xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 พ.ย.2559

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.มิวสิควีดีโอเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ฉบับท่านมุ้ย ออกอากาศแล้ว ด้าน “พล.อ.ประยุทธ์” เตรียมนำ ครม.ถวายสัตย์ปฏิญาณ-ถวายความภักดี “ในหลวง รัชกาลที่ 9” 22 พ.ย.นี้!
 (บน) ภาพในมิวสิควีดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมี โดย ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล (ล่าง) สำนักพระราชวังจัดพิธีบวงสรวงเพื่อตัดไม้จันทน์หอมเพื่อจัดสร้างพระโกศฯ ที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนจากทุกสารทิศยังคงทยอยเดินทางเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวังอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 14 พ.ย. โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่มิวสิควีดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมี ที่จัดทำโดยหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล และดนตรีโดย อาจารย์ สมเถา สุจริตกุล ที่ประชาชนไทยหลายแสนคนไปร่วมร้องที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันที่ 22 ต.ค.แล้ว ความยาว 9 นาที 10 วินาที โดยมีพระราชดำรัสพร้อมพระสุรเสียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2519 ประกอบอยู่ในมิวสิควีดีโอด้วย ความยาวประมาณ 6 นาที ดังความตอนหนึ่งว่า

"ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดอยู่ ก็เริ่มจะทำให้สำเร็จลุล่วงไปโดยเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความเมตตา ด้วยความปรองดองกัน และด้วยความปรารถนาดีต่อกัน ที่สุดผลงานของทุกคนนั้นจะไปรวมกันเข้าเป็นความสำเร็จและการพัฒนาถาวร ของประเทศชาติได้ไม่นานเกินคอยขออานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวไทย จงปกปักรักษาท่านทั้งหลายให้ปราศจากภัยอันตรายและเหตุชั่วร้ายทุกสิ่ง บันดาลให้แต่ละคนมีกำลังกาย กำลังใจ กำลังปัญญา และกำลังสามัคคีอันแข็งแกร่งพร้อมเพรียง สามารถที่จะประกอบกรณียกิจ นำพาประเทศชาติให้ดำเนินต่อไปโดยสวัสดี และสามารถที่จะธำรงอิสรภาพ อธิปไตย พร้อมทั้งความเจริญร่มเย็นเป็นผาสุกของบ้านเมือง ให้สถาวรอยู่ตลอดไปขอทุกท่านจงประสบแต่ความสุขศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล และสิ่งที่พึงปรารถนา ตลอดปีใหม่นี้ทั่วหน้ากัน"

ขณะที่รัฐบาลเตรียมจัดกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดีวันที่ 22 พ.ย.นี้ พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า กิจกรรมดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อประกาศความจงรักภักดี และร่วมกันรำลึกถึงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 89

สำหรับลักษณะของกิจกรรมจะแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ 1.การทำความดีด้วยกาย ซึ่งจะเป็นกิจกรรมการทำความดีถวายแด่ในหลวง รัชกาลที่ 9 เช่น การทำความสะอาดสาธารณสถาน เยี่ยมคนป่วยไข้ตามโรงพยาบาล การอ่านหนังสือพิมพ์ให้กับผู้พิการฟัง การบำเพ็ญกุศลและการทำกิจกรรมทางศาสนา รวมถึงการจัดนิทรรศการ 2.การทำดีด้วยวาจา เช่น การปฏิญาณตนเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีหรือเพลงอื่นตามความเหมาะสม ซึ่งจะจัดในพื้นที่ทั่วกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด

โดยพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ให้จัดตามเขต สถานศึกษา และของทางรัฐบาลเองจะจัดที่ทำเนียบรัฐบาล สำหรับต่างจังหวัดและต่างประเทศนั้นให้พิจารณาตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและทำเนียบรัฐบาล จะจัดในวันที่ 22 พ.ย.เวลา 08.00 น. สำหรับต่างจังหวัด ให้จัดในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด โดยเน้นว่าไม่ต้องเคลื่อนย้ายประชาชนออกนอกพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่สะดวกแก่พี่น้องประชาชน ส่วนต่างประเทศนั้น กระทรวงการต่างประเทศสะดวกจัดในวันที่ 20 พ.ย. เพราะจะง่ายต่อการจัดงานในต่างประเทศ และ 3.ทำดีด้วยใจ คือ การตั้งจิตอธิษฐาน ทำสมาธิ บำเพ็ญจิตภาวนา แผ่เมตตา ตั้งใจดี

