หลายปีก่อน เธอคือเด็กกะโปโลที่เดินตะลอนขายน้ำมะพร้าวอยู่เมืองอุดรฯ บ้านเกิด แต่ ณ ปัจจุบัน เด็กสาวบ้านนาผู้เป็นดั่ง “ลูกเป็ดขี้เหร่” คนนั้น ได้สร้างชื่อให้แก่ตนเองจนโด่งดังในฐานะนางแบบที่มีผลงานระดับขั้น “โกอินเตอร์”!!
ชื่อของ “โอปอลล์ - พิไลวรรณ พิมพ์ภูลาด” กลายเป็นที่โจษจันในชุมชนออนไลน์ เมื่อเรื่องราวของเธอถูกนำไปโพสต์ลงบนสเตตัสเฟซบุ๊ก ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นและได้อ่าน เกิดความชื่นชม กดไลค์และแชร์จนแพร่หลาย

จากเด็กน้อยที่เคยเดินฝ่าแดดเร่ขายน้ำมะพร้าวในเยาว์วัย และรับจ้างทำงานอีกจิปาถะเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ ขยันหมั่นเพียรทั้งเรียนและทำงาน ก่อนสอบติดเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ยิ่งไปกว่านั้น ความฝันในการเป็นนางแบบของเธอ ก็บรรลุผลสำเร็จจนกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึง ...
เราไปพูดคุยแบบ “คำต่อคำ” กับหญิงสาวลูกแม่โดม เด็กอุดรฯ คนนี้ ที่อยากบอกกับทุกคนว่า ... ขอแค่ “กล้า” แล้วก้าวต่อไป จะไม่เหมือนเดิม ...

• รู้มาว่า วัยเด็กของคุณ ค่อนข้างต่อสู้ดิ้นรนพอสมควร อยากให้คุณเล่าถึงวันเวลาช่วงนั้นหน่อยครับ
ชีวิตในตอนนั้น ค่อนข้างลำบากค่ะ พ่อกับแม่มีกิจการขายข้าวราดแกง อย่างเวลาวันเสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุด เราก็ไม่มีเวลาไปเรียนพิเศษ หรือไปดูหนังแบบเพื่อนร่วมรุ่น เราก็ช่วยพ่อแม่ทำงานทุกสัปดาห์ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาไปกับเพื่อนเท่าไหร่ เพราะว่าเรามีหน้าที่รับผิดชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งที่บ้านก็ทำหลายอย่างค่ะ ทั้งขายข้าวราดแกง ขายก๋วยเตี๋ยว แล้วก็ขายมะพร้าวด้วย พอถึงช่วงปิดเทอม เราก็ช่วยที่บ้านขายของ แล้วบางครั้งก็ไปเป็นเด็กล้างจานที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวในร้านของป้าที่รู้จักน่ะค่ะ ชีวิตเราก็วนเวียนอย่างนี้ล่ะค่ะ เสาร์อาทิตย์ทำงาน วันปกติก็ไปเรียน ซึ่งเราก็มีขอทุนของโรงเรียนด้วย เนื่องจากฐานะที่บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร คือหมุนเงินไม่ทันน่ะค่ะ เพราะมีน้องสาวและน้องชายด้วย พวกรายจ่ายก็จะเยอะ เราก็เลยไปขอทุนที่โรงเรียนมาตั้งแต่ช่วง ม.ปลาย เลย จนกระทั่งเรียนจบมัธยม เราก็มีโอกาสได้เข้ามาเรียนที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเรามาจากโครงการเรียนดีจากชนบท เราก็สมัครไปในนามโรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี แล้วเราก็สอบติดได้เข้ามาเรียนที่นี่

แต่ช่วงเปลี่ยนผ่าน มันก็มีเหตุการณ์ก่อนหน้าด้วยค่ะพี่ คือครอบครัวประสบปัญหาค่ะ เพราะขับรถไปชนคนอยู่ข้างทาง แล้วคู่กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งค่ารักษาของเขาก็อยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นบาทค่ะ ซึ่งตรงกับช่วงที่เราเข้ามหา'ลัยพอดี ซึ่งที่บ้านคือมืดแปดด้าน เพราะไม่มีเงินไปจ่ายให้กับเขา จำได้ว่า แม่ให้เงินแค่ 1,000 บาท เข้ากรุงเทพฯ แล้วช่วงปี 1 มีค่าใช้จ่ายเยอะมาก แล้วเงินที่จะซื้อผ้าปูที่นอนยังไม่มีเลย เราต้องนอนเตียงเปล่า เพราะเราต้องใช้เงินนั้นซื้อข้าวกิน เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยลองไปปรึกษาทางคณะ และขอทุนจากทางคณะ แล้วทางคณะก็ให้ความช่วยเหลือเรื่องทุนมา ซึ่งเราก็ดีใจมาก เพราะอย่างน้อยๆ ก็ได้ช่วยที่บ้าน ซึ่งเวลาเราเดือดร้อนอะไร ก็ไปปรึกษาอาจารย์และมหา'ลัย เขาก็ช่วยเหลือเราทุกอย่าง ขอแค่ไปปรึกษาเขา
