เจ้าของเพจ “หมอแล็บแพนด้า” ที่ให้ความรู้และเตือนภัยเรื่องสุขภาพ ได้รับการถอนฟ้องแล้ว หลังเจ้าของยาลดความอ้วนเรียกค่าเสียหาย สุดท้ายตกลงกันได้ ด้านเพจดัง “Drama-addict” แฉโรงงานผลิตยาลดความอ้วน ผสมไซบูทรามีน มีขบวนการเส้นใหญ่ คนมีสีอยู่เบื้องหลัง ทำอะไรไม่ได้ เพราะใหญ่โต ใครเปิดประเด็นฟ้องหมิ่นประมาทก่อน จนท. ตรวจโรงงานก็เอาล็อตที่ไม่ใส่สารอันตรายตบตา แถมฟ้องภาครัฐกลับ หนำซ้ำบทลงโทษยังน้อย จ่ายค่าปรับแล้วขายต่อ ฝาก คสช. ช่วยดูปัญหาด้วย
วันนี้ (4 พ.ย.) ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ ในฐานะเจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “หมอแล็บแพนด้า” ที่ให้ความรู้และเตือนภัยเรื่องสุขภาพ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ถูกเจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักแบรนด์หนึ่ง ฟ้องร้องดำเนินคดีทางแพ่งเรียกค่าเสียหาย กรณีโพสต์ข้อความเตือนประชาชนถึงอันตรายของผลิตภัณฑ์ลดความน้ำหนักที่มีการวางจำหน่ายกันเกลื่อนท้องตลาด แล้วมีสมาชิกเฟซบุ๊กบางคนเปิดเผยชื่อผลิตภัณฑ์ในช่องความคิดเห็น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ระบุว่า
“ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบคุณจ่าพิชิต ที่แนะนำทนายฝีมือดีให้ผม (คนขวา) เก่งมากๆ ครับ และขอบคุณพี่กอล์ฟ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่พร้อมจะว่าความให้ผมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย (ถ้าผมต้องการสู้) โทรมาให้กำลังใจตลอด และส่งทนาย (คนซ้าย) มาอยู่เป็นเพื่อนผมทุกครั้ง ขอบคุณณเอก และเจ แอดมินเพจดัง ที่ไปเป็นกำลังใจให้ผมที่ศาล (มาทำไมฮึ) ตลอดจนแอดมินเพจต่างๆที่ช่วยให้กำลังใจ อีกทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ ลูกเพจ และญาติๆ ทุกคนที่ไม่ได้เอ่ยนาม เพราะเยอะมากๆ ครับ สรุปว่าจบด้วยดีครับ ทางโจทก์ก็น่ารัก ผมไม่ใช่จำเลยอีกแล้ว ผมพร้อมจะเดินหน้าทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคมต่อไป ผมไม่ใช่เด็กตั้งใจเรียน แต่ตั้งแต่เรียนจบ ผมจำได้อยู่แค่ประโยคเดียว “เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ ประชาชน”
นอกจากนี้ ในเฟซบุ๊กเพจ “หมอแล็บแพนด้า” ยังโพสต์ข้อความระบุว่า “สวัสดีวันสุขครับ วันนี้ผมยิ้มกว้างกว่าทุกวัน เพราะเรื่องคดีจบปิ๊งลงด้วยดี ทางโน้นก็น่ารักครับ การที่เราต่างให้อภัยกันเป็นเรื่องยากนะครับ แต่เราก็ทำได้ เย้ๆ ต่อไปนี้เราจะไม่พูดเรื่องคดีนี้กันอีกแล้วเนอะ ยกเว้นเรื่องที่แมนยูแพ้ และอีเจี๊ยบยอมรับว่าชอบผู้ชาย 5555555555555555”
รายงานข่าวแจ้งว่า ศาลได้นัดไกล่เกลี่ยระหว่าง ทนพ.ภาคภูมิ กับ เจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักแบรนด์หนึ่ง ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ผลการไกล่เกลี่ยพบว่าเจ้าของผลิตภัณฑ์อาหารเสริมลดน้ำหนักเป็นฝ่ายถอนฟ้อง
ด้านเฟซบุ๊กเพจ “Drama-addict” โพสต์ข้อความ ระบุว่า “เนื่องในวาระที่หมอแลปรอดคดีมาได้ ขอเล่าบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้กับพวกขายยาลดความอ้วน ครีมปรอท ยาอาหารเสริมทำลายล้างสุขภาพคนไทย ที่ได้รู้มาจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องให้ฟังกัน
ประการแรก พวกนี้เป็นเครือข่ายใหญ่ ขนาดมหึมา โรงงานผลิตยาลดความอ้วน ผสมไซบูทรามีนที่เห็นขายกันเกลื่อนตลาดหลายยี่ห้อ หลายเจ้าดังๆ มาจากโรงงานเครือเดียวกัน และพอสืบสาวลงไปลึกๆ พบว่าเจ้าของโรงงานเป็นคนมีสี เจ้าหน้าที่ในพื้นที่หลายๆ ภาคส่วน พยายามเต็มที่แล้ว แต่พอถึงจุดหนึ่ง
มันทำไรพวกนี้ไม่ได้เพราะใหญ่โต และทำเช่นนี้มายี่สิบสามสิบปีแล้ว แต่ภาครัฐก็แทบทำอะไรมันไม่ได้เลย
ประการต่อมา พวกนี้ใช้กฎหมายเป็น เวลาเจอใครออกมาเปิดประเด็นเรื่องยาลดความอ้วน หรือใช้ยาลดความอ้วนจนป่วย ไม่สบาย ตาย แล้วจะออกมาแฉ พวกนี้ชิงฟ้องก่อนข้อหาหมิ่นประมาท
ประการสาม พวกนี้หัวหมอ สมมติเวลาผลิตยาลดความอ้วนขาย ผสมยาอันตรายลงไปมากมาย พอมีคนร้องเรียน ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจที่โรงงาน จะไปดำเนินคดี รู้ตัวแล้วรีบเอายาลดความอ้วนล็อตที่ใส่สารอันตรายไปเก็บ เอาล็อตที่ไม่มีสารอันตรายมาให้ตรวจ แล้วอ้างว่าที่เจอสารอันตรายนั้น “ของเลียนแบบ” บางทีมีฟ้องภาครัฐกลับด้วย
ประการสี่ ต่อให้จับได้จะจะ บทลงโทษทางกฎหมายก็น้อย จ่ายค่าปรับไม่เท่าไหร่ก็ออกมาลอยชายขายต่อ ดูอย่างคนที่ขาย “โซล สลิม” ตอนนี้กลับมาขายแบบเดิมละ กฎหมายบ้านเราอ่อน และไม่คุ้มครองผู้บริโภคอย่างที่มันควรจะเป็น
ประการห้า พวกนี้ใช้ระบบขอเลขที่ อย. ผ่านอินเทอร์เน็ตที่ทำง่ายๆ ยื่นทางเน็ทตอนเช้า ได้เลข อย. ตอนเย็น มาหลอกผู้บริโภคว่า มีเลขที่ อย. แปลว่าปลอดภัย และมีสรรพคุณตามที่มันอวดอ้างจริง ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันเลย
ประการที่หก ดาราศิลปินคนในวงการบันเทิงที่หิวเงิน แทนที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน แต่เพราะโลภโมโทสัน เห็นคนเสนอเงินให้มหาศาลก็ขายจิตวิญญาณเป็นข้ารับใช้ให้ธุรกิจระยำจัญไรนี้ซะเยอะ สุดท้ายเหยื่อก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นประชาชนที่ชื่นชมหลงไหลดาราจัญไรพวกนี้นี่เอง
จากที่เล่ามาอยากบอกให้รู้ว่า การรบกับคนพวกนี้เหนื่อยมาก เสี่ยงมาก จะทำไรต้องวางแผนกันให้รอบคอบและรัดกุม ถ้าเป็นไปได้ต้องประสานกับสื่อและภาครัฐด้วย แต่ถึงงั้นก็ยังยากอยู่ดี หากเป็นไปได้ คสช. ช่วยมาดูปัญหานี้หน่อยเหอะ แม่งเป็นปัญหาที่สาหัสมาก และแทบจะไม่มีทางแก้ได้เลย หากระบบราชการยังเป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบัน”