เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจในคืนวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๐๐ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เจ้าของฉายา “นายกฯตลอดกาล” ก็ต้องควบ “ธันเดอร์เบิร์ด” รถสปอร์ตคันโปรด เผ่นออกจากทำเนียบกลางดึก มุ่งสู่ชายทะเลภาคตะวันออก โดยมี พล.ต.ต.ชุมพล โลหะชาละ นายตำรวจติดตามไปส่งถึงจังหวัดตราด ขณะที่ฝ่าคลื่นฝ่าความมืดด้วยเรือเล็กมุ่งไปเกาะกง ผู้เผด็จการที่เพิ่งหมดอำนาจก็รำพึงกับคนเรือว่า “ต่อไปนี้ชีวิตของผม มีแต่น้ำกับฟ้า”
เมื่อสมเด็จนโรดม สีหนุ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทราบข่าว ก็ทรงส่งเรือรบมารับให้ไปพักที่วังของพระองค์ในพนมเปญ
ในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๐๐ จอมพล ป.ได้ออกเดินทางจากพนมเปญไปกรุงโตเกียว ซึ่งนักธุรกิจญี่ปุ่นคนหนึ่งมอบบ้านให้เป็นที่พัก จอมพล ป.พักอยู่ที่โตเกียวเกือบปี จึงออกเดินทางไปสหรัฐอเมริกา พักที่เมืองเบิร์คเลย์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และขับรถเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆกับท่านผู้หญิงละเอียดอย่างมีความสุขเกือบปี จึงกลับมาพักบ้านหลังเก่าที่ชานกรุงโตเกียวอีก
ในวันที ๒๘ เมษายน ๒๕๐๓ จอมพล ป.ได้ออกเดินทางโดยเรือไปอินเดีย เพื่อนมัสการสังเวชนียสถานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และอุปสมบทที่วัดไทยพุทธคยาเมื่อวันที่ ๓ สิงหาคม ตามที่ตั้งปณิธานไว้ และลาสิขาบทในวันที่ ๒๗ สิงหาคม
กลับประเทศญี่ปุ่นครั้งนี้ จอมพล ป.ได้ซื้อบ้านเล็กๆหลังหนึ่งที่เมืองซากามิฮาร่า ห่างจากกรุงโตเกียวราว ๓๐ กม. ใช้ชีวิตอย่างสงบ ไปจ่ายตลาดด้วยตนเอง เป็นที่มักคุ้นของชาวญี่ปุ่นซึ่งยิ้มแย้มทักทายและเรียกกันว่า “พิบูลซัง” ไม่มีอาการกระวนกระวายถึงอำนาจล้นฟ้าที่หลุดมือไปแต่อย่างใด จนอสัญกรรมในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๐๗
จิรวัสส์ ปันยารชุน ธิดาของจอมพล ป.และท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้เล่าเรื่องวาระสุดท้ายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในชื่อเรื่อง “วินาทีใกล้อสัญกรรม” ไว้ว่า
“เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน คุณพ่อคุณแม่ยังได้เดินทางไปโตเกียวโดยรถไฟ เพื่อไปเอารถยนต์ซึ่งขณะนั้นอยู่ในอู่ซ่อม เมื่อได้รถแล้วท่านก็แวะซื้อผลไม้ มีส้มและองุ่น เพื่อจะนำไปเยี่ยมบิดาเพื่อนชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งซึ่งนอนเจ็บเป็นโรคมะเร็ง...
เมื่อลากลับ คุณพ่อมีความสุขใจมากที่ทำให้คนเจ็บมีความสดชื่นขึ้นได้ ที่นำเอาเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง เพราะนายอิชิเบ้ที่ไปด้วยมาเอ่ยให้ฟังภายหลังที่คุณพ่อได้สิ้นใจไปแล้ว ว่าแปลก ที่คุณพ่อออกมาจากห้องคนไข้ ท่านได้พูดกับเขาว่า “ถ้าหากผมตายตอนนี้ผมก็พอใจ เพราะชีวิตผมได้ทำงานอย่างสมบูรณ์แล้ว” ตอนนั้นเขามิได้เฉลียวใจอย่างใดเลย
คุณพ่อใช้ชีวิตของท่านอย่างเช่นเคยทุกๆวัน คือลงสวนปลูกต้นไม้พรวนดิน ฟังวิทยุข่าวของโลก จนกระทั่งถึงวันนั้น วันพฤหัสที่ ๑๑ มิถุนายน ท่านทานอาหารเช้าเสร็จในเวลา ๙ นาฬิกา ท่านเปลี่ยนย้ายกระถางต้นไม้ประดับห้อง ซึ่งท่านชอบทำเป็นประจำ ท่านชอบสั่งย้ายจากมุมนั้นมาวางมุมนี้ เสร็จอาหารเช้าแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ขับรถออกไปรับครูสอนภาษาญี่ปุ่นที่สถานีข้างบ้าน ซึ่งกินเวลาเพียง ๕ นาที เรียนหนังสือเสร็จชวนครูรับประทานอาหารกลางวันด้วย เสร็จแล้วขับรถไปส่งครูกลับที่สถานี แวะซื้อกับข้าวจากร้านใกล้ๆบริเวณสถานี แล้วก็กลับบ้าน
คืนนั้นก่อนทานอาหารกลางคืน ท่านยังลงไปในสวนย้ายต้นปาล์มเล็กๆซึ่งเพิ่งซื้อมาปลูกไว้ทางหลังบ้าน คุณพ่อยังนำมาปลูกไว้ทางหน้าบ้าน ซึ่งจะมองเห็นจากในบ้าน เพราะคุณแม่ชอบต้นปาล์มต้นนี้ ด้วยที่ว่าเป็นต้นชนิดเดียวกับที่ขึ้นเห็นในเมืองไทย ท่านยังพูดว่า “ฉันจะเอามาปลูกให้เธอทางด้านนี้ เธอจะได้มองเห็น” ต่อมาขณะที่รับประทานอาหารนั้นท่านก็เปิดวิทยุโทรภาพดูเรื่องแก๊งเด็กจอมซน ท่านรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย และได้หัวเราะขบขันอยู่อย่างมีความสุข ทั้งยังเรียกเด็กรับใช้อีก ๒ คนให้ตักข้าวมารับประทานและให้นั่งดูโทรภาพไปด้วยกันในห้องอาหารนั้นอย่างไม่ถือตัวอีกด้วย
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ท่านก็ลุกขึ้นไปข้างบน พร้อมกับบ่นว่าเจ็บที่หน้าอก ซึ่งท่านก็เคยบ่นอยู่แล้ว และขณะนั้นเป็นเวลาที่ท่านเคยขึ้นไปฟังข่าววิทยุด้วย คุณแม่ไม่ได้ตามขึ้นไปในขณะนั้น แต่สักครู่คุณแม่ก็ตามขึ้นไปถามว่า “เธอเป็นอย่างไรบ้าง” พบคุณพ่อยืนรับประทานยาอยู่ที่หน้าห้อง แล้วคุณพ่อยังลงมาข้างล่างออกไปเดินเล่นในสวน บอกว่าสูดหายใจอากาศสดๆค่อยหายเจ็บ ท่านยังพูดว่าอากาศเย็น คุณแม่ก็บอกว่าเข้ามาข้างในดีกว่า คุณพ่อเข้ามานั่งพักอยู่ในห้องนั่งเล่นข้างล่างสักครู่ก็เดินไปบนห้องนอน คุณแม่ตามขึ้นไปก็พบท่านกำลังฉายไฟ infra-red ตรงหน้าอกอยู่และบอกว่ายังไม่หายเจ็บ คุณแม่ยังช่วยฉายไฟให้คุณพ่อ ท่านยังจับมือคุณแม่ให้ฉายไฟให้ถูกที่เจ็บด้วย คุณแม่บอกว่า “ให้เรียกหมอมานะ” ซึ่งคุณพ่อก็บอกให้เรียกมาได้ หมอคนนี้เคยรักษาคุณพ่อเป็นประจำ เมื่อท่านเป็นไข้หวัดหมอยังได้ฉีดยาให้ท่าน คุณแม่บอกหมอให้เอาคุณพ่อไปโรงพยาบาล โทรศัพท์ไปหมอที่โรงพยาบาลก็กำลังติดการผ่าตัดอยู่ในห้องอีก และบอกให้วัดหัวใจคุณพ่อด้วยด้วยอีเล็คโทรคาร์ดิโอแกรมไว้ ขณะนั้นคุณแม่ยังบอกกับคุณพ่อว่า “ฉันจะโทรศัพท์ตามคุณวิฑูรนะ” (คุณวิฑูรคือท่านทูต พลโทวิฑูร หงสเวช) คุณพ่อยังบอกว่าอย่าไปกวนเขาเลย ซึ่งตอนนั้นเป็นเวลา ๒๑ นาฬิกากว่าๆ คุณแม่ยังวิ่งไปเรียกเพื่อนบ้านซึ่งอยู่ใกล้ๆกันนั้น ได้มิสซิสเพาเวล เป็นคนญี่ปุ่นซึ่งแต่งงานกับคนอเมริกัน และเพื่อนบ้านของเขาอีกคนหนึ่ง หมอยังออกกลับไปเอาเครื่องมาวัดหัวใจคุณพ่อพร้อมกับนางพยาบาลผู้ช่วยอีกสองคน เหตุการณ์ตอนนี้ฟังดูชุลมุนวุ่นวายเกินกว่าที่ผู้เขียนจะนำมาเล่าให้ปะติดปะต่อกันได้ แต่คุณพ่อยังอุตส่าห์พูดกับคุณแม่ว่า “ฉันรู้สึกจะเป็น heart attack คุณแม่ร้องต่อว่า “ไม่จริง ไม่จริง เธออย่าพูดอย่างนั้น” เด็กรับใช้ก็บอกว่าเข็มเครื่องวัดก็เต้นตามปกติขึ้นๆลงๆ เสร็จแล้วตอนสุดท้ายบนกระดาษก็มีแต่เส้นขีดเฉยๆ แล้วก็หยุดไป คุณแม่บอกว่าไม่ทราบและบอกว่าจำไม่ได้ เพราะ “สองมือของแม่ยังช่วยหนุนศีรษะของพ่ออยู่ ก็พ่อยังอยู่ดีๆนี่...แล้วมาบอกว่าพ่อหมดลม แม่จะเชื่อได้อย่างไร” แต่ก่อนท่านจะหลับตาเป็นครั้งท้ายสุด ท่านพูดกับคุณแม่ว่า “เธอ ความตายคือความสุข” แล้วท่านก็นอนหลับอย่างเป็นสุข ดูเหมือนคนกำลังนอนหลับจริงๆ”
มีพิธีฌาปนกิจร่างไร้วิญญาณของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่วัดเรอิเกนจิ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๗ และนำอัฐิกลับมาไทยในวันที่ ๒๗ มิถุนายน
เป็นการปิดฉากชีวิตนายกรัฐมนตรีคนที่ ๓ ของประเทศไทย ผู้มีบทบาททางการเมืองยาวนานกว่านายกรัฐมนตรีไทยทุกคน เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ในการเปลี่ยนแปลงสังคมไทยไว้หลายอย่าง และเป็นคณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ คนสุดท้ายที่อยู่บนเวทีการเมืองไทย
ในที่สุด จอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็ได้กลับมาร่วมกับคณะราษฎรอีกครั้ง รวมทั้งกลุ่มที่แตกคอไปเป็นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งคณะราษฎรทุกคนจะถูกนำอัฐิมาบรรจุไว้ภายในเจดีย์ใหญ่ของวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน