xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 28 พ.ค.-3 มิ.ย.2560

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“บิ๊กตู่” ผุดคำถาม 4 ข้อให้ ปชช.ช่วยตอบ อยากรู้ถ้าเลือกตั้งแล้วได้ รบ.ไม่มีธรรมาภิบาล จะทำอย่างไร ยัน ไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ!
(บนซ้าย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ (บนขวา) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. (ล่างซ้าย) นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. (ล่างขวา) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ปชป.
เมื่อวันที่ 28 พ.ค. พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เชิญชวนพี่น้องประชาชนส่งความคิดเห็นจากคำถาม 4 ข้อไปยังศูนย์ดำรงธรรมทุกจังหวัด ได้แก่ 1. ท่านคิดว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่ 2. หากไม่ได้จะทำอย่างไร 3. การเลือกตั้งเป็นส่วนสำคัญของประชาธิปไตย แต่การเลือกตั้งอย่างเดียวโดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปนั้น ถูกต้องหรือไม่ 4. ท่านคิดว่ากลุ่มนักการเมืองที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ควรจะมีโอกาสเข้ามาสู่การเลือกตั้งอีกหรือไม่ หากเข้ามาได้แล้ว จะให้ใครแก้ไขและแก้ไขด้วยวิธีอะไร

ทั้งนี้ นายกฯ มุ่งหวังให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของบ้านเมือง และนำความคิดเห็นที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ เพราะที่ผ่านมา มักจะได้ยินแต่ความเห็นของนักการเมือง นักวิชาการ หรือจากผลสำรวจของโพลล์ต่าง ๆ ที่เก็บข้อมูลจากตัวแทนของประชาชนเพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น ครั้งนี้จะเป็นการรวบรวมความคิดเห็นของประชาชนส่วนใหญ่อีกทางหนึ่ง ที่จะสะท้อนกลับมายังรัฐบาลและนักการเมืองว่า อะไรคือความต้องการที่แท้จริงของประชาชน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังต้องการเตือนสติคนไทยว่า พี่น้องประชาชนต้องมีศักดิ์ศรีของตัวเอง โดยการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นที่สร้างสรรค์ มีคุณค่าต่อประเทศชาติ ไม่ยอมให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดออกมาชักจูง ปลุกปั่น บิดเบือน หรือให้ความหวังแบบที่เคยทำก่อนการเลือกตั้งทุกครั้ง เช่น โจมตีรัฐบาล สัญญากับประชาชนว่าจะให้สิ่งนั้นให้สิ่งนี้ โดยหวังแต่เพียงคะแนนเสียงและปลุกกระแสการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่กรอบเวลาของการเลือกตั้งตามโรดแมปก็ยังมาไม่ถึง แต่ไม่เคยพูดถึงการแก้ไขปัญหาของชาติที่ตนเองมีส่วนสร้างไว้ในอดีต หรือจะขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นเขาได้อย่างไร สำหรับรัฐบาลนี้ขอให้ความเชื่อมั่นว่า จะเร่งสะสางปัญหาที่หมักหมมและสร้างความเสียหายกับประเทศไว้ให้ดีที่สุด พร้อมทั้งเดินหน้าตามโรดแมปของการปฏิรูปประเทศไปสู่การเลือกตั้งตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวอีกว่า สำหรับความคิดเห็นที่พี่น้องประชาชนส่งไปยังศูนย์ดำรงธรรม จะถูกรวบรวมให้กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อส่งต่อให้นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ผุดคำถาม 4 ข้อให้ประชาชนช่วยแสดงความคิดเห็น ปรากฏว่า มีปฏิกิริยาจากหลายๆ ฝ่าย โดยเฉพาะนักการเมือง เช่น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า เป็นสิทธิของนายกฯ ที่จะตั้งคำถาม 4 ข้อ ให้ประชาชนตอบ แต่คำตอบที่นายกฯ จะได้รับผ่านกระบวนการจัดการของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย โดยมีข้าราชการรวบรวมคำตอบมาให้นายกฯ นั้น คงคาดหวังไม่ได้ว่าจะได้คำตอบที่ตรงไปตรงมาน่าเชื่อถือ แต่น่าจะได้คำตอบที่ถูกใจนายกฯ มากกว่า และว่า เมื่อนายกฯ ตั้งคำถามให้ประชาชนตอบแล้ว คิดว่าประชาชนกลุ่มแรกที่ควรตอบคำถามทั้ง 4 ข้อนี้ คือ นายกรัฐมนตรี และ คสช.ทั้งคณะ ที่น่าจะต้องรู้คำตอบดีกว่าประชาชนคนอื่น

ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงคำถาม 4 ข้อของนายกฯ ที่ขอให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นว่า ท่านนายกฯ ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ได้เป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงไม่รู้และประเมินประชาชนค่อนข้างต่ำเกินไป เอาความรู้สึกนึกคิดของตัวเองมาเป็นตัวตั้ง จนลืมมองดูคนอื่นว่าเขาเป็นอย่างไร เขามีความคิดเห็นกันอย่างไร

ด้านนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า รัฐบาลไม่ควรมาตั้งคำถาม 4 ข้อกับประชาชน แสดงถึงการเอาเปรียบและดูถูกความคิดประชาชน รัฐบาลยังต้องการอยู่ต่อจริงเพื่อสืบทอดอำนาจหรือไม่ ที่รัฐบาลควรรีบทำคือ แถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง

ขณะที่ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้แสดงความสงสัยในเจตนาที่นายกฯ ตั้งคำถาม 4 ข้อให้ประชาชนแสดงความคิดเห็น เพราะขณะนี้ประชาชนทั้งประเทศเฝ้ารอการเลือกตั้งอย่างใจจดใจจ่อ จึงน่าสงสัยว่า นายกฯ ต้องการคำตอบทางลบเพื่อจะได้เป็นเหตุผลไม่ต้องเลือกตั้ง และรัฐบาล คสช.ก็ยืดอายุยาวออกไปได้อีกไม่รู้นานเท่าไร จนกว่าจะแน่ใจว่าจะได้รัฐบาลภายใต้การกำกับของ คสช. จึงปล่อยให้มีการเลือกตั้งใช่หรือไม่

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ถึงการตั้งคำถาม 4 ข้อให้ประชาชนช่วยตอบว่า “จุดประสงค์ที่ถามคือ ต้องการให้ประชาชนได้คิดในสิ่งที่ผมได้ถาม เพราะวันนี้มีการพูดในระดับท้องถิ่น ชุมชนและหมู่บ้าน เดินสายพูดอยู่ข้างล่างและบิดเบือนทุกอย่าง โจมตีผมทางสื่อ จึงได้ถามกลับไปว่า สิ่งที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ เช่นที่บอกว่า หากได้กลับมาเป็นรัฐบาล จะให้มีโครงการรับจำนำข้าวอีก กลับมาแล้วจะทำหลายอย่างที่ประชาชนได้รับผลประโยชน์โดยตรง จึงได้ถามว่า ถ้าปัญหาเหล่านี้กลับมา ประชาชนจะทำอย่างไร”

พล.อ.ประยุทธ์ ยังแสดงความไม่สนใจด้วยว่า นักการเมืองจะตอบคำถามของตนอย่างไร โดยบอก “นักการเมืองจะตอบอย่างไรก็เรื่องของเขา เพราะผมถามประชาชน ไม่ได้ถามนักการเมือง” ส่วนที่นักการเมืองมองว่า 4 คำถามของนายกฯ อาจต้องการอยู่บริหารประเทศต่อไปนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “อยู่ได้อย่างไร ถ้าอยากอยู่ต่อ ผมต้องถามว่าต้องการเลือกตั้งหรือไม่ แต่ผมไม่ได้ถาม เมื่อไม่ได้ถามก็อย่าไปตีความ แต่ผมถามว่า ถ้าเกิดปัญหาในวันหน้า จะแก้ไขอย่างไร หรือต้องเรียกทหารออกมาปฏิวัติอีก คุณจะเอาอะไรกับผม”

ขณะที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) กล่าวถึงคำถาม 4 ข้อของนายกฯ ว่า เป็นคำถามที่ถูกต้องอย่างมาก เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำหนดให้ประชาชนต้องมีส่วนร่วม ส่วนผลจะเป็นอย่างไร อยู่ที่ประชาชนจะตอบ ไม่เกี่ยวกับว่านายกฯ ถามเพราะต้องการเลื่อนเลือกตั้ง คนที่พูดแบบนี้ คิดไปเอง

2.8 แกนนำ กปปส.เข้าพรรค ปชป.-เคลียร์ใจ “อภิสิทธิ์” พร้อมชูเป็นนายกฯ ด้าน “สุเทพ” ยันไม่กลับ ปชป.-หนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ ต่อ!
(บน) บรรยากาศการหารือระหว่างแกนนำ กปปส.กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. (ล่างซ้าย) นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. (ล่างขวา) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ยืนยันไม่กลับเข้าพรรค ปชป.
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ได้เข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ที่ร้านกาแฟภายในพรรคประชาธิปัตย์ โดยแกนนำ กปปส.ได้แก่ นายวิทยา แก้วภราดัย, นายถาวร เสนเนียม, นายอิสสระ สมชัย, นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, นายชุมพล จุลใส, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ นอกจากนี้ยังมีอดีต ส.ส.ของพรรคจำนวนหนึ่งเข้าร่วมพูดคุยด้วย สำหรับแกนนำ กปปส.ที่ไม่ได้ร่วมพูดคุยในครั้งนี้ ได้แก่ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย และ น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รวมถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.

หลังการหารือ นายอภิสิทธิ์ เผยว่า กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาพบตนในเวลานี้ เพราะมีความชัดเจนเรื่องของกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้งที่กำลังจะออกมาแล้ว จึงคิดว่าเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่จะกลับมาพรรค จึงได้บอกว่า การมาอยู่กับพรรค ต้องยึดอุดมการณ์ หลักการของพรรค ซึ่งเป้าหมายของคนเหล่านี้คือ การปฏิรูปประเทศและการต่อสู้กับระบอบทักษิณ วันนี้ยังไม่ได้เลือกตั้ง ยังไม่รู้ว่าใครจะอาสาลงสมัครรับเลือกตั้งบ้าง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ที่มีข่าวมาตลอดว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส.ส่งอดีต ส.ส.กลุ่มนี้กลับมาเพื่อยึดพรรค และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้น ทุกคนที่มายืนยันว่า ไม่ใช่ และนายสุเทพยืนยันกับตนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะออกไปทำงานภาคประชาชนแล้ว จะไม่เข้ามาแทรกแซง “หลังจากนี้ หากนายสุเทพมีความเห็นที่ไม่ตรงกับพรรค คนกลุ่มนี้ก็ต้องยึดถือแนวทางของพรรค ไม่ควรมีความเห็นที่สวนทางกับแนวทางของพรรค เพราะพรรคต้องมีเอกภาพและมีจุดยืนที่ชัดเจนกับประชาชน”

ขณะที่นายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.กล่าวว่า ขอทำความเข้าใจว่า ทุกคนที่ไปทำกิจกรรมต่อสู้กับระบอบทักษิณ ไม่มีใครลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ปชป. จะบอกว่า 8 คนเดินกลับพรรค ปชป.ก็คงไม่ใช่ เพราะยังคงเป็นคนของพรรค ปชป.อย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ต่อสู้ร่วมกับพรรค ปชป.คือ การต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย ซึ่งเราชนะ สำหรับสิ่งที่พูดคุยกัน คือ 1.จะจับมือร่วมกันเหมือนเดิมในการเดินเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งตามโรดแมป 2.ต้องปฏิรูปประเทศไทยให้ได้ หากรัฐบาลนี้ปฏิรูปไม่สำเร็จ ต้องเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องสานต่อ ส่วนกรณีที่ท่าทีของแกนนำ กปปส.กรณีนายสุเทพ สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีก 5 ปีนั้น นายถาวร กล่าวว่า ความคิดของแต่ละคนอาจต่างกันได้ ส่วนตนจะสนับสนุนด้วยหรือไม่ วันนี้อย่าเพิ่งพูด เพราะเป็นเรื่องของอนาคต และว่า อุดมการณ์ของพรรค ปชป.คือ สนับสนุนการเลือกตั้งและเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการดังกล่าว รวมถึงการหาเสียงชูนโยบาย ต้องการให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ วันเดียวกัน(30 พ.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และอดีตเลขาธิการ กปปส.ได้ไลฟ์สดผ่านเฟซบุ๊กกรณีแกนนำ กปปส.เข้าพรรค ปชป.ว่า ถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองต้องกลับมาทำหน้าที่ เพราะฉะนั้นแกนนำ กปปส.ที่เคยทำหน้าที่นักการเมืองก็กลับไปพรรค ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ตนเคยบอกแล้วว่าไม่กลับพรรค ปชป. ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง และยืนยันว่า ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกฯ ต่อไป แม้ว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปก็ตาม เพราะเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความสามารถ มีความกล้าที่จะเป็นคนกลางที่จะทำการปฏิรูปประเทศไทย “ตอนนี้ทุกคนกลับไปทำหน้าที่ของตนเอง แต่เมื่อถึงเวลา กปปส.ทุกคนพร้อมกลับมาสละเวลา สละชีวิตทำเพื่อชาติ แต่ตอนนี้ผมขอไม่เข้าไปแทรกแซงในพรรค แกนนำทั้ง 8 คนก็กลับไปทำหน้าที่ และการที่ กปปส.เข้าพรรค ก็เห็นว่ามีการต้อนรับดี ใช้ได้ ทั้งที่ก่อนหน้าที่ฟังข่าวจากคนภายนอก ดูเหมือนตั้งป้อม แต่พวกเราผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะแล้ว เรื่องเล็กน้อยจะไม่ใส่ใจ”

