หญ้าปากคอก & ตำข้าวสารกรอกหม้อ เป็นคำพังเพยของไทยที่มีมาช้านาน เรียนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แต่ก็เกิดขึ้นประจำกับคนไทย นี่กระมังที่คนรุ่นก่อนบอกว่า “สอนไม่รู้จักจำ”
ผมกำลังพูดถึงปัญหาราคาข้าว ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซากที่เกิดมาก็ได้ยินเลย ปีนี้ก็เดิม ๆ ได้ยินได้เห็นอีกแล้วเป็นไปอีกแล้ว และก็วิ่งวุ่นหาแนวทางแก้ไข แล้วก่อนหน้านี้ทำอะไรอยู่ นักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์เก่ง ๆ ไปไหนหมด จะออกมาแสดงภูมิอะไรกันตอนนี้ คนมีวิชาต้องกันก่อนแก้ ไม่ใช่แย่แก้ไม่ทันแล้วออกมาแสดงทัศนะ โน่น นี่ นั่น !!!
ผมพูดมาตั้งแต่ปี 2548 ว่า ข้าวหอมมะลิไทยเป็นยาวิเศษ เป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้คนอีสาน ปลูกที่อื่น เขาไม่เรียกข้าวหอมมะลิ 105 เขาเรียกข้าวหอมจังหวัด คนอีสานต้องตระหนัก และรักษาสิ่งนี้ไว้ โดยทำให้มันเป็นของวิเศษให้ได้ สร้างเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ให้ข้าวหอมมะลิ 105 ทำให้เป็นสินค้าอาหารชั้น Premium ไม่ใช่ชั้น Normal หรือ Economy และต้องเป็นตลาดเฉพาะ หรือ Niche Market ด้วยการทำเป็นข้าวอินทรีย์มาตรฐานสากล Certify Organic International Certificate ทำเป็นธุรกิจการเกษตร ระดับมหภาค (Macro) แบบ Hi-class และส่งออกไปเลย
แล้วพอลงมือทำ อุปสรรคมากมายมหาศาล นักวิชาการเกษตรทั้งในมหาวิทยาลัยและในส่วนราชการต่างก็ถามว่า “จบอะไรมา เก่งมาจากไหน มาทำเกษตรอินทรีย์” ผมได้แต่ยิ้ม และคิดในใจมาตลอดว่าไม่สำคัญหรอกว่าจบอะไร เก่งมาจากไหน การทำข้าวอินทรีย์เป็นเกษตรทางรอด ไม่ใช่เกษตรทางเลือก ใช้ใจทำมากกว่าใช้ปาก
การพัฒนาระบบชลประทาน การพัฒนานวัตกรรมการเกษตร เทคโนโลยีเคมีชีวภาพ พัฒนาเร็วมาก สามารถเร่งปริมาณได้ ทันกินทันใช้ แต่อันตรายแอบแฝงมันมากมายมหาศาล ส่งผลกระทบ (Impact) ที่รุนแรงต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และสุขภาพองค์รวมอย่างรุนแรงและหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผลกระทบระยะสั้นที่สำคัญ คือ กลไก Demand & Supply สักวันหนึ่ง ตลาดข้าวจะพบกับวิกฤตการณ์ Over Supply แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ เมื่อทุกประเทศเพื่อนบ้านเรา ปลูกข้าวสายพันธุ์เดียวกับเราได้เท่ากับเรา หรือมากกว่าเรา แต่ต้นทุนต่ำกว่าเรา เขาขายได้ราคาต่ำกว่าเรา ผลคือฉุดราคาเราดิ่งเหว เฉกเช่นวันนี้ที่กำลังเกิดขึ้น