หลังจากนั้น ชีวิตเราก็เรื่อยๆ ค่ะ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เป็นเด็กเดินตั๋วตามงานคอนเสิร์ต เป็นแบบว่าเขายื่นบัตรให้ เราก็พาเขาไปที่นั่ง ซึ่งถือว่าดี อย่างคอนเสิร์ตศิลปินจากต่างประเทศเราก็ได้ไปดูในห้องวีไอพี เพราะว่าเราทำหน้าที่พาลูกค้าวีไอพีไปนั่งในที่ที่กำหนด และมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างในชีวิต ถ้าเราไม่ได้มาทำ เราก็ไม่ได้เปิดโลกกว้างว่ามันมีอะไรบ้าง อย่างเด็กต่างจังหวัด ก็คงไม่มีโอกาสที่จะมาดูคอนเสิร์ตแพงๆ ถ้าเราไม่ได้ทำงาน ซึ่งเราไปทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันที่ว่างๆ หรือถ้าไม่มีงานเดินตั๋ว ก็ไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้าน MK ตอนปิดเทอม แล้วก็ขายเสื้อผ้าแถวแพลทินัมค่ะ ก็ทำทุกอย่างค่ะ เราคิดว่ามันเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่ไป เราก็ไม่รู้อะไรเลย แต่เวลาที่เราไปทำงานคอนเสิร์ต ถามว่ามีคนดูถูกมั้ย ก็มีนะคะ ลูกค้าบางราย เขาก็เสียเงินมาดูคอนเสิร์ต มันก็มีคนที่ให้เกียรติในงานของเรา แต่บางคนก็มองว่าเขาจ่ายเงินไปแล้ว นู่นนี่นั่น จะทำอะไรก็ได้ เขาจะด่าจะว่าเรายังไงก็ได้ เราก็ต้องยิ้มและอดทนในเวลาทำงาน ไม่ต้องไปคิดอะไร

• คุณเริ่มเข้าสู่วงการนี้ได้อย่างไร
น่าจะเป็นช่วงที่ขึ้นปี 2 เราก็รู้จักอยู่ข่าวหนึ่ง คือ พี่ยุ้ย-รจนา เพ็ชรกัณหา ที่เขาเป็นนางแบบเลือดอีสาน เราก็ชื่นชมพี่เขา ก็ติดตามพี่เขามาตลอด เวลาที่พี่เขาไปเดินแบบที่ไหน เราก็ตามไปดูพี่เขา คือมองพี่เขาเป็นแรงบันดาลใจ ไม่มีใครสามารถไปเทียบเคียงพี่เขาอยู่แล้วค่ะ เราก็มองเขาว่าเป็นไอดอล เป็นแรงบันดาลใจมากกว่า จนวันนึงเราได้ไปเจอพี่เขาตัวจริง ก็ได้มีโอกาสไปรู้จักพี่ๆ ที่เขาเป็นแฟนคลับพี่ยุ้ยด้วย แล้วบังเอิญมีพี่คนหนึ่งในนั้นมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา เขาก็บอกเราว่า ‘เธอลองไปเป็นนางแบบสิ โครงหน้าอย่างเธอเด่นนะ’ ซึ่งเหมือนพี่เขาเป็นคนจุดประกายให้เรา เขาก็แนะนำให้เราไปสมัครเวทีต่างๆ แต่ด้วยโครงหน้าที่ไม่ใช่ TASTE ของเขา ก็ตกรอบในหลายๆ เวที แต่ช่วงนั้นเราถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชั่วโมงบิน อย่างน้อยๆ เราตกรอบจากเวทีหนึ่ง เราก็ได้ประสบการณ์ และการลองผิดลองถูกไปหมดค่ะ ก็ไปทุกเวที แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ไปขำๆ อย่างงี้ จนพอเราทำไปเรื่อยๆ อย่างเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองรักแล้วมีความสุข สักวันก็มีคนมองเห็น ก็ไปแคสต์งานนู่นนี่นั่น
จนมาถึงงานแฟชั่นโชว์ของ ANGELO SEMINARA (ช่างทำผมทางแฟชั่นชาวอิตาเลียน) ซึ่งงานของ ANGELO ก็จัดที่เอเชียทีค ซึ่งตัวเขามาเปิดแฮร์แฟชั่นโชว์ครั้งแรกในแถบเอเชีย ซึ่งเขาเลือกเมืองไทยเป็นที่เปิดของเขา เราก็ไปแคสต์งานปกติค่ะ ซึ่งในวันนั้นมีนางแบบมาแคสต์ร้อยกว่าคน ซึ่งมีทั้งนางแบบที่เป็นตัวแม่ของเมืองไทย แล้วก็มีจากต่างชาติด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาเลือกยังไง เขาเป็นคนเลือกเอง ด้วยความที่เขาเป็น ARTIST DIRECTOR ซึ่งมีแค่ 8 คนเท่านั้นที่ได้เดินในแบรนด์ของเขา แล้วเราก็เป็น 1 ใน 8 คนที่ถูกรับเลือก ซึ่งเราเป็น 1 ใน 2 ของนางแบบเชีย ซึ่งงานนี้ก็เป็นผลงานที่เราภูมิใจงานหนึ่ง ส่วนงานแรกๆ ของเราก็เป็นงาน ELLE FASHION WEEK แล้วก็งาน HAIR FASHION SHOW ของเมืองไทย แต่งานนี้เป็นงานที่เราภูมิใจชิ้นหนึ่ง

• -จากเด็กบ้านนา จนกลายมาเป็นนางแบบระดับอินเตอร์ เรามองเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองอย่างไรบ้าง
