xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 30 ต.ค.-5 พ.ย.2559

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.รัฐบาลเฉลิมพระเกียรติ "ในหลวง ร.๙" เป็น "พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย" ด้าน กสท.ไฟเขียวทีวีออกอากาศปกติ 19 พ.ย. แต่ปรับรายการให้เหมาะสม!
ประชาชนจากทั่วสารทิศยังทยอยเดินทางเข้าถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท อย่างต่อเนื่อง
สัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนจากทั่วประเทศยังคงทยอยเดินทางเข้าถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง อย่างต่อเนื่อง หลังสำนักพระราชวังเปิดให้ประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมศพเบื้องหน้าพระบรมโกศได้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งสำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพ รวม 7 วัน(29 ต.ค.-4 พ.ย.) มีจำนวน 185,031 คน ขณะที่ยอดเงินที่ประชาชนถวายเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลรวม 7 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 11,480,501.25 บาท

ทั้งนี้ หลังจากสำนักพระราชวังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามได้ตามปกติตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.เป็นต้นมา ส่งผลให้สำนักพระราชวังต้องเปลี่ยนเส้นทางการเข้าถวายบังคมพระบรมศพของประชาชนใหม่ จากเดิมที่ให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี เปลี่ยนเป็นให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามทางประตูวิเศษไชยศรี ตั้งแต่เวลา 08.00-15.30 น. ส่วนประชาชนเข้าถวายบังคมพระบรมศพทางประตูมณีนพรัตน์ ตั้งแต่เวลา 05.00-22.00 น.โดยประมาณ

ขณะที่ผู้นำประเทศต่างๆ ยังคงเดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเป็นระยะๆ ได้แก่ นายไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกา เดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพ เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ขณะที่สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งเลโซโท ได้เสด็จฯ มาถวายบังคมพระบรมศพเมื่อวันที่ 2 พ.ย. พร้อมมอบหมายให้นายคิมเมตโซ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและผู้แทนระดับสูงเลโซโทที่โดยเสด็จด้วย ไปมอบอาหารให้แก่ผู้ที่เดินทางมาถวายบังคมพระบรมศพที่บริเวณเต๊นท์ของกองทัพบกในท้องสนามหลวง

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 1 พ.ย. ให้มีการจัดทำหนังสือภาพการแสดงความอาลัยของประชาชนในแต่ละวัน ทั้งใน กทม. ต่างจังหวัด และต่างประเทศ ว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร ทั้งนี้ รัฐบาลได้เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เป็น “พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย” และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เป็น “พระบิดาแห่งการปฏิรูปข้าวไทย” ด้วยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่เกษตรกรและปวงชนชาวไทย ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเกี่ยวกับการปฏิรูปและพัฒนาแนวทางการผลิตข้าว และการวิจัย พัฒนาข้าวไทยในห้วงแห่งรัชกาล ด้วยพระวิริยะอุตสาหะอุทิศกำลังพระวรกายและกำลังพระปัญญา ทำให้ข้าวไทยได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบตั้งแต่การคัดเลือกพันธุ์ การวิจัยและปรับปรุงพันธุ์ การจัดระบบชลประทานที่เหมาะสม การขนส่ง และการพัฒนาระบบการผลิตโดยรวม ประเทศไทยจึงมีความมั่นคงทางด้านอาหาร และส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมโดยรวม

สำหรับกรณีที่รัฐบาลให้สถานีโทรทัศน์ปรับรูปแบบรายการให้เหมาะสมหลังพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชสวรรคตนั้น เมื่อวันที่ 3 พ.ย. คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) เผยหลังหารือกับผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์ว่า ที่ประชุมบอร์ด กสท.เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ได้มีมติอนุมัติแนวทางปฏิบัติให้แก่ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และผู้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการกระจายเสียง กรณีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สวรรคตครบ 30 วัน ได้แก่ ให้ถ่ายทอดพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลและพระราชพิธีต่างๆ จากโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย, ทุกวันศุกร์ ให้ทุกสถานีเชื่อมโยงสัญญาณโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ รายการ “ศาสตร์แห่งพระราชาสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ซึ่งมีขึ้นแทนรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ”, แต่ละสถานีนำรายการปกติมาออกอากาศได้โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของรายการ เพื่อปรับบรรยากาศและความรู้สึกของประชาชนให้เป็นไปตามลำดับ, ระหว่างวันที่ 19 พ.ย.-21 ม.ค.2560 สามารถนำรายการที่มีความเหมาะสมมาออกอากาศได้ โดยรายการสำหรับผู้ชมที่อายุ 18 ปีขึ้นไป ไม่ควรมีเนื้อหารุนแรง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย หรือเรื่องทางเพศ ส่วนรายการที่ไม่เหมาะกับเด็กและเยาวชน ให้ออกอากาศหลังวันที่ 21 ม.ค.2560 ทั้งนี้ ให้แต่ละสถานีนำเสนอรายการที่เกี่ยวกับการระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ การแสดงความอาลัย การเทิดพระเกียรติ อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 21 ม.ค.2560 โดยนำเสนอในช่วงเวลาที่ทำให้ประชาชนส่วนมากได้รับชม ฯลฯ

2.“นริศร-อุดมเดช” ไม่รอด สนช.มีมติถอดถอนออกจากตำแหน่งกรณีเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน-สลับร่างแก้ รธน.ที่มา ส.ว. ส่งผลถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี!

(ซ้าย) นายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย (ขวา) นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยมีวาระสำคัญคือรับฟังการแถลงปิดคดีด้วยวาจาในคดีถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจากกรณีแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว.โดยมิชอบ ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นผู้กล่าวหานายนริศร ทองธิราช และนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระดังกล่าว พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิก สนช. กล่าวว่า อยากให้สมาชิกเข้าฟังการแถลงปิดคดี เพื่อนำไปสู่การใช้ดุลพินิจอย่างถูกต้องก่อนตัดสินใจ อีกทั้งการถอดถอนครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมีการดำเนินการกันในสภา เนื่องจากอำนาจถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไม่ได้เป็นอำนาจของสภาอีกต่อไป

จากนั้น น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช.แถลงปิดสำนวนโดยเริ่มจากกรณีของนายนริศรว่า สมาชิกรัฐสภาถือเป็นตำแหน่งที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติโดยไม่อยู่ใต้อาณัติใคร การแสดงตนเพื่อลงมติในที่ประชุมรัฐสภาเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ต้องดำเนินการด้วยตัวเอง เมื่อมีการดำเนินการใช้บัตรแสดงตนแทนกัน จึงเป็นการผิดปกติวิสัยของรัฐสภาที่สมาชิกรัฐสภาหนึ่งคนจะมีสิทธิออกเสียงหนึ่งคะแนน และเป็นการแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป็นมติที่ไม่ชอบตามกระบวนการพิจารณาของรัฐสภา และทำให้ประเทศได้รับความเสียหาย

น.ส.สุภา กล่าวว่า การไต่สวนของ ป.ป.ช.ได้สอบสวนพยานหลักฐานครบถ้วน ให้ความเป็นธรรมเต็มที่ รับฟังได้ว่า นายนริศรกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง โดยปรากฏคลิปใช้บัตรลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ 3 ใบ หมุนเวียนเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ขัดต่อหลักการออกเสียงลงคะแนน มีเจตนาทุจริตออกเสียง ทำให้การลงคะแนนเป็นไปโดยมิชอบ การอ้างว่าเป็นคลิปตัดต่อ เป็นการอ้างเลื่อนลอย เพราะสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบแล้ว ระบุว่า ไม่มีการตัดต่อแก้ไขคลิป และการอ้างว่ามีบัตรลงคะแนนหลายใบ เจ้าหน้าที่รัฐสภายืนยันว่า ได้ออกบัตรลงคะแนนให้นายนริศรเพียงใบเดียว ส่วนที่นายนริศรระบุ เป็นโรคมือยุกยิกนั้น ก็ไม่สามารถรับฟังได้ จึงสมควรที่ สนช.จะแสดงความศักดิ์สิทธิของกฎหมายถอดถอนนายนริศรออกจากตำแหน่ง

ด้านนายนริศรแถลงโต้แย้งว่า ยอมรับว่าตนเองมีบัตรลงคะแนนหลายใบจริง แต่เป็นบัตรของตนเอง ประกอบด้วย บัตรลงคะแนนจริงและบัตรลงคะแนนสำรอง ที่ผ่านมาส่วนตัวก็ดำเนินการลักษณะนี้เป็นประจำ กดลงคะแนนหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะกดลงคะแนนอย่างไร คะแนนที่ออกมาจะมีเพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น …คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ประเทศจะได้จารึกไว้ แต่เวลานี้มีข่าวออกมาแล้วว่าสนช.มีธงว่าจะลงมติถอดถอน 250 เสียง และอัยการก็เตรียมฟ้องเพื่อดำเนินคดีทางอาญา

จากนั้นเป็นการพิจารณาในกรณีของนายอุดมเดช โดย น.ส.สุภา อ่านคำแถลงปิดคดีว่า จากการไต่สวนพบว่านายอุดมเดชเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ โดยมีอำนาจเสนอแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ พบว่าการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอประธานรัฐสภาตอนแรกกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภามีเนื้อหาไม่ตรงกัน โดยร่างรัฐธรรมนูญที่นำมาเสนอแก้ไขในภายหลังนั้นมีการแก้ไขให้ ส.ว.ที่ดำรงตำแหน่งขณะนั้นสามารถลงสมัครเลือกตั้ง ส.ว.อีกวาระได้โดยไม่ต้องเว้นวรรค อีกทั้งการแก้ไขและการเสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภาเป็นการดำเนินการโดยมิชอบ เป็นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปลอม เพราะไม่มีการลงชื่อรับรองของสมาชิกรัฐสภา จึงทำให้ร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอรัฐสภาขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 291

น.ส.สุภา กล่าวว่า เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าที่ประชุมรัฐสภาได้พิจารณารับหลักการร่างรัฐธรรมนูญในฉบับที่มีการแก้ไขให้ ส.ว.ลงสมัคร ส.ว.อีกได้นั้น ปรากฏว่าไม่มีสมาชิกรัฐสภาร่วมลงนามเสนอญัตติใหม่แต่อย่างใด ซึ่งมีผลเท่ากับว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภารับหลักการนั้นเป็นไปโดยมิชอบ โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันเด็ดขาดทุกองค์กร “นายอุดมเดชมีการแก้ข้อกล่าวหาว่าการแก้ไขเนื้อหาในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนประธานรัฐสภาสั่งบรรจุระเบียบวาระสามารถทำได้ เพราะมีธรรมเนียมปฏิบัตินั้น ป.ป.ช.มีความเห็นว่าเป็นการแก้ไขในทางที่ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศมีการกำหนดหมวดการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ชัดเจน ดังนั้น การกล่าวอ้างว่าสามารถแก้ไขเนื้อหาในกฎหมายก่อนประธานรัฐสภาสั่งบรรจุได้จึงไม่สามารถทำได้ เช่นเดียวกับการอ้างธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายย่อมไม่สามารถกระทำได้เช่นกัน ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยมาแล้ว”

น.ส.สุภา ยังกล่าวให้ข้อคิด สนช.ด้วยว่า ถ้าไม่ถอดถอนจะเกิดอะไรกับประเทศไทย ขอเรียนว่าประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2475 รัชกาลที่ 7 มีพระราชหัตถเลขาว่า ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร แต่ปรากฏว่าการกกระทำที่ผ่านมาเป็นเหมือนกับรัฐสภาผูกขาดและไม่เคารพประชาชน 70 ล้านคน “รัฐธรรมนูญถือเป็นจิตวิญญาณของประเทศไทย เพื่อบริหารแผ่นดินแม่ของเรา ดิฉันเชื่อมั่นใน สนช.ที่ถูกคัดเลือกมาให้ปฏิรูปประเทศ ทุกคนมีคุณวุฒิ รู้ดีรู้ชั่วสามารถตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องได้ ในสังคมไทยมีระบบอาวุโสและมีการช่วยเหลือกัน ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของคนไทย แต่ขอรบกวน สนช.ว่าต้องให้ความเป็นธรรมแก่แผ่นดินว่าเรื่องใดที่เป็นส่วนตัวจะนำมาพิจารณาไม่ได้ เสียงของ สนช.จะมีผลต่ออนาคตต่อประเทศไทยมากๆ เสียงของ สนช.มีคุณภาพทุกคน”