ในเพจต่าง ๆ ของ Social Media บ้างก็โทษรัฐบาล บ้างก็ด่าโรงสี ว่ากันไปตามอารมณ์ แต่ที่แน่ ๆ คือแม้มันเป็นปัญหาหญ้าปากคอก แล้วจะมาแก้ปัญหาแบบตำข้าวสารกรอกหม้อ มันแก้ยังไงก็ไม่ทัน โทษใครไม่ได้หรอกครับ ของแบบนี้ต้องใช้เวลา บ้างก็จะสีขายเอง บ้างก็จะบดเลี้ยงสัตว์ ก็ดีครับ เป็นการแก้ปัญหาที่ดี และเป็นทางออกที่ผ่อนคลาย ไม่ให้ใครต้องเดือดร้อน แต่มันได้ในระดับปัจเจก ในระดับองค์รวมมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่ดี เพราะข้าวออกพร้อมกันหลายแสนตัน ช่วงเดือนพฤศจิกายน - ธันวาคม และอาจเลยไปมกราคมบ้าง จะจัดการยังไงทัน รัฐให้ ธ.ก.ส. จำนำยุ้งฉาง ก็ได้ในระดับหนึ่ง เพราะเกษตรกรมียุ้งฉางกันไม่กี่คน ส่วนมากเกี่ยวเสร็จก็ขายหมด เพราะหนี้สินรออยู่ ก็หนี้ ธ.ก.ส. อีกนั่นแหละใครก็รู้ จะพลิกไปท่าไหนก็เป็นหนี้ ธ.ก.ส. อยู่ดี
การแก้ปัญหาภาคราชการ ผมเสนอว่าหน่วยงานของรัฐที่ต้องซื้อข้าวเป็นการประจำ เช่น ค่ายทหาร โรงพยาบาล โรงเรียนประจำต่าง ๆ เรือนจำ และอื่น ๆ ปีนี้ไม่ต้องเปิดประมูลซื้อของถูกนะครับ ใช้วิธีพิเศษ หรือวิธีกรณีพิเศษ ซื้อข้าวจากเกษตรกร หรือกลุ่มเกษตรกรผูกขาดทั้งปีไปเลยในราคาที่ยุติธรรมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย ไม่ผิดระเบียบการเงินการพัสดุหรอกครับ ถ้ากลัวมาก ก็ขอใช้ ม.44 ก็ได้ครับ เพื่อชาติและประชาชน ไม่เสียหายอะไรเลยครับ
วันนี้ เรื่องนี้ต้องแก้อย่างเป็นระบบและใช้เวลาครับ ในมุมของผม นอกจากเปลี่ยนไปปลูกพืชอย่างอื่นแล้วต้องใส่ใจเรื่องคุณภาพและมาตรฐาน ของข้าวหอมมะลิ และ/หรือข้าวอื่น ๆ ให้มากกว่านี้ คือทำมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของข้าวตามความต้องการของตลาด ไม่ทำพอแล้ว ๆ ว่าได้ทำ (อีสานว่า “เฮ็ดพอสาบานน้ำบ่ตาย”) เลี่ยง ๆ ไปทำเกษตรอินทรีย์ก็ทำแบบส่งออกไม่ได้ ต้องขายเข้าโรงสีเป็นข้าวทั่วไป “เหมียนเดิม”
โธ่...ทำแล้ว ลงมือแล้ว ลงทุนแล้ว เอาให้สุดลิ่มทิ่มประตูไปเลย แล้วผลก็จะออกมาแบบสุดสวยครับ
ดร.รณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล
ดร.รณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล ถือเป็นตัวอย่างและแบบอย่างที่ดีในการทำเกษตรอินทรีย์ ที่ยึดแนวทางตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร ปลูกข้าวหอมมะลิปลอดสารเคมี และนำมาผลิตสินค้าหลากหลายชนิดจนเป็นที่รู้จัก เป็นเจ้าของอาณาจักร “กฤษณกรณ์ฟาร์ม” มีศูนย์จำหน่ายถาวรสินค้าอินทรีย์ กระทรวงพาณิชย์ ที่สนับสนุนโดยสำนักงานพาณิชย์ จังหวัดร้อยเอ็ด จำหน่ายสินค้าที่เป็นสินค้าอินทรีย์แปรรูปอย่างหลากหลาย มีมาตรฐานรองรับทั้งในประเทศไทยและระดับสากล ซึ่งข้าวหอมมะลิร้อยเอ็ดของเครือข่ายนี้โด่งดังไปทั่วโลก จนพ่อค้าข้าวชาวยุโรป อาทิ สเปน เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และสวีเดน สนใจเดินทางมาดูงานและทำสัญญาซื้อขายถึงแปลงนา