ด้าน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกิจกรรมรวมพลังแห่งความภักดีฯ ในวันที่ 22 พ.ย.นี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.จะนำคณะรัฐมนตรี ข้าราชการการเมืองชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดสำนักนายกฯ ร่วมกันร้องเพลงชาติในเวลา 08.00 น. จากนั้นนายกฯ จะกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณแสดงความจงรักภักดีต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ และร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นอันเสร็จพิธี

พล.ท.สรรเสริญกล่าวด้วยว่า ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ให้ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้อำนวยการเขต ผู้อำนวยการสถานศึกษา ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แยกไปจัดในรูปแบบเดียวกัน และเชิญชวนข้าราชการ พ่อค้านักธุรกิจ ประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมงาน โดยคำนึงถึงความสะดวก ไม่ให้มีการระดมหรือเคลื่อนย้ายประชาชนข้ามพื้นที่โดยไม่จำเป็น ทั้งนี้ แต่ละพื้นที่อาจพิจารณาจัดงานไปพร้อมกับรัฐบาล โดยรับชมการถ่ายทอดสดได้ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ตั้งแต่เวลา 06.30 น.เป็นต้นไป สำหรับในต่างประเทศ ให้จัดในสถานที่ที่เหมาะสมในวันที่ 20 พ.ย. หรืออาจจัดช่วงเวลาอื่นตามที่สะดวกและเหมาะสมได้

ส่วนความคืบหน้าการบวงสรวงเพื่อตัดไม้จันทน์หอมเพื่อจัดสร้างพระโกศทรงพระบรมศพเหนือพระจิตกาธานบนพระเมรุมาศในพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชนั้น เมื่อวันที่ 14 พ.ย. สำนักพระราชวังได้ประกอบพิธีบวงสรวงขอขมาเทพเทวดาอารักษ์เพื่อตัดไม้จันทน์หอมจำนวน 12 ต้น จาก 19 ต้น ที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในเวลา 14.09-14.39 น.

สำหรับไม้จันทน์หอมที่จะตัดนี้ เมื่อตัดแล้ว กรมศิลปากรจะขอให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ แปรรูปไม้จันทร์หอมให้ได้ตามขนาดต่างๆ ก่อนส่งไปเก็บไว้ใช้งานตามที่สำนักช่างสิบหมู่กำหนดแบบการจัดสร้าง เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานและการเลื่อยฉลุลวดลายไทย คาดว่า กรมอุทยานแห่งชาติฯ จะแปรรูปและส่งมอบไม้ให้กรมศิลปากรประมาณปลายเดือน ธ.ค.นี้ ก่อนที่กรมศิลปากรจะเริ่มก่อสร้างช่วงต้นเดือน ม.ค.2560 ทั้งนี้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะเป็นผู้ตรวจสอบอายุไม้ ขนาดไม้ และความสมบูรณ์เหมาะสมของไม้จันทน์หอม และท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติได้มาจดบันทึกเหตุการณ์พิธีบวงสรวงตัดไม้จันทน์หอมด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 15 พ.ย. นายชาตรี จันทน์วีระชัย นายอำเภอกุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เผยว่า หลังจากเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้ทำพิธีบวงสรวงไม้จันทน์หอม 12 ต้นในพื้นที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีเมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อนำไปจัดสร้างพระโกศทรงพระบรมศพเหนือพระจิตกาธานบนพระเมรุมาศ ในพิธีพระราชทานเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังไม่ได้รับคำสั่งให้มีการตัดไม้จันทน์หอมแต่อย่างใด เนื่องจากต้องรอให้ผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ กรมศิลปากร แจ้งรายละเอียดในการแปรรูปไม้ว่าจะใช้ขนาดเท่าใด โดยได้รับคำยืนยันจากผู้อำนวยการสำนักช่างสิบหมู่ว่า ที่ผ่านมา แม้จะมีการประกอบพิธีบวงสรวงไว้จำนวน 12 ต้น แต่จะมีการตัดเพื่อใช้สร้างพระบรมโกศเพียง 4 ต้นเท่านั้น ซึ่งการตัดไม้จันทน์หอมจะต้องใช้บุคลากรกว่า 100 คน เนื่องจากต้องตัดด้วยเลื่อยมือ และจะต้องลำเลียงไม้ด้วยเส้นทางที่ลาดชันจากบริเวณป่าทึบมายังบริเวณที่ทำการอุทยานฯ ซึ่งมีระยะทางไกลพอสมควร และจะมีการควบคุมการตัดทุกขั้นตอนตามโบราณราชประเพณี นอกจากนี้ขณะตัด ต้องนำจีวรของพระภิกษุใช้รองรับเพื่อไม้ให้ลำต้นไม้จันทน์หอมสัมผัสพื้นดินด้วย

2.“บิ๊กต๊อก” เผยตัวเลข รมต.-ขรก.6,000 คน เข้าข่ายถูกพิจารณาว่าต้องร่วมรับผิดชอบค่าเสียหายจำนำข้าวอีก 80% 1.4 แสนล้านหรือไม่!

(ซ้าย) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำเลยคดีไม่ระงับยับยั้งทุจริตโครงการรับจำนำข้าว (ขวา) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม
เมื่อวันที่ 15 พ.ย. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) เผยความคืบหน้าการรวบรวมข้อมูลผู้ที่ต้องรับผิดชอบในโครงการรับจำนำข้าวอีก 80% วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว 20% เป็นเงินกว่า 3.5 หมื่นล้านบาทว่า ได้แบ่งกลุ่มคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มบริหาร ประกอบด้วย รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับนโยบายข้าวประมาณ 2,000 รายชื่อ

กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มข้าราชการในกระทรวงที่รับผิดชอบ ประกอบด้วย องค์กรที่ทำหน้าที่ปฏิบัติ ประมาณ 4,000 ราย และกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มผู้ประกอบการภาคเอกชน อาทิ โรงสี คลังข้าว และว่า 2 กลุ่มแรกไม่ได้หมายความว่า จะต้องเข้ามามีส่วนรับผิดชอบ แต่มีส่วนเกี่ยวข้อง ศอตช.จะต้องพิจารณากันอีกครั้งว่า ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ศอตช.จะพิจารณาตามเหตุผลแต่ละบุคคล เพื่อรายงานให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีรับทราบ สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ ยังไม่ชัดเจนว่าไปเชื่อมโยงกับระดับผู้ปฏิบัติในส่วนอื่นหรือไม่ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนให้กระทรวงมหาดไทยตรวจสอบและรวบรวมรายชื่อโรงสีข้าวและคลังเก็บข้าว จึงต้องรอกระทรวงมหาดไทยรวบรวมก่อน “สรุปแล้ว หน่วยงานเข้ามาเกี่ยวข้อง 5 หน่วยงาน คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง”

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจำเลยในคดีไม่ระงับยับยั้งทุจริตจำนำข้าว ได้กล่าวก่อนเข้าฟังการไต่สวนพยานจำเลยนัดที่ 6 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 18 พ.ย. โดยยืนยัน จะใช้ทุกสิทธิ์ ทุกขั้นตอนที่มีภายใต้กรอบของกฎหมาย ในการคัดค้านคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าวคืนแก่รัฐ 3.5 หมื่นล้านบาท หรือร้อยละ 20 ของความเสียหายทั้งหมด

3.“บิ๊กตู่” ใช้ ม.44 เปิดตำแหน่ง 50 อัตราในสำนักนายกฯ รองรับสั่งเด้งเจ้าหน้าที่รัฐเข้ากรุ ประเดิมเด้ง 3 คน “หลานทักษิณ” โดนด้วย!

