โด่งดังเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน ใครต่อใครต่างกล่าวขวัญ กระทั่งดาราคนดังต่างดีใจจนเนื้อเต้นรีบกระโจนเข้าหาขอถ่ายรูปคู่ ด้วยท่าโพสมือปิดแก้มจับไรผมแนบหน้าผากอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใบหน้าชโลมแป้งฝุ่นขาววอก ทาปากแดงระเรื่อ ไม่มีใครอีกแล้ว นอกจาก “เทพพิทักษ์ แอสละ”
จากอดีตเด็กเกเร ไม่รักเรียน พาชีวิตย่ำบนถนนคนขายแรง
จากโรงงานหนึ่งไปอีกหนึ่งโรงงาน จนกระทั่งพบพานอาชีพขับสิบล้อ
ความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาจากรักที่ล้มเหลวและอยากเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน
ทำให้เขาเริ่มต้นอัดคลิปตัวเองลงสื่อโซเชียล
และนั่นก็เป็นปฐมบทแห่งความ “ปัง” อย่างที่ทุกคนทราบ
“เทพพิทักษ์ แอสละ” หรือนิกเนม “ต้น” ที่น้อยคนจะเคยรู้
แต่นั่นหาใช่ความผิด เพราะเรื่องราวและตัวตนของชายคนนี้ พร้อมแล้วจะเปิดเผยทุกแง่มุมความเป็นมา บนถนนแห่งเวลา 32 ปีของชีวิต...
หนุ่มช่างยนต์เมืองลิง
จุดกำเนิด “เทพพิทักษ์ แอสละ”
“ผมเกิดและโตที่อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เรียนจบ ปวส.แผนกช่างยนต์ ที่เลือกเรียนก็ไม่ได้ชอบหรือมีความฝันทางด้านนี้หรอกครับ แต่เห็นเขาไปเรียนช่างกัน มันเท่ เราก็เลยอยากไปเรียนบ้าง (ยิ้ม) ทีนี้ ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น ก็อยากได้รถมอเตอร์ไซค์ แม่ก็ซื้อให้คันหนึ่ง เป็นรุ่น LS ยุคนั้นชอบ 2 จังหวะแข่งกัน ก็เปลี่ยนยาง เปลี่ยนอาร์ม แต่งท่อให้มันดัง เบรกหลังยังถอดออกเลย หลายคนก็สงสัยว่ารอดมาได้อย่างไร ก็มีรถล้มเอ็นขาขาดไป 4 เส้น แต่ไม่ได้เกี่ยวกับคำว่า “แอสละ” นะ อันนั้นคือนามสกุลผมจริงๆ ส่วนชื่อก็ชื่อเทพพิทักษ์จริงๆ ที่เอามาตั้งเฟซบุ๊ก ตอนแรกเลยใช้ เทพพิทักษ์ ศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ แล้วก็ค่อยมาเปลี่ยนเป็น เทพพิทักษ์ แอสละ เขียนถูกๆ ผิดๆ บ้าง ก็จนมีคนรู้จักจากคลิปที่แชร์ แต่สุดท้ายเราก็เล่นไม่ได้ เพราะถูกแฮ็ก มีคนไปเล่นแทนเรา ตอนนี้ก็ใช้ “เทพพิทักษ์ แอสละ” ตัวจริง เป็นชื่อเฟซบุ๊ก
“ชีวิตตอนเรียนก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ ก็ตามประสาวัยรุ่น เพื่อนไปไหน เราก็ไป ขับมอเตอร์ไซค์ไปเรียน ไม่เรียนบ้าง เที่ยว สักตามเพื่อน ที่เห็นมีรอยสักนี่ก็ไม่ใช่ว่าไปติดคุกติดตะรางอะไรนะครับ เห็นเพื่อนทำเราก็ทำ มันก็ลามมาถึงสไตล์เรา หน้าขาว ปากแดง ก็ทำมาตั้งแต่สมัยรุ่นๆ ตอนนั้น ช่วง ม.2-3 ผมสั้นยังทำไม่ค่อยได้ พอเข้าเทคนิค ผมยาวก็ทำได้ ก็เริ่มทำ ปากตอนแรกก็สีแดงอ่อนๆ ก่อน ใช้น้ำยาอุทัยทิพย์ทาบางๆ ยุคนั้นฮิตกัน แต่หลังๆ มันเริ่มไม่แดง ก็เล่นลิปสติกเลย จากนั้นก็ย้อมผมเพราะเราเป็นคนไม่ขาว ไปมองผู้หญิงเขาย้อมผมสีทองกันแล้วดูดี ดูขาว เหมือนดารา ก็ย้อม” (ยิ้ม)
ขอแฟนแต่ได้ดัง
หนุ่มเหงารักเมืองมีนบุรี
