คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.ผลประชามติร่าง รธน.-คำถามพ่วงผ่านฉลุย ผู้รับร่างฯ ชนะขาดลอย 16 : 10 ล้านเสียง ด้าน “บิ๊กตู่” ยันโรดแมปเดิมเลือกตั้งปลายปี ’60!
เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ซึ่งเป็นวันลงประชามติว่าประชาชนจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง หลังปิดหีบในเวลา 16.00 น. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นำโดยนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.ได้แถลงภาพรวมการออกเสียงประชามติว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ป่วนหรือวุ่นวาย ส่วนกรณีที่มีการฉีกทำลายบัตรออกเสียงประชามติในหลายพื้นที่นั้น เจ้าหน้าที่พบว่าเกิดจากความเข้าใจผิดของผู้ใช้สิทธิ
โดย กกต.ได้แบ่งพฤติการณ์ของผู้ทำผิด พ.ร.บ.ประชามติ ระหว่างลงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.ผู้ฉีกบัตรโดยไม่เจตนากระทำผิด จำนวน 34 จังหวัด 58 ราย 2.ฉีกบัตรโดยเจตนากระทำผิด 1 ราย ที่เขตบางนา คือ นายปิยรัฐ จงเทพ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง 3.ผู้ใส่เสื้อสัญลักษณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2 ราย คือ นายรังสิมันต์ โรม ใส่เสื้อ Vote No เข้าหน่วยออกเสียงที่ จ.ปทุมธานี และนายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธุ์ ใส่เสื้อ Vote No เข้าหน่วยออกเสียงที่ จ.สระแก้ว และ 4.ผู้ที่บันทึกภาพบัตรออกเสียงที่ลงคะแนนแล้ว 1 ราย คือ นายพีระพล แซ่ว่อง ที่หน่วยออกเสียง จ.ลพบุรี
ทั้งนี้ กกต.ได้แถลงผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ก่อนส่งรายงานผลให้นายกรัฐมนตรี โดยผลอย่างเป็นทางการพบว่า มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประชามติจำนวน 29,740,677 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50,071,589 คน หรือร้อยละ 59.40 จำนวนบัตรเสีย 936,209 ใบ หรือร้อยละ 3.15 สำหรับการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญนั้น มีผู้เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 16,820,402 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 61.35 ขณะที่ผู้ไม่เห็นชอบมีจำนวน 10,598,037 คะแนน หรือร้อยละ 38.65 ส่วนการลงประชามติคำถามพ่วงนั้น มีผู้เห็นชอบคำถามพ่วงจำนวน 15,132,050 คะแนน หรือร้อยละ 58.07 ขณะที่ผู้ไม่เห็นชอบมีจำนวน 10,926,648 คะแนน หรือร้อยละ 41.93 และไม่มีการยื่นเรื่องร้องคัดค้านการออกเสียงประชามติภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
สำหรับจังหวัดที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติมากที่สุด 5 อันดับ คือ ลำพูน, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ตาก และเชียงราย ส่วนจังหวัดที่ลงประชามติเห็นชอบทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงสูงที่สุด 5 อันดับ คือ ชุมพร, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี และระนอง ส่วนปัญหากรณีที่เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยหันหลังนับคะแนนที่ จ.พิษณุโลก นั้น ทาง กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นวิธีการผิดระเบียบ ต้องนับคะแนนโดยเปิดเผย แต่หน่วยดังกล่าวไม่มีการร้องคัดค้านการออกเสียง ก็จะไม่นับคะแนนใหม่
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทราบผลประชามติว่าผู้มีสิทธิออกเสียงส่วนใหญ่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง หลายฝ่ายได้ออกมาแสดงท่าทีต่อผลประชามติ ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ปรากฏว่าได้ออกมาน้อมรับการตัดสินใจของประชาชน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับผลของการลงประชามติ และว่า จากนี้ไป คสช.มีหน้าที่เดินหน้าประเทศตามโรดแมปที่ได้วางไว้ คือการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปภายในปี 2560
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กน้อมรับการตัดสินใจของประชาชนเช่นกัน แต่แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ไม่แปลกใจกับผลประชามติที่ออกมา เพราะไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ แต่เสียใจและเสียดายที่ประเทศกำลังถอยหลังไปใช้รัฐธรรมนูญที่ดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงผลประชามติว่า เมื่อผลลัพธ์ออกมา ก็มีจิตใจนักกีฬาเพียงพอ แม้ยากจะทำใจ แต่ผลคะแนนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยังมีความหวังว่าประเทศไทยจะเดินหน้าเพื่อไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ทั้งนี้ นายจตุพรได้ประกาศทำตามที่เคยพูดไว้ว่า จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งใหม่นี้แน่นอน เพราะความสุขไม่ได้อยู่ที่การเป็น ส.ส.แต่อยู่ที่การร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกับประชาชน
ทั้งนี้ หลังทราบผลประชามติว่าประชาชนส่วนใหญ่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ให้ตัวแทนนำดอกไม้ไปมอบให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ซึ่งนายมีชัยได้แถลงขอบคุณประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิลงประชามติกันอย่างเต็มที่ พร้อมเผยขั้นตอนหลังจากนี้ด้วยว่า กรธ.ต้องนำร่างรัฐธรรมนูญกลับมาแก้ไขเพื่อบวกคำถามพ่วงเข้าไปด้วย โดยต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอีก 30 วัน หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่ายังไม่สอดคล้องกัน ต้องส่งกลับมาแก้ไขอีกภายใน 15 วัน เมื่อถูกต้องแล้วจึงจะนำเสนอนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ มีเวลา 30 วัน ก่อนนำความขึ้นกราบบังคมทูล ส่วนการทำกฎหมายลูกนั้น นายมีชัยยืนยันว่า จะฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งให้มากที่สุด เพราะ กรธ.มีความชำนาญเกี่ยวกับการเลือกตั้งน้อย นายมีชัยยืนยันด้วยว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นตามโรดแมปภายในปี 2560 แต่หากมีอะไรติดขัด อาจจะเลยออกไป 1-2 เดือนก็ได้
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่องเมื่อวันที่ 10 ส.ค.หลังได้รับรายงานผลประชามติอย่างเป็นทางการจาก กกต. โดยขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กรธ. กกต. สื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิลงประชามติกันเป็นจำนวนมากถึงเกือบร้อยละ 60 หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ออกไปใช้สิทธิก็ตาม ขอบคุณที่ได้ช่วยกันรักษากฎเกณฑ์กติกาและความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์เผยสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ว่า กรธ.ต้องแก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับคำถามพ่วงที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้น ตนจึงจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยต่อไป ซึ่งจะใช้เวลารวมแล้วไม่เกิน 3 เดือน เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 จะสิ้นสุดลง จากนั้น กรธ.จะต้องจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 10 ฉบับ โดยเฉพาะ 4 ฉบับแรก ซึ่งจำเป็นต่อการเลือกตั้ง จะต้องสำเร็จก่อนฉบับอื่นๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็จะจัดทำกฎหมายหลายสิบฉบับและเตรียมการอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดคู่ขนานกันไป เมื่อเสร็จแล้วจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณา โดยในระหว่างนี้ คสช. รัฐบาล สนช. และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามบทเฉพาะกาลจนกว่าองค์กรใหม่จะเข้ามารับช่วงตามกติกาที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ชี้ด้วยว่า การจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับ เป็นงานที่ละเอียดอ่อนและยากลำบากไม่น้อยไปกว่าการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งยังมีขั้นตอนมากเช่น ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรต่างๆ ตรวจสอบความถูกต้องด้วย แต่น่าจะเสร็จสิ้นจนประกาศใช้ได้ไม่เกินกลางปี 2560 หลังจากนั้น กกต.จะจัดการเลือกตั้งทั่วไปให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน หรือ 5 เดือน ซึ่งก็คือช่วงปลายปี 2560 โดยยังคงเป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ หากสถานการณ์บ้านเมืองยังคงมีความสงบสุขดังเช่นปัจจุบันนี้