3.“เบนซ์ เรซซิ่ง” นอนคุก หลังศาลไม่อนุญาตประกันตัวคดีสมคบฟอกเงิน-ช่วยผู้ทำผิดคดียาเสพติด ด้าน “แพท” เศร้า!
(บน) นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง จำเลยคดีสมคบฟอกเงินฯ (ล่าง) แพท ณปภา ตันตระกูล ดารานักแสดงชื่อดัง เศร้าหลังรู้ว่าศาลไม่ให้สามีประกันตัว
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง นักแข่งรถชื่อดัง อายุ 30 ปี สามีแพท ณปภา ตันตระกูล ดารานักแสดงชื่อดัง จำเลยคดีร่วมสมคบฟอกเงินกับนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ เครือข่ายนักค้ายาเสพติดนายไซซะนะ แก้วพิมพา ชาวลาว เดินทางมาศาลอาญา พร้อมทนายความ เพื่อรายงานตัวต่อศาลและสอบคำให้การในคดีที่อัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายอัครกิตติ์, นายสรรเสริญ หรือเน็ต รสานนท์ อายุ 25 ปี และ น.ส.อังสุพร หรืออุ้ม อินา อายุ 29 ปี เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522, พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4, 6, 10, 14 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5, 9, 60

นายอัครกิตติ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนให้ศาลสอบคำให้การว่า ยืนยันมาตั้งแต่แรกแล้วว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในยาเสพติด แต่มีการเชื่อมโยงทางบัญชี และมีเจตนาที่จะต่อสู้คดีมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็เดินทางมาปกติตามที่ศาลนัด

ต่อมา ศาลได้สอบคำให้การจำเลยทั้งสามคน โดยอ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง ขณะที่จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลจึงนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 7 ส.ค.เวลา 09.00 น.

หลังศาลสอบคำให้การ นายสิทธิโชค ตรีเนตร ทนายความ ได้ยื่นหลักทรัพย์ 3 ล้านบาท รวมกับของเก่าที่เคยยื่นไปแล้ว 5 แสนบาท เป็น 3.5 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวนายอัครกิตติ์ อย่างไรก็ตาม ศาลพิจารณาคำร้องแล้ว ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากพิเคราะห์พฤติการณ์และความหนักเบาของคดีแล้วเห็นว่า จำเลยกับพวกสมคบและสนับสนุนช่วยเหลือกันเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) จำนวน 140,000 เม็ด กับสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดจำนวนมาก โดยมีการกระทำเป็นเครือข่ายยาเสพติด เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อบุคคลอื่น หรือต่อสังคมและประเทศชาติโดยรวม นับเป็นภัยร้ายแรง สมควรปราบปรามให้สิ้นซาก อีกทั้งคดีมีอัตราโทษสูง ประกอบกับอัยการโจทก์คัดค้านการประกัน เพราะเกรงว่าจำเลยที่ 1 จะหลบหนี ในชั้นนี้จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายอัครกิตติ์และนายสรรเสริญ เข้าสถานบำบัดพิเศษกลาง ส่วน น.ส.อังสุพร ถูกนำไปคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง

ด้าน น.ส.ณปภา หรือแพท ภรรยานายอัครกิตติ์ ซึ่งได้อุ้มลูกเดินทางมาให้กำลังใจสามี หลังทราบว่าศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว ได้รอส่งสามีด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