ในความรู้สึกเรา เหมือนกับว่าผ่านอะไรมาเยอะค่ะ เรียกว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วกัน แต่ยังจะต้องหาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ แต่ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีทองของเรา ที่ได้รับโอกาสให้ทำงานกับทีมงานต่างชาติหลายๆ แบรนด์ดังในระดับหนึ่ง คือจริงๆ เราอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เก่งหรือเลิศที่สุด แต่อย่างน้อย ถ้าเราสามารถจุดประกายให้เด็กๆ หรือน้องๆ แม้แต่แค่คนเดียว เขาอาจจะไปไกลกว่าเราก็ได้ ชีวิตเขาอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ เหมือนกับที่เราเคยได้รับโอกาสจากพี่คนนึงที่จุดประกายเรา ให้ชีวิตเราดีขึ้น คือก็มีน้องๆ ที่อยากเป็นอย่างปอเยอะมากเลยนะ ที่ทำงานนู่นนี่นั่น แล้วเขาไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต คืออยากให้เขาเชื่อมั่นจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน แล้วทำมันอย่างมีความสุข ทำไปเรื่อยๆ แล้วซักวันก็เป็นวันของเขา จริงๆ ก็อยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาเฉยๆ ค่ะ

• คิดว่าอะไรที่ทำให้เราสามารถก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้
(นิ่งคิด) ส่วนหนึ่งมาจากความมุ่งมั่น และความพยายามของเราเอง คือทำในสิ่งที่เรารักอย่างมีความสุข อะไรก็ตาม เราจะทำมันได้ดี พอทำได้ดี อะไรดีๆ ก็จะเข้ามาหาเราเอง ถามว่ามีเยอะมั้ย ก็เยอะมาก อย่างตามเพจที่เกี่ยวกับในแวดวงนี้ ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเรา พอเราได้เห็นก็นำคำเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้เรา ดีกว่าเป็นสิ่งที่มาบั่นทอนจิตใจเรา เรานำคำที่เขาว่า มารับฟัง มาคิด ว่ามันควรจะพัฒนายังไง แก้ไขยังไง แล้วนำมาพัฒนาตัวเอง คือเราโดนมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ เลย เช่น ใส่ส้นสูงไม่เป็น เตี้ย โดนจนแบบว่า อย่างเราไม่น่าจะเป็นนางแบบได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่บอกค่ะ ก็ทำให้คนที่ว่าเราในวันนั้น ไม่สามารถว่าเราได้แล้ว เขาก็ยอมรับเราในที่สุด

• ในขณะเดียวกัน ตอนนี้เราก็เป็นนักศึกษากฎหมายด้วย
ใช่ค่ะ เพราะตอนนี้ก็อยู่ปี 4 แล้ว ถือว่าหนักเหมือนกัน อย่างเวลาที่เราไปทำงาน เราก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็นนิดนึง เพราะว่าวิชาที่เราเรียนก็ค่อนข้างกดดันเหมือนกัน ก็เป็นวิชาที่ยากสำหรับเราเหมือนกัน ซึ่งคณะของปอก็เป็นคณะที่ต้องอ่านหนังสือหนักมาก กฎหมายก็จำเป็นต้องอ่าน ก็ต้องแบ่งเวลาในการอ่าน อย่างคณะเราจะอาศัยในการอ่านมากกว่า ก็อ่านในช่วงเย็นเอา หรือว่า หลังจากทำงาน ซึ่งถือว่าหนักมาก ก็เป็นอุปสรรคนิดนึง อย่างบางครั้งก็ขาดเรียนไปทำงาน เพราะว่าถ้าไม่ทำ เราก็ไม่มีข้าวกินอ่ะค่ะ พองานเสร็จ เราก็มาขอเลกเชอร์จากเพื่อนทีหลัง ตอนที่ทำใหม่ๆ ก็ลำบากนิดนึง แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่หลังจากเรียนจบ คงไปในเส้นทางแฟชั่นก่อน เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบ และคงไม่มีนักกฎหมายคนใดที่ใส่เสื้อสีฉูดฉาด เอวลอยไปทำงานหรอกเนอะ คงจะแซบน่าดู (หัวเราะ) อย่างที่บอกค่ะ ถ้าให้เลือกคงมาทางนี้มากกว่า แต่นางแบบก็มีอายุของมัน เราก็อาจจะหาอย่างอื่นทำ อาจจะหาธุรกิจทำ เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบมากกว่า และไม่เครียดด้วย (หัวเราะอีกครั้ง)

• อะไรที่คุณคิดว่าสำคัญที่สุดในการเป็นนางแบบครับ
ความมีสไตล์เป็นของตัวเอง และความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปเลียนแบบใคร ซึ่งนางแบบแต่ละคนเขาจะมีสไตล์ความเป็นตัวของตัวเอง สังเกตว่านางแบบแต่ละคนเขาจะไม่เหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่นางแบบควรมี คุณไม่ต้องไปตามใคร เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด แล้วสักวันเขาก็จะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา คือไม่ใช่ใครที่จะเป็นนางแบบได้นะคะ คือจะต้องมี INNER ความรู้สึก ซึ่งตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เป็นแบบหุ่นยนต์เลย ตาก็ไม่ได้ สื่ออารมณ์ก็ไม่ได้ แต่พอเราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้ว่า มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ต้องมีอารมณ์สื่อ ผ่านกล้อง ผ่านช่างภาพ ว่าเขาจะต้องการแนวไหน ก็ตามนั้นค่ะ ไม่ใช่ว่าไปถึงแล้วโพสเลยไม่ใช่ มันจะต้องมีคอนเซ็ปต์ หลายๆ อย่างค่ะ