2.ใต้ป่วน ระเบิดหลายจังหวัด ดับ 4 เจ็บ 36 – “บิ๊กตู่” เสียใจ ยันพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ ด้าน “บิ๊กป้อม” ลั่น จะจับคนร้ายให้ได้ ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดหลายครั้งหลายจังหวัดในภาคใต้ ระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบราย พล.ต.ต.ปิยะพันธุ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า 3 วันดังกล่าว ได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 5 จังหวัด จำนวน 13 ลูก เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.เวลา 18.30 น. พบระเบิด 2 จุดที่ ต.ป่าตอง จ.ภูเก็ต เหตุเกิดที่บริเวณแผงลอยจำหน่ายเสื้อผ้าตลาดพาราไดซ์และตลาดไชน่าทาวน์ เป็นระเบิดแรงดันต่ำ เบื้องต้นพบชายต้องสงสัย 2 คน อยู่ระหว่างตรวจสอบ
ต่อมา 11.00 น.วันที่ 11 ส.ค. เกิดระเบิดที่ตลาดนัดเซ็นเตอร์พอยท์ อ.เมือง จ.ตรัง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 6 คน พบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง วันเดียวกัน เวลา 22.15 น. เกิดระเบิดที่บาร์เบียร์จอห์น 56 อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ให้หลังไม่นาน เวลา 23.00 น. เกิดระเบิดที่ร้านเรนทรีสปา อ.หัวหิน โดยทั้ง 2 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 21 คน ทั้งสองจุดเป็นระเบิดแสวงเครื่อง
วันต่อมา(12 ส.ค.) เวลา 07.45 น. เกิดระเบิดที่สวนสาธารณะโลมา อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต มีผู้บาดเจ็บ 1 คน วันเดียวกัน เวลา 08.00 น. เกิดระเบิดบริเวณที่จัดงานวันแม่ หน้าสถานีตำรวจน้ำ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 3 คน ให้หลังครึ่งชั่วโมง 08.30 น. เกิดระเบิดที่หน้า สภ.เมืองสุราษฎร์ธานีหลังเก่า โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ พบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง และในเวลาไล่เลี่ยกัน 08.45 น. เกิดระเบิดที่บริเวณตู้ควบคุมการจราจร สภ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ไม่มีผู้บาดเจ็บ ให้หลังไม่กี่นาที เวลา 09.00 น. และ 09.05 น.ได้เกิดระเบิด 2 ลูกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ บริเวณกระถางต้นไม้ใต้หอนาฬิกาหัวหิน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 3 คน ซึ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน 09.00 น. ได้เกิดระเบิดที่หน้าตลาดบางเนียง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา 2 ลูก ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่มีรถยนต์เสียหาย 2 คัน และ เวลา 09.30 น. พบวัตถุต้องสงสัยที่หน้าโรงแรมบ้านไทย จ.ภูเก็ต
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ยืนยันว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เป็นการก่อวินาศกรรมเฉพาะจุด ยืนยันไทยไม่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา ดินแดน ชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มไอซิส และไม่เชื่อมโยงกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ความเป็นความขัดแย้งภายในประเทศ และเป็นการสร้างสถานการณ์ก่อกวน
ด้านสำนักสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สรุปผลการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดและไฟไหม้ระหว่างวันที่ 11-12 ส.ค.ในพื้นที่ภาคใต้ว่า มีผู้บาดเจ็บ 36 ราย และเสียชีวิต 4 ราย
ทั้งนี้ หลังเกิดระเบิดหลายจุดในหลายจังหวัดภาคใต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แถลงผ่านทีวีพูล เมื่อคืนวันที่ 12 ส.ค. โดยแสดงความเสียใจกับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ยืนยันรัฐบาลจะดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และจะสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีอย่างสุดความสามารถ พร้อมขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนอย่าได้ตื่นตระหนก และขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง เป็นหูเป็นตา จัดอาสาสมัครในพื้นที่ของตนเอง หากพบสิ่งใดผิดสังเกต ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันที พล.อ.ประยุทธ์ยังย้ำด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ยังมีคนไม่ดีอยู่ในสังคมไทยและประเทศไทย
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความมั่นใจว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากเรื่องภายในประเทศ พร้อมประกาศว่า จะจับกุมตัวคนร้ายให้ได้ จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รัฐบาลจะเดินหน้าเต็มตัว ทำให้เกิดความสงบสุขให้ได้
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ได้ประณามผู้ก่อเหตุร้ายทำลายชาติ พร้อมประกาศผนึกกำลังสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พาประเทศฟันฝ่าไปให้ได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเช่นกัน พร้อมประณามผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดดังกล่าว
ขณะที่นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นว่า หน่วยความมั่นคงยืนยันแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นจึงเหลือทางเดียวคือ เรื่องการเมืองขัดแย้งมายาวนานตั้งแต่ปี 2549 และเกิดจากปัญหาทางการเมือง หลังจากมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นความพยายามของกลุ่มอยากมีอิทธิพล และอยากมีอำนาจต่อรอง จึงดิสเครดิต คสช.และรัฐบาล ใครจะเป็นหรือตาย คนกลุ่มนี้ไม่คำนึงถึง
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ประณามการก่อเหตุร้ายในหลายจังหวัดเช่นกัน พร้อมแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียและบาดเจ็บ และขอให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิยังแสดงความไม่พอใจที่บางคนระบุว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการเมือง “ถ้าจะกล่าวหากันตามอำเภอใจ ใครก็ทำได้... การพูดส่งเดชให้ร้ายกัน ถือว่าอำมหิตไม่แพ้พวกก่อเหตุ ถ้ามั่นใจว่ามีข้อมูล ควรเข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ อย่าให้เหมือนกรณีระเบิดแยกราชประสงค์ ที่เริ่มต้นด้วยการชี้นำว่าเป็นเรื่องการเมือง พอจับผู้ต้องหาได้ พวกที่ออกมาพูดก็ไม่รับผิดชอบอะไร”
ทั้งนี้ หลังเกิดระเบิดหลายจุดในภาคใต้ เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนหาผู้ก่อเหตุ และได้เข้าควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหลายคนมาสอบปากคำ เช่น เข้าควบคุมตัวนายประพาส โรจนพิทักษ์ อายุ 67 ปี ที่บ้านพักใน อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด นอกจากนี้ยังได้เชิญตัวแกนนำที่เคลื่อนไหวทางการเมืองใน จ.นครศรีธรรมราช อีก 2 รายมาสอบปากคำ คือ นายวิเชียร เจียมสวัสดิ์ มีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช และนายวิโรจน์ ยอดเจริญ ภูมิลำเนาอยู่ อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงนายศักรินทร์ หรือเชษฐ์ คฤหัส ชาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด หลังมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดว่าเป็นผู้ก่อเหตุเผาห้างเทสโก้โลตัส สาขานครศรีธรรมราช ซึ่งเจ้าตัวยังปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว
3.“เอ๋ ชนม์สวัสดิ์” นอนคุกต่อ กรมราชทัณฑ์ไม่อนุมัติลดวันต้องโทษ- สะพัด เหล่านักโทษคนดังเข้าข่ายลดวันต้องโทษตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษปีนี้เพียบ!
เมื่อวันที่ 8 ส.ค.มีกระแสข่าวว่า เรือนจำกลางสมุทรปราการปล่อยตัวนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สมุทรปราการ ผู้ต้องขังคดีทุจริตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ ปี 2542 ซึ่งต้องโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.2558 หลังเข้าเกณฑ์การพักโทษ หลังมีกระแสข่าวดังกล่าว พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยว่า การพักโทษผู้ต้องขังเป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ราชการ ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ทราบว่า ขณะนี้นายชนม์สวัสดิ์ ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว เพียงแค่มีรายชื่อเข้าหลักเกณฑ์การปล่อยตัวพักโทษเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปัญหาการพักโทษมีมาตลอด โดยทางศาลยุติธรรมอยากให้ทบทวนเรื่องการพักโทษ เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมได้ตัดสินคดีความต่างๆ ใช้เวลาค่อนข้างนาน เมื่อตัดสินเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่กรมราชทัณฑ์ โดยให้อำนาจ ผบ.เรือนจำ พิจารณาลดวันการถูกลงโทษ เพื่อให้ผู้กระทำผิดที่อาจไม่ได้ตั้งใจ คืนสู่สังคมรวดเร็วขึ้น แต่ไม่อยากให้อำนาจการปล่อยตัวพักโทษสิ้นสุดที่ ผบ.เรือนจำ เพราะบางครั้งมีข้อครหาว่า ผบ.เรือนจำอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะส่วนใหญ่จะประจำในพื้นที่นั้นๆ ทำให้ต้องป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น ตนจึงได้สั่งการให้นำเรื่องนี้มาทบทวนว่าไม่ควรจบที่ ผบ.เรือนจำ แต่ต้องให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมหรืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ใตร่ตรองอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งต้องใช้ดุลพินิจดูว่า การทำกิจกรรมประโยชน์เพื่อสังคมของผู้ต้องขังคนนั้นๆ มีเหตุผลสอดคล้องเหมาะสมกับการปล่อยตัวหรือไม่ และยังได้สั่งการให้เร่งแก้ไขตัวกฎหมาย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ให้รอบคอบมากขึ้นด้วย
ด้านนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงกรณีเรือนจำกลางสมุทรปราการยังไม่ปล่อยตัวนายชนม์สวัสดิ์ ว่า กรณีดังกล่าวไม่ใช่การพักโทษ แต่เป็นการลดวันต้องโทษ ตามที่ ผบ.เรือนจำพิจารณาดำเนินการ โดยนับจากการทำกิจกรรมของผู้ต้องขัง แล้วเสนอให้กรมราชทัณฑ์อนุมัติ เมื่อผู้บริหารระดับกรมพิจารณาแล้ว มีความเห็นให้สมควรรับโทษต่อไปให้ครบตามกำหนด
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายวุฒิชัย เจนวิริยะกุล ผบ.เรือนจำกลางสมุทรปราการ ได้ออกมาระบุว่า เตรียมปล่อยตัวนายชนม์สวัสดิ์ ในวันที่ 7 ส.ค. จนกลายเป็นข่าวครึกโครม และมีผู้สื่อข่าวไปรอทำข่าว แต่ไม่ปรากฏว่านายชนม์สวัสดิ์ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2559 ว่า เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงมีพระราชดําริว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี วันที่ 9 มิถุนายน 2559 และในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ วันที่ 12 สิงหาคม 2559 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นับเป็นอภิลักขิตกาลสําคัญ สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.ฎ.ขึ้น โดยผู้ที่ได้รับอภัยโทษตาม พ.ร.ฎ.นี้ ต้องเป็นผู้ที่เหลือโทษจำคุกอยู่ไม่เกินหนึ่งปี ผู้ได้รับโทษมาแล้วถึงวันที่ประราชกฤษฎีกานี้ใช้ บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของโทษ ผู้ต้องโทษที่มีลักษณะทุพพลภาพที่มีลักษณะเห็นได้ชัด รวมถึงผู้ป่วยโรคร้ายแรง เช่น ไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โดยต้องได้รับโทษแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือหนึ่งในสองของโทษ เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมที่เหลือโทษไม่เกิน 2 ปี ส่วนผู้ต้องโทษประหารชีวิตให้เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต ให้ลดโทษเป็นกำหนดโทษ 50 ปี แล้วลดโทษตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้ในวันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ด้านนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษดังกล่าวว่า แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ผู้ต้องขังที่รับพระราชทานอภัยโทษ โดยการปล่อยตัวจากเรือนจำทันที กับผู้ต้องขังที่ได้รับการลดวันต้องโทษตามบัญชีแนบท้ายความผิดที่ระบุ และว่า โทษฐานความผิดฐานละเมิดทางเพศ จะไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือลดวันต้องโทษแต่อย่างใด ส่วนความผิดที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย หรือการฆ่า จะได้แค่ลดวันต้องโทษเท่านั้น สำหรับเกณฑ์ที่จะใช้ในการพิจารณา คือ ดูข้อหาของผู้ต้องขังที่ถูกศาลพิพากษาและดูความประพฤติของผู้ต้องขัง ซึ่งต้องเป็นผู้ต้องขังชั้นดีขึ้นไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ต้องขังที่จะได้รับสิทธิตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ มีประมาณ 200,000 คน ที่ได้รับการลดวันต้องโทษ จากจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ 143 แห่งทั่วประเทศกว่า 300,000 คน โดยผู้ต้องขังที่เข้าหลักเกณฑ์ปล่อยตัวมีประมาณ 20,000 ราย ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งจะทยอยปล่อยตัวภายใน 120 วัน โดยเป็นกลุ่มผู้ต้องขังประเภทชรา ป่วย หรือพิการ
รายงานแจ้งด้วยว่า ผู้ต้องขังคดีสำคัญที่จะเข้าตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะได้รับการลดวันต้องโทษ ได้แก่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม, พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต., นายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต. หลังถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ในความผิดตามมาตรา 157, กลุ่มผู้ต้องขังคดีธนาคารกรุงไทย เช่น นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ฯลฯ
4.ผู้ว่าฯ ขอนแก่นแถลงผลสอบ “นพ.เปรมศักดิ์” พบมีมูลคุกคามสื่อ-สั่งถอดกางเกงผู้สื่อข่าวจริง สั่งตั้งกรรมการสอบเอาผิดทางวินัยต่อ ก่อนชง มท.1 ลงโทษ!
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายกำธร ถาวรสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยนายสุรชัย วัฒนาอุดมชัย ปลัดจังหวัดขอนแก่น และคณะกรรมการสอบสวนระดับจังหวัดกรณี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ก่อเหตุคุกคามผู้สื่อข่าว กักขังและสั่งถอดกางเกงผู้สื่อข่าว ได้แถลงผลการสอบสวนหลังครบกำหนดระยะเวลาสอบสวน 15 วันว่า คณะกรรมการสอบสวนที่จังหวัดแต่งตั้งขึ้น ได้สรุปสำนวนการสอบสวนหลังจากสอบปากคำพยานทั้ง 2 ฝ่ายและเอกสารหลักฐานต่างๆ พบว่ามีมูลความผิด โดยมีหลักฐานสำคัญคือพยานบุคคล ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนได้ให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย มาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่พบพิรุธและเหตุที่เชื่อได้ว่ามีการให้การเท็จ คณะกรรมการสอบสวนจึงใช้ดุลพินิจและมีการสรุปสำนวนและแนวทางการสอบสวนว่ามีมูลที่ นพ.เปรมศักดิ์ได้กระทำการจริง จึงต้องเข้าสู่ขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ซึ่งจากนี้ไปจะเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวนเอาผิดทางวินัย โดยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้บริหารท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2554 มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นเป็นประธาน มีกรรมการสอบสวนทั้งหมด 5 คน ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่คณะกรรมการชุดเดิมที่สอบสวนหาข้อเท็จจริง
นายกำธรเผยด้วยว่า คณะกรรมการที่จังหวัดจะแต่งตั้งขึ้นในการสอบสวนทางวินัยว่าด้วยระเบียบของกระทรวงมหาดไทยนั้น มีเวลาสอบสวน 120 วัน และสามารถยืดเวลาสอบสวนได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 30 วัน เชื่อว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะทำงานได้อย่างรัดกุม รอบคอบ เพราะที่ผ่านมาเป็นขั้นตอนให้ความเป็นธรรม เมื่อความเป็นธรรมปรากฏ จะเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม โดยคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดทางวินัยจะสรุปสำนวนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาบทลงโทษ ซึ่งประเด็นดังกล่าวบทลงโทษคือการพ้นจากตำแหน่งสถานเดียว
5.กสทช.แจ้ง บ.ไนอานติค ของสหรัฐฯ แล้ว ห้าม “โปเกมอน” โผล่ 4 จุดสำคัญของไทย หากนิ่งเฉย จะส่งหนังสือเร่งรัด ยันไม่คิดแบน!
หลังบริษัท ไนแอนติกแลบส์ ผู้พัฒนาเกมโปเกมอน โก สัญชาติอเมริกัน ประกาศทยอยเปิดเกม โปเกมอน โก เกมจับโปเกมอนเสมือนจริงด้วยสมาร์ทโฟน โดยเปิดให้เล่นในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งประเทศไทยก็เป็น 1 ใน 14 ประเทศที่สามารถดาวน์โหลดเกมดังกล่าวมาเล่นฟรีได้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า กระแสนิยมเล่นเกม โปเกมอน โก ในไทยได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ส่งผลให้หลายฝ่ายเกิดความห่วงใยถึงความปลอดภัยในการเล่นเกมดังกล่าว หากเล่นในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย เช่น บนท้องถนน หรือเล่นขณะขับขี่รถ หรือเล่นในสถานที่เปลี่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้แสดงความเป็นห่วงการเล่นเกมโปเกมอน โก โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัย จึงได้ให้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) หาวิธีดูแล โดยขั้นแรกได้ขอความร่วมมือให้เล่นในที่ที่ปลอดภัย และไม่เล่นในสถานที่ราชการ เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัย ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาขอร้องเช่นกัน ห้ามเล่นเกมโปเกมอน โก ใกล้หน่วยทหารและสถานที่ราชการสำคัญ
นอกจากนี้หลายสถานที่ยังติดประกาศห้ามเล่นเกมโปเกมอน โก ด้วย เช่น โรงพยาบาลศิริราช ประกาศห้ามเล่นในอาคารผู้ป่วยเด็ดขาด, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศห้ามเล่นเกม โปเกมอน โกในพื้นที่อุทยานและพื้นที่หวงห้ามทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพราะอาจกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาที่มีความเปราะบาง , กรมการขนส่งทางบก มีระเบียบห้ามคนขับรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท รวมทั้งรถแท็กซี่ ห้ามเล่นเกมขณะปฏิบัติหน้าที่ ไม่เช่นนั้นถือว่ามีความผิดตามกฎหมายจราจร ที่กำหนดห้ามใช้โทรศัพท์มือถือรหว่างทำงาน ส่วนกระเป๋ารถเมล์ก็ไม่ควรเล่นเกมเช่นกัน หากได้รับร้องเรียนและตรวจพบ ต้องถูกปรับเป็นเงิน 1,000 บาท
ด้านกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) ได้เตือนผู้ที่เล่นเกม โปเกมอน โก ว่า หากบุกรุกสถานที่หรือพื้นที่ส่วนบุคคลของผู้อื่น อาจถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาบุกรุกสถานที่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งยอมความกันได้ แต่หากบุกรุกในเวลากลางคืน จะยอมความไม่ได้ และมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(3) จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้พยายามจัดระเบียบและป้องกันปัญหาจากการเล่นเกม โปเกมอน โก เช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 9 ส.ค. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ได้เชิญตัวแทนจากกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5 ราย มาประชุมเพื่อหาทางป้องกันและเฝ้าระวังการเล่นเกม โปเกมอน โก หลังประชุม นายฐากร เผยว่า ที่ประชุมได้ข้อตกลงร่วมกัน 3 ข้อ คือ 1.เรื่องความปลอดภัย กสทช.จะขอให้ทางทรูช่วยยกร่างหนังสือระบุสถานที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการเล่นเกม โปเกมอน โก จากนั้น กสทช.จะลงนามและส่งให้บริษัท ไนอานติค จากประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้พัฒนาและให้บริการเกมดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
2.ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5 ราย จะจัดทำคู่มือการเล่นเกม โปเกมอน โก ออกเผยแพร่ โดยแนะนำการใช้งานทั้งในส่วนของเด็กและผู้ปกครอง และ 3.การคุ้มครองผู้บริโภคจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว(บิลช็อก) จากการใช้เงินจริงที่เพิ่มเติมจากค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปซื้อไอเท็มในเกม โดยเอไอเอสแจ้งว่า จะกำหนดวงเงินในการซื้อไอเท็มที่ 1,000 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน รวมทั้งมีเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนผู้ใช้งานหรือผู้ปกครองของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กทุกครั้ง ส่วนดีแทคกำหนดวงเงินสูงสุด 8,000 บาทต่อเดือน และส่งเอสเอ็มเอสแจ้งผู้ใช้งานและผู้ปกครองของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กทุกครั้งเช่นกัน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายฐากรเผยว่า กสทช.ได้ส่งหนังสือผ่านทางอีเมลไปยังบริษัท ไนอานติค ประเทศสหรัฐอเมรกาแล้ว เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้โปเกมอน โผล่ในสถานที่สำคัญ 4 แห่งของไทย ได้แก่ 1.สถานที่อันตราย เช่น ถนน คลอง คูน้ำ 2.ศาสนสถาน 3.สถานที่ราชการ พื้นที่ความมั่นคง โรงเรียน โรงพยาบาล และ 4.พื้นที่ส่วนบุคคล และว่า หากทางบริษัท ไนอานติคยังนิ่งเฉย กสทช.จะส่งหนังสือเร่งรัดขอคำตอบอีกครั้งในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่า หากบริษัท ไนอานติค ไม่ตอบคำถาม หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ขอไป จะดำเนินการอย่างไรต่อไป “ขอยืนยันว่า สำนักงาน กสทช.ไม่มีเจตนาจะแบนเกม โปเกมอน โก เราไม่มีอำนาจตามกฎหมายในข้อใดที่จะสามารถไปแบนได้ สิ่งที่ กสทช.ทำ เพียงแค่อยากให้ประชาชนเล่นอย่างปลอดภัยและไม่เกิดบิลช็อก ฉะนั้นประชาชนยังเล่นเกมนี้ได้ แต่ต้องเล่นด้วยความระมัดระวัง และควรศึกษาคู่มือที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายเริ่มมีการเผยแพร่ออกมาแล้ว”
1.ผลประชามติร่าง รธน.-คำถามพ่วงผ่านฉลุย ผู้รับร่างฯ ชนะขาดลอย 16 : 10 ล้านเสียง ด้าน “บิ๊กตู่” ยันโรดแมปเดิมเลือกตั้งปลายปี ’60!
