไปนะครับ