เผยความรู้สึก อ.พัฒนา หลังปูเต๊ะ อิหม่ามประจำมัสยิดต้นสน และอดีตคณะกรรมกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ถึงพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ต่อพสกนิกรชาวไทยมุสลิม
ด้วยน้ำพระทัยของพระองค์ท่านที่มีต่อชาวไทยมุสลิม ทั้งการพระราชทานคัมภีร์อัลกุรอานฉบับภาษาไทย, การเสด็จไปเยี่ยมเยียนในพื้นที่ห่างไกล หรือรวมไปถึงการเป็นศาสนูปถัมภกในศาสนาอิสลามในประเทศไทย ได้นำความซาบซึ้งใจต่อชาวไทยมุสลิม อันหาที่เปรียบไม่ได้ และยังทำให้ชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น สามารถภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนไทยในแผ่นดินนี้
• ศาสนาอิสลามในประเทศไทยช่วงก่อนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นอย่างไรบ้างครับ
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ถ้าเทียบกับทางศาสนาพุทธที่มีพระไตรปิฎก ศาสนาอิสลามก็มีคัมภีร์อัลกุรอาน คือเราอ่านกันทุกวัน ตอนผมเด็กๆ แม่ก็บังคับให้อ่านแล้ว แต่อ่านแล้วไม่รู้แปลว่าอะไร ตอนไปฟังเทศน์ก็ไม่รู้ความหมายเช่นกัน อีกทั้งตอนนั้น เรายังไม่มีคัมภีร์อัลกุรอานฉบับภาษาไทย
• และนั่นจึงเป็นที่มาของ “คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย” ที่พระองค์ท่านได้พระราชทานให้แก่ชาวไทยมุสลิมใช่ไหมครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2511 พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปที่งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย และทุกครั้ง เวลาที่เราเปิดงาน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์ศาสดาพระมูฮัมหมัด ภาคพิธีการทุกครั้ง งานศาสนาจะถูกเปิดโดยการเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นการเปิดงาน เพื่อให้เป็นสิริมงคล คราครั้งนั้น เมื่อพิธีการจบสิ้นลง อดีตจุฬาราชมนตรี “ต่วน สุวรรณศาสน์” ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และได้ไปที่พระราชอาสน์ที่ในหลวงและพระราชินีประทับอยู่ และได้รับบังคมทูลเชิญเพื่อไปชมนิทรรศการ แล้วพระองค์ก็ทรงรับสั่งว่า “พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกเชิญในวันนี้ เราอ่านได้จับใจไพเราะเหลือเกิน แต่ทำอย่างไรที่จะให้พสกนิกรของเราทั้งชาวไทยมุสลิม หรือไม่ใช่ก็ตามที และทุกหน่วยงานองค์กรของรัฐ ได้เข้าใจว่าอัลกุรอานซึ่งเป็นธรรมนูญชีวิต และเป็นคำบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีความหมายอย่างไร” แล้วพระองค์ท่านก็พระราชทานทุนทรัพย์ก้อนแรกให้กับอดีตจุฬาราชมนตรี เพื่อหาคนมาแปล
พอได้รับสั่งจากพระองค์ท่านดังนั้นแล้ว บุคลากรทางศาสนาอิสลามในประเทศไทย ณ เวลานั้น ก็ได้ตามหาทั่วประเทศ ไปหาบุคคลที่มีความรู้จริงๆ ทั้งนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ที่มีความรู้มากๆ เอามาอธิบายถอดความคัมภีร์อัลกุรอาน จนในที่สุดก็กลายเป็น “คัมภีร์อัลกุรอานฉบับพระราชทาน” แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นเล่มแรกของโลกครับ พระองค์ท่านทรงเป็นพุทธมามกะ แต่ขณะเดียวกันพระองค์ท่านก็เป็นองค์อุปถัมภกทุกๆ ศาสนา อย่างศาสนาอิสลาม พระองค์ท่านก็ให้มีการแปลคัมภีร์เป็นภาษาไทย เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์มีความรู้ความเข้าใจในหลักการศาสนาที่ตนเองนับถือ
เพราะฉะนั้น คราใดก็ตามที่เราได้อ่านพระมหาคัมภีร์ เราสอนลูกๆ ของเราถึงธรรมนูญชีวิต ถึงพระผู้เป็นเจ้า วันนี้เราไม่ต้องไปถึงเมืองนอกแล้วครับ แค่หยิบพระคัมภีร์เล่มดังกล่าวขึ้นมา และก็สอนลูกๆ ของเราว่าพระผู้เป็นเจ้าสอนให้เราทำอะไรบ้าง แล้วการที่จะเป็นคนมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นอย่างไร เมื่อมีการหยิบเล่มนี้ขึ้นมา มันจะอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป นี่คือคุณูปการและพระเมตตาอันล้นพ้นของในหลวงที่ให้กับพวกเราจนทุกวันนี้
ผมอยากจะบอกว่า ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มีพระเมตตาของพระองค์ท่านอยู่รอบตัว ทุกอย่าง และเป็นสิ่งที่ละเอียดลออ ทั้งหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็ดี หรือที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเสมอๆ ว่า “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ก็ดี ซึ่งตรงนี้ ก็ไปตรงกับที่ท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด เคยกล่าวไว้ในเรื่องของการจัดการบริหารองค์กร เมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว เป็นภาษาอาหรับว่า “ตะอารุฟ ตะฟาฮุม และตะอาวุน” ซึ่งแปลว่า “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”
แน่นอนว่า ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้จะเป็นพระราชดำรัสที่สั้น แต่ก็กินใจ และใช้ได้กับทุกอย่าง ไม่ได้ใช้แค่ประเทศชาติบ้านเมืองหรือองค์กร เอาแค่เราเป็นคุณพ่อคุณแม่เป็นหัวหน้าครอบครัว จะสอนลูก เราเป็นครูจะสอนนักเรียน เราเป็นสามีภรรยา ถ้าเราดำเนินชีวิตกันอยู่ นี่แหละ เรียกว่าให้เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา นี่คือปรัชญาที่ใช้ได้กับทุกอย่าง
• นอกจากเรื่องคัมภีร์ฯ ภาษาไทย ฉบับพระราชทาน มีเรื่องราวใดในพระองค์ท่านที่คุณอยากเล่าให้เราฟังอีกบ้างครับ
ในหลักการของศาสนา การละหมาด 5 เวลา ในแต่ละวัน ถือเป็นเสาหลักของศาสนา ใครก็ตามที่ทำสิ่งนี้ได้ ก็ดำรงไว้ด้วยศาสนา คุณธรรม จริยธรรม แล้วใครก็ตามละทิ้งการละหมาด ก็จะละทิ้งศาสนาด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ผมประทับใจที่สุด ซึ่งเวลาเราไปทำภารกิจบางอย่างในพระราชวัง พอถึงเวลาละหมาด ผมไม่ต้องนั่งรถออกมาครับ พระองค์ท่านทรงให้มีศาลาละหมาดใหญ่โตเรียบร้อย
และเวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯ แปรพระราชฐาน ในช่วงเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นช่วงที่มุสลิมทั่วโลกถือศีลอด พระองค์ท่านก็ทรงปรารภว่า การเสวยพระกระยาหาร ขอให้ไปสอดคล้องกับเวลาเริ่มอาหาร ก่อนที่ตะวันจะขึ้น และพอจะเสวยอีกมื้อหนึ่ง ก็ขอให้ตรงกับเวลาละศีลอดของชาวมุสลิม พอเราได้ยินอย่างนี้แล้วเราก็รู้สึกว่า พระองค์ท่านทรงอยู่ใกล้ชิดกับเรา
หรืออีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครั้งเสด็จฯ ที่บ้านห้วยทรายใต้ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กันดารมาก ไม่มีใครเข้าไปถึงที่นั่นเลย ไม่มีใครอยากจะเข้าไป เพราะหาน้ำอาบน้ำละหมาดก็ไม่ได้ ไฟฟ้าก็แทบจะเข้าไม่ถึง แต่สิ่งที่เราคิดกันมาก่อนที่พระองค์ท่านจะไปว่า พระองค์ท่านรู้ได้อย่างไร ขนาดเรายังไม่รู้เลยว่ามีมัสยิดหลังหนึ่งอยู่ในป่า แล้วพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินเข้าไป เมื่อในหลวงเข้าไปเห็นก็อยากที่จะทะนุบำรุงช่วยเหลือ เดี๋ยวนี้ คนไปละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดแห่งนี้เป็นร้อยคนครับ จากที่ไม่มีคนไปละหมาดเลย นี่คือพระเมตตาอันท่วมท้น และพระองค์ท่านไม่ได้ทำให้สิ่งที่เจริญอยู่แล้ว แต่จากที่เป็นศูนย์ พระองค์ท่านทำขึ้นมามากมายเหลือเกิน นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราให้เกิดความภาคภูมิใจ ที่ได้เห็นจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วพระราชดำรัสมากมายที่พระองค์ท่านได้รับสั่งเอาไว้ แทบไม่มีอะไรที่ขัดกับหลักการศาสนาอิสลามเลย
อย่างที่บอกไปว่าให้มีความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา พระองค์ท่านให้เราทุกคนรักกัน แน่นอนว่าตามหลักศาสนาเราก็ต้องรักกัน แล้วความรักนั้นไม่ใช่แค่คนในศาสนาเดียวกันเท่านั้น อันหนึ่งที่ต้องประกาศให้ทราบคือ ในหลักศาสนาอิสลาม ให้เราต้องรักกัน จะเป็นศาสนาเดียวกันหรือต่างก็ตาม แต่มันจะมีข้อหนึ่งตรงที่ว่า ไม่ให้คนมุสลิมไปเกี่ยวข้องกับพิธีการของศาสนาอื่น นอกนั้นทำได้หมด เช่น เพื่อนบ้านเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ใช่ว่าจะต้องพาไปหาหมอ ช่วยเหลือเขา แต่จำเป็นต้องไปดูแลเขา ไม่เช่นนั้นก็อย่าอ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิม ความรักประเทศชาติ บ้านเกิดเมืองนอนก็เช่นเดียวกัน ศาสนาอิสลามถือเป็นหลักชัดเจนที่พระศาสดาได้สอนว่า “ฮอบุลเลาะตุล มีนิน อีมาน” ความรักต่อประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอน เป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธาหรือความเป็นมุสลิม เพราะฉะนั้นวันนี้ ถ้าคุณทำพิธีละหมาดครบ คุณมีความรู้ เป็นคนดีหมดทุกอย่าง แต่ถ้าหัวใจคุณยังไม่รักในประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอน อย่าบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์แบบ
ถามว่าคำนี้แต่งขึ้นมาหรือไม่ ผมไม่ได้แต่งขึ้นมา แต่เป็นพระศาสดาที่วางไว้ให้มุสลิมทุกคน และพระศาสดาเองก็รักชาติบ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์เช่นกัน ซึ่งเราต้องทำตามแบบของพระองค์ท่าน วันนี้เราเกิดที่ไหน เราใช้ชีวิตที่ไหน แล้วเราก็มุ่งหวังว่าจะตายที่ไหน ผมเองผมเกิดที่นี่ และผมใช้ชีวิตตลอดที่นี่ แล้วผมขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าขอตายที่นี่ แน่นอนครับ ผมต้องรักที่นี่ ตามคำของพระศาสดาที่ว่าไว้ และสิ่งที่พระองค์ท่านทำมาให้ตอลด พระองค์ท่านต้องการให้ทุกเชื้อชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกคนที่นับถือศาสนาในแผ่นดินของพระองค์ท่าน มีความเป็นอยู่ที่ดี นี่คือแบบฉบับที่พระองค์ท่านไว้ให้กับพวกเรา
พระองค์ท่านทรงให้ความทัดเทียมกัน อะไรก็ตามที่ไปกระทบต่อศาสนา พระองค์ท่านก็เปิดให้ตลอด ยกตัวอย่างเช่น บ่อยครั้งที่มีคนในต่างประเทศ เขาไม่เข้าใจ แม้กระทั่งคนมุสลิมก็เถอะ บางครั้งมาจากนโยบายจากนักการเมืองที่ไม่เป็นกลาง จนกระทั่งเขารู้สึกว่า การที่เขาเกิดมาเป็นมุสลิมไทย เหมือนกับเป็นประชากรชั้นสองของประเทศ เป็นอะไรใหญ่โตไม่ได้เลย แม้กระทั่งบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ เขาก็อยากจะมาดูว่าจริงหรือเปล่า ที่มุสลิมไทย ไม่มีสิทธิและเสรีภาพ
วันนี้ไม่ต้องไปดูที่อื่นครับ มัสยิดในประเทศไทยมีประมาณ 3,000 แห่ง ในกรุงเทพฯ มี 180 แห่ง ที่เขาบอกว่าเป็นมุสลิมแล้วเป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้ และมีสิทธิเสรีภาพไม่เต็มใบ วันนี้แค่มัสยิดต้นสน หลุมฝังศพรายล้อม มีบุคคลสำคัญฝังอยู่ที่นี่เต็มไปหมด มีทั้งจุฬาราชมนตรีถึง 9 ท่าน มีเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ ซึ่งเปรียบประหนึ่งพระหัตถ์ขวาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธน เจ้าพระยาภักดีแขก (มะหมูด) ก็ฝังที่นี่ ลูกชายของท่าน เจ้าพระยาราชวังสันเสนีย์ ก็นอนที่นี่ ท่านเองก็คุณตาของ สมเด็จพระศรีสุลาไลย เจ้าจอมมารดาเรียม พระมารดาของรัชกาลที่ 3 เจ้าจอมที่เป็นมุสลิม 3 พระองค์ก็ฝังอยู่ที่นี่ ไหนล่ะที่บอกว่าเป็นมุสลิมแล้วเป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้
ผมจำได้ว่า คุณปู่ของผม (นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ : อดีตรัฐมนตรี และอดีต ส.ส. สตูล 5 สมัย) ท่านเคยพูดในภาษานักการเมืองบอกว่า “ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นมุสลิม ผมภูมิใจที่เป็นคนจังหวัดสตูล และผมภูมิใจที่เป็นคนใน 4 จังหวัดภาคใต้” ผมอยากจะบอกว่า ขอให้คุณเกิดมาเป็นคนมุสลิมเถอะ คุณอยู่ใน 6 จังหวัดปัจจุบัน ขึ้นศาลตามกฎหมายไทย มากกว่านักการเมืองหรือรัฐมนตรีที่ไม่ใช่มุสลิมซะอีก ไม่ต้องดูอะไร ดูที่เราจับต้องง่าย ขอแค่คุณเป็นคนกวาดถนนในปัตตานีก็พอ คุณจะได้เสรีภาพมากกว่านายพลซะอีก
ในความเป็นคนไทย ภายใต้ในหลวง ร.9 ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายครอบครัวมรดก กฎหมายของการแต่งงาน สมมติว่าคุณอยากมีภรรยา อยากจะมีอีกก็ได้ แต่คุณอย่าจดทะเบียนนะ เพราะถ้าจดทะเบียนซ้อน ผิดกฎหมาย ซึ่งถ้าคุณเป็นนักการเมือง คุณทำผิดกฎหมาย ไม่ติดคุกก็รอลงอาญา หรือปรับกันไป แต่ถ้าตามที่บอก คุณอยากมีภรรยา 4 คน จดทะเบียนกันไป แล้วคุณก็ขึ้นศาล ศาลก็จะนั่งคู่กับดาโต๊ะยุติธรรม ถามว่าในหลักการศาสนาคุณทำได้มั้ย ถ้าทำได้คุณสามารถจดได้ 4 คนเลย เพราะฉะนั้น มันมากมายกว่าประเทศมุสลิมบางประเทศซะอีก ประเทศมุสลิมบางประเทศมีประชากรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เขากว่าจะแต่งงานภรรยาคนที่ 2 ได้นั้น ก็ต้องทำอะไรมากมาย จึงไม่แปลกใจว่า คนประเทศมาเลเซียจะทะลักเข้ามาแต่งงานในเมืองไทยมากมายเหลือเกิน เพราะจะใช้ช่องว่างของคนที่นับถือศาสนามาใช้ตรงนั้นได้ มากกว่าประเทศมุสลิมซะอีก
ครั้งหนึ่ง มีบรรดาทูตทหารพระธรรมนูญของประเทศจอร์แดน มาเยี่ยมมัสยิดที่นี่ เขามาเพื่อดูว่า ชาวไทยมุสลิมมีเสรีภาพเต็มใบมั้ย เขาอยากจะดูลงไปจริงๆ พอมาถึงปั๊บ เขาเห็นคนเชื้อสายจีน เห็นคนไทยพุทธอยู่รอบๆ ติดกับมัสยิด เขาก็ถามว่า เวลามีเสียงอาซานเรียกคนมาละหมาด ตอนตี 5 จะรบกวนเขามั้ย คนเชื้อสายจีนคนนั้นบอกว่า ดีใจ ชอบมาก เพราะว่าจะปลุกให้เราตื่น และปลุกให้ลูกไปโรงเรียน ได้ทำกับข้าว
ที่นี่ถือว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพเต็มใบจริงๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ขอยืนยันว่า มันเป็นความคิดที่แคบของนักการเมืองบางช่วงแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่เรื่องของรัฐเลย จะอย่างไรก็ตามผมเชื่อเหลือเกินครับว่า วันนี้อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ รัฐบาลจะเปลี่ยนไปเพราะบุคคล แต่ราชวงศ์ ในหลวงเป็นจุดศูนย์รวมของทั้งประเทศจริงๆ ผมเชื่อว่าประเทศเราจะต้องมีตรงนี้ควบคู่ไปตลอด
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา และมัสยิดต้นสน
ด้วยน้ำพระทัยของพระองค์ท่านที่มีต่อชาวไทยมุสลิม ทั้งการพระราชทานคัมภีร์อัลกุรอานฉบับภาษาไทย, การเสด็จไปเยี่ยมเยียนในพื้นที่ห่างไกล หรือรวมไปถึงการเป็นศาสนูปถัมภกในศาสนาอิสลามในประเทศไทย ได้นำความซาบซึ้งใจต่อชาวไทยมุสลิม อันหาที่เปรียบไม่ได้ และยังทำให้ชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น สามารถภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนไทยในแผ่นดินนี้
• ศาสนาอิสลามในประเทศไทยช่วงก่อนที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นอย่างไรบ้างครับ
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ถ้าเทียบกับทางศาสนาพุทธที่มีพระไตรปิฎก ศาสนาอิสลามก็มีคัมภีร์อัลกุรอาน คือเราอ่านกันทุกวัน ตอนผมเด็กๆ แม่ก็บังคับให้อ่านแล้ว แต่อ่านแล้วไม่รู้แปลว่าอะไร ตอนไปฟังเทศน์ก็ไม่รู้ความหมายเช่นกัน อีกทั้งตอนนั้น เรายังไม่มีคัมภีร์อัลกุรอานฉบับภาษาไทย
• และนั่นจึงเป็นที่มาของ “คัมภีร์อัลกุรอาน ฉบับภาษาไทย” ที่พระองค์ท่านได้พระราชทานให้แก่ชาวไทยมุสลิมใช่ไหมครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2511 พระองค์ท่านเสด็จฯ ไปที่งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย และทุกครั้ง เวลาที่เราเปิดงาน ซึ่งเป็นวันคล้ายวันประสูติขององค์ศาสดาพระมูฮัมหมัด ภาคพิธีการทุกครั้ง งานศาสนาจะถูกเปิดโดยการเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานเป็นการเปิดงาน เพื่อให้เป็นสิริมงคล คราครั้งนั้น เมื่อพิธีการจบสิ้นลง อดีตจุฬาราชมนตรี “ต่วน สุวรรณศาสน์” ได้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ และได้ไปที่พระราชอาสน์ที่ในหลวงและพระราชินีประทับอยู่ และได้รับบังคมทูลเชิญเพื่อไปชมนิทรรศการ แล้วพระองค์ก็ทรงรับสั่งว่า “พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่ถูกเชิญในวันนี้ เราอ่านได้จับใจไพเราะเหลือเกิน แต่ทำอย่างไรที่จะให้พสกนิกรของเราทั้งชาวไทยมุสลิม หรือไม่ใช่ก็ตามที และทุกหน่วยงานองค์กรของรัฐ ได้เข้าใจว่าอัลกุรอานซึ่งเป็นธรรมนูญชีวิต และเป็นคำบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ มีความหมายอย่างไร” แล้วพระองค์ท่านก็พระราชทานทุนทรัพย์ก้อนแรกให้กับอดีตจุฬาราชมนตรี เพื่อหาคนมาแปล
พอได้รับสั่งจากพระองค์ท่านดังนั้นแล้ว บุคลากรทางศาสนาอิสลามในประเทศไทย ณ เวลานั้น ก็ได้ตามหาทั่วประเทศ ไปหาบุคคลที่มีความรู้จริงๆ ทั้งนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ที่มีความรู้มากๆ เอามาอธิบายถอดความคัมภีร์อัลกุรอาน จนในที่สุดก็กลายเป็น “คัมภีร์อัลกุรอานฉบับพระราชทาน” แปลเป็นภาษาไทย ซึ่งเป็นเล่มแรกของโลกครับ พระองค์ท่านทรงเป็นพุทธมามกะ แต่ขณะเดียวกันพระองค์ท่านก็เป็นองค์อุปถัมภกทุกๆ ศาสนา อย่างศาสนาอิสลาม พระองค์ท่านก็ให้มีการแปลคัมภีร์เป็นภาษาไทย เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์มีความรู้ความเข้าใจในหลักการศาสนาที่ตนเองนับถือ
เพราะฉะนั้น คราใดก็ตามที่เราได้อ่านพระมหาคัมภีร์ เราสอนลูกๆ ของเราถึงธรรมนูญชีวิต ถึงพระผู้เป็นเจ้า วันนี้เราไม่ต้องไปถึงเมืองนอกแล้วครับ แค่หยิบพระคัมภีร์เล่มดังกล่าวขึ้นมา และก็สอนลูกๆ ของเราว่าพระผู้เป็นเจ้าสอนให้เราทำอะไรบ้าง แล้วการที่จะเป็นคนมีคุณธรรมจริยธรรมเป็นอย่างไร เมื่อมีการหยิบเล่มนี้ขึ้นมา มันจะอยู่ในหัวใจของเราตลอดไป นี่คือคุณูปการและพระเมตตาอันล้นพ้นของในหลวงที่ให้กับพวกเราจนทุกวันนี้
ผมอยากจะบอกว่า ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มีพระเมตตาของพระองค์ท่านอยู่รอบตัว ทุกอย่าง และเป็นสิ่งที่ละเอียดลออ ทั้งหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็ดี หรือที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสเสมอๆ ว่า “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ก็ดี ซึ่งตรงนี้ ก็ไปตรงกับที่ท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด เคยกล่าวไว้ในเรื่องของการจัดการบริหารองค์กร เมื่อ 1,400 ปีที่แล้ว เป็นภาษาอาหรับว่า “ตะอารุฟ ตะฟาฮุม และตะอาวุน” ซึ่งแปลว่า “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”
แน่นอนว่า ถ้าเราทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้จะเป็นพระราชดำรัสที่สั้น แต่ก็กินใจ และใช้ได้กับทุกอย่าง ไม่ได้ใช้แค่ประเทศชาติบ้านเมืองหรือองค์กร เอาแค่เราเป็นคุณพ่อคุณแม่เป็นหัวหน้าครอบครัว จะสอนลูก เราเป็นครูจะสอนนักเรียน เราเป็นสามีภรรยา ถ้าเราดำเนินชีวิตกันอยู่ นี่แหละ เรียกว่าให้เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา นี่คือปรัชญาที่ใช้ได้กับทุกอย่าง
• นอกจากเรื่องคัมภีร์ฯ ภาษาไทย ฉบับพระราชทาน มีเรื่องราวใดในพระองค์ท่านที่คุณอยากเล่าให้เราฟังอีกบ้างครับ
ในหลักการของศาสนา การละหมาด 5 เวลา ในแต่ละวัน ถือเป็นเสาหลักของศาสนา ใครก็ตามที่ทำสิ่งนี้ได้ ก็ดำรงไว้ด้วยศาสนา คุณธรรม จริยธรรม แล้วใครก็ตามละทิ้งการละหมาด ก็จะละทิ้งศาสนาด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่ผมประทับใจที่สุด ซึ่งเวลาเราไปทำภารกิจบางอย่างในพระราชวัง พอถึงเวลาละหมาด ผมไม่ต้องนั่งรถออกมาครับ พระองค์ท่านทรงให้มีศาลาละหมาดใหญ่โตเรียบร้อย
และเวลาที่พระองค์ท่านเสด็จฯ แปรพระราชฐาน ในช่วงเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นช่วงที่มุสลิมทั่วโลกถือศีลอด พระองค์ท่านก็ทรงปรารภว่า การเสวยพระกระยาหาร ขอให้ไปสอดคล้องกับเวลาเริ่มอาหาร ก่อนที่ตะวันจะขึ้น และพอจะเสวยอีกมื้อหนึ่ง ก็ขอให้ตรงกับเวลาละศีลอดของชาวมุสลิม พอเราได้ยินอย่างนี้แล้วเราก็รู้สึกว่า พระองค์ท่านทรงอยู่ใกล้ชิดกับเรา
หรืออีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครั้งเสด็จฯ ที่บ้านห้วยทรายใต้ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กันดารมาก ไม่มีใครเข้าไปถึงที่นั่นเลย ไม่มีใครอยากจะเข้าไป เพราะหาน้ำอาบน้ำละหมาดก็ไม่ได้ ไฟฟ้าก็แทบจะเข้าไม่ถึง แต่สิ่งที่เราคิดกันมาก่อนที่พระองค์ท่านจะไปว่า พระองค์ท่านรู้ได้อย่างไร ขนาดเรายังไม่รู้เลยว่ามีมัสยิดหลังหนึ่งอยู่ในป่า แล้วพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินเข้าไป เมื่อในหลวงเข้าไปเห็นก็อยากที่จะทะนุบำรุงช่วยเหลือ เดี๋ยวนี้ คนไปละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดแห่งนี้เป็นร้อยคนครับ จากที่ไม่มีคนไปละหมาดเลย นี่คือพระเมตตาอันท่วมท้น และพระองค์ท่านไม่ได้ทำให้สิ่งที่เจริญอยู่แล้ว แต่จากที่เป็นศูนย์ พระองค์ท่านทำขึ้นมามากมายเหลือเกิน นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราให้เกิดความภาคภูมิใจ ที่ได้เห็นจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วพระราชดำรัสมากมายที่พระองค์ท่านได้รับสั่งเอาไว้ แทบไม่มีอะไรที่ขัดกับหลักการศาสนาอิสลามเลย
อย่างที่บอกไปว่าให้มีความเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา พระองค์ท่านให้เราทุกคนรักกัน แน่นอนว่าตามหลักศาสนาเราก็ต้องรักกัน แล้วความรักนั้นไม่ใช่แค่คนในศาสนาเดียวกันเท่านั้น อันหนึ่งที่ต้องประกาศให้ทราบคือ ในหลักศาสนาอิสลาม ให้เราต้องรักกัน จะเป็นศาสนาเดียวกันหรือต่างก็ตาม แต่มันจะมีข้อหนึ่งตรงที่ว่า ไม่ให้คนมุสลิมไปเกี่ยวข้องกับพิธีการของศาสนาอื่น นอกนั้นทำได้หมด เช่น เพื่อนบ้านเกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ใช่ว่าจะต้องพาไปหาหมอ ช่วยเหลือเขา แต่จำเป็นต้องไปดูแลเขา ไม่เช่นนั้นก็อย่าอ้างตัวเองว่าเป็นมุสลิม ความรักประเทศชาติ บ้านเกิดเมืองนอนก็เช่นเดียวกัน ศาสนาอิสลามถือเป็นหลักชัดเจนที่พระศาสดาได้สอนว่า “ฮอบุลเลาะตุล มีนิน อีมาน” ความรักต่อประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอน เป็นส่วนหนึ่งของความศรัทธาหรือความเป็นมุสลิม เพราะฉะนั้นวันนี้ ถ้าคุณทำพิธีละหมาดครบ คุณมีความรู้ เป็นคนดีหมดทุกอย่าง แต่ถ้าหัวใจคุณยังไม่รักในประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอน อย่าบอกว่าตัวเองเป็นมุสลิมที่สมบูรณ์แบบ
ถามว่าคำนี้แต่งขึ้นมาหรือไม่ ผมไม่ได้แต่งขึ้นมา แต่เป็นพระศาสดาที่วางไว้ให้มุสลิมทุกคน และพระศาสดาเองก็รักชาติบ้านเกิดเมืองนอนของพระองค์เช่นกัน ซึ่งเราต้องทำตามแบบของพระองค์ท่าน วันนี้เราเกิดที่ไหน เราใช้ชีวิตที่ไหน แล้วเราก็มุ่งหวังว่าจะตายที่ไหน ผมเองผมเกิดที่นี่ และผมใช้ชีวิตตลอดที่นี่ แล้วผมขอวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าว่าขอตายที่นี่ แน่นอนครับ ผมต้องรักที่นี่ ตามคำของพระศาสดาที่ว่าไว้ และสิ่งที่พระองค์ท่านทำมาให้ตอลด พระองค์ท่านต้องการให้ทุกเชื้อชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกคนที่นับถือศาสนาในแผ่นดินของพระองค์ท่าน มีความเป็นอยู่ที่ดี นี่คือแบบฉบับที่พระองค์ท่านไว้ให้กับพวกเรา
พระองค์ท่านทรงให้ความทัดเทียมกัน อะไรก็ตามที่ไปกระทบต่อศาสนา พระองค์ท่านก็เปิดให้ตลอด ยกตัวอย่างเช่น บ่อยครั้งที่มีคนในต่างประเทศ เขาไม่เข้าใจ แม้กระทั่งคนมุสลิมก็เถอะ บางครั้งมาจากนโยบายจากนักการเมืองที่ไม่เป็นกลาง จนกระทั่งเขารู้สึกว่า การที่เขาเกิดมาเป็นมุสลิมไทย เหมือนกับเป็นประชากรชั้นสองของประเทศ เป็นอะไรใหญ่โตไม่ได้เลย แม้กระทั่งบุคคลสำคัญจากต่างประเทศ เขาก็อยากจะมาดูว่าจริงหรือเปล่า ที่มุสลิมไทย ไม่มีสิทธิและเสรีภาพ