เมื่อวันที่ 7 ส.ค.ซึ่งเป็นวันลงประชามติว่าประชาชนจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง หลังปิดหีบในเวลา 16.00 น. คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นำโดยนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.ได้แถลงภาพรวมการออกเสียงประชามติว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ป่วนหรือวุ่นวาย ส่วนกรณีที่มีการฉีกทำลายบัตรออกเสียงประชามติในหลายพื้นที่นั้น เจ้าหน้าที่พบว่าเกิดจากความเข้าใจผิดของผู้ใช้สิทธิ
โดย กกต.ได้แบ่งพฤติการณ์ของผู้ทำผิด พ.ร.บ.ประชามติ ระหว่างลงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ออกเป็น 4 กลุ่ม คือ 1.ผู้ฉีกบัตรโดยไม่เจตนากระทำผิด จำนวน 34 จังหวัด 58 ราย 2.ฉีกบัตรโดยเจตนากระทำผิด 1 ราย ที่เขตบางนา คือ นายปิยรัฐ จงเทพ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง 3.ผู้ใส่เสื้อสัญลักษณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2 ราย คือ นายรังสิมันต์ โรม ใส่เสื้อ Vote No เข้าหน่วยออกเสียงที่ จ.ปทุมธานี และนายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธุ์ ใส่เสื้อ Vote No เข้าหน่วยออกเสียงที่ จ.สระแก้ว และ 4.ผู้ที่บันทึกภาพบัตรออกเสียงที่ลงคะแนนแล้ว 1 ราย คือ นายพีระพล แซ่ว่อง ที่หน่วยออกเสียง จ.ลพบุรี
ทั้งนี้ กกต.ได้แถลงผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 ส.ค. ก่อนส่งรายงานผลให้นายกรัฐมนตรี โดยผลอย่างเป็นทางการพบว่า มีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงประชามติจำนวน 29,740,677 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 50,071,589 คน หรือร้อยละ 59.40 จำนวนบัตรเสีย 936,209 ใบ หรือร้อยละ 3.15 สำหรับการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญนั้น มีผู้เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 16,820,402 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 61.35 ขณะที่ผู้ไม่เห็นชอบมีจำนวน 10,598,037 คะแนน หรือร้อยละ 38.65 ส่วนการลงประชามติคำถามพ่วงนั้น มีผู้เห็นชอบคำถามพ่วงจำนวน 15,132,050 คะแนน หรือร้อยละ 58.07 ขณะที่ผู้ไม่เห็นชอบมีจำนวน 10,926,648 คะแนน หรือร้อยละ 41.93 และไม่มีการยื่นเรื่องร้องคัดค้านการออกเสียงประชามติภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
สำหรับจังหวัดที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียงประชามติมากที่สุด 5 อันดับ คือ ลำพูน, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ตาก และเชียงราย ส่วนจังหวัดที่ลงประชามติเห็นชอบทั้งร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงสูงที่สุด 5 อันดับ คือ ชุมพร, นครศรีธรรมราช, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี และระนอง ส่วนปัญหากรณีที่เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยหันหลังนับคะแนนที่ จ.พิษณุโลก นั้น ทาง กกต.พิจารณาแล้วเห็นว่า เป็นวิธีการผิดระเบียบ ต้องนับคะแนนโดยเปิดเผย แต่หน่วยดังกล่าวไม่มีการร้องคัดค้านการออกเสียง ก็จะไม่นับคะแนนใหม่
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังทราบผลประชามติว่าผู้มีสิทธิออกเสียงส่วนใหญ่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง หลายฝ่ายได้ออกมาแสดงท่าทีต่อผลประชามติ ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง ปรากฏว่าได้ออกมาน้อมรับการตัดสินใจของประชาชน พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยอมรับผลของการลงประชามติ และว่า จากนี้ไป คสช.มีหน้าที่เดินหน้าประเทศตามโรดแมปที่ได้วางไว้ คือการเดินหน้าสู่การเลือกตั้งทั่วไปภายในปี 2560
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กน้อมรับการตัดสินใจของประชาชนเช่นกัน แต่แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ไม่แปลกใจกับผลประชามติที่ออกมา เพราะไม่ได้เปิดโอกาสให้มีการแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ แต่เสียใจและเสียดายที่ประเทศกำลังถอยหลังไปใช้รัฐธรรมนูญที่ดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย แต่ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงผลประชามติว่า เมื่อผลลัพธ์ออกมา ก็มีจิตใจนักกีฬาเพียงพอ แม้ยากจะทำใจ แต่ผลคะแนนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยังมีความหวังว่าประเทศไทยจะเดินหน้าเพื่อไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ทั้งนี้ นายจตุพรได้ประกาศทำตามที่เคยพูดไว้ว่า จะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งใหม่นี้แน่นอน เพราะความสุขไม่ได้อยู่ที่การเป็น ส.ส.แต่อยู่ที่การร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกับประชาชน
ทั้งนี้ หลังทราบผลประชามติว่าประชาชนส่วนใหญ่รับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ให้ตัวแทนนำดอกไม้ไปมอบให้นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ซึ่งนายมีชัยได้แถลงขอบคุณประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิลงประชามติกันอย่างเต็มที่ พร้อมเผยขั้นตอนหลังจากนี้ด้วยว่า กรธ.ต้องนำร่างรัฐธรรมนูญกลับมาแก้ไขเพื่อบวกคำถามพ่วงเข้าไปด้วย โดยต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน จากนั้นส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาอีก 30 วัน หากศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่ายังไม่สอดคล้องกัน ต้องส่งกลับมาแก้ไขอีกภายใน 15 วัน เมื่อถูกต้องแล้วจึงจะนำเสนอนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ มีเวลา 30 วัน ก่อนนำความขึ้นกราบบังคมทูล ส่วนการทำกฎหมายลูกนั้น นายมีชัยยืนยันว่า จะฟังความเห็นจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองและการเลือกตั้งให้มากที่สุด เพราะ กรธ.มีความชำนาญเกี่ยวกับการเลือกตั้งน้อย นายมีชัยยืนยันด้วยว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นตามโรดแมปภายในปี 2560 แต่หากมีอะไรติดขัด อาจจะเลยออกไป 1-2 เดือนก็ได้
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ทุกช่องเมื่อวันที่ 10 ส.ค.หลังได้รับรายงานผลประชามติอย่างเป็นทางการจาก กกต. โดยขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กรธ. กกต. สื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนที่ออกไปใช้สิทธิลงประชามติกันเป็นจำนวนมากถึงเกือบร้อยละ 60 หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ออกไปใช้สิทธิก็ตาม ขอบคุณที่ได้ช่วยกันรักษากฎเกณฑ์กติกาและความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์เผยสิ่งที่ต้องทำหลังจากนี้ว่า กรธ.ต้องแก้ไขเพิ่มเติมบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับคำถามพ่วงที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชนแล้ว และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความถูกต้อง จากนั้น ตนจึงจะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยต่อไป ซึ่งจะใช้เวลารวมแล้วไม่เกิน 3 เดือน เมื่อทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 จะสิ้นสุดลง จากนั้น กรธ.จะต้องจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญอีก 10 ฉบับ โดยเฉพาะ 4 ฉบับแรก ซึ่งจำเป็นต่อการเลือกตั้ง จะต้องสำเร็จก่อนฉบับอื่นๆ ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็จะจัดทำกฎหมายหลายสิบฉบับและเตรียมการอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดคู่ขนานกันไป เมื่อเสร็จแล้วจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) พิจารณา โดยในระหว่างนี้ คสช. รัฐบาล สนช. และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) จะยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามบทเฉพาะกาลจนกว่าองค์กรใหม่จะเข้ามารับช่วงตามกติกาที่วางไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
