“เจษฎา เด่น” ย้อน “ประยุทธ์” ไล่เอาผักตบชวาไปทำกิน เจอเฟซบุ๊ก Kittitouch สวนรู้หรือไม่เป็นผักดูดซึมสารพิษสูง เจ้าตัวแก้เกี้ยว อ้างใครเค้าให้เก็บจากแหล่งน้ำเสีย เจอซัดกลับที่แซะนายกฯ หมายถึงเคสผักเต็มเจ้าพระยา 5 หมื่นตัน จวกไร้ความรับผิดชอบต่อสังคม ด้าน “สุจิตต์ วงษ์เทศ” ลองแล้ว บอกไม่อร่อย คันคอ
วันนี้ (29 ส.ค.) สังคมออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อความประเด็นที่ นายเจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ออกมาวิพากษ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งกำจัดผักตบชวา และตอบโต้นักวิชาการที่ติติงให้นำไปทานเอง โดยยืนยันว่า “ผักตบชวา แกงกินได้ อาหารพื้นบ้าน เห็น พล.อ.ประยุทธ์ ไล่นักวิชาการไปกินผักตบชวาแทนผักบุ้ง เลยเอาเมนูพื้นบ้านมาให้ดูว่า ชาวบ้านเค้าเอาผักตบมาแกงกินกันได้นะครับ นี่ยังไม่นับว่าเอายอดมันมาลวกจิ้มน้ำพริกได้ด้วยนะ คนโบราณอย่างประยุทธ์ น่าจะลองชิมดู เผื่อจะติดใจ” พร้อมกับระบุสูตรการทำแกงผักตบชวาให้ด้วย
จากนั้นสมาชิกเว็บไซต์เฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ได้โพสต์ตอบโต้ความคิดเห็นของนายเจษฎา ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า เห็นข่าวนี้แล้วรู้สึกอดเป็นห่วงไม่ได้ อันนี้ไม่ทราบว่านักวิทย์คนดังท่านนี้ รู้หรือไม่ว่าผักตบชวานั้น เป็นพืชที่มีค่าการดูดซึมโลหะหนักสูงมาก!!! ผักตบชวา หรือ Eichornia crassipes นั้น ถูกนำมาใช้ในโครงการพระราชดำริมายาวนาน โดยทรงมีดำริให้ปลูกผักตบชวาในบึงมักกะสัน เพื่อ “การบำบัดน้ำเสีย” เนื่องจากผักตบชวาเป็นพืชที่มีค่าการดูดซึมโลหะหนักสูงมาก (มีงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมายที่ระบุในเรื่องนี้)
สมาชิกเฟซบุ๊กดังกล่าว ระบุว่า จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า ผักตบชวาเป็นพืชที่อยู่ในกลุ่มพืชดูดซับโลหะหนักได้ดีมาก รากของมัน ดูดซึมโลหะหนัก สารมลพิษ ได้ดีถึง 10,000 เท่าของปริมาณสารที่มีอยู่ในธรรมชาติ (แหล่งรวมสารพิษดี ๆ นี่เอง) โดยหลักการทั่วไปนั้นมันคงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะกินผักตบชวาที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ แต่ถ้าผักตบชวาใดที่ลอยมาตามแม่น้ำทั่วไป ผ่านโรงงานหรือชุมชนที่ทิ้งขยะและของเสีย มันก็ย่อมดูดซึมโลหะหนักที่อยู่ในน้ำเหล่านั้น ยังไม่รวมถึงยาฆ่าแมลงและอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน
เฟซบุ๊ก Kittitouch ระบุอีกว่า ก็ไม่ทราบว่าเค้าแค่อยากจะแซะนายกรัฐมนตรี ที่เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องผักตบชวาจำนวนมหาศาล หรือแค่พยายามจะปกป้องนักวิชาการของพวกตนเลยออกมาพูด มาแนะนำอะไร ๆ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่จะอาจได้ข้อมูลไม่ครบถ้วน แล้วแห่ไปกินผักตบชวาตามแม่น้ำ สุดท้ายร่างกายก็ต้องได้รับโลหะหนักจากมัน คำถามคือ ผู้พูดมีจิตสำนึกสาธารณะอยู่หรือไม่ หรือ แค่สนใจเรื่องการเมืองที่ตนเองต้องการเท่านั้น
ต่อมา นายเจษฎา ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ว่า ผักตบชวาแกงกินได้ ภาค 2 ตอนบึงมักกะสัน หลังจากที่โพสต์สูตรทำแกงผักตบชวา ให้ความรู้แก่ผู้ที่ไม่รู้ว่ามันกินได้ เช่น พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้วนั้น ก็มีหลายท่านที่ให้ข้อมูลเพิ่มอีกหลายเมนูพื้นบ้านเลย รวมทั้งหมอจ่าพิชิต (เจ้าของเว็บไซต์ดราม่า แอดดิก) ที่ช่วยเสริมเรื่องคุณค่าทางอาหารของผักตบ ว่า 100 กรัมเนี่ย ให้พลังงานแค่ 30 kcal มีใยอาหารสูง แคโรทีน แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ไลซีน ก็สูง น่าส่งเสริมเป็นผักรับประทานทีเดียว (แต่ผมไม่ได้บอกว่าใช้เป็นวิธีกำจัดผักตบนะ ไม่พอรับมือมันหรอก เมล็ดมันกระจายไปทั่วน้ำ แพร่พันธุ์เร็ว กำจัดยากมาก)
นายเจษฎา ระบุว่า ที่นี้ก็มีคนเป็นห่วงว่า เก็บมากินแล้วไม่อันตรายจากโลหะหนัก ที่ผักตบมันดูดซึมจากน้ำได้ดี จนมีการนำไปใช้บำบัดน้ำเสีย เช่น ที่บึงมักกะสัน เหรอเปล่า คือ คุณครับ แหม ใครเค้าให้เก็บผักจากบึงน้ำเสียหรือแหล่งน้ำเน่า มากินล่ะครับ ประหลาดแลัว 555 จากเอกสารของกองปฐพีวิทยา กรมวิชาการเกษตร เรื่องการดูดโลหะหนักของพืชน้ำในบึงมักกะสัน นั้นบอกว่า บึงมักกะสัน เป็นแหล่งรับน้ำเสียจากโรงงานซ่อมรถจักรของการรถไฟแห่งประเทศไทย และแหล่งชุมชนต่าง ๆ จึงมีการศึกษานำเอาผักตบชวา และผักกระเฉด มาช่วยบำบัดน้ำเสียร่วมกับวิธีอื่น ๆ ตามโครงการพระราชดำริ โดยเน้นการลดโลหะหนักที่ปนเปื้อนในน้ำเสียนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะพวกโครเมียมและสารตะกั่ว ส่วนผักกระเฉด ก็สามารถดูดโครเมียม ตะกั่ว รวมถึงปรอทได้ดี
นายเจษฎา ระบุอีกว่า ดังนั้น ถ้าเราจะเก็บผักกระเฉด หรือผักตบมาทำอาหารกิน ก็แน่นอนว่า คงไม่มีใครจะบ้าไปเอาจากบึงมักกะสัน หรือแหล่งน้ำเน่าเสียที่ไหนมากินแน่ ๆ แล้วที่ชาวบ้านเค้าเก็บมากินกันอยู่เยอะแยะตอนนี้ล่ะ จะปลอดภัยแค่ไหน ยังไม่ค่อยมีงานวิจัยมากนัก เกี่ยวกับปริมาณโลหะหนักในผักตบตามธรรมชาติ ยกเว้นของภาควิชาเคมี ม.ขอนแก่น ที่ศึกษาในแหล่งน้ำธรรมชาติ ภาคอีสาน พบว่า มีปริมาณโลหะหนักชนิดต่าง ๆ น้อยมาก หรือแทบไม่พบเลย ยกเว้นแค่เหล็กและแมงกานีส แต่พบมากที่ราก มากกว่าที่ลำต้นและใบ ก็น่าจะสรุปได้นะ ว่า การนำเอายอดของผักตบ จากแหล่งน้ำธรรมชาติ ที่ไม่ใช่แหล่งมลภาวะ มาทำแกง มาลวกจิ้มน้ำพริก ฯลฯ ก็น่าจะบริโภคได้ ไม่ต่างจากผักกระเฉดตามธรรมชาติ ป.ล. มันเป็นอาหารพื้นบ้านนะ จะด่าทออะไร ก็ให้เกียรติคนท้องถิ่นเค้าบ้าง