ขณะที่นายอุดมเดช อ่านคำแถลงโต้แย้ง ป.ป.ช.ว่า ที่ผ่านมา ป.ป.ช.ไม่ได้ไต่สวนพยานตามที่ตนได้ขอไปครบทุกคน ป.ป.ช.ได้ไต่สวนเจ้าหน้าที่ของรัฐสภาระดับสูงได้ความว่าการแก้ไขปรับปรุงสามารถกระทำได้ จึงเป็นที่ยุติว่าการกระทำของตนเองไม่ผิดกกฎหมาย ซึ่ง ป.ป.ช.ควรรับฟังและให้น้ำหนักพยานในส่วนนี้ “ขอยืนยันว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นการแก้ไขปรับปรุง หลังจากพบว่ามีความบกพร่องไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้ร่วมเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ”

นายอุดมเดช ย้ำด้วยว่า ถ้าวันนั้นเจ้าหน้าที่บอกว่าไม่สามารถทำได้ ตนและคณะมีวิธีทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้เสนอได้ เช่น การเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ หรือขอแปรญัตติในวาระที่ 2 หรือแก้ไขในขั้นตอนของคณะกรรมาธิการ

ภายหลังเสร็จสิ้นการรับฟังคำแถลงปิดคดีของทั้งสองฝ่ายแล้ว นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ได้นัดให้ที่ประชุม สนช.ลงมติถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ในวันที่ 4 พ.ย. โดยเสียงจะใช้ในการถอดถอน ต้องมีไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิก สนช.ทั้งหมด หรือ 150 คนจากสมาชิก สนช.ทั้งหมด 250 คน

ทั้งนี้ หลังจากสมาชิกลงคะแนนว่าจะถอดถอนหรือไม่ถอดถอน 2 อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 4 พ.ย. ปรากฏว่า เสียงส่วนใหญ่มีมติถอดถอนนายอุดมเดช ด้วยคะแนน 206 เสียง ไม่ถอดถอน 15 เสียง และมีบัตรเสีย 3 ใบ ส่วนนายนริศร สนช.มีมติถอดถอน 221 เสียง ไม่ถอดถอน 1 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง ส่งผลให้อดีต ส.ส.ทั้งสองถูกห้ามเล่นการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

3.รัฐบาลเคาะตัวเลขช่วยราคาข้าวชาวนาตันละ 13,000 บาท ด้าน “ยื่งลักษณ์” หาเสียงชาวนาอุบลฯ หากได้เป็นรัฐบาล จะดันราคาข้าวให้สูงขึ้น!

(บน) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. (ขวา) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รับซื้อข้าวจากกลุ่มชาวนาที่ จ.อุบลราชธานี
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการช่วยเหลือราคาข้าวตกต่ำต่อเกษตรกรชาวนาว่า ได้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการข้าว (นบข.) เมื่อวันที่ 31 ต.ค. เพื่อหาข้อมูลชั้นต้น และตนให้ไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมซึ่งก็ได้ข้อมูลมาแล้ว และก่อนประชุม ครม.ได้มีการประชุม นบข.นัดพิเศษอีกครั้งเพื่อพิจารณาข้อมูลที่ได้จากการลงพื้นที่รับฟังความคิดเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และ คสช. โดยมีมติว่า ภาครัฐจะกำหนดมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าว ซึ่งถือเป็นมาตรการใหญ่ ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ฤดูกาลผลิต 2559-2560 รวมถึงข้าวหอมมะลิ

