xs
xsm
sm
md
lg

โปรแกรมเมอร์แล้วยังไง? ขายไข่รายได้ดีกว่า "เอ็ม จักรกรินทร์" สร้างชีวิต(ใหม่) ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ปัจจุบันหลายคนหันมาให้ความสำคัญกับงานเกษตรกันมากขึ้น ซึ่งบางคนก็ทำเป็นงานอดิเรก บางคนถึงขั้นลาออกจากงานประจำหันหน้ามาเป็นเกษตรกรอย่างเต็มตัวเลยก็มี เช่นเดียวกับโปรแกรมเมอร์หนุ่มบริษัทดังคนนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้าฝ่ายไอทีที่ได้เงินเดือนเกือบแสน แต่สุดท้ายแล้วอาชีพเกษตรกรก็เป็นหนึ่งในความฝันที่เขาอยากทำ จนถึงขั้นยอมยื่นใบลาออกจากงานประจำ

เอ็ม-จักรกรินทร์ โฆษณา หัวหน้าฝ่ายไอที ดูแลระบบไฟแนนซ์ ที่เติบโตมาจากครอบครัวทำไร่อ้อย เลยทำให้เขาหลงรักและคลุกคลีกับเกษตรกรรมมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ว่าโตขึ้นชีวิตจะหันเหไปทำงานด้านอื่นแล้วก็ตาม แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็เลือกที่จะลงหลักปักฐานกับงานเกษตรจนถึงขั้นยื่นจดหมายลาออกเพื่อจะออกมาทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

เริ่มต้นด้วยเงินหลักหมื่น ขยับขยายจนปัจจุบันมีรายได้หมุนเวียนเป็นหลักแสน และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือสิ่งที่เขายึดถือมาโดยตลอด

   • เห็นว่าก่อนจะมาเป็นเกษตรกร ก่อนหน้านี้เราเป็นโปรแกรมเมอร์เงินเดือนเกือบแสนเลย

ใช่ครับ ผมเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่บริษัทมีนาลิสซิ่ง ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายไอที ดูแลระบบไฟแนนซ์ที่ขายรถดูแลระบบทั้งหมด ซึ่งจบมหาวิทยาลัยมาผมก็ทำงานด้านนี้เลย ตอนนี้ก็ทำอยู่นะครับ แต่ว่าผมก็ได้ยื่นใบลาออกไปแล้วตอนนี้ยังไม่ได้รับการอนุมัติครับ แต่ผมแน่วแน่แล้วว่าสิ้นปีนี้ก็คงจะกลับบ้านไปทำเกษตรแบบจริงจังแล้ว (ยิ้ม)

   • ลาออก? คือเราจะลาออกไปเป็นเกษตรกรแบบเต็มตัวเลยใช่ไหม

ผมแน่วแน่แล้วครับ ตอนนี้ผมยื่นใบลาออกไปแล้ว ก็ผ่านหัวหน้าแล้ว แต่ยังไม่รับการอนุมัติตั้งแต่หัวหน้าและก็ไปถึงเจ้าของอีกที เขาก็เรียกเราไปดูหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่ไปก็มีแต่ถามผมว่าเอาเงินเพิ่มไหม ผมพูดตรงๆ เลยนะครับว่าผมไม่ต้องการเงิน แต่ผมต้องการชีวิตแบบนี้ อีกอย่างเราต้องกลับไปดูแลพ่อแม่ด้วย เพราะว่าท่านแก่แล้วครับ

งานเกษตรเป็นอะไรที่ผมรักด้วยครับ ผมรักในอาชีพนี้ เพราะเราผูกพันมาตั้งแต่เด็ก และมันก็น่าจะทำได้ดีกว่าอาชีพอื่นๆ ก่อนหน้านี้เคยมีเพื่อนๆ บอกว่า ลองออกไปเปิดบริษัทเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม วางระบบก็เป็น เขียนโปรแกรมก็เป็น วางระบบ ติดตั้งเซฟเวอร์ก็เป็นหมด รายได้น่าจะดีกว่าเยอะ แต่ทำไมไม่เลือก ซึ่งที่ผมไม่เลือกเพราะผมยังเครียดอยู่ มันยังวนเวียนอยู่ในสิ่งที่เราไม่ชอบ แต่พอเราได้ไปอยู่กับงานเกษตรมันทำให้ผมนิ่ง ผมสงบ เราได้อยู่กับครอบครัว อยู่กับธรรมชาติ ก็เลยรู้สึกรัก รักกับตรงนั้นมากกว่า