พล.อ.ประยุทธ์ชี้ด้วยว่า การจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับ เป็นงานที่ละเอียดอ่อนและยากลำบากไม่น้อยไปกว่าการร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งยังมีขั้นตอนมากเช่น ต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรต่างๆ ตรวจสอบความถูกต้องด้วย แต่น่าจะเสร็จสิ้นจนประกาศใช้ได้ไม่เกินกลางปี 2560 หลังจากนั้น กกต.จะจัดการเลือกตั้งทั่วไปให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน หรือ 5 เดือน ซึ่งก็คือช่วงปลายปี 2560 โดยยังคงเป็นไปตามโรดแมปที่วางไว้ หากสถานการณ์บ้านเมืองยังคงมีความสงบสุขดังเช่นปัจจุบันนี้
2.ใต้ป่วน ระเบิดหลายจังหวัด ดับ 4 เจ็บ 36 – “บิ๊กตู่” เสียใจ ยันพร้อมช่วยเหลือเต็มที่ ด้าน “บิ๊กป้อม” ลั่น จะจับคนร้ายให้ได้ ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุระเบิดหลายครั้งหลายจังหวัดในภาคใต้ ระหว่างวันที่ 10-12 ส.ค. ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายสิบราย พล.ต.ต.ปิยะพันธุ์ ปิงเมือง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า 3 วันดังกล่าว ได้เกิดระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 5 จังหวัด จำนวน 13 ลูก เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.เวลา 18.30 น. พบระเบิด 2 จุดที่ ต.ป่าตอง จ.ภูเก็ต เหตุเกิดที่บริเวณแผงลอยจำหน่ายเสื้อผ้าตลาดพาราไดซ์และตลาดไชน่าทาวน์ เป็นระเบิดแรงดันต่ำ เบื้องต้นพบชายต้องสงสัย 2 คน อยู่ระหว่างตรวจสอบ
ต่อมา 11.00 น.วันที่ 11 ส.ค. เกิดระเบิดที่ตลาดนัดเซ็นเตอร์พอยท์ อ.เมือง จ.ตรัง มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 6 คน พบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง วันเดียวกัน เวลา 22.15 น. เกิดระเบิดที่บาร์เบียร์จอห์น 56 อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ให้หลังไม่นาน เวลา 23.00 น. เกิดระเบิดที่ร้านเรนทรีสปา อ.หัวหิน โดยทั้ง 2 เหตุการณ์ มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บ 21 คน ทั้งสองจุดเป็นระเบิดแสวงเครื่อง
วันต่อมา(12 ส.ค.) เวลา 07.45 น. เกิดระเบิดที่สวนสาธารณะโลมา อ.ป่าตอง จ.ภูเก็ต มีผู้บาดเจ็บ 1 คน วันเดียวกัน เวลา 08.00 น. เกิดระเบิดบริเวณที่จัดงานวันแม่ หน้าสถานีตำรวจน้ำ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 3 คน ให้หลังครึ่งชั่วโมง 08.30 น. เกิดระเบิดที่หน้า สภ.เมืองสุราษฎร์ธานีหลังเก่า โชคดีไม่มีผู้บาดเจ็บ พบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง และในเวลาไล่เลี่ยกัน 08.45 น. เกิดระเบิดที่บริเวณตู้ควบคุมการจราจร สภ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ไม่มีผู้บาดเจ็บ ให้หลังไม่กี่นาที เวลา 09.00 น. และ 09.05 น.ได้เกิดระเบิด 2 ลูกที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ บริเวณกระถางต้นไม้ใต้หอนาฬิกาหัวหิน มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บ 3 คน ซึ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน 09.00 น. ได้เกิดระเบิดที่หน้าตลาดบางเนียง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา 2 ลูก ไม่มีผู้บาดเจ็บ แต่มีรถยนต์เสียหาย 2 คัน และ เวลา 09.30 น. พบวัตถุต้องสงสัยที่หน้าโรงแรมบ้านไทย จ.ภูเก็ต
ทั้งนี้ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ยืนยันว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นไม่ใช่การก่อการร้าย แต่เป็นการก่อวินาศกรรมเฉพาะจุด ยืนยันไทยไม่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา ดินแดน ชนกลุ่มน้อย หรือกลุ่มไอซิส และไม่เชื่อมโยงกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ความเป็นความขัดแย้งภายในประเทศ และเป็นการสร้างสถานการณ์ก่อกวน
ด้านสำนักสาธารณสุขฉุกเฉิน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข สรุปผลการดูแลรักษาผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดและไฟไหม้ระหว่างวันที่ 11-12 ส.ค.ในพื้นที่ภาคใต้ว่า มีผู้บาดเจ็บ 36 ราย และเสียชีวิต 4 ราย
ทั้งนี้ หลังเกิดระเบิดหลายจุดในหลายจังหวัดภาคใต้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แถลงผ่านทีวีพูล เมื่อคืนวันที่ 12 ส.ค. โดยแสดงความเสียใจกับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ยืนยันรัฐบาลจะดูแลและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และจะสืบสวนสอบสวนหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีอย่างสุดความสามารถ พร้อมขอให้ประชาชนและสื่อมวลชนอย่าได้ตื่นตระหนก และขอให้ช่วยกันเฝ้าระวัง เป็นหูเป็นตา จัดอาสาสมัครในพื้นที่ของตนเอง หากพบสิ่งใดผิดสังเกต ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทราบทันที พล.อ.ประยุทธ์ยังย้ำด้วยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ยังมีคนไม่ดีอยู่ในสังคมไทยและประเทศไทย
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงความมั่นใจว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นน่าจะมาจากเรื่องภายในประเทศ พร้อมประกาศว่า จะจับกุมตัวคนร้ายให้ได้ จะไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม รัฐบาลจะเดินหน้าเต็มตัว ทำให้เกิดความสงบสุขให้ได้
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศ ได้ประณามผู้ก่อเหตุร้ายทำลายชาติ พร้อมประกาศผนึกกำลังสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พาประเทศฟันฝ่าไปให้ได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บเช่นกัน พร้อมประณามผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดดังกล่าว
ขณะที่นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นว่า หน่วยความมั่นคงยืนยันแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ดังนั้นจึงเหลือทางเดียวคือ เรื่องการเมืองขัดแย้งมายาวนานตั้งแต่ปี 2549 และเกิดจากปัญหาทางการเมือง หลังจากมีการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ เป็นความพยายามของกลุ่มอยากมีอิทธิพล และอยากมีอำนาจต่อรอง จึงดิสเครดิต คสช.และรัฐบาล ใครจะเป็นหรือตาย คนกลุ่มนี้ไม่คำนึงถึง
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ประณามการก่อเหตุร้ายในหลายจังหวัดเช่นกัน พร้อมแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียและบาดเจ็บ และขอให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ นายณัฐวุฒิยังแสดงความไม่พอใจที่บางคนระบุว่า เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการเมือง “ถ้าจะกล่าวหากันตามอำเภอใจ ใครก็ทำได้... การพูดส่งเดชให้ร้ายกัน ถือว่าอำมหิตไม่แพ้พวกก่อเหตุ ถ้ามั่นใจว่ามีข้อมูล ควรเข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ อย่าให้เหมือนกรณีระเบิดแยกราชประสงค์ ที่เริ่มต้นด้วยการชี้นำว่าเป็นเรื่องการเมือง พอจับผู้ต้องหาได้ พวกที่ออกมาพูดก็ไม่รับผิดชอบอะไร”
ทั้งนี้ หลังเกิดระเบิดหลายจุดในภาคใต้ เจ้าหน้าที่ได้สืบสวนหาผู้ก่อเหตุ และได้เข้าควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยหลายคนมาสอบปากคำ เช่น เข้าควบคุมตัวนายประพาส โรจนพิทักษ์ อายุ 67 ปี ที่บ้านพักใน อ.เมือง จ.ตรัง ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิด นอกจากนี้ยังได้เชิญตัวแกนนำที่เคลื่อนไหวทางการเมืองใน จ.นครศรีธรรมราช อีก 2 รายมาสอบปากคำ คือ นายวิเชียร เจียมสวัสดิ์ มีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช และนายวิโรจน์ ยอดเจริญ ภูมิลำเนาอยู่ อ.ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงนายศักรินทร์ หรือเชษฐ์ คฤหัส ชาว อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทเชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด หลังมีหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดว่าเป็นผู้ก่อเหตุเผาห้างเทสโก้โลตัส สาขานครศรีธรรมราช ซึ่งเจ้าตัวยังปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ดังกล่าว
3.“เอ๋ ชนม์สวัสดิ์” นอนคุกต่อ กรมราชทัณฑ์ไม่อนุมัติลดวันต้องโทษ- สะพัด เหล่านักโทษคนดังเข้าข่ายลดวันต้องโทษตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษปีนี้เพียบ!