“โดยชาวนาจะได้รับเงินทั้งสิ้น 13,000 บาท วันนี้ต้องเป็นไปตามกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ในการคิด ไม่ใช่จะเท่าไหร่ก็ได้ ต้องเอาราคามาเฉลี่ย ซึ่งตอนนี้ราคาเฉลี่ยอยู่ประมาณ 9,700-12,000 บาท เมื่อคิดคำนวนแล้วราคาค่าเฉลี่ยควรจะเป็นตันละ 11,000บาท โดย ธกส.จะรับจำนำตามความเห็นชอบของ ครม.ในวันนี้ 9,500 บาท แต่จะมีเพิ่มเติมช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพให้อีกตันละ 2,000 บาท ค่าขึ้นยุ้งเก็บรักษาตันละ 1,500 บาท รวมเป็น 13,000 บาท ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะรับเต็มที่ไม่ได้ จะทำให้ผิดกติกา ตรงนี้สำหรับเกษตรกรที่ร่วมโครงการและมียุ้งฉาง หากไม่มียุ้งฉาง รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและค่าปรับปรุงคุณภาพโดยโอนเงินเข้าบัญชีตันละ 2,000 บาท แต่จะไม่ได้ค่าขึ้นยุ้งเก็บรักษาอันนี้ถือเป็นข้อยุติ หวังว่าพ่อแม่พี่น้องชาวนาคงจะพอใจระดับหนึ่ง และขอให้เห็นใจรัฐบาลบ้าง เพราะช่วงนี้มีความยากลำบากเกิดขึ้นหลายอย่าง ผลกระทบเกิดจากฝนและอะไรต่างๆ”

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญเราต้องช่วยกันคิดว่าจะทำงานในภาคการเกษตรต่อไปอย่างไร หากยังทำแบบเดิม ก็จะมีปัญหา แต่ตนก็เห็นใจพ่อแม่พี่น้อง ที่ทุกคนมีความคุ้นเคยตั้งแต่เด็กจนโต ดังนั้นถึงได้บอกว่าเราต้องมาเรียนรู้ด้วยกันและมีศูนย์เกษตรทฤษฎีใหม่ ศูนย์ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมถึงศูนย์ปราชญ์ชาวบ้าน ตอนนี้ต้องหาวิธีการปลูกข้าวที่จำนวนไร่น้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม รวมถึงเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยรัฐบาลจะหาเครื่องมือไปให้ เป็นส่วนรวมไว้ที่สหกรณ์ต่างๆ ถ้าทุกคนรวมกลุ่มได้ ตนก็จะสนับสนุนให้ได้ เพื่อลดค่าแรงต้นทุนการผลิต และต่อไปตนกำลังให้หาโรงสีขนาดกลางในพื้นที่จุดที่เกษตรกรมีความเข้มแข็งและสามารถรวมกลุ่มกัน เพื่อไม่ต้องส่งไปโรงสีข้างนอก เพราะราคาเป็นที่พอใจ เราต้องสร้างให้ชาวบ้านมีความเข้มแข็งด้วยตัวเอง ทั้งปลูก ผลิต แปรรูป ขาย

ส่วนโรงสีเดิมก็ต้องปรับตัว ทำอย่างไรจะให้เกิดความสุจริต โดยประชาชนต้องได้รับผลประโยชน์มากที่สุด โดยเกษตรกรเองก็ต้องมีเครื่องมือตรวจสอบโดยกระบวนการท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือประชาชน เป็นการวัดความชื้นข้าวของตัวเองก่อนที่จะส่งไปโรงสี หากไม่ตรงกับที่โรงสีวัด จะได้ตรวจสอบได้ ถ้าเราไม่เตรียมการตัวเอง เราก็ต้องยอมรับผลการประเมินของโรงสี ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบหลังเจ้าของโรงสีประเมินค่าความชื้น “วันนี้ผมได้สั่งมาตรการเหล่านี้ไปแล้ว กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และ คสช. จะลงไปสำรวจทุกโรงสีว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้มีอะไรที่แปลกประหลาดแทรกซ้อนหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็แล้วไป พร้อมกันนี้จะต้องไปดูคลังข้าว ที่บางโรงสีอาจเก็บข้าวไว้ตามนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา รับค่าข้าวดูแลข้าวมาเยอะ การดูแลจะดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ต้องไปว่ากันตรงนั้นด้วย ฉะนั้นต้องทำทั้งระบบ”

เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง ครม.มีมติช่วยเหลือชาวนา โดยให้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิที่ตันละ 13,000 บาท ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และจำเลยในคดีไม่ระงับยับยั้งทุจริตจำนำข้าว ได้เดินทางไป จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 3 พ.ย.เพื่อเยี่ยมเยียนกลุ่มชาวนาจากหลายอำเภอประมาณ 20 ราย ซึ่งสีข้าวสารหอมมะลิประมาณ 3 ตันมานั่งขายอยู่ริมรั้วหน้าโรงเรียนเทศบาล 3 สามัคคี โดย น.ส.ยิ่งลักษณื ได้ซื้อข้าวสารจากกลุ่มชาวนามอบให้กลุ่ม ส.สงพรรคเพื่อไทยที่ติดตามมาคนละ 5 กิโลกรัม พร้อมรับปากกลุ่มชาวนาว่า หากมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอีก จะช่วยดันราคาข้าวของชาวนาให้สูงขึ้นอีกครั้ง

ด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับซื้อข้าวจากชาวนาที่ จ.อุบลราชธานีว่า ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องการเมืองหรือเปล่า พร้อมพูดเหมือนท้าว่า งั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็รับซื้อข้าวให้หมดเลยสิ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประวิตร เชื่อว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ซื้อข้าวจากชาวนา ไม่ได้เป็นการตัดหน้ารัฐบาล เพราะรัฐบาลทำทั้งประเทศ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พูดถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร ท้าให้รับซื้อข้าวจากชาวนาให้หมดว่า "ถ้าดิฉันเป็นรัฐบาล ดิฉันจะทำอย่างนั้นค่ะ แต่วันนี้ดิฉันเป็นประชาชนคนหนึ่ง ดิฉันทำเท่าที่กำลังมี นอกจากภาระที่ดิฉันต้องใช้จ่ายในครอบครัวแล้ว ภาระดิฉันยังต้องต่อสู้ในชั้นศาลอีก แต่ดิฉันคิดว่าน้ำใจต่างหากที่ชาวนาอยากได้รับ"

4.ศาลอาญายกฟ้อง “วัฒนา เมืองสุข” อดีต ส.ส.เพื่อไทย โพสต์เฟซบุ๊กวิจารณ์ คสช. ชี้เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต-เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน!

นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อายุ 58 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14

คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ 19 เม.ย.59 ระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 1-2 มี.ค.59 จำเลยได้โพสแสดงข้อความหัวข้อ “ อีคิวต่ำไปหน่อย ” ในบัญชีแฟนเพจเฟซบุ๊กชื่อ “ Wattana Muangsook ” โดยมีข้อความอันเป็นเท็จทำนองว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ( คสช.) จะไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ซึ่งความจริงขณะที่จำเลยนำเข้าข้อมูลนั้น คสช.ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญและจัดให้มีขั้นตอนการออกเสียงจัดทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนและจัดให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นการยึดอำนาจตลอดไป และในการกระทำดังกล่าว จำเลยยังแสดงข้อความทำนองว่า คสช.เลือกไม่ปฏิบัติ และใช้มาตรารัฐธรรมนูญล้างผิดให้ตัวเองและคณะที่จะไม่ให้มีการตรวจสอบ ทั้งที่ความจริงไม่มีใครหนีการตรวจสอบ การกระทำของจำเลยจึงทำให้เกิดความเสียหายต่อ พล.อ.ประยุทธ์ , พล.อ.ประวิตร และ คสช. ต่อมา จำเลยได้เข้าพบพนักงานสอสวน สน.นางเลิ้ง ตามหมายเรียก จึงแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ

ทั้งนี้ นายวัฒนา จำเลย ได้เดินทางมาศาลตามนัด พร้อมกับนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายแห่งประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมาย เพื่อฟังคำพิพากษา ภายหลัง นายนรินท์พงศ์ เผยผลคำพิพากษาว่า ศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้ว ได้พิพากษาให้ยกฟ้องนายวัฒนา เนื่องจากเห็นว่าข้อความที่วิจารณ์ทำนองว่า คสช.อยู่ลากยาว และยังไม่มีการจัดเลือกตั้งนั้น เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต และว่า ในทางนำสืบชั้นพิจารณา มีนายโภคิน พลกุล อดีตรองนายกฯ , นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ เบิกความถึงข้อเท็จจริงในสถานการณ์ว่า ปัจจุบัน คสช. ยังคงอยู่ และยังไม่มีการจัดเลือกตั้ง ดังนั้นไม่ใช่การนำความเท็จมาเผยแพร่ แต่เป็นการแสดงความเห็นที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน อย่างไรก็ดี นายนรินท์พงศ์ กล่าวว่า หลังจากนี้ต้องรอดูว่า ฝ่ายอัยการโจทก์จะยื่นอุทธรณ์คดีอีกหรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายต้องดำเนินการภายใน 30 วัน

ด้านนายวัฒนากล่าวว่า ยังรู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยยังสามารถพึ่งพาได้ ส่วนจะมีการฟ้องกลับ คสช.หรือไม่ ตนเชื่อว่า ศาลจะรับพิจารณาแน่นอน แต่สุดท้ายก็จะได้นิรโทษกรรมตามรัฐธรรมนูญหากมีผลบังคับใช้ ซึ่งหากฟ้อง จะเป็นการเสียเวลาเปล่า นายวัฒนายังกล่าวอีกว่า มองว่า คสช. ใช้อำนาจไม่ถูกต้องตั้งแต่กระบวนการเริ่มต้น เป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ เนื่องจากนำกำลังไปควบคุมตนเองถึงบ้าน ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงเป็นบรรทัดฐานให้เห็นว่าการใช้กฎหมายตามอำเภอใจจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน

5.ศาลยกคำร้องขอปล่อยตัว “จตุพร” เป็นครั้งที่ 2 แม้จะมีใบรับรองความประพฤติจาก “บิ๊กจิ๋ว” ก็ตาม!

(ซ้าย) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี (ขวา) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.
เมื่อวันที่ 4 พ.ย. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ตนได้รับมอบอำนาจจากนายจตุพรให้ยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวใหม่ต่อศาลอาญาเป็นครั้งที่ 2 หลังจากการยื่นประกันครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 59 ศาลได้ยกคำร้อง โดยการยื่นคำร้องครั้งนี้ได้มีเอกสารประกอบเป็นหนังสือรับรองความประพฤตินายจตุพรจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตนายทหารและเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของนายจตุพรด้วย

อย่างไรก็ตาม ผลของการยื่นประกันใหม่เป็นครั้งที่ 2 ปรากฏว่า ศาลอาญามีคำสั่งให้ยกคำร้อง เนื่องจากยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ซึ่งนายวิญญัติเผยว่า หลังจากนี้จะรอเวลาที่เหมาะสมเพื่อยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวใหม่เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งจะต้องมีการระบุเหตุใหม่ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมของศาล โดยอาจจะมีการยื่นหนังสือรับรองของเดิม หรือเพิ่มหนังสือรับรองรายใหม่เข้าไปด้วย เพื่อประกอบการพิจารณาของศาล

ทั้งนี้ นายจตุพรถูกศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อวันที่ 11ต.ค. เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว จากกรณีที่นายจตุพรดำเนินรายการผ่านสถานีโทรทัศน์ PEACE TV เว็บไซต์ยูทูบ และสื่อสาธารณะอื่น โดยเสียดสีการทำงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บิดเบือนการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี กล่าวหาหน่วยงานของรัฐกระทำการโดยมิชอบ คุกคาม กดดันการทำหน้าที่ของหน่วยงานรัฐ พูดโจมตีบุคคลต่างๆ ในลักษณะดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทผู้อื่น พูดยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง
กำลังโหลดความคิดเห็น