พสกนิกรจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งชาวไทย และต่างชาติ ต่อคิวอย่างเป็นระเบียบตั้งแต่เช้ามืด เพื่อรอถวายเข้าสักการะพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
วันนี้ (14 พ.ย.) เป็นวันที่ 17 ในการพระราชทานพระราชานุญาตให้ประชาชนเข้าถวายสักการะพระบรมศพ เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาเฝ้ารอต่อคิวเพื่อเข้าสักการะพระบรมศพตั้งแต่เช้ามืด ซึ่งเจ้าหน้าที่เปิดให้ประชาชนเข้าทางประตูวิเศษไชยศรีอย่างเป็นระเบียบ ในเวลา 05.00 น. จากนั้นได้เปลี่ยนทางเข้าเป็นทางประตูมณีนพรัตน์ ถนนหน้าพระลาน ในเวลา 08.30 น. เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมวัดพระศรีรัตนศาสดารามเข้าทางประตูวิเศษไชยศรี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังอยู่ในความโศกเศร้า บางคนก็ยังรับต่อการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ไม่ได้ แต่สุดท้ายทุกคนต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาทุกคนจะทำได้ในฐานะลูกที่ดี นั้นก็คือ การยึดหลักคำสอนของพ่อมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
นางขวัญฤดี วงค์สุบรรณ อายุ 51 ปี ชาว อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี พร้อมด้วยสมาชิกองค์กรพัฒนาสตรี และผู้สูงอายุ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จฯไปทรงเปิดเขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2530 ดีใจมากที่พระองค์ท่านเสด็จฯไปช่วยเหลือราษฎร เพราะน้ำคือชีวิตของทุกคน ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งที่ผ่านมา ชาวสุราษฎร์ธานีได้ร่วมใจกันจัดกิจกรรมเพื่อพ่อมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นโครงการต่อเนื่องของพระองค์ หรือในโอกาสวันพ่อ รวมถึงได้เตรียมจัดกิจกรรมวันที่ 5 ธ.ค. นี้ ถึงแม้วันนี้พระองค์ท่านเสด็จสวรรคตแล้ว พวกเรารู้สึกเสียใจมากที่สุดของที่สุด โดยพวกเราก็จะน้อมนำหลักคำสอนของพระองค์มาปฏิบัติทั้งหลักเศรษฐกิจพอเพียง การทำความดีรู้รักสามัคคีเพื่อพ่อ
ส่วน นางยุพิน สูตรใจ อายุ 47 ปี ชาว ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ตนเดินทางมาทำงานเป็นพนักงานในบริษัทเอกชน ย่านรังสิต กทม. กว่า 20 ปีแล้ว ยังไม่เคยรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เลยแม้แต่ครั้งเดียว ก็รู้สึกน้อยใจที่ไม่เคยได้เห็นพระองค์เลยเพราะต้องทำงาน ได้เห็นแต่ในรูปและในทีวี เห็นแต่พระองค์ท่านไปเยี่ยมราษฎรในถิ่นทุรกันดาร ยิ่งเวลาเห็นท่านปาดเหงื่อแล้วตนจะน้ำตาไหลทุกครั้ง รู้สึกปลาบปลื้มใจที่พระองค์ท่านช่วยเหลือราษฎรในทุกๆ เรื่อง ไม่อยากให้พระองค์ท่านจากพวกเราไปไหน ยิ่งได้เข้ามากราบพระองค์ในพระบรมมหาราชวังยิ่งรู้สึกอบอุ่นเหมือนว่าพระองค์ยังอยู่กับประชาชน
ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจากรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มาพร้อมเพื่อนคนไทย พักอาศัยย่านพัทยา จ.ชลบุรี โดยหลังจากทราบข่าวว่า ในหลวง ร.๙ สวรรคต ก็ไม่ได้เปลี่ยนแผนการเดินทางมาประเทศไทย และพร้อมใจกันมาสักการะพระบรมศพ ในหลวง ร.๙ ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท โดยได้เตรียมตัวในเรื่องของการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย และเดินทางมาถึงตั้งแต่ตี 4
มร.เอเดรียน ลอว์ วัย 77 ปี อาจารย์มหาวิทยาลัยมิสซูรี แคนซัส ซิตี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินจากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า แม้มาเมืองไทยเป็นครั้งแรก แต่ได้รับรู้เรื่องราวของพระองค์ท่านจากหนังสือพิมพ์มาบ้าง ครั้งนี้ได้มาเมืองไทยได้เรียนรู้ประวัติและการทรงงานของพระองค์ท่าน ทราบว่า ท่านทรงทำเพื่อประชาชนชาวไทยมากมาย โดยเฉพาะเรื่องดินที่ทรงศึกษาค้นคว้า แก้ปัญหาให้ชาวบ้านสามารถทำเกษตรกรรมได้ อีกทั้งยังทรงสามารถถ่ายทอดสอนให้ชาวบ้านปลูกพืชผักเลี้ยงชีพด้วยตัวเองได้ พระองค์ทรงศึกษามากกว่าที่พวกเรานักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาค้นคว้าในห้องทดลองเสียอีก
นางจูลี แอน โบเอ็ม วัย 80 ปี เผยว่า รู้สึกดีใจที่เห็นคนไทยรักกัน แม้ตอนเช้าต้องเข้าแถวต่อคิวยาว แต่ด้วยความตั้งใจที่อยากจะมากราบสักการะพระบรมศพ ทำให้ได้เห็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันของคนไทย ระหว่างทางก็มีแจกน้ำ ทิชชู และ ขนม ด้วย
น.ส.อแมนดา โบเอ็ม วัย 44 ปี เผยว่า ชอบเดินทางท่องเที่ยวยังสถานที่ต่างๆ และเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ได้มาท่องเที่ยวในเมืองไทย พร้อมได้ชมความงามของพระบรมมหาราชวัง ทำให้ได้เห็นและทราบประวัติของพระองค์แบบคร่าวๆ จากนั้นได้ศึกษาเพิ่มเติมจากการอ่านในหนังสือและอินเทอร์เน็ต ยิ่งทำให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่แตกต่างจากพระมหากษัตริย์องค์อื่นใดในโลกนี้ เพราะทรงเสียสละเวลาและทรงงานต่างๆ นานัปการ นอกจากนี้ ยังรู้สึกปลื้มใจที่ได้รับเสด็จฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์ทรงแย้มพระสรวล และโบกพระหัตถ์ให้แก่ประชาชน เพื่อนชาวไทยบอกว่าเป็นความโชคดีของเรา เพราะแม้แต่คนไทยบางคนยังไม่ได้ใกล้ชิดอย่างนี้
นายคลิฟ เช้ง วัย 54 ปี กล่าวว่า ส่วนตัวตอนที่มาเมืองไทยครั้งแรก ภรรยาได้พาไปเที่ยวดอยตุง ดูโครงการต่างๆ ที่พระองค์พัฒนาทำให้ชาวเขาไทย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อยู่ดีกินดีด้วยเกษตรกรรม มีอาหาร มีน้ำกิน-ใช้ อย่างยั่งยืน และมีความพอเพียง จำได้ว่าตอนนั้นพอรู้ว่าทั้งหมดที่เห็นมีที่มาจากพระมหากษัตริย์ รู้สึกประทับใจ และสนใจในพระองค์มาก พอเห็นนิทรรศการพระราชประวัติของในหลวง รัชกาลที่ ๙ ก็ยืนอ่านอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง มีข้อมูลที่ทำให้ตื้นตันใจ คือ ที่แท้จริงแล้วพระองค์ท่านมีพระเนตรแค่ 1 ข้าง ทรงทำงานเพื่อผู้คนทั้งประเทศด้วยพระเนตรข้างเดียว คงต้องเหนื่อยมากๆ ลำพังตัวเองทำงานด้วยตา 2 ข้าง ยังรู้สึกเหนื่อยมากๆ แต่งานของพระองค์หนักกว่าหลายเท่า ยังทำต่อเนื่องด้วยความขยัน ไม่ย่อท้อ