“จากทั้งๆ ที่ครอบครัวผมดีมาก ชีวิตผมดีมาก คุณพ่อรับราชการ คุณแม่เป็นช่างทำผม มีพร้อมทุกอย่าง แต่ตั้งแต่คุณพ่อเสียชีวิตไป ก็เหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากสบายๆ สมัยเรียน ไม่ตั้งใจเรียน เพราะคิดว่ายังไงค่าเทอมพ่อก็เบิก ที่จบมาได้ ก็เพราะแก้เกรดมาทั้งนั้นเลย ทีนี้ก็หาสมัครงานยาก หางานเข้ายากมาก แถมมีรอยสักอีก ตอนนั้นก็ทำงานได้แค่โรงไก่ เป็นคนขับรถตามบริษัทแป้งแถวโคกตูม ใช้แรงทำโน่นนี่ จริงๆ แต่ก่อนอยากเป็นข้าราชการ แต่มันพลาดแล้ว ชีวิตวัยรุ่นก็ตามสภาพเลย เรามีวุฒิการศึกษาก็จริง แต่พอเขาเห็นรอยสัก ไม่รับเลย เคยไปสมัครบริษัทหนึ่งที่ลพบุรี เป็นบริษัทใหญ่มาก อยากเข้ามากเลย แต่เขาเห็นรอยสัก แถมเจาะหู เจาะอะไร เขาคืนใบสมัครกลับมาเลย
“ชีวิตก็เริ่มลำบาก แล้วเรายังมีแฟนเริ่มใช้ชีวิตครอบครัว แต่ไม่ได้แต่งกับใครสักคน คนแรกอยู่ไม่ได้นาน มีปัญหานิดหนึ่ง ยังเด็กๆ กันอยู่ เลิกกันไป แล้วก็มีคนที่สอง เราก็ต้องทำงานหาเงินสร้างครอบครัว ก็ไปเห็นป้ายรับสมัครพนักงานโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร แล้วเพื่อนๆ เขาไปทำกัน ก็ตามขึ้นไปบ้าง ทำงานโรงงานที่นวนครหลายที่ แถวนั้นทำเกือบทุกโรงงาน เพราะส่วนใหญ่ทำเป็นพนักงานชั่วคราว จะมีจ้างเยอะ ทำอยู่กับแฟน 7-8 ปี ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน อยู่ที่นั่น จนถึงตอนน้ำท่วม ปี พ.ศ. 2554 หลังจากนั้นก็เลิกกับแฟน ด้วยความที่ไม่อยากขึ้นไปเจอไปเห็น บริษัทโรงงานก็เลยไม่ทำแล้ว เลิกเลย ในใจตอนนั้นคิดว่าจะไม่ทำเด็ดขาด ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไปหาขับรถ ขับรถส่งของตลาดไทย ส่งน้ำบ้าง จนได้มาขับรถส่งของให้บริษัททำเกี่ยวกับบ้าน วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่มีนบุรี
“ด้วยความที่ต้องเดินทางส่งของแทบทั่วทุกจังหวัด เดินทางขับรถก็ไม่ค่อยได้เล่นมือถือ เลิกงานเย็นค่ำกลางคืนถึงได้เล่น แล้วเราก็ไม่มีแฟน ก็เหงาๆ เห็นในเฟซบุ๊กเขาอัดคลิป ก็เลยลองทำบ้าง เราไม่เคยเล่น ก็ดูเขาพูด ไม่มีใครสอน อย่างคลิปผู้หญิงด่ากันสองคน ก็นั่งอัดไปเลย พูดๆ ไป เสร็จก็อัปลงเฟซบุ๊ก ตอนหลังน้องที่ทำงานด้วยกันมาเห็น บอกว่าพี่ชอบอัดคลิปอย่างนี้ทำไมไม่ส่งเข้า “YouLike” เขาก็แนะนำให้ส่งเข้าไป เราก็ส่ง คลิปแรกข้ามคืนก็ดังเลย แต่เราไม่รู้ว่าดัง เพื่อนที่นวนครโทร.มาบอกว่าดังแล้วนะเทพ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอเดินออกมาข้างนอก เขาก็ถ่ายรูปกัน เราก็เอ้า...จริง ก็งง สักพักไปเรื่อยๆ มันเยอะขึ้นๆ เริ่มตกใจแล้ว แต่ก็ดีใจ มีแฟนคลับ
“จากนั้นก็ทำเรื่อยๆ มา สนุกดี ผลตอบรับเราดี เราก็ชอบเหมือนกัน แต่ก็มีคอนเมนต์ด่าแรงๆ เป็นขี้กาก หน้าตาอย่างกับปลาบู่ มีคำหยาบๆ อีก แต่ไม่โกรธ มีแค่ช่วงที่จะทำคลิปที่สอง ก็อึ้งไปพักหนึ่ง คิดก่อนว่าทำไปแล้วมันจะแรงกว่าขี้กากหรือหน้าปลาบู่หรือเปล่า (ยิ้ม) ก็ไปปรึกษารุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จัก เขาเล่นพวกนี้ ถามเขาว่ามีกระแสอย่างนี้ ต่อไปจะทำดีไหม เขาบอกว่าไม่ต้องเข้าไปดูเลย ดูไปก็เท่านั้นแหละ ก็เลยไปดูพี่ๆ ที่ดังๆ พี่เก่ง ลายพราง พี่เน วัดดาว เขาก็โดนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราคนเดียว ก็เลยไม่สนใจ ก็ปล่อย ความคิดใครความคิดมัน
“คือที่ทำแค่เริ่ม เลยตั้งใจอยากจะหาแฟน เลยให้เบอร์ให้อะไรไว้ในคลิป แต่พอมีกระแสตอบรับว่าคนชอบ บอกว่าหายเหนื่อย เราก็ดีใจนะ สิ่งที่เราทำตามความรู้สึกของเรา เราสามารถทำให้คนที่เขาเลิกงานมาเครียดๆ ผ่อนคลาย สนุก เฮฮา ไม่เครียดกัน เวลาเลิกงานมาเหนื่อยๆ ผมยังตลกตัวเองเลย ทำลงไปได้ (ลากเสียง) ก็อยากให้ดูเพื่อความสนุก ความบันเทิงดีกว่า เราก็ทำแค่สนุกๆ แม้ว่าจะมีโทรศัพท์โทร.มาเพียบเลย ดังทั้งคืนจนต้องปิดเสียง แต่เราเป็นคนนิสัยอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ค่อยเครียดอะไร มีบ้างที่ทุกข์ มีเครียดบ้าง คนเรามันเฮฮาทั้งวันไม่ได้ แต่ไม่โกรธใครที่มองเราเป็นตัวตลก”
มนต์เสน่ห์เกินห้ามใจ
บุรุษแบนด์แอสละ
“ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ เพราะผมไม่ใช่คนรูปหล่อหรือเป็นดารา เรายังอายๆ ด้วยซ้ำ ช่วงอยู่นวนคร แฟนยังด่า ยังถามเลยว่าไม่อายเขาเหรอ เราก็มีพยายามไปใช้ดอกอัญชันทาคิ้วเพื่อที่จะให้มันขึ้นมันดก แต่มันไม่ทัน มันไม่ขึ้น ก็เลยเขียนเข้มๆ คือถ้าไม่ลงคลิปก็จะบางๆ ยังอายเป็นอยู่นะ (ยิ้ม)
“แต่คิดว่าเสน่ห์น่าจะเป็นอย่างในคลิป แล้วก็ที่เราชอบคุยชอบพูด พูดหวานๆ คนนี้สวย ทำไมน่ารักจัง แต่ผมไม่เคยเห็นหน้าตัวจริงนะ เห็นแต่ในรูป สวย น่ารัก ก็แซว แบบคุยจีบ เขาก็ตอบดี เหมือนเรามีแฟนคนนี้จริง ไม่เหมือนแต่ก่อน เจอผู้หญิงสวยๆ เขิน ไม่กล้าคุย เหมือนมันไม่เป็นความจริง หน้าตาเรากับหน้าตาเขา เขาสวยแล้วมาเจอเรา ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ก่อนจีบสาวไม่ติดเลย พอเราหยอก ดูตลกๆ เขาก็เลยชอบกัน
“เหตุผลนี้ก็น่าจะเป็นแบบเดียวกับพอแชร์กันไปเรื่อยๆ พี่พจน์ อานนท์ (พชร์ อภิรุจ) เลยให้ทางทีมงานติดต่อ แต่ก็เกือบไม่ได้เข้ามาเล่น เพราะไม่รู้จักด้วยว่าแกเป็นใคร วันแรกโทร.มาขับรถอยู่ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าการแสดงเป็นอย่างไร ก็ไม่กล้า บอกปฏิเสธไว้ก่อน ไปไม่ได้ โน่นนี่ เขาก็ตื๊อบอกว่ามาให้หน่อย มาถ่ายให้วันหนึ่ง เราก็ไม่ได้อีก เนื่องจากจังหวะนั้น คนขับรถอีกคนหนึ่งลางานด้วย ก็ปฏิเสธอย่างเดียวเลย ถึงขนาดเขาบอกว่าอยู่ไหน เดี๋ยวจะให้ค่ารถ ค่าเครื่องบิน นั่งเครื่องมาเลย แต่เราก็ทิ้งงานไม่ได้ จริงอยู่ที่เราได้ค่าแรงวันละ 400 บาท มาแสดงได้เยอะกว่าแน่นอน งานหลักเราต้องรับผิดชอบก่อน อยู่ๆ เราจะมาทิ้งได้อย่างไร จนพี่พจน์โพสต์ตามหาผม ป้าที่ชอบไปกินข้าวร้านเขาบ่อยๆ เขาบอกว่ามีคนมาตามหา ก็นึกในใจ อะไร ใคร มาตามหา ก็งงอยู่ ก็ยังบอกป้าเขาไปเลยว่าไม่ไปหรอก
“ทีนี้เถ้าแก่บอกว่าถ้าเจอถ้ามีโอกาสที่ดีกว่าก็ไปเถอะ ก็ลองมาคิดดู และบังเอิญไปเติมน้ำมันที่ปั๊มประจำ มีพี่ที่รู้จักที่นั่น เขาก็อาสาเป็นคนพามา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้มา ไปวันแรกยังไล่ถามคนในนั้นเลยว่าคนไหนพี่พจน์ ก็มาลอง ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะนึกว่าเขาจะให้ท่องจำบทเหมือนละคร แต่พี่พจน์เขาบอกให้เล่นเป็นตัวเราเลย เราก็...ตัวเราเป็นยังไง... ก็นั่งๆ เขาก็แนะ สอนงานให้เรา เห็นอัดคลิปลงไม่เขิน เอาเข้าจริงเขินมาก นั่งจิกขาตั้งหลายรอบ เพราะคนเต็มเลย คือเราเล่นคลิปมันเล่นอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น ไอ้นี่กล้องเต็ม คนเพียบเลย เขามาดูเรา”
ฉายแววตัวตน
ลบคำคนที่ว่า “บ้า”
“เราก็ทำตามที่พี่เขาบอก ไม่รู้ว่าดีไม่ดี ถูกใจหรือเปล่า แต่ตกเย็นเขาก็ให้เซ็นสัญญา เขาน่าจะเห็นชีวิตตัวตนของผม ผมเป็นคนง่ายๆ ติดดิน เป็นตัวของตัวเอง ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ก็จะเป็นอย่างเดิมไม่ได้หมด ก็ต้องดูแลตัวเองหน่อยหนึ่ง อีกส่วน มารู้ตอนหลังว่าหนังพี่พจน์ไม่มีบท เขาก็จะให้เล่นเป็นคนกึ่งคนบ้าที่อยู่บนรถเมล์แล้วอัดโซเชียลธรรมดาของเรา ฉากสองฉาก ก็ออกแค่นั้น แต่พอไปๆ มาๆ เขาปล่อยเรามาเล่น กระแสดี เราก็เลยได้เล่นเป็นบทเด่นบทหนึ่ง อย่างที่เห็นในข่าวเฟซบุ๊กเป็นกระเป๋ารถเมล์ แต่จริงๆ ไม่ใช่ เหตุการณ์นำพาให้ต้องไป
“เรื่องการแสดงตอนนี้ก็ไม่ค่อยอายแล้ว เริ่มชินๆ ก็พยายามดูวิธีการเล่นของคนอื่นๆ ว่าเขาทำอย่างไรกัน เพราะพี่พจน์ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย จากเดือนหนึ่ง ได้เงินเดือน 12,000-13,000 บาท ค่าใช้จ่ายในกรุงเทพฯ เหลือส่งให้แม่ไม่เยอะ 500-1,000 บาทเท่านั้น แต่มาทำนี่เก็บเงินได้เยอะ มันทำให้ผมคิดแล้วมองไปข้างหน้า จากเมื่อก่อนแค่ฝัน ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า แล้วตอนนั้นแฟนเลิกด้วย ก็เอาแค่ว่าคิดว่าเราใช้ชีวิตให้มีความสุขไปวันๆ ขอให้มีเงินส่งที่บ้าน มีใช้ของเรา ไม่อดไม่อยากก็พอตอนนั้น พอมาตรงนี้ได้มันก็มีแรงฮึด ก็ขอให้ผมอยู่ได้สักพัก จะดูหลักพี่ๆ เขาสอนกันอย่างไร แต่ผมก็คิดว่าทำได้ ในสไตล์ของเรา พอทำได้
“อนาคตตอนนี้ก็เน้นไปที่เรื่องการแสดงแล้วก็เรื่องร้องเพลง เพราะว่าผมร้องเพลงไม่ค่อยจบเพลง ขนาดอัดเพลงภาพยนตร์วันนั้นในหนัง ร้องเพี้ยนไปหมด พี่พจน์ฮามากเลย รู้เลยว่านักร้องที่ร้องเก่งๆ ไม่ใช่ร้องกันง่ายๆ ก็อยากร้อง ก็ไปบอกพี่พจน์ไว้ว่าอยากเรียนร้องเพลง ถ้ามีโอกาสก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด อย่างว่าไม่มีใครเป็นตั้งแต่เกิด เราก็ต้องเรียนรู้ไป อีกหน่อยผมว่าก็คงดีขึ้น ก็คงต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้ ก็พยายามทำให้เต็มที่ไม่ให้ผิดพลาด”
กตัญญู ไม่ลืมตน
ลูกเทพ(พิทักษ์)ของจริง
“เพราะที่ผ่านมา เราทำให้ท่านเสียใจกับอนาคตของเราตอนวัยรุ่น พอคุณพ่อเสีย คุณแม่จิตใจแกก็ไม่ค่อยดี เราก็ไม่ค่อยอยู่ เคยขึ้นไปขับรถอ้อยอยู่กับท่าน แต่สักพัก เราก็ไปทำงานของเรา แม่เสียใจ พ่อไม่อยู่แล้วก็เหมือนกระทบกระเทือนจิตใจ อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ประมาณประสาท ที่คนเขาว่าแม่กัน แต่ผมก็ไม่รังเกียจ แม่ทั้งคน ใครจะว่ายังไงไม่สน เขาไม่รู้ว่าแม่จริงๆ เป็นเพราะอะไร เราก็เลยต้องทำให้ดีที่สุด มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว พยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด นี่ก็เพิ่งซื้อมอเตอร์ไซค์มือหนึ่งให้คุณแม่ขับไปซื้อของในตลาดที่อยู่ห่างจากบ้าน 4-5 กิโลเมตร ไม่อยากให้ไปยืมใครเขา ของใครใครก็หวง
“ไม่ซื้อรถเก่าๆ มือ 4-5-6 แล้ว มันพังง่าย ยิ่งจักรยานพังประจำ ก็เลยตัดสินใจซื้อ ตอนแรกก็ว่าจะผ่อน แต่ผมไม่กล้าผ่อน อาชีพเรายังไม่ลงตัว เงินยังไม่ลงตัว ก็ตัดสดเลย มีโอกาสได้มีเงิน ดีใจมาก ได้ซื้อรถให้แม่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แม่เห็นก็ยิ้ม ไม่พูดอะไร ก็บอกแต่เพียงว่าอย่าลืมตัว สอนอย่าลืมตัวอย่างที่บอกเสมอๆ บางครั้งจริงๆ มีเงินมากๆ อาจจะลืมตัว เราก็จำมาตลอด ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่คิดว่าดังแล้วจะเปลี่ยนไป ไม่ถือตัวเลย แค่เดินไปซื้อของกว่าจะถึง ไม่ได้กินสักที ก็ยังเดินริมถนนเป็นกิโลๆ ก็เดินได้ปกติ นั่งรถเมล์ รถแท็กซี่ไม่กล้านั่งเหมือนเดิม ถ้าไม่ได้ไปไหนไกลๆ พี่พจน์หาที่อยู่ดูแลให้อย่างดี วันก่อนถ่ายละคร พี่ที่ดูแลเขาไม่ว่าง เราก็เดินจากกลางๆ ซอยเข้ามาถ่าย แต่โชคดีฝนตก แดดไม่ร้อน”
ตัวตนคงเดิม
เพิ่มเติมคือ “อนาคต”
“ก็จะผมสีทองอย่างนี้เหมือนเดิมไม่มีสีอื่น แต่ดีหน่อยตรงที่พี่ๆ เขาย้อมให้เลยไม่ทองๆ ดำๆ เหมือนย้อมเอง สีลิปสติกก็ไม่เปลี่ยน อันนี้ก็เพิ่งไปเดินหาซื้อตลาดนัดแถวลาดพร้าว กว่าจะได้ แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียส ตอนนี้คิดเรื่องทำงานการแสดงให้ดีที่สุดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องปรับตัว อีกอย่างต้องเตรียมตัวด้วย เพราะงานวงการนี้ไม่ใช่สบายๆ อย่างที่คิด เห็นพี่ๆ บางคนออกงานข้ามจังหวัดที ไปโน่นที เราเคยขับรถเรารู้ว่าเหนื่อยแน่นอน ตอนนี้งานเริ่มเข้ามาเยอะแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่จุดนี้ พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้สร้างอนาคตเก็บเงินตอบแทนแม่ ซื้อบ้าน แต่ไม่ได้ถึงกับเลิศหรูเกินไป เผื่อวันใดวันหนึ่งผมออกงานจากที่นี่จะได้มีบ้านอยู่ กลับไปอยู่บ้าน กินปลาร้า ปลูกผักกิน เหมือนเดิม
“ส่วนเรื่องครอบครัว ถ้ามีก็โอเค ก็รออยู่ อยากมีครอบครัว อายุมากแล้ว 32 ก็อยากมีครอบครัว มีลูกมีเต้า ไม่ใช่เราจะหนุ่มอย่างนี้ ต่อไปก็ต้องแก่ ชีวิตข้างหน้าใช่ไหม ตอนนี้ก็มีเข้ามาเยอะ มาคุยจากที่แต่ก่อนไม่มี ก็ต้องดูดีๆ ... ดีๆ คือไม่ต้องสวยมาก เพราะคนสวยมักชอบคนรวย จริงๆ ผมชอบคนไม่สวยด้วยซ้ำ ชอบคนสบายๆ ไปกับผมได้ ง่ายๆ จริงใจ ขอให้อยู่ด้วยกันได้ ไม่ทิ้งกัน ถ้าทะเลาะกัน พอแรงมา ผมไม่ค่อยเถียงหรอก ผมโมโห ผมเดินหนีเลย ลองใครบ่นผม ผมเดินหนีเลย แล้วจะไม่พูด เพราะผมเคยพูดเวลามีปัญหาแล้วยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้น เราเดินหนีมาก่อนแล้วพอเย็นลงค่อยกลับมาคุยกันดีกว่า รักเราอยู่กับเรา ห้ามมีคนอื่น ก็เหมือนคนเป็นแฟน คนเป็นครอบครัวกัน ก็อยากอยู่อย่างนั้นไม่ชอบอยู่กับคนที่เงิน ถ้าอยู่แล้วไม่สบายใจก็ไม่ไป รวยแค่ไหนก็ไม่ไป
“ก็ขอขอบพระคุณทุกๆ คนที่ติดตาม ดีใจที่วันนี้ได้มีโอกาส จากที่ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ มีงานในวงการ มีภาพยนตร์ ก็ขอฝากติดตามผลงาน ตุลาคมนี้น่าจะได้ชมกันกับภาพยนตร์เรื่อง 888 แรงทะลุนรก ครับ”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี
จากอดีตเด็กเกเร ไม่รักเรียน พาชีวิตย่ำบนถนนคนขายแรง
จากโรงงานหนึ่งไปอีกหนึ่งโรงงาน จนกระทั่งพบพานอาชีพขับสิบล้อ
ความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาจากรักที่ล้มเหลวและอยากเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน
ทำให้เขาเริ่มต้นอัดคลิปตัวเองลงสื่อโซเชียล
และนั่นก็เป็นปฐมบทแห่งความ “ปัง” อย่างที่ทุกคนทราบ
“เทพพิทักษ์ แอสละ” หรือนิกเนม “ต้น” ที่น้อยคนจะเคยรู้
แต่นั่นหาใช่ความผิด เพราะเรื่องราวและตัวตนของชายคนนี้ พร้อมแล้วจะเปิดเผยทุกแง่มุมความเป็นมา บนถนนแห่งเวลา 32 ปีของชีวิต...