เมื่อวันที่ 8 ส.ค.มีกระแสข่าวว่า เรือนจำกลางสมุทรปราการปล่อยตัวนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สมุทรปราการ ผู้ต้องขังคดีทุจริตเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลนครสมุทรปราการ ปี 2542 ซึ่งต้องโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 4 ส.ค.2558 หลังเข้าเกณฑ์การพักโทษ หลังมีกระแสข่าวดังกล่าว พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยว่า การพักโทษผู้ต้องขังเป็นขั้นตอนของเจ้าหน้าที่ราชการ ตนไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ทราบว่า ขณะนี้นายชนม์สวัสดิ์ ยังไม่ได้รับการปล่อยตัว เพียงแค่มีรายชื่อเข้าหลักเกณฑ์การปล่อยตัวพักโทษเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ตั้งแต่ตนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ปัญหาการพักโทษมีมาตลอด โดยทางศาลยุติธรรมอยากให้ทบทวนเรื่องการพักโทษ เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมได้ตัดสินคดีความต่างๆ ใช้เวลาค่อนข้างนาน เมื่อตัดสินเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่กรมราชทัณฑ์ โดยให้อำนาจ ผบ.เรือนจำ พิจารณาลดวันการถูกลงโทษ เพื่อให้ผู้กระทำผิดที่อาจไม่ได้ตั้งใจ คืนสู่สังคมรวดเร็วขึ้น แต่ไม่อยากให้อำนาจการปล่อยตัวพักโทษสิ้นสุดที่ ผบ.เรือนจำ เพราะบางครั้งมีข้อครหาว่า ผบ.เรือนจำอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะส่วนใหญ่จะประจำในพื้นที่นั้นๆ ทำให้ต้องป้องกันปัญหาไม่ให้เกิดขึ้น ตนจึงได้สั่งการให้นำเรื่องนี้มาทบทวนว่าไม่ควรจบที่ ผบ.เรือนจำ แต่ต้องให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมหรืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ใตร่ตรองอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งต้องใช้ดุลพินิจดูว่า การทำกิจกรรมประโยชน์เพื่อสังคมของผู้ต้องขังคนนั้นๆ มีเหตุผลสอดคล้องเหมาะสมกับการปล่อยตัวหรือไม่ และยังได้สั่งการให้เร่งแก้ไขตัวกฎหมาย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ ให้รอบคอบมากขึ้นด้วย
ด้านนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงกรณีเรือนจำกลางสมุทรปราการยังไม่ปล่อยตัวนายชนม์สวัสดิ์ ว่า กรณีดังกล่าวไม่ใช่การพักโทษ แต่เป็นการลดวันต้องโทษ ตามที่ ผบ.เรือนจำพิจารณาดำเนินการ โดยนับจากการทำกิจกรรมของผู้ต้องขัง แล้วเสนอให้กรมราชทัณฑ์อนุมัติ เมื่อผู้บริหารระดับกรมพิจารณาแล้ว มีความเห็นให้สมควรรับโทษต่อไปให้ครบตามกำหนด
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายวุฒิชัย เจนวิริยะกุล ผบ.เรือนจำกลางสมุทรปราการ ได้ออกมาระบุว่า เตรียมปล่อยตัวนายชนม์สวัสดิ์ ในวันที่ 7 ส.ค. จนกลายเป็นข่าวครึกโครม และมีผู้สื่อข่าวไปรอทำข่าว แต่ไม่ปรากฏว่านายชนม์สวัสดิ์ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2559 ว่า เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า โดยที่ทรงมีพระราชดําริว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี วันที่ 9 มิถุนายน 2559 และในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ วันที่ 12 สิงหาคม 2559 ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นับเป็นอภิลักขิตกาลสําคัญ สมควรพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องราชทัณฑ์ เพื่อให้โอกาสแก่บุคคลเหล่านั้นกลับประพฤติตนเป็นพลเมืองดี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา พ.ร.ฎ.ขึ้น โดยผู้ที่ได้รับอภัยโทษตาม พ.ร.ฎ.นี้ ต้องเป็นผู้ที่เหลือโทษจำคุกอยู่ไม่เกินหนึ่งปี ผู้ได้รับโทษมาแล้วถึงวันที่ประราชกฤษฎีกานี้ใช้ บังคับไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของโทษ ผู้ต้องโทษที่มีลักษณะทุพพลภาพที่มีลักษณะเห็นได้ชัด รวมถึงผู้ป่วยโรคร้ายแรง เช่น ไตวายเรื้อรัง โรคมะเร็ง โดยต้องได้รับโทษแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือหนึ่งในสองของโทษ เป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมที่เหลือโทษไม่เกิน 2 ปี ส่วนผู้ต้องโทษประหารชีวิตให้เหลือโทษจำคุกตลอดชีวิต ให้ลดโทษเป็นกำหนดโทษ 50 ปี แล้วลดโทษตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้ในวันถัดจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ด้านนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึง พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษดังกล่าวว่า แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ผู้ต้องขังที่รับพระราชทานอภัยโทษ โดยการปล่อยตัวจากเรือนจำทันที กับผู้ต้องขังที่ได้รับการลดวันต้องโทษตามบัญชีแนบท้ายความผิดที่ระบุ และว่า โทษฐานความผิดฐานละเมิดทางเพศ จะไม่ได้รับการพระราชทานอภัยโทษหรือลดวันต้องโทษแต่อย่างใด ส่วนความผิดที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย หรือการฆ่า จะได้แค่ลดวันต้องโทษเท่านั้น สำหรับเกณฑ์ที่จะใช้ในการพิจารณา คือ ดูข้อหาของผู้ต้องขังที่ถูกศาลพิพากษาและดูความประพฤติของผู้ต้องขัง ซึ่งต้องเป็นผู้ต้องขังชั้นดีขึ้นไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผู้ต้องขังที่จะได้รับสิทธิตาม พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษครั้งนี้ มีประมาณ 200,000 คน ที่ได้รับการลดวันต้องโทษ จากจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ 143 แห่งทั่วประเทศกว่า 300,000 คน โดยผู้ต้องขังที่เข้าหลักเกณฑ์ปล่อยตัวมีประมาณ 20,000 ราย ซึ่งเรือนจำแต่ละแห่งจะทยอยปล่อยตัวภายใน 120 วัน โดยเป็นกลุ่มผู้ต้องขังประเภทชรา ป่วย หรือพิการ
รายงานแจ้งด้วยว่า ผู้ต้องขังคดีสำคัญที่จะเข้าตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะได้รับการลดวันต้องโทษ ได้แก่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, นายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม, พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต., นายปริญญา นาคฉัตรีย์ อดีต กกต. หลังถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี ในความผิดตามมาตรา 157, กลุ่มผู้ต้องขังคดีธนาคารกรุงไทย เช่น นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ฯลฯ
4.ผู้ว่าฯ ขอนแก่นแถลงผลสอบ “นพ.เปรมศักดิ์” พบมีมูลคุกคามสื่อ-สั่งถอดกางเกงผู้สื่อข่าวจริง สั่งตั้งกรรมการสอบเอาผิดทางวินัยต่อ ก่อนชง มท.1 ลงโทษ!