วันนี้ไม่ต้องไปดูที่อื่นครับ มัสยิดในประเทศไทยมีประมาณ 3,000 แห่ง ในกรุงเทพฯ มี 180 แห่ง ที่เขาบอกว่าเป็นมุสลิมแล้วเป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้ และมีสิทธิเสรีภาพไม่เต็มใบ วันนี้แค่มัสยิดต้นสน หลุมฝังศพรายล้อม มีบุคคลสำคัญฝังอยู่ที่นี่เต็มไปหมด มีทั้งจุฬาราชมนตรีถึง 9 ท่าน มีเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ ซึ่งเปรียบประหนึ่งพระหัตถ์ขวาของสมเด็จพระเจ้ากรุงธน เจ้าพระยาภักดีแขก (มะหมูด) ก็ฝังที่นี่ ลูกชายของท่าน เจ้าพระยาราชวังสันเสนีย์ ก็นอนที่นี่ ท่านเองก็คุณตาของ สมเด็จพระศรีสุลาไลย เจ้าจอมมารดาเรียม พระมารดาของรัชกาลที่ 3 เจ้าจอมที่เป็นมุสลิม 3 พระองค์ก็ฝังอยู่ที่นี่ ไหนล่ะที่บอกว่าเป็นมุสลิมแล้วเป็นใหญ่เป็นโตไม่ได้
ผมจำได้ว่า คุณปู่ของผม (นายเจ๊ะอับดุลลาห์ หลังปูเต๊ะ : อดีตรัฐมนตรี และอดีต ส.ส. สตูล 5 สมัย) ท่านเคยพูดในภาษานักการเมืองบอกว่า “ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นมุสลิม ผมภูมิใจที่เป็นคนจังหวัดสตูล และผมภูมิใจที่เป็นคนใน 4 จังหวัดภาคใต้” ผมอยากจะบอกว่า ขอให้คุณเกิดมาเป็นคนมุสลิมเถอะ คุณอยู่ใน 6 จังหวัดปัจจุบัน ขึ้นศาลตามกฎหมายไทย มากกว่านักการเมืองหรือรัฐมนตรีที่ไม่ใช่มุสลิมซะอีก ไม่ต้องดูอะไร ดูที่เราจับต้องง่าย ขอแค่คุณเป็นคนกวาดถนนในปัตตานีก็พอ คุณจะได้เสรีภาพมากกว่านายพลซะอีก
ในความเป็นคนไทย ภายใต้ในหลวง ร.9 ยกตัวอย่างเช่น กฎหมายครอบครัวมรดก กฎหมายของการแต่งงาน สมมติว่าคุณอยากมีภรรยา อยากจะมีอีกก็ได้ แต่คุณอย่าจดทะเบียนนะ เพราะถ้าจดทะเบียนซ้อน ผิดกฎหมาย ซึ่งถ้าคุณเป็นนักการเมือง คุณทำผิดกฎหมาย ไม่ติดคุกก็รอลงอาญา หรือปรับกันไป แต่ถ้าตามที่บอก คุณอยากมีภรรยา 4 คน จดทะเบียนกันไป แล้วคุณก็ขึ้นศาล ศาลก็จะนั่งคู่กับดาโต๊ะยุติธรรม ถามว่าในหลักการศาสนาคุณทำได้มั้ย ถ้าทำได้คุณสามารถจดได้ 4 คนเลย เพราะฉะนั้น มันมากมายกว่าประเทศมุสลิมบางประเทศซะอีก ประเทศมุสลิมบางประเทศมีประชากรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เขากว่าจะแต่งงานภรรยาคนที่ 2 ได้นั้น ก็ต้องทำอะไรมากมาย จึงไม่แปลกใจว่า คนประเทศมาเลเซียจะทะลักเข้ามาแต่งงานในเมืองไทยมากมายเหลือเกิน เพราะจะใช้ช่องว่างของคนที่นับถือศาสนามาใช้ตรงนั้นได้ มากกว่าประเทศมุสลิมซะอีก
ครั้งหนึ่ง มีบรรดาทูตทหารพระธรรมนูญของประเทศจอร์แดน มาเยี่ยมมัสยิดที่นี่ เขามาเพื่อดูว่า ชาวไทยมุสลิมมีเสรีภาพเต็มใบมั้ย เขาอยากจะดูลงไปจริงๆ พอมาถึงปั๊บ เขาเห็นคนเชื้อสายจีน เห็นคนไทยพุทธอยู่รอบๆ ติดกับมัสยิด เขาก็ถามว่า เวลามีเสียงอาซานเรียกคนมาละหมาด ตอนตี 5 จะรบกวนเขามั้ย คนเชื้อสายจีนคนนั้นบอกว่า ดีใจ ชอบมาก เพราะว่าจะปลุกให้เราตื่น และปลุกให้ลูกไปโรงเรียน ได้ทำกับข้าว
ที่นี่ถือว่าประเทศไทยให้สิทธิเสรีภาพเต็มใบจริงๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้น ขอยืนยันว่า มันเป็นความคิดที่แคบของนักการเมืองบางช่วงแค่นั้นเอง แต่ไม่ใช่เรื่องของรัฐเลย จะอย่างไรก็ตามผมเชื่อเหลือเกินครับว่า วันนี้อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ รัฐบาลจะเปลี่ยนไปเพราะบุคคล แต่ราชวงศ์ ในหลวงเป็นจุดศูนย์รวมของทั้งประเทศจริงๆ ผมเชื่อว่าประเทศเราจะต้องมีตรงนี้ควบคู่ไปตลอด
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา และมัสยิดต้นสน