หนุ่มช่างยนต์เมืองลิง
จุดกำเนิด “เทพพิทักษ์ แอสละ”
“ผมเกิดและโตที่อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี เรียนจบ ปวส.แผนกช่างยนต์ ที่เลือกเรียนก็ไม่ได้ชอบหรือมีความฝันทางด้านนี้หรอกครับ แต่เห็นเขาไปเรียนช่างกัน มันเท่ เราก็เลยอยากไปเรียนบ้าง (ยิ้ม) ทีนี้ ด้วยความที่เราเป็นวัยรุ่น ก็อยากได้รถมอเตอร์ไซค์ แม่ก็ซื้อให้คันหนึ่ง เป็นรุ่น LS ยุคนั้นชอบ 2 จังหวะแข่งกัน ก็เปลี่ยนยาง เปลี่ยนอาร์ม แต่งท่อให้มันดัง เบรกหลังยังถอดออกเลย หลายคนก็สงสัยว่ารอดมาได้อย่างไร ก็มีรถล้มเอ็นขาขาดไป 4 เส้น แต่ไม่ได้เกี่ยวกับคำว่า “แอสละ” นะ อันนั้นคือนามสกุลผมจริงๆ ส่วนชื่อก็ชื่อเทพพิทักษ์จริงๆ ที่เอามาตั้งเฟซบุ๊ก ตอนแรกเลยใช้ เทพพิทักษ์ ศิษย์เจ้าพ่อพระกาฬ แล้วก็ค่อยมาเปลี่ยนเป็น เทพพิทักษ์ แอสละ เขียนถูกๆ ผิดๆ บ้าง ก็จนมีคนรู้จักจากคลิปที่แชร์ แต่สุดท้ายเราก็เล่นไม่ได้ เพราะถูกแฮ็ก มีคนไปเล่นแทนเรา ตอนนี้ก็ใช้ “เทพพิทักษ์ แอสละ” ตัวจริง เป็นชื่อเฟซบุ๊ก
“ชีวิตตอนเรียนก็ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ ก็ตามประสาวัยรุ่น เพื่อนไปไหน เราก็ไป ขับมอเตอร์ไซค์ไปเรียน ไม่เรียนบ้าง เที่ยว สักตามเพื่อน ที่เห็นมีรอยสักนี่ก็ไม่ใช่ว่าไปติดคุกติดตะรางอะไรนะครับ เห็นเพื่อนทำเราก็ทำ มันก็ลามมาถึงสไตล์เรา หน้าขาว ปากแดง ก็ทำมาตั้งแต่สมัยรุ่นๆ ตอนนั้น ช่วง ม.2-3 ผมสั้นยังทำไม่ค่อยได้ พอเข้าเทคนิค ผมยาวก็ทำได้ ก็เริ่มทำ ปากตอนแรกก็สีแดงอ่อนๆ ก่อน ใช้น้ำยาอุทัยทิพย์ทาบางๆ ยุคนั้นฮิตกัน แต่หลังๆ มันเริ่มไม่แดง ก็เล่นลิปสติกเลย จากนั้นก็ย้อมผมเพราะเราเป็นคนไม่ขาว ไปมองผู้หญิงเขาย้อมผมสีทองกันแล้วดูดี ดูขาว เหมือนดารา ก็ย้อม” (ยิ้ม)
ขอแฟนแต่ได้ดัง
หนุ่มเหงารักเมืองมีนบุรี
“จากทั้งๆ ที่ครอบครัวผมดีมาก ชีวิตผมดีมาก คุณพ่อรับราชการ คุณแม่เป็นช่างทำผม มีพร้อมทุกอย่าง แต่ตั้งแต่คุณพ่อเสียชีวิตไป ก็เหมือนเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากสบายๆ สมัยเรียน ไม่ตั้งใจเรียน เพราะคิดว่ายังไงค่าเทอมพ่อก็เบิก ที่จบมาได้ ก็เพราะแก้เกรดมาทั้งนั้นเลย ทีนี้ก็หาสมัครงานยาก หางานเข้ายากมาก แถมมีรอยสักอีก ตอนนั้นก็ทำงานได้แค่โรงไก่ เป็นคนขับรถตามบริษัทแป้งแถวโคกตูม ใช้แรงทำโน่นนี่ จริงๆ แต่ก่อนอยากเป็นข้าราชการ แต่มันพลาดแล้ว ชีวิตวัยรุ่นก็ตามสภาพเลย เรามีวุฒิการศึกษาก็จริง แต่พอเขาเห็นรอยสัก ไม่รับเลย เคยไปสมัครบริษัทหนึ่งที่ลพบุรี เป็นบริษัทใหญ่มาก อยากเข้ามากเลย แต่เขาเห็นรอยสัก แถมเจาะหู เจาะอะไร เขาคืนใบสมัครกลับมาเลย
“ชีวิตก็เริ่มลำบาก แล้วเรายังมีแฟนเริ่มใช้ชีวิตครอบครัว แต่ไม่ได้แต่งกับใครสักคน คนแรกอยู่ไม่ได้นาน มีปัญหานิดหนึ่ง ยังเด็กๆ กันอยู่ เลิกกันไป แล้วก็มีคนที่สอง เราก็ต้องทำงานหาเงินสร้างครอบครัว ก็ไปเห็นป้ายรับสมัครพนักงานโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร แล้วเพื่อนๆ เขาไปทำกัน ก็ตามขึ้นไปบ้าง ทำงานโรงงานที่นวนครหลายที่ แถวนั้นทำเกือบทุกโรงงาน เพราะส่วนใหญ่ทำเป็นพนักงานชั่วคราว จะมีจ้างเยอะ ทำอยู่กับแฟน 7-8 ปี ที่ใช้ชีวิตร่วมกัน อยู่ที่นั่น จนถึงตอนน้ำท่วม ปี พ.ศ. 2554 หลังจากนั้นก็เลิกกับแฟน ด้วยความที่ไม่อยากขึ้นไปเจอไปเห็น บริษัทโรงงานก็เลยไม่ทำแล้ว เลิกเลย ในใจตอนนั้นคิดว่าจะไม่ทำเด็ดขาด ตั้งแต่นั้นมาก็เลยไปหาขับรถ ขับรถส่งของตลาดไทย ส่งน้ำบ้าง จนได้มาขับรถส่งของให้บริษัททำเกี่ยวกับบ้าน วัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่มีนบุรี