4.ศาลพิพากษาประหารชีวิต “ไอ้ตั้ม” พร้อมคู่หู ฆ่าชิงไอโฟนบัณฑิต มศว ประสารมิตร ชี้ก่อเหตุซ้ำซาก-ยากปรับปรุงนิสัย!
นายกิตติกร หรือตั้ม วิกาหะ และนายสุพัฒชัย หรือเอ๊กซ์ จันทร์ศรี จำเลยคดีฆ่าบัณฑิต มศว เพื่อชิงไอโฟน
เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 และนางนิราภรณ์ เหลืองแจ่ม มารดานายวศิน หรือมะปิน เหลืองแจ่ม บัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ(มศว) ประสานมิตร ผู้เสียชีวิต ได้ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายกิตติกร หรือตั้ม วิกาหะ อายุ 26 ปี ชาว จ.สระแก้ว และนายสุพัฒชัย หรือเอ๊กซ์ จันทร์ศรี อายุ 25 ปี ชาว จ.อุทัยธานี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ที่ตนกระทำผิด, ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธติดตัวไปในเวลากลางคืน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยใช้ยานพาหนะ และร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมืองหรือหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289(7), 339 และ 371

คดีนี้ อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 ม.ค.2560 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2560 เวลากลางคืน จำเลยที่ 1 ได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นคนขี่ เมื่อถึงปากซอยสุคนธสวัสดิ์ 27 แขวง-เขตลาดพร้าว พบนายวศิน กำลังถือโทรศัพท์มือถือยี่ห้อไอโฟน 6 ราคา 36,000 บาท จำเลยที่ 1 จึงใช้อาวุธมีดจี้ขู่เข็ญให้นายวศินยื่นโทรศัพท์ให้ แต่นายวศินต่อสู้ขัดขืน จึงถูกจำเลยใช้อาวุธมีดแทงอย่างแรงหลายครั้งตามร่างกายและลำคอจนถึงแก่ความตาย แล้วชิงโทรศัพท์มือถือของผู้ตายหลบหนีไป กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมของกลาง 5 รายการ

ทั้งนี้ ระหว่างดำเนินคดี พนักงานอัยการได้คัดค้านการให้ประกันตัวจำเลย เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง เกรงว่าจะหลบหนี และเป็นการกระทำผิดโดยอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย เป็นคดีสะเทือนขวัญประชาชน อีกทั้งหลังก่อเหตุนี้ ในคืนเดียวกัน จำเลยทั้งสองยังได้ก่อเหตุซ้ำชิงทรัพย์ในท้องที่ สน.โชคชัย และวิ่งราวทรัพย์ในท้องที่ สน.โคกคราม รวม 3 คดี เป็นภัยต่อสังคม จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองสถานหนักด้วย

โดยในชั้นพิจารณา จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ด้านศาลพิเคราะห์คำรับสารภาพประกอบพยานที่โจทก์นำสืบแล้วเห็นว่า โจทก์มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทแห่งหนึ่งเป็นพยานในที่เกิดเหตุเบิกความว่า คืนเกิดเหตุ พยานเห็น 1 ในจำเลยฉุดกระชากนายวศินจนล้มลงและแทงหลายครั้ง พยานจึงวิ่งออกไปตะโกนห้าม ทำให้จำเลยทั้งสองขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป จากนั้นพยานได้เข้าช่วยเหลือนายวศิน แต่นายวศินเสียเลือดมาก จึงโทรแจ้งตำรวจ ซึ่งต่อมา พยานได้เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน และชี้ตัวจำเลยทั้งสองได้ เนื่องจากจดจำใบหน้าจำเลยได้ชัดเจน นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังได้พยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้ และผลตรวจลายนิ้วมือแฝงที่ได้จากหมวกกันน็อคของคนร้ายที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ มีดของกลาง และโทรศัพท์ที่ยึดได้ ตรงกับจำเลยทั้งสอง พยานหลักฐานทั้งหมดจึงมีน้ำหนักมั่นคง

ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามฟ้อง ให้ลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา ข้อหาร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมือง ให้ปรับคนละ 1,000 บาท ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์ เพื่อปกปิดความผิดของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นความผิดทางอาญา และร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยใช้ยานพาหนะ เป็นความผิดกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษประหารชีวิต ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นบทหนักสุด และเมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์แล้ว จำเลยก่อเหตุร้ายแรง มีประวัติการก่ออาชญากรรมหลายครั้ง ยากแก่การปรับปรุงแก้ไขนิสัย และคำรับสารภาพเกิดจากการจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่มีเหตุลดโทษ ให้ประหารชีวิตสถานเดียว