เป็นโปรแกรมเมอร์ได้รายได้เยอะก็จริง แต่มันคนละแบบกันนะครับ ได้เงินเยอะก็จริง แต่ด้วยสังคมความเครียดอะไรหลายๆ อย่าง ไม่ว่าต้องอยู่กับคน เจอความต้องการที่หลากหลายของคน ทำให้เราเครียด แล้วงานตรงนี้มันน่าจะอิ่มตัวแล้วด้วยมั้งครับ (ยิ้ม)

   • คิดว่าตัดสินใจถูกแล้วใช่ไหมคะ ทางครอบครัวว่าอย่างไรบ้างคะที่เราทิ้งเงินหลักแสน ไปเป็นเกษตรกร

ใช่ครับ ตอนนี้แม่ก็ยอมรับแล้วครับ (หัวเราะ) แต่ปี สองปีแรกเขาจะแอนตี้มาตลอดเลย แม่จะคอยต่อต้านตลอดเรื่องที่จะลาออกกลับบ้านมาทำเกษตร เขาจะบอกตลอดว่าไม่ได้หรอก โปรแกรมเมอร์เงินเยอะขนาดนี้จะออกทำไม จะได้เอาเงินตรงนี้มาช่วยในบ้าน เราก็เลยทำให้เขาเห็นว่าทำเกษตรมันก็ได้เงินเหมือนกัน ปีนี้เขาก็เริ่มโอเค เพราะตอนนี้เราพอที่จะไปอยู่ได้แล้วด้วยครับ

หลักการคิดของผมที่วางแผนไว้คือ ขอให้มีรายได้รายวัน ขอให้มีรายได้รายเดือน ขอให้มีรายได้รายปีเราก็อยู่ได้แล้ว เพราะรายจ่ายเราแทบจะไม่มี อย่างเรื่องกิน ก็มีไข่ มีผัก มีปลา ถ้าอยากกินหมูก็ไปซื้อที่ตลาดมากิน ผมก็จะอธิบายให้แม่ฟังแบบนี้ตลอดครับ

   • แล้วไม่ทราบว่าไปสนใจเกษตรกรรมตั้งแต่ตอนไหนคะ

ต้องบอกก่อนว่าผมคลุกคลีกับงานด้านนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่บ้านก็เป็นเกษตรกร ทำไร่อ้อย ทางบ้านก็ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งปัจจุบันนี้เขาก็ยังทำไร่อ้อยอยู่นะครับ

ตรงนี้เกิดจากที่ผมได้เข้าไปศึกษาหาข้อมูล เรื่องเกษตรแบบพอเพียง แล้วรู้สึกชอบ รู้สึกอยากดำเนินชีวิตแบบนั้น ผมได้ไปดูตามเพจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ บ้าง ของพี่น้องที่เขาทำแล้วประสบผลสำเร็จมาแล้วบ้าง เราไปดูว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง

ตอนที่ผมไปศึกษาหาข้อมูล เกิดจากที่ผมมีใจรักแล้วนะครับ เหมือนกับว่าเราไปเห็นคนที่เขาประสบผลสำเร็จด้วย ดูไปดูมาก็รู้สึกชอบด้วย เพราะด้วยพื้นเพที่บ้านเรามีทรัพยากรดีอยู่แล้วด้วย ผมก็เลยเริ่มต้นทำ

   • เริ่มต้นทำอย่างไรบ้างคะ เช่นเตรียมพื้นที่ยังไงบ้าง เราเอางบประมาณมาจากไหนคะ ลงทุนไปกับอะไรบ้าง ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยค่ะ