ขณะที่เฟซบุ๊ก Kittitouch ได้ออกมาตอบโต้ว่า โดยหลักการทั่วไปนั้น มันคงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะกินผักตบชวาที่อยู่ใน สภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ แต่ถ้าผักตบชวาใดที่ลอยมาตามแม่น้ำทั่วไป ผ่านโรงงานหรือชุมชนที่ทิ้งขยะและของเสีย มันก็ย่อมดูดซึมโลหะหนักที่อยู่ในน้ำเหล่านั้น ยังไม่รวมถึงยาฆ่าแมลงและอื่นๆ ที่ปนเปื้อน การที่ประชดว่าเสียดายเพราะเอามากินได้ จริง ๆ ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่ที่ควรจะพูดให้ครบก็คือ ที่เค้าไม่นิยมกินกันเพราะตัวผักตบชวามีค่าดูดซับสารโลหะหนักที่สูงมาก เมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น
เฟซบุ๊ก Kittitouch ระบุว่า ส่วนใครจะบิดประเด็นว่า ชาวบ้านเค้าไม่เอาผักตบจากน้ำเน่ามากินหรอก คนพวกนี้คงลืมไปว่า 1. ผักตบชวาที่ นายเจษฎา ออกมาประชดนั้น คือ ผักตบชวาจำนวน 5 หมื่นตัน ที่ลอยมาอุดอยู่บริเวณเขื่อนกั้นน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา จ.ชัยนาท จนประชาชนได้รับความเดือดร้อนและไม่สามารถสัญจรไปมาได้ จนถึงเกิดสภาพไม่เหมาะสมต่อน้ำ และนายกรัฐมนตรีต้องสั่งกำลังทหารเข้าจัดการ 2. คนเหล่านี้คงไม่ออกมาดูโลกความเป็นจริงว่าทุกวันนี้ในแม่น้ำเจ้าพระยา และ แม่น้ำสายต่าง ๆ ก็มีสารเคมีและโลหะหนักปนเปื้อนอยู่เป็นประจำ
เฟซบุ๊ก Kittitouch ระบุอีกว่า เราจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้มีการปนเปื้อนอยู่ในแม่น้ำทุกสาย ทุกเขตที่มีท่าเรือ หรือโรงงาน หรือ แม้แต่ตลาดและชุมชน ที่ชาวบ้านที่ไร้ความรับผิดชอบ ได้ทิ้งขยะและสารเคมีต่างๆ ลงสู่แม่น้ำกันเป็นประจำ ไม่นับกรณีโรงงานแอบปล่อยน้ำเสีย คราบน้ำมันหรือสารเคมีจากเรือขนส่งสินค้ามากมายที่หลุดมา อีกอย่างจะบอกให้เป็นความรู้สักเล็กน้อยนะครับ คลองในกรุงเทพฯที่ท่านว่าเน่า ๆ มีขยะ มีสารพิษเนี้ย มันไหลลงไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยาเกือบทั้งนั้นครับ
ขณะที่เว็บไซต์เฟซบุ๊กแฟนเพจ เมด อิน อุษาคเนย์ ได้อ้างคำพูดของ นายสุจิตต์ วงษ์เทศ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ โดยระบุว่า “การเอาผักตบชวามากินไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะมันไม่อร่อย! กูแ-กมาแล้วเมื่อ 30 ปีก่อน ร้าน (เซ็นเซอร์) เอามาลองผัดน้ำมันหอย มันไม่ใช่อะไร มันคันคอ”