ด้าน น.ส.ศรุตา เหลืองแจ่ม พี่สาวของนายวศิน ผู้เสียชีวิต กล่าวหลังฟังคำพิพากษาว่า พอใจมากที่ศาลพิพากษาประหารชีวิตจำเลยทั้งสองคน และไม่มีการลดโทษ และว่า เราเชื่อเรื่องกฏแห่งกรรม ทำดีได้ผลดี ทำไม่ดีก็ได้ผลไม่ดี ใครทำอะไรก็ได้ผลอย่างนั้น

อนึ่ง นายกิตติกร จำเลยที่ 1 ก่อนที่จะก่อเหตุฆ่านายวศิน เพื่อชิงโทรศัพท์มือถือไอโฟน เคยมีประวัติก่อเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน โดยเคยต้องโทษเข้าเรือนจำมาแล้ว 8 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 13 ปี เคยก่อเหตุคดีบุกรุก, ทำร้ายร่างกาย, ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยก่อนจะมาเกิดเหตุครั้งนี้ นายกิตติกรเพิ่งออกมาจากเรือนจำเมื่อเดือน ธ.ค.2559

5.รวบ 2 ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ “แอ๋ม” ยังหนีอีก 3 - “วศิน” อ้างแค่ขับรถ ซัด “เปรี้ยว” มือหั่นศพ ด้าน ตร.-ป.ป.ส.พูดคนละทาง โยงยาเสพติดข้ามชาติ!
โฉมหน้าทีมฆ่าหั่นศพ น.ส.วิริสรา กลิ่นจุ้ย หรือแอ๋ม พนักงานต้อนรับร้านคาราโอเกะ สำหรับคนกลางภาพบนและล่างซ้าย คือ น.ส.ปรียานุช หรือเปรี้ยว โนนวังชัย ถูกระบุว่าเป็นคนหั่นศพ
ความคืบหน้าคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วิริสรา กลิ่นจุ้ย หรือแอ๋ม อายุ 22 ปี พนักงานต้อนรับร้านคาราโอเกะ โรงแรมชื่อดัง จ.ขอนแก่น แล้วหั่นศพเป็น 2 ท่อน ก่อนใส่ถุงดำไปฝังดินในป่าสาธารณะข้างทางบ้านโนนสง่า หมู่ 9 ต.คำม่วง อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น โดยมีผู้พบศพเมื่อวันที่ 25 พ.ค. จากนั้น พนักงานสอบสวน สภ.เขาสวนกวาง ได้รวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนขอศาลออกหมายจับผู้ถูกกล่าวหา 4 คน เป็นชาย 1 หญิง 3 ประกอบด้วย นายวศิน นามพรม อายุ 22 ปี, น.ส.จิดารัตน์ หรือเบนซ์ พรหมคุณ อายุ 22 ปี, น.ส.ปรียานุช หรือเปรี้ยว โนนวังชัย อายุ 24 ปี และ น.ส.กวิตา หรือเอิร์น ราชดา อายุ 25 ปี ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นทำลายศพ

พล.ต.ต.ยรรยง เวชโอสถ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนภาค 4 เผยหลังประชุมพนักงานสอบสวนคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วริสรา เมื่อวันที่ 29 พ.ค.ว่า “สาเหตุในเบื้องต้นเกิดจากความขัดแย้งส่วนตัว โดยผู้เสียชีวิตกับผู้ต้องหาเป็นเพื่อนเรียนร่วมสถาบันกันมาก่อน ต่อมามีปัญหากัน โดยกลุ่มผู้ต้องหาไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเข้าใจว่า น.ส.วริสรา แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม”

ทั้งนี้ วันเดียวกัน(29 พ.ค.) แหล่งข่าวจากชุดสืบสวน บก.สส.ภ.4 เผยว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว น.ส.ปรียานุช และ น.ส.กวิตา ได้แล้วที่ จ.ท่าขี้เหล็ก อยู่ระหว่างการทำเอกสารส่งผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีต่อไป

ขณะที่ พล.ต.ต.ยรรยง กล่าวถึงกระแสข่าวจับกุม น.ส.กวิตา และ น.ส.ปรียานุช ได้แล้วว่า ยังไม่ขอเปิดเผยอะไร บอกได้เพียงว่า วันที่ 30 พ.ค.จะมีข่าวดีในการติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดี

วันต่อมา(30 พ.ค.) ตำรวจได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพรถยนต์ฮอนด้า ซีอาร์วี สีบรอนซ์เทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ขณะมารับ น.ส.วริศรา บริเวณริมถนนหน้าเมือง ห่างจากหอพักผู้ตายประมาณ 100 เมตร และตรวจสอบพบว่า เป็นรถเช่าของบริษัทแห่งหนึ่งใน จ.ขอนแก่น จึงประสานนำรถมาตรวจสอบ พบว่า 2 ใน 4 ผู้ต้องหาตามหมายจับเป็นชาย 1 หญิง 1 มาเช่ารถคันดังกล่าว จากการตรวจสอบรถ พบเศษปูนซีเมนต์สำเร็จรูปและเส้นผมจำนวนมาก รวมทั้งพบเสื้อยืดสีแดงของผู้หญิงและเสื้อยืดโปโลของผู้ชายยัดอยู่ในยางอะไหล่ มีคราบสีน้ำตาลคล้ายเลือดตกอยู่

ต่อมา ตำรวจได้เชิญบิดามารดาและพี่สาวของ น.ส.ปรียานุช หรือเปรี้ยว 1 ใน 4 ผู้ต้องหามาสอบปากคำ โดยพี่สาวของเปรี้ยว เล่าว่า เมื่อคืนวันที่ 29 พ.ค. เปรี้ยวได้โทรศัพท์มาพูดคุยว่า พลาดไปแล้ว จึงได้ลงมือฆ่าแอ๋ม โดยพวกทั้งหมด 4 คน ได้ลวงแอ๋มออกมาจากร้าน เอาตัวมาซ้อมให้หนำใจ เนื่องจากโดนแอ๋มหักหลัง ทำให้สามีติดคุก และหักหลังเรื่องเงินจำหน่ายยาบ้า ต่างฝ่ายต่างหักหลังกัน แต่แอ๋มไม่ยอมเลิก จึงได้ถูกลวงออกมา พวกของเปรี้ยวซ้อมแอ๋มจนหน้าตาปูดบวมและสลบ เมื่อแอ๋มฟื้นขึ้นมา ได้กล่าวอาฆาตทั้ง 4 คนว่า ถ้าไม่ตาย พวกนี้ต้องตาย แอ๋มจึงถูกบีบคอจนตาย พี่สาว น.ส.ปรียานุช ยังเล่าด้วยว่า เปรี้ยวยังไม่สามารถเดินทางเข้าพบตำรวจได้ คงต้องรอประสานมาอีกรอบหนึ่ง

วันเดียวกัน(30 พ.ค.) ตำรวจ บก.สส.ภ.4 ได้ร่วมกับ ตม.หนองคาย ควบคุมตัวนายวศิน นามพรม 1 ใน 4 ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศรา หรือแอ๋ม ที่หลบหนีไปฝั่ง สปป.ลาว กลับมาดำเนินคดี โดยมีการประสานกับเจ้าหน้าที่ สปป.ลาวเข้าจับกุมนายวศินที่ลาวัลเกสต์เฮาส์ นครหลวงเวียงจันทน์ โดยเบื้องต้น นายวศินสารภาพว่าอยู่ในเหตุการณ์ แต่ไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่าแอ๋ม และว่า สาเหตุเกิดจากเปรี้ยวมีความแค้นส่วนตัวกับแอ๋ม โดยเปรี้ยวอ้างว่า แอ๋มเป็นสายชี้เป้าให้ตำรวจจับกุมเปรี้ยวในคดียาเสพติด เมื่อมีโอกาสจึงคิดแก้แค้น โดยเปรี้ยวไปเช่ารถซีอาร์วีให้นายวศินเป็นคนขับ จากนั้นได้ลักพาตัวแอ๋ม ระหว่างทางเปรี้ยวใช้ถุงดำคลุมหัวแอ๋มแล้วซ้อม ขณะที่แอ๋มพูดว่า ซ้อมเลย ถ้ารอดไปได้จะมาเอาคืน จากนั้นเปรี้ยวได้ซ้อมแอ๋มจนขาดใจตายบนรถ และบอกให้ตนขับรถพาไปยังที่ดินของตนเองใน อ.เขาสวนกวาง เพื่อนำศพแอ๋มไปทิ้ง ระหว่างทางได้ซื้ออุปกรณ์พวกเลื่อยตามร้ายขายวัสดุก่อสร้าง นายวศินยังบอกด้วยว่า ผู้ที่ลงมือหั่นศพแอ๋มก็คือ เปรี้ยว

ทั้งนี้ วันเดียวกัน(30 พ.ค.) ตำรวจยังจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้อีก 1 คน คือ น.ส.จิดารัตน์ หรือเบนซ์ พรหมคุณ โดยจับได้ที่ จ.อุบลราชธานี และได้ขอศาลออกหมายจับเพิ่มอีก 1 คน คือ น.ส.อภิวันทน์ หรือแจ้ สัตยบัณฑิต อายุ 28 ปี หลังปรากฏชื่อ น.ส.อภิวันทน์เดินทางออกชายแดนไทยตรงด่านพรมแดน อ.แม่สาย ไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค.เช่นเดียวกับ น.ส.กวิตา และ น.ส.ปรียานุช

มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ตำรวจ จ.ท่าขี้เหล็ก ได้เข้าตรวจสอบร้านโอโซน สปา แอนด์ คาราโอเกะ ซึ่งเป็นจุดที่ถูกระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 3 คนหนีไปกบดานเพื่อทำงานที่นั่น ซึ่งเบื้องต้นพนักงานทั้งหมดของร้านให้การตรงกันว่า พบบุคคลทั้งสามเข้ามาพักในร้านตั้งแต่ช่วงกลางคืนวันที่ 25 พ.ค. และจนอยู่ถึงช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ค. จากนั้นช่วงบ่ายได้หายตัวไป โดยไม่ทราบว่าไปที่ใด

มีรายงานด้วยว่า ร้านคาราโอเกะดังกล่าว เดิมบริหารโดยชาวว้าแดงกลุ่มหนึ่ง ภายหลังประสบปัญหาขาดทุน จึงปล่อยให้เช่าช่วง และมีคนไทยมารับช่วงต่อตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เสียค่าเช่าเดือนละ 180,000 บาท โดยคนไทยดังกล่าวเป็นคนที่รับตัวผู้ต้องหาทั้งสามข้ามพรมแดน

ล่าสุด (3 มิ.ย.) มีรายงานว่า ทางการท้องถิ่นพม่าพุ่งเป้าไปยังบุคคลที่ชื่อว่า นายธวัชชัย อ้อมชมภู ซึ่งมีชื่อเล่นว่า “เก้า” หรือ “เกล้า” อายุ 29 ปี ชาว ต.บ้านใหม่ อ.เมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นคนไทยที่มีรอยสักบริเวณคอถึงคางว่า เป็นผู้ที่พาผู้ต้องหาสาวทั้ง 3 คนออกจากที่พักข้างร้านคาราโอเกะดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 พ.ค.

เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยังให้ข้อมูลไม่ตรงกันในแง่ของ น.ส.เปรี้ยวและพวก โดย พล.ต.ต.ณัฏฐเขต ฮามคำไพ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ขอนแก่น เผยว่า สาเหตุที่ น.ส.เปรี้ยวและพวกก่อเหตุฆ่า น.ส.แอ๋ม เป็นความขัดแย้งส่วนตัว เนื่องจากเมื่อปี 2559 น.ส.แอ๋มไปแจ้งจับแฟนของ น.ส.เปรี้ยว เรื่องยาเสพติดจำนวนน้อยมาก เป็นเหตุให้ น.ส.เปรี้ยว เจ็บแค้น จึงพวพวกมาฆ่า น.ส.แอ๋มอย่างโหดเหี้ยม โดยเลียนแบบภาพยนตร์ฝรั่งที่ชอบความรุนแรง ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดข้ามชาติตามที่มีการเสนอข่าวในสื่อออนไลน์

ขณะที่นายศิรินทร์ยา สิทธิชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) เผยว่า จากการตรวจสอบประวัติของ น.ส.ปรียานุชกับพวก พบว่ามีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ทั้งเป็นผู้เสพและผู้ค้า โดยในส่วนของ น.ส.ปรียานุช จากการตรวจสอบทราบว่า เป็นผู้ค้ารายย่อยและมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดรายใหญ่ใน จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่าด้วย โดยมีการนำยาเสพติดเข้ามาขายในพื้นที่ให้กับกลุ่มเพื่อนที่ทำงานกลางคืนด้วยกัน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มบุคคลทั้งหมดแล้ว เพื่อติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เลขาธิการ ป.ป.ส.กล่าวด้วยว่า ในส่วนของ น.ส.วริศรา ผู้เสียชีวิตนั้น พบว่า มีประวัติเคยใช้ยาเสพติดเช่นกัน และเป็นเพื่อนที่เคยทำงานกับกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น