ผมเริ่มจากไปปรับปรับพื้นที่ ขุดบ่อที่บ้านจังหวัดชัยภูมิก่อนครับ แล้วผมก็เริ่มจากเลี้ยงไก่ไข่ครับ เริ่มต้นแรกๆ ตอนนั้นผมมีเงินอยู่ 50,000 บาท จะแบ่งเงินไปกับการขุดบ่อไป 30,000 บาท ซื้อไก่ไข่ประมาณ 20,000 บาทครับ แล้วหลังๆ ก็เริ่มขยับขยายไปเรื่อยๆ แต่เราก็ไม่ทำยิ่งใหญ่อะไรมากนะครับ เพราะทุกอย่างจะอยู่บนธรรมชาติทั้งหมดเลย เราทำในที่ที่มีไร่อ้อยล้อมรอบ ส่วนของผมจะอยู่ตรงกลาง ห่างจากหมู่บ้านเพราะว่าเราชอบความสงบเราจะไม่อยู่ใกล้บ้าน ไม่ได้เปิดใหญ่ไม่ได้เป็นมาตรฐานอะไรแบบนั้นไม่ใช่ เราเลี้ยงแบบชาวบ้าน ดำเนินชีวิตแบบธรรมชาติที่อาศัย เพราะก่อนทำผมจะวิเคราะห์จากที่แม่เคยทำมานานแล้ว เขาก็ยังทำได้ประมาณนี้ครับ

   • ค่อยๆ ขยับขยายเหรอคะ แล้วตอนนี้ขยับขยายไปถึงไหนแล้วคะ มีอะไรเพิ่มขึ้นจากเดิมบ้างไหม

ตอนนี้ก็มีเลี้ยงไก่ไข่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงปลานิล ปลูกมะนาว ปลูกผัก สร้างโรงเรือนเลี้ยงหมู และวัวด้วยครับ หมูนี่เริ่มแรกมีสองตัวครับ เกิดจากสมาชิกที่ชอบด้านนี้ด้วยกันเขาอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เขาเอาหมูตัวเมียมาให้2ตัว ผมก็เลยขับรถเก๋งไปรับเอาหมูมาจากกาฬสินธุ์ ผมเอามาเลี้ยงเป็นแม่พันธุ์ ซึ่งตอนนี้ก็กลายเป็นว่าผมมีหมู 50-60 ตัวแล้วครับ ส่วนเป็ดตอนนี้ก็มี 500 ตัว ไก่ไข่อีก 200 ตัว และคิดว่าจะเพิ่มขึ้นมาให้ได้สัก 1,000 ตัว ครับ (ยิ้ม)

   • แล้วผลตอบรับที่ได้เป็นอย่างไรบ้างคะ เป็นอย่างที่คิดไว้บ้างไหม หรือเกินกว่าที่คิดไว้ไหมคะ

จะบอกว่า 2 ปีแรกที่ทำยังไม่เข้าที่เท่าไหร่ มีแต่ลงทุน แรกๆ ยอมรับว่ายังไม่ดีก็มีขาดทุนบ้าง แต่สำหรับผมช่วงนี้ เราก็ไม่ได้ตีว่าเป็นขาดทุน เราจะถือว่าเป็นต้นทุนในการศึกษา คิดบวกไป (หัวเราะ) ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป

อย่างการหาแหล่งขายผมเริ่มจากขายกันในหมู่บ้านก่อน อย่างแรกๆ ก็จะมีรถขายไข่เข้ามาในหมู่บ้านทุกวันเลย ซึ่งของเราขายถูกกว่าเขาประมาณ 10 บาทไข่สดด้วย ชาวบ้านก็อยากซื้อจากเรา ตั้งแต่นั้นมาผลตอบรับก็ถือว่าดี พอมันเริ่มจะไม่พอขาย น่าจะเป็นเพราะไก่ไข่เราน้อยด้วย ผมก็เลยคิดหาวิธีการจะทำอะไรเพิ่มตามความต้องการภายในหมู่บ้าน ก็เลยศึกษาหาข้อมูลอีกที ทั้งไปถามผู้ที่เคยทำมาก่อน ทั้งศึกษาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตบ้าง ซึ่งเราได้เงินจากไข่ไก่ไปแล้วเราก็เลยต่อยอดเรื่อยๆ จนมาสู่อื่นๆ

ส่วนตอนนี้รายได้ผมก็ได้มาจากที่เราเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว อย่างเลี้ยงสัตว์พวกนี้เราก็จะมีมูลสัตว์ อย่างมูลวัวจะเอาไปหมุนเวียนในแปลงหญ้าวัว มูลหมูจะมีคนมาซื้อ เพราะบริเวณนั้นเขาเลี้ยงหม่อน เลี้ยงไหม เขาจะใช้มูลหมู เราก็ขายกระสอบละ20 บาท ก็เป็นรายได้เกิดขึ้นมาด้วย

อย่างผักเราก็จะปลูกผักต่างๆ ไว้กินเอง ส่วนที่เหลือก็จะเอาไปขายที่ตลาดในหมู่บ้านทุกวันพุธและวันอาทิตย์ ตรงนี้ผมก็จะให้น้องสะใภ้ไปนั่งขายอยู่ที่ตลาด ส่วนมะนาวเราจะขายลูกละ 2-3 บาท เราจะส่งให้ร้านส้มตำทุกวัน ตรงนี้ก็ได้วันละ300-500 บาทครับ

เอาจริงๆ รายได้จากการขายไข่เป็ดเราจะได้ประมาณวันละ 1,500 บาท ไข่ไก่ก็ประมาณ 500 บาท หลังๆ เป็ดไข่ก็เริ่มมีอาจารย์สนับสนุนให้เอาไปส่ง จากที่ขายในหมู่บ้านตลาดก็เริ่มกว้างขึ้น แล้วผมก็มีขายปลานิลด้วย กิโลละ 80 บาท ได้วันละ 15-20 กิโลกรัม เพราะจะมีร้านส้มตำ งานบวช งานแต่ง มาสั่งไปทำปลานิลเผาเป็นประจำ ไหนจะผัก มูลสัตว์อีก ตอนนี้ผมทำมาเข้าปีที่ 3แล้วครับ ก็เริ่มได้กลับเข้ามาบ้างแล้ว เดือนหนึ่งรายได้หมุนเวียนก็น่าจะประมาณหลักแสนเห็นจะได้ครับ (ยิ้ม)

   • ดูเหมือนว่ารายได้ก็พอๆ กับอาชีพโปรแกรมเมอร์เลย แบบนี้ผลลัพธ์ที่เราได้มากกว่ารายได้นี่คืออะไรคะ

เรื่องรายได้ผมจะบอกว่าเป็นโปรแกรมเมอร์ผมได้เงินเดือน 60,000 บาท เกษตรแรกๆ ได้ 30,000 บาท แต่ตอนนี้จะเข้าหลักแสนแล้ว จากที่เราได้คำนวณดูต่อเดือน หักลบรายจ่ายออกไปแล้วผมว่ามันอยู่ได้แล้วครับ

ผมว่าสิ่งที่มันต่างกันก็คือในเรื่องของความสุขที่เราได้รับ ตรงที่ว่างานเกษตรมันเหนื่อยกว่า เป็นโปรแกรมเมอร์สบายกว่าแต่ว่ามันเครียดกว่าเยอะ แต่สิ่งที่ได้มากกว่าก็คือความสุข ความสบายมันต่างกัน เหนื่อย พักก็หาย แต่เวลาเครียด มันหายากนะ ทุกวันนี้ผมต้องเครียดกับระบบงาน แถมจะต้องเครียดกับสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ อีก ผมว่าผมกลับไปทำเกษตรอยู่ที่บ้านดีกว่า

   • เห็นว่าเรายึดมั่นในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยใช่ไหมคะ แล้วส่วนตัวเป็นคนพอเพียงไหมคะ

ใช่ครับ ผมจะยึดมั่นในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาโดยตลอด รวมๆ คือการที่จะทำเกษตรกรคือใจต้องรักและพยายามทำไปตามแนวพระราชดำรัสของในหลวง ตามแนวเกษตรพอเพียง ไม่ต้องไปคิดว่าเราต้องรวย.ทำแล้วต้องรวยอย่าไปคิดอย่างนั้น ถ้าหากเรามาในแนวนี้ มันไม่ใช่รวยปั้งเดียวเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่1 มันค่อยๆเห็นผล อย่างเช่น ผมลงกล้วยไปปีนี้ต้นทุนมันมีแน่นอน แต่ว่ามันยังไม่ได้ขายเพราะกล้วยประมาณปีหนึ่งถึงจะได้เก็บปลี.บางทีใจร้อนเห็นลงในเพจดัง รายได้เป็นล้าน คืออันนั้นเขาทำเรื่อยๆ เขาศึกษาปัญหาต่างๆคือผ่านมาเยอะ อย่างที่บอกคือมีใจรัก เตรียมพร้อมอุปสรรคต่างๆ มีแน่นอนก็ค่อยๆ แก้ต้องรับมือ แหล่งน้ำบริเวณต่างๆ สภาพแวดล้อมต่างๆ เราต้องมาวิเคราะห์กันก่อน

คำว่าพอเพียงของผมในที่นี้ก็คือเราทำ เราพอในสิ่งที่เราคิดว่ามันพอเพียง อย่างเช่น เราหาเงินได้เท่านี้ เราใช้เท่านี้ เรากินเท่านี้ เราทำเท่านี้ เราเก็บเท่านี้ เราไม่ทำเกินตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป ความพอเพียงมันก็จะเกิด แล้วเราก็จะรู้สึกสุข แต่ในเรื่องวัตถุนิยมผมก็มีบ้างนะครับ อันนี้เพราะว่าด้วยสายงานที่ผมทำ จะอยู่ด้านไอทีผมก็ต้องอัพเดตในส่วนนี้ด้วย ชีวิตผมเหมือนจะแตกต่างจากที่เราทำอยู่ด้วยใจผม เช่นต้องเข้าฟิตเนสต้องดูแลร่างกายให้ดูดี ซึ่งมันจะแตกต่างจากเกษตรพอเพียง ซึ่งหลายคนก็มองว่าผมทำไม่ได้หรอก สำอางดูแลตัวเองดีเกินไป แต่ผมว่ามันไม่ใช่ สิ่งที่ผมรักคือเป็นแบบนี้แหละ ผมชอบแบบนี้ แต่ผมก็ยังใช้ไอโฟน ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้โน๊ตบุ๊คอะไรทุกอย่าง ใช้ด้วยงาน ด้วยอาชีพแต่สิ่งที่ผมเอาไปปรับใช้ในกระบวนการทางความคิด การคิดเป็นลำดับขั้นตอนต่างๆ ไม่ใช่ตัดไปเลย ไม่ได้จะไปสร้างกระต๊อบอยู่ เราก็ยังใช้ชีวิตปกติอยู่ (ยิ้ม)

   • จะว่าไปแล้วเราได้อะไรจากอาชีพเกษตรกรบ้าง

อย่างแรกได้สุขภาพครับ เพราะเราบริโภคในสิ่งที่เราทำ เราได้ทานของดีๆ ที่เราทำมา อย่างที่สองคือได้ความรู้ที่มันเกิดจากตรงนี้ ซึ่งเราได้เตรียมพร้อมรับมือกับอุปสรรคต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นมา ได้แก้ปัญหาเอง เราจะได้รู้และก็นำความรู้ไปบอกต่อให้กับเพื่อนๆ เพราะว่าเพื่อนสมัยนี้คนส่วนใหญ่จะหันไปทำเกษตรกันเหมือนกัน อย่างที่สามได้สมาธิ ทำให้ผมใจเย็นลง เราได้อยู่กับธรรมชาติ ปกติผมจะค่อนข้างใจร้อนหน่อยหนึ่งเพราะด้วยงาน แต่ตอนนี้ลดลงเยอะ แล้วครับ (ยิ้ม)

   • อย่างที่เอ็มบอกตอนนี้คนหันมาทำเกษตรกันมากขึ้นคิดอย่างไรกับตรงนี้บ้างคะ

ผมเห็นด้วยนะครับที่ตอนนี้คนหันมาทำเกษตรกันเยอะขึ้น เพราะอีกหน่อยอาชีพเกษตรกรก็จะเป็นอาชีพที่รู้สึกว่าจะอยู่ต้นๆ ของทุกอาชีพเลย เพราะปัจจุบันคนเยอะขึ้น แต่เกษตรกรลดลง ด้วยพื้นที่ที่ทำเกษตรน้อยลง แต่การบริโภคเยอะขึ้นด้วย แต่ก็อยู่ที่เกษตรกรอย่างเรานี่แหละที่จะช่วยกันผลิต หาวิธีใหม่ๆ ด้วยพื้นฐานความพอเพียงและก็ห่างไกลจากสารเคมีอะไรต่างๆ ก็จะดีขึ้นมากครับ

ผมอยากบอกว่าอาชีพเกษตรกรตอนนี้เริ่มจะไม่มีแล้ว คนจะหันไปทางด้านอื่นซะเยอะ อยากให้ทุกคนกลับมาทำกษตรกัน มันอาจจะไม่หรูหรา แต่มันมีความสุข สุขใจที่เราได้อยู่บนผืนแผ่นดินที่บ้านเกิดของเรา สุขใจที่ได้อยู่กับครอบครัว อยากให้รักอาชีพเกษตรกรเยอะๆ (ยิ้ม)

   • แต่ก็มีหลายคนมองว่าอาชีพนี้เหนื่อยแถมยังขาดทุนเพราะเห็นได้จากเกษตรกรรุ่นเก่าๆ ที่ยังขาดทุนก็มีเยอะอยู่

ต้องมองก่อนว่าที่เขาขาดทุนเพราะอะไร เพราะหนึ่งเขาใช้เคมีเยอะหรือเปล่า ทุกวันนี้เราพยายามใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และใช้ต้นทุนให้น้อยลงแต่ปุ๋ยเคมีเราไม่ได้ซื้อแล้ว เราก็หมุนเวียนจากมูลสัตว์ ใบไม้ใบหญ้าที่เราตัดทิ้ง เอามาเป็นปุ๋ยแทน ที่เกษตรเก่าๆ เขาขาดทุนเพราะใช้เคมีเยอะ ใช้ยาฆ่าหญ้าอะไรต่างๆ เยอะแต่ทุกวันนี้เราพยายามหมุนเวียนในวงจรให้ได้ ผมก็เลยคิดว่าเกษตรกรนี้น่าจะไปได้ดี ในมุมมองของผม

   • แล้วในฐานะที่ทำอาชีพนี้ ถามหน่อยค่ะว่าคนที่จะอยู่กับอาชีพนี้ได้ต้องเป็นคนแบบไหนคะ หรือมีคุณสมบัติอย่างไร

จริงๆ แล้วคุณสมบัติ ของเกษตรกรต้องอยู่ที่ใจรักในอาชีพนี้เป็นอย่างแรกก่อน ไม่ใช่เห็นว่าคนอื่นเขาประสบผลสำเร็จ ดูทำแล้วน่าจะง่าย จริงๆ แล้วลึกๆ มันจะมีอุปสรรคอยู่นะครับ ไม่ใช่ว่าเราลงทุนไปตู้มเดียว แล้วมันจะได้เลย เราต้องหว่านข้าวก่อนที่จะมาเป็นข้าว เราถึงได้เกี่ยวกิน มันต้องมีหนอนบ้างล่ะ อะไรบ้างล่ะ นั้นแหละคือโจทย์ที่เราต้องแก้ไข แล้วเราต้องใจเย็น มีความรับผิดชอบด้วยถึงจะทำออกมาได้ดีครับ

ผมคิดว่าเกษตรกรที่ดี คือต้องห่วงใยผู้บริโภคก่อน ถ้าเราจะทำ อย่างเช่น ปลูกผักเลี้ยงไก่ไข่ เราพยายามอย่าใช้สารเมีเยอะเกินไป เพราะทุกวันนี้มันมีโรคที่มากับอาหารเยอะเหมือนกัน เราคิดว่าเราทำอะไรสักอย่าง เราบริโภคเอง ให้ผู้บริโภคได้บริโภคในสิ่งที่มีประโยชน์ ที่ดีต่อสุขภาพเขาด้วย เราก็จะได้อานิสงส์ตรงนี้ไปด้วย

   • อยากให้เล่าถึงความยากลำบาก อุปสรรค สิ่งที่ต้องอดทนกับอาชีพนี้หน่อยค่ะ เพื่อเป็นแนวให้คนอื่นๆ ต่อไป

อุปสรรคในการทำเกษตรหลักๆ จะเป็นน้ำ เราต้องมีแหล่งน้ำที่จะใช้ในการรดผักและให้น้ำ ให้อาหารสัตว์ อุปสรรคนี้ผมเจอ มาเมื่อสงกรานต์ปี 59 นี่แหละที่มันจะแล้งมาก น้ำไม่พอที่จะใช้ในฟาร์ม น้ำหมดไม่รู้จะใช้อย่างไร น้ำบาดาลเราก็ไม่มี ตรงนี้ต้องคิดที่จะต้องวางแผนน้ำจะสำคัญที่สุดในการทำการเกษตรครับ

ส่วนตัวผมก็มีท้อนะครับ ช่วงที่ผ่านมา จะท้อมากๆ เลยเพราะในไร่เรามีบ่อเดียว แต่ช่วงที่ผ่านมามันแล้งมาก น้ำบาดาลยังไม่มี ไฟฟ้าในบริเวณที่ทำอยู่ ก็ไม่มีเป็ดก็ต้องหิ้วน้ำขึ้นมา ทีนี้น้ำเริ่มหมดจะไปเอาน้ำมาจากไหน เริ่มท้อว่าไม่ไหวแล้วแม่ รู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆ แม่ก็ให้กำลังใจ ว่าเรามีอีกบ่อหนึ่ง เราลองเอารถไปเข็นช่วยกัน มาให้เป็ดเพราะว่าเป็ดเราต้องการน้ำ มันไม่เหมือนไก่ นี่แหละครับมันต้องศึกษาไปเรื่อยๆ เราต้องศึกษาให้เยอะ

   • ถ้าคนที่ไม่เคยทำอาชีพนี้มาก่อน แต่อยากทำจะต้องเริ่มจากอะไรก่อนคะ

ก็มีหลายคนมาปรึกษาผมนะครัลวันหนึ่งเป็น 10 สายเลยก็มี แต่ส่วนมากจะปรึกษาเรื่องเป็ดไข่เพราะผมเพิ่งได้ออกทีวีไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ก็จะมีคนโทรมาถามว่าซื้อมาจากไหน เลี้ยงอย่างไร ลดต้นทุนอย่างไรประมาณนี้ครับ

เรื่องการทำเกษตรผมอยากให้เริ่มต้นจากศึกษาเรียนรู้ก่อน และก็ลงมือทำจากเล็กๆ เพราะว่าถ้ามีเงินแสนหนึ่งอยากให้ได้เหมือนเขา หรือมาดูผมที่ผมผ่านมาได้ 3 ปีแล้ว ผมค่อยๆ เก็บค่อยๆ ทำ แต่อย่าตู้มเดียวให้ได้อย่างนี้เลย มันไม่ใช่เราต้องเริ่มศึกษาปัญหา ปัญหามันมีแน่นอนแหละครับ ทำทุกอย่างค่อยเป็น ค่อยไป บางทีตู้มหนึ่งเป็ดอาจจะตายหมดก็ได้ มีโรคมีอะไรมา นั่นแหละถึงอยากจะให้ค่อยๆ ศึกษาทำทีละเล็กละน้อย แล้วค่อยขยับขยายไปครับ

ส่วนเรื่องทุนก็จำเป็นนะครับแต่ต้องอยู่ที่ว่าเราจะทำอะไร ถ้าเราจะไปทำฟาร์มหมู ทุนก็ต้องมีเยอะหน่อย เฉพาะโรงเรือนของผมก็ 60,000 บาทไปแล้ว คือพูดตรงๆ ต้องมีเงินที่จะไปลงทุนด้วย

เรื่องสถานที่ก็เหมือนกัน อย่างถ้าเลี้ยงหมูเราต้องใส่ใจกับสภาพแวดล้อมที่มีคนอาศัยอยู่ด้วย อย่างเช่น หมู ถ้าเราเลี้ยงมันจะเหม็น เราต้องรู้แล้วล่ะ เราต้องทำให้ได้ เราต้องใส่ใจกับสภาพแวดล้อมหรือชุมชนที่เราอยู่ด้วย แต่ถ้าเราปลูกผักก็ไม่น่ากังวลอะไร แต่ก็ควรมีสถานที่ในการวางแผนด้วย

สุดท้ายผมอยากจะบอกเหมือนเดิมว่าถ้าอยากจะเป็นเกษตรกร ต้องมีใจรักและพยายามทำไปตามแนวพระราชดำรัสของในหลวง ตามแนวเกษตรพอเพียง ไม่ต้องไปคิดว่าทำแล้วต้องรวย อย่าไปคิดอย่างนั้น ถ้าหากเรามาในแนวนี้ มันไม่ใช่รวยปึ้งเดียวเหมือนถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 หรอกครับ มันจะค่อยๆ เห็นผล อย่างผมลงกล้วยไปปีนี้ต้นทุนมันมีแน่นอน แต่ว่ามันยังไม่ได้ขายเพราะกล้วยใช้เวลาประมาณปีหนึ่งถึงจะได้เก็บปลี บางทีเราใจร้อนเกินไป เห็นคนอื่นได้รายได้เป็นล้าน เพราะว่าเขาทำเรื่อยๆ เขาศึกษาปัญหาต่างๆ เขาผ่านมาเยอะ

   • ตอนนี้คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จกับงานด้านเกษตรแล้วหรือยัง แล้วตอนนี้วางแผนอะไรในอนาคตบ้างคะ

ตอนนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วประมาณ 80% แต่ยังไม่ถึงกับ 100% นะครับ เพราะว่ามันยังมีอุปสรรคจุกจิกที่เราต้องทำ มันยังไม่ได้ตามที่เราต้องการ อาจจะด้วยที่ยังไม่ได้ลงไปทำ 100% น้องอาจจะทำให้เราไม่ได้ 100% เพราะด้วยงานของเขาที่ต้องรับผิดชอบด้วย

อนาคตที่คิดๆ ไว้คือผมอยากคืนกำไรสู่สังคม คือหนึ่งเราทำอินทรีย์ ให้เขาบริโภคสิ่งดีๆ ปลอดสาร สองโปรเจ็คที่วางไว้คือผมจะเลี้ยงไก่ไข่และเป็ดเพิ่มและส่งไข่ให้กับโรงเรียนที่ด้อยโอกาสต่างๆ ที่เขาต้องการและเราวางแผนไว้อย่างละเล็กละน้อยเพื่อเอาไปเป็นอาหารกลางวันให้เด็ก

ส่วนตอนนี้ผมกำลังเริ่มปลูกกล้วยน้ำว้า อันนี้คือโปรเจ็คใหม่ แต่หลักๆ จะทำเป็นแบบปลอดสารทั้งหมดเลยใช้มูลสัตว์นั้นแหละไปบำรุงหญ้า แล้วก็เอาหญ้าในไร่มาให้วัวหมุนเวียนกันแบบนี้ อารมณ์คือเป็นเกษตรอินทรีย์แต่อาจจะไม่ได้ 100% แต่เราจะให้หลุดออกจากสารเคมีเรื่อยๆ จนเหลือ0% ให้ได้เพราะทุกอย่างที่เราทำ เราต้องกินเองด้วย เราก็ต้องนึกถึงคนที่มาบริโภคกับเราด้วยว่าเขาต้องได้ปลอดสาร100% เหมือนกันเพราะว่าเกษตรกรยุคใหม่ๆ เขามาแนวนี้หมดแล้ว พวกสารเคมีต่างๆ เราอย่าไปใช้มันเลย

อย่างไข่เป็ดก็เริ่มมีพ่อค้าคนกลางมาแล้ว มาซื้อเป็ดไข่ เขาบอกว่ารับหมด เขาจะนำเข้าเมืองขอนแก่น แต่เรายังไม่โอเค เพราะว่ามันก็ยังขายได้อยู่ แต่อนาคตถ้าเราทำเยอะก็อาจจะทำครับ แต่อย่างที่ผมบอกผมขออยู่แค่นี้ก่อนดีกว่า ถ้าสมมุติว่าตอนนี้ผมมีเงินหมื่นหนึ่ง ผมก็ไม่ได้อยากมีสองหมื่น สามหมื่นอะไรแบบนั้น มันไม่ใช่แบบที่ผมต้องการ ผมอยู่เท่านี้ผมก็มีความสุขแล้วครับ (ยิ้ม)



เรื่อง : วรัญญา งามขำ, นงนุช พุดขาว
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์ และเฟซบุ๊กต้นตระกูลโฆษณาฟาร์ม

กำลังโหลดความคิดเห็น