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายกำธร ถาวรสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมด้วยนายสุรชัย วัฒนาอุดมชัย ปลัดจังหวัดขอนแก่น และคณะกรรมการสอบสวนระดับจังหวัดกรณี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ ก่อเหตุคุกคามผู้สื่อข่าว กักขังและสั่งถอดกางเกงผู้สื่อข่าว ได้แถลงผลการสอบสวนหลังครบกำหนดระยะเวลาสอบสวน 15 วันว่า คณะกรรมการสอบสวนที่จังหวัดแต่งตั้งขึ้น ได้สรุปสำนวนการสอบสวนหลังจากสอบปากคำพยานทั้ง 2 ฝ่ายและเอกสารหลักฐานต่างๆ พบว่ามีมูลความผิด โดยมีหลักฐานสำคัญคือพยานบุคคล ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนได้ให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย มาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่พบพิรุธและเหตุที่เชื่อได้ว่ามีการให้การเท็จ คณะกรรมการสอบสวนจึงใช้ดุลพินิจและมีการสรุปสำนวนและแนวทางการสอบสวนว่ามีมูลที่ นพ.เปรมศักดิ์ได้กระทำการจริง จึงต้องเข้าสู่ขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ซึ่งจากนี้ไปจะเข้าสู่ขั้นตอนการสอบสวนเอาผิดทางวินัย โดยแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้บริหารท้องถิ่น ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2554 มีรองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นเป็นประธาน มีกรรมการสอบสวนทั้งหมด 5 คน ซึ่งทั้งหมดไม่ใช่คณะกรรมการชุดเดิมที่สอบสวนหาข้อเท็จจริง
นายกำธรเผยด้วยว่า คณะกรรมการที่จังหวัดจะแต่งตั้งขึ้นในการสอบสวนทางวินัยว่าด้วยระเบียบของกระทรวงมหาดไทยนั้น มีเวลาสอบสวน 120 วัน และสามารถยืดเวลาสอบสวนได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 30 วัน เชื่อว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะทำงานได้อย่างรัดกุม รอบคอบ เพราะที่ผ่านมาเป็นขั้นตอนให้ความเป็นธรรม เมื่อความเป็นธรรมปรากฏ จะเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม โดยคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดทางวินัยจะสรุปสำนวนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาบทลงโทษ ซึ่งประเด็นดังกล่าวบทลงโทษคือการพ้นจากตำแหน่งสถานเดียว
5.กสทช.แจ้ง บ.ไนอานติค ของสหรัฐฯ แล้ว ห้าม “โปเกมอน” โผล่ 4 จุดสำคัญของไทย หากนิ่งเฉย จะส่งหนังสือเร่งรัด ยันไม่คิดแบน!
หลังบริษัท ไนแอนติกแลบส์ ผู้พัฒนาเกมโปเกมอน โก สัญชาติอเมริกัน ประกาศทยอยเปิดเกม โปเกมอน โก เกมจับโปเกมอนเสมือนจริงด้วยสมาร์ทโฟน โดยเปิดให้เล่นในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย ซึ่งประเทศไทยก็เป็น 1 ใน 14 ประเทศที่สามารถดาวน์โหลดเกมดังกล่าวมาเล่นฟรีได้ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่า กระแสนิยมเล่นเกม โปเกมอน โก ในไทยได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ส่งผลให้หลายฝ่ายเกิดความห่วงใยถึงความปลอดภัยในการเล่นเกมดังกล่าว หากเล่นในสถานที่ที่ไม่เหมาะสมหรือเสี่ยงต่อการเกิดอันตราย เช่น บนท้องถนน หรือเล่นขณะขับขี่รถ หรือเล่นในสถานที่เปลี่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้แสดงความเป็นห่วงการเล่นเกมโปเกมอน โก โดยเฉพาะในเรื่องความปลอดภัย จึงได้ให้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) หาวิธีดูแล โดยขั้นแรกได้ขอความร่วมมือให้เล่นในที่ที่ปลอดภัย และไม่เล่นในสถานที่ราชการ เพราะเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงปลอดภัย ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาขอร้องเช่นกัน ห้ามเล่นเกมโปเกมอน โก ใกล้หน่วยทหารและสถานที่ราชการสำคัญ
นอกจากนี้หลายสถานที่ยังติดประกาศห้ามเล่นเกมโปเกมอน โก ด้วย เช่น โรงพยาบาลศิริราช ประกาศห้ามเล่นในอาคารผู้ป่วยเด็ดขาด, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ประกาศห้ามเล่นเกม โปเกมอน โกในพื้นที่อุทยานและพื้นที่หวงห้ามทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพราะอาจกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาที่มีความเปราะบาง , กรมการขนส่งทางบก มีระเบียบห้ามคนขับรถโดยสารสาธารณะทุกประเภท รวมทั้งรถแท็กซี่ ห้ามเล่นเกมขณะปฏิบัติหน้าที่ ไม่เช่นนั้นถือว่ามีความผิดตามกฎหมายจราจร ที่กำหนดห้ามใช้โทรศัพท์มือถือรหว่างทำงาน ส่วนกระเป๋ารถเมล์ก็ไม่ควรเล่นเกมเช่นกัน หากได้รับร้องเรียนและตรวจพบ ต้องถูกปรับเป็นเงิน 1,000 บาท
ด้านกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บก.ปอท.) ได้เตือนผู้ที่เล่นเกม โปเกมอน โก ว่า หากบุกรุกสถานที่หรือพื้นที่ส่วนบุคคลของผู้อื่น อาจถูกดำเนินคดีอาญาข้อหาบุกรุกสถานที่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งยอมความกันได้ แต่หากบุกรุกในเวลากลางคืน จะยอมความไม่ได้ และมีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(3) จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ด้านสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้พยายามจัดระเบียบและป้องกันปัญหาจากการเล่นเกม โปเกมอน โก เช่นกัน โดยเมื่อวันที่ 9 ส.ค. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. ได้เชิญตัวแทนจากกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5 ราย มาประชุมเพื่อหาทางป้องกันและเฝ้าระวังการเล่นเกม โปเกมอน โก หลังประชุม นายฐากร เผยว่า ที่ประชุมได้ข้อตกลงร่วมกัน 3 ข้อ คือ 1.เรื่องความปลอดภัย กสทช.จะขอให้ทางทรูช่วยยกร่างหนังสือระบุสถานที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการเล่นเกม โปเกมอน โก จากนั้น กสทช.จะลงนามและส่งให้บริษัท ไนอานติค จากประเทศสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้พัฒนาและให้บริการเกมดังกล่าวโดยเร็วที่สุด
2.ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 5 ราย จะจัดทำคู่มือการเล่นเกม โปเกมอน โก ออกเผยแพร่ โดยแนะนำการใช้งานทั้งในส่วนของเด็กและผู้ปกครอง และ 3.การคุ้มครองผู้บริโภคจากค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัว(บิลช็อก) จากการใช้เงินจริงที่เพิ่มเติมจากค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปซื้อไอเท็มในเกม โดยเอไอเอสแจ้งว่า จะกำหนดวงเงินในการซื้อไอเท็มที่ 1,000 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน รวมทั้งมีเอสเอ็มเอสแจ้งเตือนผู้ใช้งานหรือผู้ปกครองของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กทุกครั้ง ส่วนดีแทคกำหนดวงเงินสูงสุด 8,000 บาทต่อเดือน และส่งเอสเอ็มเอสแจ้งผู้ใช้งานและผู้ปกครองของผู้ใช้งานที่เป็นเด็กทุกครั้งเช่นกัน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ส.ค. นายฐากรเผยว่า กสทช.ได้ส่งหนังสือผ่านทางอีเมลไปยังบริษัท ไนอานติค ประเทศสหรัฐอเมรกาแล้ว เพื่อขอความร่วมมือไม่ให้โปเกมอน โผล่ในสถานที่สำคัญ 4 แห่งของไทย ได้แก่ 1.สถานที่อันตราย เช่น ถนน คลอง คูน้ำ 2.ศาสนสถาน 3.สถานที่ราชการ พื้นที่ความมั่นคง โรงเรียน โรงพยาบาล และ 4.พื้นที่ส่วนบุคคล และว่า หากทางบริษัท ไนอานติคยังนิ่งเฉย กสทช.จะส่งหนังสือเร่งรัดขอคำตอบอีกครั้งในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่า หากบริษัท ไนอานติค ไม่ตอบคำถาม หรือไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ขอไป จะดำเนินการอย่างไรต่อไป “ขอยืนยันว่า สำนักงาน กสทช.ไม่มีเจตนาจะแบนเกม โปเกมอน โก เราไม่มีอำนาจตามกฎหมายในข้อใดที่จะสามารถไปแบนได้ สิ่งที่ กสทช.ทำ เพียงแค่อยากให้ประชาชนเล่นอย่างปลอดภัยและไม่เกิดบิลช็อก ฉะนั้นประชาชนยังเล่นเกมนี้ได้ แต่ต้องเล่นด้วยความระมัดระวัง และควรศึกษาคู่มือที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละรายเริ่มมีการเผยแพร่ออกมาแล้ว”