(ซ้าย) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ขวา) น.ส.ปณิตา ชินวัตร รอง ผอ.สํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่คําสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอื่นของรัฐและการกําหนดกรอบอัตรากําลังชั่วคราว โดยระบุว่า เนื่องด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐในรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานอื่นของรัฐ ซึ่งเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการ หรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมาย มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิด หรือบางกรณี อาจยังไม่ปรากฏความผิด แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบความรับผิด หรือสมควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวบุคคล และหน้าที่ความรับผิดชอบ เพื่อประสิทธิภาพของงานและแก้ไขข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานของหน่วยงานนั้นๆ เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปราชการแผ่นดิน และหน่วยงานของรัฐดังกล่าว อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วครา พ.ศ.2557 หัวหน้า คสช.โดยความเห็นชอบของ คสช.จึงมีคําสั่งดังต่อไปนี้

1. ให้มีกรอบอัตรากําลังชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษในสํานักนายกรัฐมนตรี จํานวน 50 อัตรา เพื่อรองรับการบรรจุและแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งไม่เป็นข้าราชการ ไม่ว่ามีตําแหน่งหน้าที่ใดในรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ ซึ่งเป็นนิติบุคคลและไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยไม่ขาดจากอัตราเงินเดือน ค่าจ้าง เงินอื่น และสิทธิประโยชน์เดิมที่ได้รับอยู่ โดยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวไปปฏิบัติหน้าที่อื่นในสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวจนกว่าจะหมดระยะเวลาตามสัญญาจ้าง หรือพ้นจากตําแหน่งโดยเหตุอื่น หรือนายกรัฐมนตรีจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น และหากกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวกําหนดหลักเกณฑ์หรือวิธีการในการอุทธรณ์ หรือร้องทุกข์ ให้ระงับการบังคับใช้บทบัญญัติในส่วนนั้นสําหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคหนึ่ง

2. ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ออกคําสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตามข้อ 1 ไปปฏิบัติหน้าที่ในสํานักนายกรัฐมนตรีได้ โดยเรียกชื่อตําแหน่งที่มาปฏิบัติหน้าที่ว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐประจําสํานักนายกรัฐมนตรี” โดยอาจระบุหน่วยงานในสํานักนายกรัฐมนตรีที่เจ้าหน้าที่ผู้นั้นจะต้องมาปฏิบัติหน้าที่ไว้ด้วยก็ได้ และนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี ที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายอาจมีคําสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ไปปฏิบัติงานในหน่วยงานใดในสํานักนายกรัฐมนตรีหรือหน่วยงานอื่นของรัฐเป็นการชั่วคราวได้ตามความจําเป็น

สำหรับการประเมินผลงานและอื่นๆ ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวให้เป็นอํานาจของผู้บังคับบัญชาในหน่วยงานเดิมร่วมกับหน่วยงานตามวรรคหนึ่ง และเมื่อมีกรณีตามวรรคหนึ่ง รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ อาจแต่งตั้งบุคคลอื่นไปดํารงตําแหน่งหรือปฏิบัติหน้าที่แทนได้ตามระเบียบของหน่วยงานนั้นๆ ส่วนในกรณีมีเหตุสมควร นายกรัฐมนตรีอาจมีคําสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิม ส่วนการแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง การได้รับค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ให้เป็นไปตามสัญญาและกฎหมายของหน่วยงานเดิม

3. ให้ผู้มีตําแหน่งหน้าที่ในสํานักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ตามรายชื่อต่อไปนี้ ไปเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจําสํานักนายกรัฐมนตรีตามคําสั่งนี้ 1. น.ส.ปณิตา ชินวัตร 2. นายชาวันย์ สวัสดิ์-ชูโต 3. น.ส.อิสรา ภูมาศ 4. กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคําสั่งนี้ ให้กระทรวงการคลัง ร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอปัญหาและแนวทางแก้ไขให้นายกรัฐมนตรีวินิจฉัย และคําวินิจฉัยของนายกรัฐมนตรีให้เป็นที่สุด 5. นายกรัฐมนตรีอาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้ตามที่เห็นสมควร และ 6. คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ทั้งนี้ น.ส.ปณิตา ชินวัตร เป็นบุตรสาวของนางเยาวลักษณ์ ชินวัตร พี่สาวคนโตของครอบครัวชินวัตร ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการ สสว.

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ให้ผู้มีตำแหน่งหน้าที่ สสว. จำนวน 3 ราย ไปเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีรายชื่อ น.ส.ปณิตา ชินวัตร หลานสาวของนายทักษิณ ชินวัตร รวมอยู่ด้วยว่า ตนไม่ทราบรายละเอียด แต่เรื่องนี้มีการพิจารณากันในที่ประชุม คสช.มาก่อนแล้ว ไม่ได้ตัดสินใจเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะนามสกุลชินวัตรนั้น ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับนามสกุล เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า แต่จะเป็นเพราะอะไรตนไม่ทราบ อาจเกี่ยวโยงกับประสิทธิภาพการทำงาน เพราะถ้าอยู่ดีๆ ไม่มีอะไรจะมีคำสั่งออกมาได้อย่างไร และว่า ที่กล้ายืนยันเช่นนี้ เพราะตอนแรกที่เรื่องเข้ามายังไม่มีชื่อตัวบุคคล มีแต่พฤติกรรมและเหตุการณ์ ตอนหลังจึงรู้ว่ามีผู้เกี่ยวข้องหลายคน

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปิดตำแหน่งไว้ถึง 50 อัตรา แสดงว่าจะมีคำสั่งเช่นนี้ออกมาอีกใช่หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ใช่ โดยอยู่ในหลายหน่วยงานที่เป็นองค์การมหาชนและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ไม่ใช่เฉพาะ สสว. แต่ตอนนี้ยังไม่มีรายชื่อ มีแต่การรายงานพฤติกรรมเข้ามา

4.ศาล ออกหมายจับ “ธัมมชโย” ใบที่ 3 คดีรุกป่า สร้าง “เวิลด์พีซ วัลเล่ย์” เขาใหญ่ ด้าน “ศรีวราห์” ให้ จนท.เจรจาเพื่อมอบตัว พร้อมให้ประกัน!

(บน) พระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย (ล่าง) ศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ ที่เขาใหญ่ เครือข่ายวัดพระธรรมกาย
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ศาลจังหวัดสีคิ้ว จ.นครราชสีมา ได้อนุมัติหมายจับพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ตามคำร้องขอของ พ.ต.อ.ชาญณรงค์ ขนาดนิด ผู้กับการสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในข้อหาร่วมกันสร้าง แผ้วถาง หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึด ครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 54 และ 72 ตรี กรณีก่อสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซ วัลเล่ย์ ที่เขาใหญ่

ทั้งนี้ หมายจับดังกล่าวนับเป็นหมายจับใบที่ 3 แล้ว โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2559 พระธัมมชโยถูกศาลอาญาออกหมายจับตามคำร้องของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ฐานสมคบกันฟอกเงิน ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2559 ศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับพระธัมมชโย ฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ กรณีจัดสร้างสวนป่าหิมวันต์ สาขาธรรมกาย ต.ร่องจิก อ.ภูเรือ จ.เลย

ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่ศาลจังหวัดสีคิ้วออกหมายจับพระธัมมชโยว่า เป็นหมายจับที่ศาลอนุมัติตามคำร้องของตำรวจ ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบตัว ก็สามารถดำเนินคดีแจ้งข้อหาได้ทันที และว่า เรื่องนี้เป็นมาตรการดำเนินการต่อผู้ต้องหาตามปกติ ส่วนกรณีที่มีผู้เกรงว่า อาจมีมวลชนขัดขวางการดำเนินการจับกุมของตำรวจนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันว่า ไม่หนักใจ หากพบผู้ใดขัดขวางการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องถูกดำเนินคดีข้อหาขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยทางตำรวจจะมีการบันทึกหลักฐานประกอบทุกขั้นตอนหากพบผู้ใดทำผิดกฎหมาย ซึ่งเมื่อครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ก็ดำเนินคดีผู้กระทำผิดฐานขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ไปแล้วหลายราย

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวถึงการจับกุมพระธัมมชโยด้วยว่า “เรื่องนี้คงไม่มีการประเมินสถานการณ์อะไรเป็นพิเศษ การจับกุมเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ใครออกหมายก็มีหน้าที่สืบสวนและจับกุม โดยมั่นใจว่าพระท่านไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลแต่อย่างใด และเชื่อว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่จะต้องใช้กำลังบุกจับกุมภายในวัด เนื่องจากอายุความมีระยะเวลาถึง 15 ปี เชื่อว่าถึงอย่างไรเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถได้ตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เจ้าหน้าที่เองก็ไม่อยากดำเนินการใดๆ ที่ก่อให้เกิดปัญหาบ้านเมืองขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ อีกทั้งคดีดังกล่าวก็เป็นความผิดฐานบุกรุกป่า ไม่ใช่ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย ที่จะต้องใช้กำลังเข้าไปเอาตัวมาลงโทษโดยทันที”

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังพระธัมมชโยเพื่อเจรจาให้เข้ามอบตัว ซึ่งคดีในลักษณะนี้ วงเงินประกันตัวประมาณ 100,000 บาท โดยเจ้าหน้าที่ยินดีจะพิจารณาเกี่ยวกับการอนุญาตให้ประกันตัว หากพบว่าผู้ต้องหาไม่เข้าข่ายมีพฤติกรรมทำลายหลักฐาน หรือหลบหนี หากไม่มีพฤติการณ์ที่ว่ามา ก็ยินดีจะให้ประกันตัวได้ ขณะเดียวกันหากผู้ต้องหาระบุว่า มีความเจ็บป่วย ไม่สามารถออกมาจากวัดเพื่อพบกับเจ้าหน้าที่ได้ ทางตำรวจเองก็ยินดีเข้าไปพบตามกฎหมาย และว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ใช่ผู้ออกหมายเอง ศาลเป็นผู้อนุมัติหมายจับตามพยานและหลักฐานที่พบ หากยังมีผู้ขัดขวาง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดทุกรายต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่เจ้าหน้าที่ยังไม่เร่งรีบบุกเข้าจับกุมพระธัมมชโยนั้น เป็นการประวิงเวลาหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ยืนยันว่า ไม่ใช่การประวิงเวลาอย่างแน่นอน เพราะคดีดังกล่าวหมายจับออกแล้ว พื้นที่เกิดเหตุก็ถูกยึดแล้ว เพียงแต่เจ้าหน้าที่ได้ทำตามขั้นตอนอย่างรอบคอบและดีที่สุด เพื่อไม่ให้พุทธศาสนาเสียหายเท่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่พระธัมมชโย พระทุกรูป เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องใช้ความละเอียดอ่อนและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนดำเนินการใดๆ เช่นกัน ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นเพียงผู้ช่วยสนับสนุนเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในการดำเนินการเข้าจับกุมเท่านั้น จึงทำได้เฉพาะที่ได้รับการร้องขอ แต่ครั้งนี้เป็นหมายจับของตำรวจ การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมเป็นหน้าที่ตำรวจ คิดว่าคงไม่มีปัญหา และว่า ที่ผ่านมาตนก็เคยจับกุมพระธัมมชโยมาแล้วสมัยยังทำงานอยู่ที่กองปราบปราม

5. “ตู่ จตุพร” วืด ศาลยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว ครั้งที่ 3 แม้เจ้าตัวอ้างเหตุขอออกมากราบพระบรมศพ!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร เป็นครั้งที่ 3 หลังถูกศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายขัดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวของศาล ในคดีร่วมกันก่อการร้าย ซึ่งนายวิญญัติได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพรมา 2 ครั้งแล้ว แต่ศาลยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า ยังไม่มีเหตุให้ศาลต้องเปลี่ยนแปลงคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวดังกล่าว

ทั้งนี้ คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร ครั้งที่ 3 อ้างเหตุผลว่า เดิมศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร จำเลยที่ 2 ในคดีร่วมกันก่อการร้าย โดยใช้หลักทรัพย์วงเงิน 6 แสนบาท และมีเงื่อนไขห้ามกระทำการใดที่มีลักษณะดูหมิ่น ยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่ออันตรายกระทบเกียรติยศขื่อเสียง ความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย กรณีที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยได้ยอมรับข้อเท็จจริงต่อศาล และศาลไม่ต้องไต่สวนคำร้องโจทก์ และได้มีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจำเลย แสดงให้เห็นว่า จำเลยไม่ได้บิดพลิ้วในการให้การต่อศาลตามข้อเท็จจริง และจำเลยก็ยอมรับคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว อย่างไรก็ตาม คำร้องระบุว่า คดีนี้มีการนัดสืบพยานอีกหลายปาก ต้องใช้เวลาอีกนาน กว่าจะสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วเสร็จ และว่า คดีนี้ ศาลเคยอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว ซึ่งไม่มีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีหรือไม่ และจำเลยก็ไม่เคยผิดนัดศาล จึงมีประเด็นเดียวที่ต้องพิจารณาว่า จำเลยจะปฏิบัติตนผิดเงื่อนไขตามที่ศาลกำหนดอีกหรือไม่

คำร้องระบุอีกว่า จำเลยเห็นว่า คำสั่งเพิกถอนสัญญาประกัน มีลักษณะเดียวกับการลงโทษจำเลยที่ฝ่าฝืนคำสั่งศาล ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลได้ จำเลยจึงเห็นว่า นับตั้งแต่ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจนถึงวันนี้เป็นเวลานานกว่า 1 เดือนแล้ว จึงเห็นว่าเป็นเวลานานพอสมควรกับการลงโทษจำเลยทีพูดจาอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว พร้อมยกตัวอย่างว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ศาลแพ่งได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลงโทษจำคุกนายสุดสงวน สุธีสร จำเลยคดีละเมิดอำนาจศาล จากกรณีชูป้ายวางพวงหรีดที่ศาลแพ่งเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งจำเลยเห็นว่า การเพิกถอนสัญญาประกันของจำเลย มีลักษณะเดียวกับการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล โทษคุมขังจึงน่าจะพอสมควรแก่การกระทำที่ผิดพลาดจากการกระทำฝ่าฝืนเงื่อนไขของศาล จึงเป็นเหตุสมควรที่จะให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยในระหว่างพิจารณาอีกสักครั้ง

คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร ยังอ้างสถานการณ์บ้านเมืองและการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชด้วยว่า พฤติการณ์กับสถานการณ์บ้านเมืองก่อนและหลังศาลเพิกถอนสัญญาประกันมีการเปลี่ยนไป ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ต.ค.ที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคต นำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างชาติ รัฐบาลได้ประกาศไว้ทุกข์เพื่อถวายความอาลัย จำเลยมีความตั้งมั่นที่จะขอโอกาสในวาระเช่นนี้ไปแสดงความอาลัยและเข้ากราบพระบรมศพอย่างที่พสกนิกรทุกคนควรจะทำ ประกอบกับประเทศไทยอยู่ในช่วงแห่งความอาลัย ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างตระหนักในการสร้างความรักสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มใด และเชื่อว่า ไม่มีประชาชนคนใดจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง จำเลยให้คำมั่นต่อศาลว่า จะไม่กระทำการใดๆ อันมีลักษณะดูหมิ่นผู้อื่น หรือยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิคความวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่ออันตรายกระทบเกียรติยศชื่อเสียง และความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย หรือเงื่อนไขใดๆ ตามที่ศาลกำหนด จำเลยรู้สำนึกในการกระทำฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว จึงขอโอกาสในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอีกสักครั้งหนึ่งด้วย

นายวิญญัติ ทนายความนายจตุพร เผยด้วยว่า ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร พร้อมด้วยหลักทรัพย์เป็นเงินสด 6 แสนบาท แต่หากศาลเรียกหลักประกันตัวสูงขึ้น จำเลยก็พร้อมวางหลักทรัพย์ต่อศาลทันที และว่า การยื่นประกันครั้งนี้ ไม่ได้นำหนังสือรับรองจากบุคคลใดมายื่นด้วย โดยใช้เหตุชี้แจงให้ศาลเห็น เพื่อพิจารณาเมตตาปล่อยตัวชั่วคราวเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

6.ศาลพิพากษาจำคุก “กิมเอ็ง” พี่สาว “นางไก่” 150 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง ก่อนลดโทษให้หลังเจ้าตัวรับสารภาพ ติดคุกจริง 50 ปี!

นางกมนทรรศน์ ธนธรณ์โฆษิตจิร หรือนางกิมเอ็ง พี่สาวนางมณตา หยกรัตนกาญ หรือนางไก่ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ศาลได้นัดสอบคำให้การจำเลยคดีที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนางกมนทรรศน์ ธนธรณ์โฆษิตจิร หรือนางกิมเอ็ง อายุ 62 ปี พี่สาวนางมณตา หยกรัตนกาญ หรือนางไก่ ผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงและค้ามนุษย์, พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ ธนธรณ์โฆษิตจิร อายุ 68 ปี, นายถาวร พวงประทุม อายุ 66 ปี และนายศักดิ์ สิริยาคม อายุ 50 ปี ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ฯ, ร่วมกันฉ้อโกง, ปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสาราชการปลอม

คดีนี้ อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา ระบุพฤติการณ์ความผิดของจำเลยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 1 พ.ย.2553 - 16 มี.ค.2557 จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันหลอกลวงบริษัท ฮุ่ยเหลียง สกรีน พริ้นติ้ง จำกัด โดยมี น.ส.นิธิกุล ทวีโชติธนกุล กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนผู้เสียหายที่ 1, นางอรวรรณ กงกุล ผู้เสียหายที่ 2, นายธีระ ตัณฑรังสี ผู้เสียหายที่ 3 และ น.ส.ขวัญเรือน อินทร์เขียว ผู้เสียหายที่ 4 หลายครั้งหลายหน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จอ้างว่า ถ้าหากทำบุญกับเบื้องสูงจะได้บุญมากกว่าการทำบุญด้วยวิธีการอื่นๆ โดยเฉพาะผลไม้เมื่อเอาผลไม้เข้าไปถวายแล้ว ท่านจะนำผลไม้ส่วนหนึ่งไปทำบุญกับพระสมเด็จ (พระราชาคณะชั้นสมเด็จขึ้นไป) ตามวัดต่างๆ และอีกส่วนหนึ่งจะนำไปแจกให้กับเบื้องสูง ทำให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา

นอกจากนี้จำเลยยังหลอกลวงว่า จะช่วยวิ่งเต้นให้เพื่อนของผู้เสียหายที่ 1 ได้รับงบประมาณขุดลอกคูคลองทางภาคอีสานจากหน่วยงานราชการ และอ้างว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมของคุณหญิงท่านหนึ่ง ให้ผู้เสียหายที่ 1 เอาเงินไปซื้อแหวนเพชรและเอาเงินสดไปดูแลและรับรองคุณหญิงคนดังกล่าว รวมทั้งยังได้หลอกลวงผู้เสียหายที่ 1 และผู้เสียหายอื่นหลายครั้ง เช่น การจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้แก่จำเลยที่ 1 ที่โรงแรมแห่งหนึ่งแล้วอ้างประกาศต่อหน้าผู้มาร่วมงานว่า เจ้าหน้าที่จากสำนักพระราชวัง นำของขวัญมามอบให้ และพวกจำเลยยังได้หลอกลวงให้ร่วมทำบุญทอดกฐินพระราชทาน รวมทั้งให้ตัดเสื้อผ้าจำนวนหลายชุด อ้างว่าจะนำไปสวมใส่ในงานกฐินพระราชทานที่วัดในจังหวัดสมุทรสาคร และจำเลยที่ 1 ยังได้ปลอมหนังสือของสำนักราชเลขาธิการด้วย รวมเงินที่พวกจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายจำนวนทั้งสิ้น 5,140,880 บาท โจทก์จึงขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมาย และขอให้ศาลสั่งพวกจำเลยคืนเงินหรือชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่ผู้เสียหายด้วย

ทั้งนี้ ศาลได้สอบคำให้การจำเลยแล้ว ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 และ 4 รับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 และ 3 ให้การปฏิเสธ ขอต่อสู้คดี จึงให้แยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 ภายใน 7 วัน ตามกฎหมาย

จากนั้นศาลได้พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และ 4 กระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปฐาน ดูหมิ่นเบื้องสูง 5 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี เป็น 10 ปี ฐานฉ้อโกง 2 กระทง ๆ ละ 7 ปี เป็น 14 ปี และฐานหมิ่นประมาทเบื้องสูงอีก 24 กระทง ๆ ละ 5 ปี เป็น 120 ปี เมื่อรวมแล้ว โทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนๆ ละ 144 ปี นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ยังผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอมอีก 2 กระทงๆ ละ 3 ปี เป็นจำคุกจำเลย 1 ไว้ 150 ปี ส่วนจำเลยที่ 4 จำคุก 144 ปี

อย่างไรก็ตาม คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 75 ปี ส่วนจำเลยที่ 4 จำคุก 72 ปี แต่กฎหมายบัญญัติไว้ให้จำคุกได้ไม่เกิน 50 ปี จึงให้จำคุกจำเลยทั้งสองไว้คนละ 50 ปี และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายตามฟ้องด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น