“ด้วยความที่ต้องเดินทางส่งของแทบทั่วทุกจังหวัด เดินทางขับรถก็ไม่ค่อยได้เล่นมือถือ เลิกงานเย็นค่ำกลางคืนถึงได้เล่น แล้วเราก็ไม่มีแฟน ก็เหงาๆ เห็นในเฟซบุ๊กเขาอัดคลิป ก็เลยลองทำบ้าง เราไม่เคยเล่น ก็ดูเขาพูด ไม่มีใครสอน อย่างคลิปผู้หญิงด่ากันสองคน ก็นั่งอัดไปเลย พูดๆ ไป เสร็จก็อัปลงเฟซบุ๊ก ตอนหลังน้องที่ทำงานด้วยกันมาเห็น บอกว่าพี่ชอบอัดคลิปอย่างนี้ทำไมไม่ส่งเข้า “YouLike” เขาก็แนะนำให้ส่งเข้าไป เราก็ส่ง คลิปแรกข้ามคืนก็ดังเลย แต่เราไม่รู้ว่าดัง เพื่อนที่นวนครโทร.มาบอกว่าดังแล้วนะเทพ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก แต่พอเดินออกมาข้างนอก เขาก็ถ่ายรูปกัน เราก็เอ้า...จริง ก็งง สักพักไปเรื่อยๆ มันเยอะขึ้นๆ เริ่มตกใจแล้ว แต่ก็ดีใจ มีแฟนคลับ
“จากนั้นก็ทำเรื่อยๆ มา สนุกดี ผลตอบรับเราดี เราก็ชอบเหมือนกัน แต่ก็มีคอนเมนต์ด่าแรงๆ เป็นขี้กาก หน้าตาอย่างกับปลาบู่ มีคำหยาบๆ อีก แต่ไม่โกรธ มีแค่ช่วงที่จะทำคลิปที่สอง ก็อึ้งไปพักหนึ่ง คิดก่อนว่าทำไปแล้วมันจะแรงกว่าขี้กากหรือหน้าปลาบู่หรือเปล่า (ยิ้ม) ก็ไปปรึกษารุ่นพี่คนหนึ่งที่รู้จัก เขาเล่นพวกนี้ ถามเขาว่ามีกระแสอย่างนี้ ต่อไปจะทำดีไหม เขาบอกว่าไม่ต้องเข้าไปดูเลย ดูไปก็เท่านั้นแหละ ก็เลยไปดูพี่ๆ ที่ดังๆ พี่เก่ง ลายพราง พี่เน วัดดาว เขาก็โดนเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราคนเดียว ก็เลยไม่สนใจ ก็ปล่อย ความคิดใครความคิดมัน
“คือที่ทำแค่เริ่ม เลยตั้งใจอยากจะหาแฟน เลยให้เบอร์ให้อะไรไว้ในคลิป แต่พอมีกระแสตอบรับว่าคนชอบ บอกว่าหายเหนื่อย เราก็ดีใจนะ สิ่งที่เราทำตามความรู้สึกของเรา เราสามารถทำให้คนที่เขาเลิกงานมาเครียดๆ ผ่อนคลาย สนุก เฮฮา ไม่เครียดกัน เวลาเลิกงานมาเหนื่อยๆ ผมยังตลกตัวเองเลย ทำลงไปได้ (ลากเสียง) ก็อยากให้ดูเพื่อความสนุก ความบันเทิงดีกว่า เราก็ทำแค่สนุกๆ แม้ว่าจะมีโทรศัพท์โทร.มาเพียบเลย ดังทั้งคืนจนต้องปิดเสียง แต่เราเป็นคนนิสัยอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่ค่อยเครียดอะไร มีบ้างที่ทุกข์ มีเครียดบ้าง คนเรามันเฮฮาทั้งวันไม่ได้ แต่ไม่โกรธใครที่มองเราเป็นตัวตลก”
มนต์เสน่ห์เกินห้ามใจ
บุรุษแบนด์แอสละ
“ไม่ได้คิดว่าตัวเองมีเสน่ห์ เพราะผมไม่ใช่คนรูปหล่อหรือเป็นดารา เรายังอายๆ ด้วยซ้ำ ช่วงอยู่นวนคร แฟนยังด่า ยังถามเลยว่าไม่อายเขาเหรอ เราก็มีพยายามไปใช้ดอกอัญชันทาคิ้วเพื่อที่จะให้มันขึ้นมันดก แต่มันไม่ทัน มันไม่ขึ้น ก็เลยเขียนเข้มๆ คือถ้าไม่ลงคลิปก็จะบางๆ ยังอายเป็นอยู่นะ (ยิ้ม)
“แต่คิดว่าเสน่ห์น่าจะเป็นอย่างในคลิป แล้วก็ที่เราชอบคุยชอบพูด พูดหวานๆ คนนี้สวย ทำไมน่ารักจัง แต่ผมไม่เคยเห็นหน้าตัวจริงนะ เห็นแต่ในรูป สวย น่ารัก ก็แซว แบบคุยจีบ เขาก็ตอบดี เหมือนเรามีแฟนคนนี้จริง ไม่เหมือนแต่ก่อน เจอผู้หญิงสวยๆ เขิน ไม่กล้าคุย เหมือนมันไม่เป็นความจริง หน้าตาเรากับหน้าตาเขา เขาสวยแล้วมาเจอเรา ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ก่อนจีบสาวไม่ติดเลย พอเราหยอก ดูตลกๆ เขาก็เลยชอบกัน