• สมมติว่า ถ้าแบรนด์อย่าง กุชชี่ หรือ แอร์เมส มาติดต่อให้เราไปเดินแบบ จะเป็นอย่างไร
คงรู้สึก “ว้าว” ค่ะ คงจะแบบเหนือความคาดหมายมาก คือจริงๆ ทำทุกวัน และอยู่กับปัจจุบัน ให้มันที่สุดค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหน แต่ตอนนี้ยังมีความสุขในสิ่งที่เราทำ ส่วนนั้นก็คือเป็นโอกาสหนึ่งแล้วกัน ถ้ามันได้ ซึ่งนางแบบเอชียน้อยมากที่จะได้ไปเดินอย่างงั้น มันขึ้นอยู่กับโอกาสหลายๆ อย่างด้วยค่ะ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย ทั้งชั่วโมงบิน และประสบการณ์ด้วย ซึ่งจะเป็นแถบเอเชียตะวันออก หรือ ยุโรปไปเลย ที่จะได้ ถามว่านางแบบไทยและแถบอาเซียน มีมั้ยก็มีค่ะ แต่ก็ยังน้อยอยู่ ตามสัดส่วนประชากรแต่ละแถบค่ะ

• ในความเห็นของคุณ คิดว่านางแบบไทยจะสามารถสู้กับนางแบบสากลได้หรือเปล่า แล้วจะสู้กับเขายังไง
ถ้าในความคิดเรานะ นางแบบไทยจะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองก่อน อย่างประเทศไทย เราก็มีหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายรูปลักษณ์ ใช่มั้ยคะ คืออยากให้รักษาความเป็นเอกลักษณ์นี้ และมีความสมจริง เพราะคนชาติตะวันตกเขาจะชอบแบบนี้ คือความเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเสริมแต่งอะไรเลย ในสายตาศิลปิน หรือผู้คร่ำหวอดในแฟชั่น เขาจะมองได้ต่างจากคนทั่วไป สมมติว่า นางแบบฟันเหยิน หรือ นางแบบที่มีกระบนใบหน้า เขามองว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาและเป็นสิ่งที่สวยงาม อย่างเราเคยคุยกับ ANGELO เขาก็สอนเราว่า อยู่กับความเป็นธรรมชาติ อยู่แบบเป็นตัวของตัวเอง รักษาความเป็นเอกลักษณ์ของเราไว้ แล้วสักวันจะมีคนเห็น จะมีคนเห็นบางอย่างในตัวเรา แล้วมันก็อยู่ที่โอกาสส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งโอกาสในส่วนนี้ก็เป็นส่วนสำคัญ
เพราะถ้าเรามีทุกอย่าง แต่เราไม่ไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ โอกาสจะไม่ลอยมาหาเราง่ายๆ ก็ต้องเป็นคนที่ขี้สงสัยด้วยส่วนนึง เขาก็จะยกตัวอย่างให้เราฟังด้วยว่า กระบนใบหน้าก็เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่งของธรรมชาติ ถ้าไม่มีคนมีกระ ถ้าไม่มีคนฟันเหยิน โลกใบนี้ก็ไม่มีความหลากหลาย ไม่สวยงามอย่างทุกวันนี้ ซึ่งจากที่เราได้คุย ก็ทำให้ได้แง่คิดหลายๆ อย่าง จากคนที่อยู่ในวงการมานาน ว่าเขาคิดยังไง เราก็เลยคิดว่าความเป็นเอกลักษณ์ ความที่เป็นของแท้ หรือความเป็นตัวเอง นั่นแหละคือสิ่งที่เขาตามหา เป็นสิ่งที่แฟชั่นโลกเขาต้องการ

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : แฟนเพจ Pili Opal Portfolio
ชื่อของ “โอปอลล์ - พิไลวรรณ พิมพ์ภูลาด” กลายเป็นที่โจษจันในชุมชนออนไลน์ เมื่อเรื่องราวของเธอถูกนำไปโพสต์ลงบนสเตตัสเฟซบุ๊ก ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นและได้อ่าน เกิดความชื่นชม กดไลค์และแชร์จนแพร่หลาย
จากเด็กน้อยที่เคยเดินฝ่าแดดเร่ขายน้ำมะพร้าวในเยาว์วัย และรับจ้างทำงานอีกจิปาถะเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือ ขยันหมั่นเพียรทั้งเรียนและทำงาน ก่อนสอบติดเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ยิ่งไปกว่านั้น ความฝันในการเป็นนางแบบของเธอ ก็บรรลุผลสำเร็จจนกลายเป็นที่กล่าวขวัญถึง ...
เราไปพูดคุยแบบ “คำต่อคำ” กับหญิงสาวลูกแม่โดม เด็กอุดรฯ คนนี้ ที่อยากบอกกับทุกคนว่า ... ขอแค่ “กล้า” แล้วก้าวต่อไป จะไม่เหมือนเดิม ...
• รู้มาว่า วัยเด็กของคุณ ค่อนข้างต่อสู้ดิ้นรนพอสมควร อยากให้คุณเล่าถึงวันเวลาช่วงนั้นหน่อยครับ
ชีวิตในตอนนั้น ค่อนข้างลำบากค่ะ พ่อกับแม่มีกิจการขายข้าวราดแกง อย่างเวลาวันเสาร์-อาทิตย์ หรือ วันหยุด เราก็ไม่มีเวลาไปเรียนพิเศษ หรือไปดูหนังแบบเพื่อนร่วมรุ่น เราก็ช่วยพ่อแม่ทำงานทุกสัปดาห์ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาไปกับเพื่อนเท่าไหร่ เพราะว่าเรามีหน้าที่รับผิดชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งที่บ้านก็ทำหลายอย่างค่ะ ทั้งขายข้าวราดแกง ขายก๋วยเตี๋ยว แล้วก็ขายมะพร้าวด้วย พอถึงช่วงปิดเทอม เราก็ช่วยที่บ้านขายของ แล้วบางครั้งก็ไปเป็นเด็กล้างจานที่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวในร้านของป้าที่รู้จักน่ะค่ะ ชีวิตเราก็วนเวียนอย่างนี้ล่ะค่ะ เสาร์อาทิตย์ทำงาน วันปกติก็ไปเรียน ซึ่งเราก็มีขอทุนของโรงเรียนด้วย เนื่องจากฐานะที่บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร คือหมุนเงินไม่ทันน่ะค่ะ เพราะมีน้องสาวและน้องชายด้วย พวกรายจ่ายก็จะเยอะ เราก็เลยไปขอทุนที่โรงเรียนมาตั้งแต่ช่วง ม.ปลาย เลย จนกระทั่งเรียนจบมัธยม เราก็มีโอกาสได้เข้ามาเรียนที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเรามาจากโครงการเรียนดีจากชนบท เราก็สมัครไปในนามโรงเรียนสตรีราชินูทิศ จ.อุดรธานี แล้วเราก็สอบติดได้เข้ามาเรียนที่นี่
แต่ช่วงเปลี่ยนผ่าน มันก็มีเหตุการณ์ก่อนหน้าด้วยค่ะพี่ คือครอบครัวประสบปัญหาค่ะ เพราะขับรถไปชนคนอยู่ข้างทาง แล้วคู่กรณีได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งค่ารักษาของเขาก็อยู่ที่ประมาณ 5-6 หมื่นบาทค่ะ ซึ่งตรงกับช่วงที่เราเข้ามหา'ลัยพอดี ซึ่งที่บ้านคือมืดแปดด้าน เพราะไม่มีเงินไปจ่ายให้กับเขา จำได้ว่า แม่ให้เงินแค่ 1,000 บาท เข้ากรุงเทพฯ แล้วช่วงปี 1 มีค่าใช้จ่ายเยอะมาก แล้วเงินที่จะซื้อผ้าปูที่นอนยังไม่มีเลย เราต้องนอนเตียงเปล่า เพราะเราต้องใช้เงินนั้นซื้อข้าวกิน เราก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยลองไปปรึกษาทางคณะ และขอทุนจากทางคณะ แล้วทางคณะก็ให้ความช่วยเหลือเรื่องทุนมา ซึ่งเราก็ดีใจมาก เพราะอย่างน้อยๆ ก็ได้ช่วยที่บ้าน ซึ่งเวลาเราเดือดร้อนอะไร ก็ไปปรึกษาอาจารย์และมหา'ลัย เขาก็ช่วยเหลือเราทุกอย่าง ขอแค่ไปปรึกษาเขา
หลังจากนั้น ชีวิตเราก็เรื่อยๆ ค่ะ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย เป็นเด็กเดินตั๋วตามงานคอนเสิร์ต เป็นแบบว่าเขายื่นบัตรให้ เราก็พาเขาไปที่นั่ง ซึ่งถือว่าดี อย่างคอนเสิร์ตศิลปินจากต่างประเทศเราก็ได้ไปดูในห้องวีไอพี เพราะว่าเราทำหน้าที่พาลูกค้าวีไอพีไปนั่งในที่ที่กำหนด และมันก็ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างในชีวิต ถ้าเราไม่ได้มาทำ เราก็ไม่ได้เปิดโลกกว้างว่ามันมีอะไรบ้าง อย่างเด็กต่างจังหวัด ก็คงไม่มีโอกาสที่จะมาดูคอนเสิร์ตแพงๆ ถ้าเราไม่ได้ทำงาน ซึ่งเราไปทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันที่ว่างๆ หรือถ้าไม่มีงานเดินตั๋ว ก็ไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้าน MK ตอนปิดเทอม แล้วก็ขายเสื้อผ้าแถวแพลทินัมค่ะ ก็ทำทุกอย่างค่ะ เราคิดว่ามันเป็นประสบการณ์อย่างหนึ่ง ถ้าเราไม่ไป เราก็ไม่รู้อะไรเลย แต่เวลาที่เราไปทำงานคอนเสิร์ต ถามว่ามีคนดูถูกมั้ย ก็มีนะคะ ลูกค้าบางราย เขาก็เสียเงินมาดูคอนเสิร์ต มันก็มีคนที่ให้เกียรติในงานของเรา แต่บางคนก็มองว่าเขาจ่ายเงินไปแล้ว นู่นนี่นั่น จะทำอะไรก็ได้ เขาจะด่าจะว่าเรายังไงก็ได้ เราก็ต้องยิ้มและอดทนในเวลาทำงาน ไม่ต้องไปคิดอะไร
• คุณเริ่มเข้าสู่วงการนี้ได้อย่างไร
น่าจะเป็นช่วงที่ขึ้นปี 2 เราก็รู้จักอยู่ข่าวหนึ่ง คือ พี่ยุ้ย-รจนา เพ็ชรกัณหา ที่เขาเป็นนางแบบเลือดอีสาน เราก็ชื่นชมพี่เขา ก็ติดตามพี่เขามาตลอด เวลาที่พี่เขาไปเดินแบบที่ไหน เราก็ตามไปดูพี่เขา คือมองพี่เขาเป็นแรงบันดาลใจ ไม่มีใครสามารถไปเทียบเคียงพี่เขาอยู่แล้วค่ะ เราก็มองเขาว่าเป็นไอดอล เป็นแรงบันดาลใจมากกว่า จนวันนึงเราได้ไปเจอพี่เขาตัวจริง ก็ได้มีโอกาสไปรู้จักพี่ๆ ที่เขาเป็นแฟนคลับพี่ยุ้ยด้วย แล้วบังเอิญมีพี่คนหนึ่งในนั้นมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา เขาก็บอกเราว่า ‘เธอลองไปเป็นนางแบบสิ โครงหน้าอย่างเธอเด่นนะ’ ซึ่งเหมือนพี่เขาเป็นคนจุดประกายให้เรา เขาก็แนะนำให้เราไปสมัครเวทีต่างๆ แต่ด้วยโครงหน้าที่ไม่ใช่ TASTE ของเขา ก็ตกรอบในหลายๆ เวที แต่ช่วงนั้นเราถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชั่วโมงบิน อย่างน้อยๆ เราตกรอบจากเวทีหนึ่ง เราก็ได้ประสบการณ์ และการลองผิดลองถูกไปหมดค่ะ ก็ไปทุกเวที แต่เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ไปขำๆ อย่างงี้ จนพอเราทำไปเรื่อยๆ อย่างเวลาทำในสิ่งที่ตัวเองรักแล้วมีความสุข สักวันก็มีคนมองเห็น ก็ไปแคสต์งานนู่นนี่นั่น
จนมาถึงงานแฟชั่นโชว์ของ ANGELO SEMINARA (ช่างทำผมทางแฟชั่นชาวอิตาเลียน) ซึ่งงานของ ANGELO ก็จัดที่เอเชียทีค ซึ่งตัวเขามาเปิดแฮร์แฟชั่นโชว์ครั้งแรกในแถบเอเชีย ซึ่งเขาเลือกเมืองไทยเป็นที่เปิดของเขา เราก็ไปแคสต์งานปกติค่ะ ซึ่งในวันนั้นมีนางแบบมาแคสต์ร้อยกว่าคน ซึ่งมีทั้งนางแบบที่เป็นตัวแม่ของเมืองไทย แล้วก็มีจากต่างชาติด้วย แต่ไม่รู้ว่าเขาเลือกยังไง เขาเป็นคนเลือกเอง ด้วยความที่เขาเป็น ARTIST DIRECTOR ซึ่งมีแค่ 8 คนเท่านั้นที่ได้เดินในแบรนด์ของเขา แล้วเราก็เป็น 1 ใน 8 คนที่ถูกรับเลือก ซึ่งเราเป็น 1 ใน 2 ของนางแบบเชีย ซึ่งงานนี้ก็เป็นผลงานที่เราภูมิใจงานหนึ่ง ส่วนงานแรกๆ ของเราก็เป็นงาน ELLE FASHION WEEK แล้วก็งาน HAIR FASHION SHOW ของเมืองไทย แต่งานนี้เป็นงานที่เราภูมิใจชิ้นหนึ่ง
• -จากเด็กบ้านนา จนกลายมาเป็นนางแบบระดับอินเตอร์ เรามองเส้นทางชีวิตที่ผ่านมาของตัวเองอย่างไรบ้าง
ในความรู้สึกเรา เหมือนกับว่าผ่านอะไรมาเยอะค่ะ เรียกว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้วกัน แต่ยังจะต้องหาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ แต่ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีทองของเรา ที่ได้รับโอกาสให้ทำงานกับทีมงานต่างชาติหลายๆ แบรนด์ดังในระดับหนึ่ง คือจริงๆ เราอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เก่งหรือเลิศที่สุด แต่อย่างน้อย ถ้าเราสามารถจุดประกายให้เด็กๆ หรือน้องๆ แม้แต่แค่คนเดียว เขาอาจจะไปไกลกว่าเราก็ได้ ชีวิตเขาอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ เหมือนกับที่เราเคยได้รับโอกาสจากพี่คนนึงที่จุดประกายเรา ให้ชีวิตเราดีขึ้น คือก็มีน้องๆ ที่อยากเป็นอย่างปอเยอะมากเลยนะ ที่ทำงานนู่นนี่นั่น แล้วเขาไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรในชีวิต คืออยากให้เขาเชื่อมั่นจริงๆ ว่าเขาต้องการอะไร ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจน แล้วทำมันอย่างมีความสุข ทำไปเรื่อยๆ แล้วซักวันก็เป็นวันของเขา จริงๆ ก็อยากจะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาเฉยๆ ค่ะ
• คิดว่าอะไรที่ทำให้เราสามารถก้าวมาจนถึงจุดนี้ได้
(นิ่งคิด) ส่วนหนึ่งมาจากความมุ่งมั่น และความพยายามของเราเอง คือทำในสิ่งที่เรารักอย่างมีความสุข อะไรก็ตาม เราจะทำมันได้ดี พอทำได้ดี อะไรดีๆ ก็จะเข้ามาหาเราเอง ถามว่ามีเยอะมั้ย ก็เยอะมาก อย่างตามเพจที่เกี่ยวกับในแวดวงนี้ ก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบเรา พอเราได้เห็นก็นำคำเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันให้เรา ดีกว่าเป็นสิ่งที่มาบั่นทอนจิตใจเรา เรานำคำที่เขาว่า มารับฟัง มาคิด ว่ามันควรจะพัฒนายังไง แก้ไขยังไง แล้วนำมาพัฒนาตัวเอง คือเราโดนมาตั้งแต่ช่วงแรกๆ เลย เช่น ใส่ส้นสูงไม่เป็น เตี้ย โดนจนแบบว่า อย่างเราไม่น่าจะเป็นนางแบบได้ แต่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างที่บอกค่ะ ก็ทำให้คนที่ว่าเราในวันนั้น ไม่สามารถว่าเราได้แล้ว เขาก็ยอมรับเราในที่สุด
• ในขณะเดียวกัน ตอนนี้เราก็เป็นนักศึกษากฎหมายด้วย
ใช่ค่ะ เพราะตอนนี้ก็อยู่ปี 4 แล้ว ถือว่าหนักเหมือนกัน อย่างเวลาที่เราไปทำงาน เราก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็นนิดนึง เพราะว่าวิชาที่เราเรียนก็ค่อนข้างกดดันเหมือนกัน ก็เป็นวิชาที่ยากสำหรับเราเหมือนกัน ซึ่งคณะของปอก็เป็นคณะที่ต้องอ่านหนังสือหนักมาก กฎหมายก็จำเป็นต้องอ่าน ก็ต้องแบ่งเวลาในการอ่าน อย่างคณะเราจะอาศัยในการอ่านมากกว่า ก็อ่านในช่วงเย็นเอา หรือว่า หลังจากทำงาน ซึ่งถือว่าหนักมาก ก็เป็นอุปสรรคนิดนึง อย่างบางครั้งก็ขาดเรียนไปทำงาน เพราะว่าถ้าไม่ทำ เราก็ไม่มีข้าวกินอ่ะค่ะ พองานเสร็จ เราก็มาขอเลกเชอร์จากเพื่อนทีหลัง ตอนที่ทำใหม่ๆ ก็ลำบากนิดนึง แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่หลังจากเรียนจบ คงไปในเส้นทางแฟชั่นก่อน เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบ และคงไม่มีนักกฎหมายคนใดที่ใส่เสื้อสีฉูดฉาด เอวลอยไปทำงานหรอกเนอะ คงจะแซบน่าดู (หัวเราะ) อย่างที่บอกค่ะ ถ้าให้เลือกคงมาทางนี้มากกว่า แต่นางแบบก็มีอายุของมัน เราก็อาจจะหาอย่างอื่นทำ อาจจะหาธุรกิจทำ เพราะเป็นสิ่งที่เราชอบมากกว่า และไม่เครียดด้วย (หัวเราะอีกครั้ง)
• อะไรที่คุณคิดว่าสำคัญที่สุดในการเป็นนางแบบครับ
ความมีสไตล์เป็นของตัวเอง และความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องไปเลียนแบบใคร ซึ่งนางแบบแต่ละคนเขาจะมีสไตล์ความเป็นตัวของตัวเอง สังเกตว่านางแบบแต่ละคนเขาจะไม่เหมือนกัน นั่นคือสิ่งที่นางแบบควรมี คุณไม่ต้องไปตามใคร เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด แล้วสักวันเขาก็จะเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา คือไม่ใช่ใครที่จะเป็นนางแบบได้นะคะ คือจะต้องมี INNER ความรู้สึก ซึ่งตอนแรกๆ เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เป็นแบบหุ่นยนต์เลย ตาก็ไม่ได้ สื่ออารมณ์ก็ไม่ได้ แต่พอเราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราก็จะรู้ว่า มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ต้องมีอารมณ์สื่อ ผ่านกล้อง ผ่านช่างภาพ ว่าเขาจะต้องการแนวไหน ก็ตามนั้นค่ะ ไม่ใช่ว่าไปถึงแล้วโพสเลยไม่ใช่ มันจะต้องมีคอนเซ็ปต์ หลายๆ อย่างค่ะ
• สมมติว่า ถ้าแบรนด์อย่าง กุชชี่ หรือ แอร์เมส มาติดต่อให้เราไปเดินแบบ จะเป็นอย่างไร
คงรู้สึก “ว้าว” ค่ะ คงจะแบบเหนือความคาดหมายมาก คือจริงๆ ทำทุกวัน และอยู่กับปัจจุบัน ให้มันที่สุดค่ะ เพราะเราไม่รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหน แต่ตอนนี้ยังมีความสุขในสิ่งที่เราทำ ส่วนนั้นก็คือเป็นโอกาสหนึ่งแล้วกัน ถ้ามันได้ ซึ่งนางแบบเอชียน้อยมากที่จะได้ไปเดินอย่างงั้น มันขึ้นอยู่กับโอกาสหลายๆ อย่างด้วยค่ะ เก่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องขึ้นอยู่กับโอกาสด้วย ทั้งชั่วโมงบิน และประสบการณ์ด้วย ซึ่งจะเป็นแถบเอเชียตะวันออก หรือ ยุโรปไปเลย ที่จะได้ ถามว่านางแบบไทยและแถบอาเซียน มีมั้ยก็มีค่ะ แต่ก็ยังน้อยอยู่ ตามสัดส่วนประชากรแต่ละแถบค่ะ
• ในความเห็นของคุณ คิดว่านางแบบไทยจะสามารถสู้กับนางแบบสากลได้หรือเปล่า แล้วจะสู้กับเขายังไง
ถ้าในความคิดเรานะ นางแบบไทยจะต้องมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองก่อน อย่างประเทศไทย เราก็มีหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายรูปลักษณ์ ใช่มั้ยคะ คืออยากให้รักษาความเป็นเอกลักษณ์นี้ และมีความสมจริง เพราะคนชาติตะวันตกเขาจะชอบแบบนี้ คือความเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องเสริมแต่งอะไรเลย ในสายตาศิลปิน หรือผู้คร่ำหวอดในแฟชั่น เขาจะมองได้ต่างจากคนทั่วไป สมมติว่า นางแบบฟันเหยิน หรือ นางแบบที่มีกระบนใบหน้า เขามองว่าเป็นสิ่งที่ธรรมชาติให้มาและเป็นสิ่งที่สวยงาม อย่างเราเคยคุยกับ ANGELO เขาก็สอนเราว่า อยู่กับความเป็นธรรมชาติ อยู่แบบเป็นตัวของตัวเอง รักษาความเป็นเอกลักษณ์ของเราไว้ แล้วสักวันจะมีคนเห็น จะมีคนเห็นบางอย่างในตัวเรา แล้วมันก็อยู่ที่โอกาสส่วนหนึ่งด้วย ซึ่งโอกาสในส่วนนี้ก็เป็นส่วนสำคัญ
เพราะถ้าเรามีทุกอย่าง แต่เราไม่ไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ โอกาสจะไม่ลอยมาหาเราง่ายๆ ก็ต้องเป็นคนที่ขี้สงสัยด้วยส่วนนึง เขาก็จะยกตัวอย่างให้เราฟังด้วยว่า กระบนใบหน้าก็เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่งของธรรมชาติ ถ้าไม่มีคนมีกระ ถ้าไม่มีคนฟันเหยิน โลกใบนี้ก็ไม่มีความหลากหลาย ไม่สวยงามอย่างทุกวันนี้ ซึ่งจากที่เราได้คุย ก็ทำให้ได้แง่คิดหลายๆ อย่าง จากคนที่อยู่ในวงการมานาน ว่าเขาคิดยังไง เราก็เลยคิดว่าความเป็นเอกลักษณ์ ความที่เป็นของแท้ หรือความเป็นตัวเอง นั่นแหละคือสิ่งที่เขาตามหา เป็นสิ่งที่แฟชั่นโลกเขาต้องการ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : แฟนเพจ Pili Opal Portfolio