คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ 2 รมต. “ดาว์พงษ์-ไพบูลย์” เป็นองคมนตรี-สถาปนา "ป.อ.ปยุตฺโต" เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนจากทุกสารทิศยังคงทยอยเดินทางเข้าสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง อย่างต่อเนื่อง ขณะที่เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้มีการจัดกิจกรรมทั่วประเทศเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ขณะที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ได้เสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าทีปังกรรัศรีโชติ ไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน เนื่องในวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีประชาชนเฝ้าฯ รับเสด็จเป็นจำนวนมาก
โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพัดยศแด่พระภิกษุสงฆ์ที่ได้เลื่อนและตั้งสมณศักดิ์รวม 159 รูป ทั้งนี้ ทรงสถาปนาพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ในราชทินนามที่จารึกในสุพรรณบัฏที่ “พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณอดุลสุนทรนายก ปาพจนดิลกวรานุศาสน์ อารยางค์กูร พิลาสนามานุกรม คัมภีรญาณอุดมวิศิษฏ์ ตรีปิฎกบัณฑิต มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี อรัญวาสี”
สำหรับการสถาปนาสมณศักดิ์พระพรหมคุณาภรณ์ เป็นสมเด็จพระราชาคณะในครั้งนี้ นับเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปแรกในสมัยรัชกาลที่ 10 ทั้งยังเป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปแรกที่ไม่มีตำแหน่งทางปกครองอื่น นอกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะแล้ว จะส่งผลให้ต้องเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.) โดยตำแหน่งด้วย
อนึ่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) เจ้าของนามปากกา ป.อ.ปยุตฺโต เป็นพระที่ดำรงชีวิตแบบเรียบง่าย สมถะ มีวัตรปฏิบัติที่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้มีตำแหน่งทางการปกครองอื่นใด นอกจากเป็นเจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน หลังได้รับการสถาปนาสมณศักดิ์ชั้นสมเด็จพระราชาคณะในครั้งนี้ มีเสียงตอบรับว่ามีความเหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะนอกจากเป็นพระที่มีวัตรปฏิบัติที่งดงามแล้ว ท่านยังเป็นนักคิดนักเขียนที่มีผลงานมากมาย เป็นพระนักปราชญ์คนสำคัญในพระพุทธศาสนา ได้รับการยกย่องทั้งในประเทศและทั่วโลก มีผลงานโดดเด่นด้านพระพุทธศาสนาและได้รับการประกาศเกียรติคุณมากมาย
ต่อมา เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งองคมนตรี หลังจากก่อนหน้านี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธานองคมนตรีแล้ว และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งองคมนตรีจำนวน 10 คน ประกอบด้วย 1.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ 2.นายเกษม วัฒนชัย 3.นายพลากร สุวรรณรัฐ 4.นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ 5.นายศุภชัย ภู่งาม 6.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ 7.พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข 8.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ 9. พล.อ.ธีรชัย นาควานิช 10.พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เสด็จออก ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี นำคณะองคมนตรีทั้ง 10 คน เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ในการนี้ พล.อ.เปรม กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณว่า “ขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ”
โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงมีพระราชดำรัสกับคณะองคมนตรีที่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า “ขอบใจ และแสดงความยินดี ก็ขอบใจที่มีน้ำใจช่วยงาน คิดว่าคณะองคมนตรีในยุคนี้ ปัจจุบันนี้ ก็จะได้รับการมอบภารกิจ ตลอดจนได้รับโอกาส หรือหน้าที่ที่จะให้คำแนะนำ ตลอดจนช่วยกันดำรงความมั่นคงของสถาบันและประเทศชาติ ตลอดจนมีการแบ่งงานกันให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่งว่าใครทำอะไร ในบางเรื่องในความชำนาญก็จะขอคำแนะนำ ตลอดจนปรับความสำคัญในการทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายเกี่ยวกับสถาบันและเกี่ยวกับประเทศชาติ เป็นเรื่องของแผ่นดิน เพราะว่ามีเรื่องต่างๆ ที่จะมอบให้ก็มาก อย่างที่เคยคุยกันนอกรอบแล้ว ขอขอบคุณและได้ป๋ามาเป็นประธาน ก็อุ่นใจแล้ว ทุกคนก็เคยปฏิบัติหน้าที่ถวายในรัชกาลก่อน หลายคนก็เชื่อมือกัน และคิดจะทำให้ประเทศเรามีความสุข จะได้ตั้งใจทำงานได้ ขอบคุณ”
อนึ่ง กรณีมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี 2 คนเป็นองคมนตรี ได้แก่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลง 2 ตำแหน่ง เมื่อรวมถึงกรณีนายอุตตม สาวนายน ลาออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีว่างลงรวม 3 ตำแหน่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับ ครม.อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ยืนยัน(7 ธ.ค.)ว่า ยังไม่จำเป็นต้องปรับ ครม. เพียงแต่มอบหมายให้มีผู้รักษาการในตำแหน่งที่ว่าง โดยมอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ รักษาการตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และให้ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนการปรับตำแหน่งอื่นๆ จะดำเนินการในเวลาที่เหมาะสม
2.เจ้าคณะ จ.ปทุมฯ ส่ออุ้ม “ธัมมชโย” ให้พ้นเจ้าอาวาส แต่ยกให้เป็น “เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์” ด้าน กสทช.สั่งปิดทีวีธรรมกาย 15 วัน รอดีเอสไอบุกค้นวัด!
ความคืบหน้าการดำเนินการกับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามหมายจับของศาล 3 ใบ 3 คดี คือ คดีสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร คดีรุกป่าที่ จ.เลย และรุกป่าที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา หลังมีการเจรจา 4 ฝ่ายเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. ระหว่างเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ วัดพระธรรมกาย และพระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต และเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี แต่ยังไม่สามารถทำให้พระธัมมชโยมอบตัวได้ เนื่องจากทางวัดพระธรรมกาย ยื่นข้อเสนอ ถ้าพระธัมมชโยเข้ามอบตัว ทางเจ้าหน้าที่ใต้องให้ประกันตัว แต่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอแจ้งว่า การจะได้ประกันตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับศาลที่เป็นผู้ออกหมาย ขณะที่ดีเอสไอคาดหมายจะดำเนินการกับพระธัมมชโยไม่เกินวันที่ 10 ธ.ค. โดยได้ร้องขอกำลังสนับสนุนจากทางตำรวจประมาณ 6-7 กองร้อย ทั้งทีมแพทย์ พยาบาล ตำรวจสื่อสาร หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด สุนัขตำรวจ และเฮลิคอปเตอร์ไว้เตรียมพร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมงนั้น
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงการดำเนินการกับพระธัมมชโยว่า เอกสารขอหมายค้นวัดพระธรรมกายพร้อมแล้ว ยืนยันว่า เป็นการเข้าค้นวัดเพื่อจับกุมพระธัมมชโย เนื่องจากแนวทางการสืบสวนยืนยันว่า พระธัมมชโยยังอยู่ภายในวัดพระธรรมกาย แต่อยู่ระหว่างรอความพร้อมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ด้าน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในวันเดียวกันว่า ทางตำรวจเตรียมกำลัง 7 กองร้อยไว้คอยสนับสนุนดีเอสไออยู่แล้ว มั่นใจว่าพระธัมมชโยยังอยู่ในวัดพระธรรมกาย และมั่นใจว่าคดีนี้จะจบก่อน 3 เดือน และว่า หากมีการจับกุม ก็จะไม่ให้ประกันตัว เพราะให้โอกาสแล้ว แต่ผู้ต้องหาไม่ติดต่อเข้ามา ส่วนจะให้พระธัมมชโยสึกหรือไม่นั้น มี พ.ร.บ.สงฆ์กำกับดูแลอยู่
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. อธิบดีดีเอสไอได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ขอให้พิจารณาระงับการเผยแพร่ภาพและเสียงของสถานีโทรทัศน์วัดพระธรรมกาย (DMC) เป็นการชั่วคราวในระหว่างที่ดีเอสไอกำลังพิจารณากำหนดแผนเพื่อเข้าตรวจค้นและจับกุมพระธัมมชโย และว่า ที่ผ่านมาสถานีโทรทัศน์วัดพระธรรมกาย ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเชิญชวนให้ผู้ที่มีความเชื่อถือและศรัทธาต่อวัดพระธรรมกาย และพระธัมมชโย มารวมตัวกันทำพิธีกรรมทางศาสนา แต่มีวัตถุประสงค์แท้จริงเพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าพนักงานปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือไม่ให้ผู้ต้องหาถูกจับกุม
ซึ่งหากปล่อยให้สถานีโทรทัศน์วัดพระธรรมกายเผยแพร่ข้อมูลที่เข้าข่ายเป็นการชักชวน ยุยง เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน หรือเพื่อให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดินต่อไป อาจเกิดการกระทบกระทั่งกับเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ จนเกิดเหตุรุนแรงและเป็นภัยต่อความั่นคงแห่งรัฐได้ จึงขอให้พิจารณาระงับการเผยแพร่ภาพและเสียงที่นำเสนอผ่านสถานีโทรทัศน์และสถานีวิทยุของวัดพระธรรมกาย เป็นการชั่วคราว ซึ่งในที่สุด กสทช.ได้ประชุมและมีมติสั่งปิดสถานีโทรทัศน์ ช่อง DMC เป็นเวลา 15 วัน ตามมาตรา 64 ของ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และตาม ประกาศ คสช. ฉบับ 97 เนื่องจากเห็นว่ามีเนื้อหาไม่เหมาะสมต่อการจัดรายการโทรทัศน์
ด้านเจ้าหน้าที่สำนักสื่อสารองค์กรของวัดพระธรรมกายได้แจกเอกสารชี้แจงโดยยืนยันว่า สถานีโทรทัศน์ช่อง DMC ของวัดพระธรรมกายไม่มีการยุยงหรือสร้างความปั่นป่วนแต่อย่างใด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เผยว่า ตามที่พระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี จะใช้อำนาจทางการปกครองดำเนินการเรื่องพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายนั้น ขณะนี้พระเทพรัตนสุธี ได้ออกคำสั่งที่ 10 / 2559 ลงวันที่ 5 ธ.ค. 2559 เรื่อง ยกพระสังฆาธิการเป็นกิตติมศักดิ์ โดยเห็นว่า พระธัมมชโย อายุ 72 ปี พรรษา 48 เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสมาตั้งแต่ปี 2520 จนถึงปัจจุบัน เกิดอาพาธด้วยโรคเบาหวานเส้นเลือดดำใหญ่อุดตันที่ขาซ้าย และภูมิแพ้ เห็นควรได้รับปลดเปลื้องภาระเพื่อให้พักรักษาตัว โดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ 39 แห่งกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 24 พ.ศ.2541 ว่าด้วยการถอดถอนและแต่งตั้งพระสังฆาธิการ ออกตามความใน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 โดยยกให้เป็น “เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์” ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ การยกเป็นตำแหน่งเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์นั้น จะไม่ใช่พระสังฆาธิการ เป็นเพียงพระผู้ใหญ่ภายในวัด ที่ไม่มีอำนาจทางการปกครองวัดตามกฎหมายอีกต่อไป
นอกจากนี้พระครูวิจิตรอาภากร เจ้าคณะตำบลคลองสี่ ยังได้ออกคำสั่งแต่งตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แทนพระธัมมชโย จึงแต่งตั้งให้ พระวิเทศภาวนาจารย์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย อายุ 65 ปี พรรษา 32 วิทยฐานะ นักธรรมเอก เปรียญธรรม 4 ประโยค เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ประชุมร่วมกับอธิบดีและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ รวมถึงทหาร ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. เพื่อหารือแนวทางการดำเนินการกับพระธัมมชโย แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะออกหมายค้นวัดพระธรรมกายได้เมื่อใด โดยบอก ต้องรอประชุมอีกครั้งในวันที่ 12 ธ.ค. พร้อมปฏิเสธกรณีมีข่าวว่า เจ้าหน้าที่จะนำกำลังเข้าบุกค้นวัดพระธรรมกายช่วงเช้ามืดวันที่ 13 ธ.ค. โดยบอก ยังไม่ทราบเรื่อง
3.ครม. ไฟเขียวงบสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจ 1.9 แสนล้าน ด้านแบงก์รัฐเริ่มจ่ายเงินผู้มีรายได้น้อยตามนโยบายรัฐบาลแล้ว ยอดผู้มีสิทธิ 8 ล้าน ขาดคุณสมบัติ 3 แสนราย!
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เผยว่า ที่ประชุม ครม.วันที่ 7 ธ.ค. มีมติเห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยมีกรอบวงเงิน 190,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินภาษีและรายได้อื่น จำนวน 27,078 ล้านบาท และเงินกู้ในรูปแบบพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 162,921 ล้านบาท ซึ่งจะนำมาใช้ในการลงทุนโครงการพัฒนา 18 กลุ่มจังหวัด วงเงิน 1 แสนล้านบาท จัดสรรให้กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 5 แสนบาท วงเงินรวม 6 หมื่นล้านบาท และงบประมาณสำหรับชดเชยเงินคงคลัง 2.7 หมื่นล้านบาท
ด้านนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ครม.ยังไม่มีการพิจารณามาตรการช็อปช่วยชาติ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวถือเป็นมาตรการทางภาษี หากเข้า ครม.แล้ว ก็ควรจะมีผลออกมาทันที ไม่ควรมีมาตรการดังกล่าวออกมาก่อนที่จะมีผลบังคับใช้ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายและไม่บริโภค
ส่วนความคืบหน้านโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยตาม “โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งกำหนดให้ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินช่วยเหลือ 3,000 บาท ส่วนผู้ที่มีรายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินช่วยเหลือ 1,500 บาท ซึ่งเปิดให้มีการลงทะเบียนผ่านสาขาของธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารกรุงไทย ระหว่างวันที่ 15 กรกฎาคม –15 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ที่มีคุณสมบัติ ต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี ณ วันที่ 15 ส.ค.59 รวมทั้งได้รับการตรวจสอบสถานะบุคคล และความถูกต้องของข้อมูลจากกรมสรรพากร และกรมการปกครองนั้น
เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. นายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษก สศค. เผยว่า เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. กระทรวงการคลังได้แจ้งไปยัง 3 ธนาคารรัฐ คือ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และธนาคารกรุงไทย ให้เริ่มจ่ายเงินแก่ผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว คาดว่า ทั้ง 3 ธนาคารน่าจะเริ่มจ่ายเงินได้ทันที โดยมีเวลาจ่ายเงินถึงวันที่ 30 ธ.ค. สำหรับผู้มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐมีอยู่ 8 ล้านราย จากที่มาลงทะเบียนกว่า 8.3 ล้านราย และว่า กลุ่มที่ถูกตัดสิทธิ 3 แสนราย มีทั้งผู้ที่มีรายชื่อซ้ำซ้อน ผู้ที่รายได้ไม่ตรงตามข้อกำหนด หรือเสียชีวิตไปแล้ว
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย เริ่มโอนเงินให้ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐกับธนาคารกรุงไทยแล้วประมาณ 3 แสนรายเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. จากจำนวนผู้ลงทะเบียนกับธนาคารไว้กว่า 1.03 ล้านราย และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนกับธนาคารกรุงไทยแล้ว แต่ยังไม่ได้เปิดบัญชี ธนาคารจะช่วยแบ่งเบาภาระ โดยสามารถเปิดบัญชีกับธนาคารได้ภายในวันที่ 27 ธ.ค.นี้ โดยไม่ต้องมีเงินฝาก และธนาคารจะโอนเงินให้ภายในวันที่ 30 ธ.ค. ส่วนธนาคารออมสินกำลังเคลียร์ข้อมูลเข้าระบบ คาดว่าจะเริ่มโอนเงินให้ผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนไว้กับธนาคารฯ ได้ในวันที่ 12 ธ.ค. โดยวันแรกคาดว่าจะโอนได้ 8 แสนบัญชี จากยอดผู้ลงทะเบียนไว้กับธนาคารออมสิน 2.5 ล้านราย
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงการลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อยคือต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อปีว่า หลายคนพยายามไม่เข้าใจ คือตัวเองก็ไม่ได้มีรายได้น้อยหรอก แต่ก็วิพากษ์วิจารณ์ไป พยายามสร้างความแตกแยกภายในประเทศ แบ่งพวกแบ่งฝ่าย มีทั้งคนรวย คนจน คนปานกลาง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของทุกคนในประเทศ มีหน้าที่ในการดูแลทุกข์สุขของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ ไม่ได้บริหารบ้านเมืองเพื่อรักษาคะแนนนิยม
4.ศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาจำคุก “เจ๋ง ดอกจิก” 1 เดือน คดีปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ลุ้นอีกคดี ศาลฎีกานัดชี้คดีหมิ่นเบื้องสูง 15 ธ.ค.นี้!
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 9 คน ได้นัดพิจารณาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้อง ขอให้ศาลวินิจฉัยกรณีกล่าวหานายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2556 จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินฯ ที่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119
ทั้งนี้ นายยศวริศ ได้เดินทางมาศาลพร้อมกับทนายความ จากนั้นได้แถลงให้การรับสารภาพต่อศาล ศาลจึงมีคำพิพากษาให้จำคุกนายยศวริศเป็นเวลา 2 เดือน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และเมื่อนายยศวริศให้การรับสารภาพ จึงมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 4,000 บาท โดยโทษจำคุก ให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และพิพากษาห้ามนายยศวริศ ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี
หลังศาลพิพากษา นายยศวริศกล่าวว่า คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากที่ตนได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินล่าช้า หลังจากพ้นตำแหน่งอดีตที่ปรึกษานายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2556 ซึ่งกฎหมาย ป.ป.ช.กำหนดให้ต้องยื่นภายในเวลาไม่เกิน 1 ปี เมื่อพ้นตำแหน่ง และว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี ก็คิดว่าช่วงนี้ยังไม่มีเลือกตั้งก็ไม่เป็นอะไร รอให้ครบกำหนด 5 ปีตามคำพิพากษาไป นายยศวริศยังเผยด้วยว่า ตนยังมีคดีอาญาอื่นที่รอการพิจารณา เมื่อจบคดีนี้แล้วก็จะได้ดำเนินการต่อไป
สำหรับคดีอื่นที่นายยศวริศ หรือ เจ๋ง ดอกจิก ตกเป็นจำเลยและรอการพิจารณาอยู่ ได้แก่ คดีร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งนายยศวริศถูกอัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญาพร้อมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. และแกนนำ นปช.รวม 24 คน ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการสืบพยานโจทก์ นอกจากนี้ นายยศวริศยังถูกอัยการยื่นฟ้องคดีหมิ่นเบื้องสูงจากกรณีขึ้นปราศรัยบนเวที นปช.ปี 2553 ด้วย โดยศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาฎีกาในวันที่ 15 ธ.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งนายยศวริศได้ประกันตัวระหว่างฎีกา โดยคดีหมิ่นเบื้องสูงนั้น ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อปี 2557 ยืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
5.ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนยกฟ้อง “รสนา” เขียนบทความผ่านเฟซบุ๊กชี้ ปตท.ตั้งบริษัทลูกกว่า 30 บริษัท บนเกาะที่มีชื่อเสียงเรื่องฟอกเงิน!
เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กทม. และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเผยความคืบหน้ากรณีถูกบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกล่าวหาว่านำความเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์ อันเป็นความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 จากกรณีที่ น.ส.รสนาเขียนบทความเผยแพร่บนเฟซบุ๊กเมื่อปี 2557 ระบุว่า ปตท.และบริษัทในเครือมีการจัดตั้งบริษัทลูกหลานในเกาะเคย์แมน 32 บริษัทและบริษัทอื่นๆในเกาะที่มีชื่อว่าเป็นเกาะฟอกเงิน โดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง น.ส.รสนา ตามศาลชั้นต้น
ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า วิญญูชนทั่วไปย่อมเข้าใจได้โดยสุจริตว่า บริษัทย่อยของ ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEF ที่จัดตั้งขึ้นและดำเนินธุรกิจอยู่ที่เกาะเคย์แมนนั้นเป็นบริษัทลูกหรือบริษัทในเครือของโจทก์และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโจทก์ด้วย และโจทก์ต้องมีส่วนร่วมรู้เห็นเป็นใจให้มีการเปิดบริษัทย่อยและดำเนินการบนเกาะดังกล่าว โจทก์จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบริษัทที่เปิดและดำเนินกิจการบนเกาะเคย์แมนดังกล่าวไม่เกี่ยวพันหรือเป็นบริษัทของโจทก์ตามที่จำเลยกล่าวหา
และเมื่อคำนึงถึงสถานะขององค์กรโจทก์ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่มีรัฐบาลถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่ จึงถือได้ว่าองค์กรโจทก์เป็นสมบัติของชาติที่พลเมืองไทยมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของและมีสิทธิมีเสียงที่จะแสดงความเห็นได้โดยสุจริต ประกอบกับได้ความจากคำตอบคำถามค้านของพยานโจทก์ปากนายจตุพร จันทร์พัฒนะ ว่า บุคคลทั่วไปจะเข้าใจในทำนองว่าบริษัที่จดทะเบียนบนเกาะเคย์แมนมีวัตถุประสงค์ในการเลี่ยงภาษี ดังนั้นการที่โจทก์ไปจัดตั้งบริษัทย่อยและดำเนินธุรกิจอยู่ที่เกาะเคย์แมน ย่อมทำให้บุคคลทั่วไปเคลือบแคลงสงสัยถึงความโปร่งใสในการบริหารจัดการองค์กรของโจทก์ได้
การที่จำเลยในฐานะพลเมือง ทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภานำเรื่องไม่ชอบมาพากลดังกล่าวขึ้นตีฆ้องร้องป่าวให้คนในชาติรู้ถึงความไม่ปกติและความเสียหายที่อาจจะเกิดมีขึ้นได้ โดยไม่ปรากฎว่าจำเลยจะมีสาเหตุโกรธเคืองหรือมีผลประโยชน์ขัดกันกับโจทก์ด้วย ไม่ปรากฎว่าจำเลยประกอบธุรกิจด้านพลังงานแข่งขันกัน โจทก์เป็นองค์กรมหาชนสมควรที่จะยอมรับให้มีการตรวจสอบจากประชาชน ซึ่งไม่น่าจะเกิดความเสียหายใด ๆ จึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะและเพียงเพื่อต้องการพิทักษ์ผลประโยชน์ของชาติเท่านั้น ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนานำเข้าและเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จและปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย
ส่วนที่มีบุคคลอื่นเข้ามาแสดงความคิดเห็นก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและเห็นต่างกับจำเลย แต่ก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยจะได้ต่อต้านหรือกีดกันความเห็นที่ไม่คล้อยตามจำเลย โดยยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นได้โดยอิสระเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาสนับสนุนและยินยอมให้บุคคลอื่นนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมหรือเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์ของตน ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ยกฟ้อง