“เหตุผลนี้ก็น่าจะเป็นแบบเดียวกับพอแชร์กันไปเรื่อยๆ พี่พจน์ อานนท์ (พชร์ อภิรุจ) เลยให้ทางทีมงานติดต่อ แต่ก็เกือบไม่ได้เข้ามาเล่น เพราะไม่รู้จักด้วยว่าแกเป็นใคร วันแรกโทร.มาขับรถอยู่ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าการแสดงเป็นอย่างไร ก็ไม่กล้า บอกปฏิเสธไว้ก่อน ไปไม่ได้ โน่นนี่ เขาก็ตื๊อบอกว่ามาให้หน่อย มาถ่ายให้วันหนึ่ง เราก็ไม่ได้อีก เนื่องจากจังหวะนั้น คนขับรถอีกคนหนึ่งลางานด้วย ก็ปฏิเสธอย่างเดียวเลย ถึงขนาดเขาบอกว่าอยู่ไหน เดี๋ยวจะให้ค่ารถ ค่าเครื่องบิน นั่งเครื่องมาเลย แต่เราก็ทิ้งงานไม่ได้ จริงอยู่ที่เราได้ค่าแรงวันละ 400 บาท มาแสดงได้เยอะกว่าแน่นอน งานหลักเราต้องรับผิดชอบก่อน อยู่ๆ เราจะมาทิ้งได้อย่างไร จนพี่พจน์โพสต์ตามหาผม ป้าที่ชอบไปกินข้าวร้านเขาบ่อยๆ เขาบอกว่ามีคนมาตามหา ก็นึกในใจ อะไร ใคร มาตามหา ก็งงอยู่ ก็ยังบอกป้าเขาไปเลยว่าไม่ไปหรอก
“ทีนี้เถ้าแก่บอกว่าถ้าเจอถ้ามีโอกาสที่ดีกว่าก็ไปเถอะ ก็ลองมาคิดดู และบังเอิญไปเติมน้ำมันที่ปั๊มประจำ มีพี่ที่รู้จักที่นั่น เขาก็อาสาเป็นคนพามา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ได้มา ไปวันแรกยังไล่ถามคนในนั้นเลยว่าคนไหนพี่พจน์ ก็มาลอง ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า เพราะนึกว่าเขาจะให้ท่องจำบทเหมือนละคร แต่พี่พจน์เขาบอกให้เล่นเป็นตัวเราเลย เราก็...ตัวเราเป็นยังไง... ก็นั่งๆ เขาก็แนะ สอนงานให้เรา เห็นอัดคลิปลงไม่เขิน เอาเข้าจริงเขินมาก นั่งจิกขาตั้งหลายรอบ เพราะคนเต็มเลย คือเราเล่นคลิปมันเล่นอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น ไอ้นี่กล้องเต็ม คนเพียบเลย เขามาดูเรา”
ฉายแววตัวตน
ลบคำคนที่ว่า “บ้า”
“เราก็ทำตามที่พี่เขาบอก ไม่รู้ว่าดีไม่ดี ถูกใจหรือเปล่า แต่ตกเย็นเขาก็ให้เซ็นสัญญา เขาน่าจะเห็นชีวิตตัวตนของผม ผมเป็นคนง่ายๆ ติดดิน เป็นตัวของตัวเอง ทุกวันนี้ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ก็จะเป็นอย่างเดิมไม่ได้หมด ก็ต้องดูแลตัวเองหน่อยหนึ่ง อีกส่วน มารู้ตอนหลังว่าหนังพี่พจน์ไม่มีบท เขาก็จะให้เล่นเป็นคนกึ่งคนบ้าที่อยู่บนรถเมล์แล้วอัดโซเชียลธรรมดาของเรา ฉากสองฉาก ก็ออกแค่นั้น แต่พอไปๆ มาๆ เขาปล่อยเรามาเล่น กระแสดี เราก็เลยได้เล่นเป็นบทเด่นบทหนึ่ง อย่างที่เห็นในข่าวเฟซบุ๊กเป็นกระเป๋ารถเมล์ แต่จริงๆ ไม่ใช่ เหตุการณ์นำพาให้ต้องไป
“เรื่องการแสดงตอนนี้ก็ไม่ค่อยอายแล้ว เริ่มชินๆ ก็พยายามดูวิธีการเล่นของคนอื่นๆ ว่าเขาทำอย่างไรกัน เพราะพี่พจน์ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปเลย จากเดือนหนึ่ง ได้เงินเดือน 12,000-13,000 บาท ค่าใช้จ่ายในกรุงเทพฯ เหลือส่งให้แม่ไม่เยอะ 500-1,000 บาทเท่านั้น แต่มาทำนี่เก็บเงินได้เยอะ มันทำให้ผมคิดแล้วมองไปข้างหน้า จากเมื่อก่อนแค่ฝัน ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือเปล่า แล้วตอนนั้นแฟนเลิกด้วย ก็เอาแค่ว่าคิดว่าเราใช้ชีวิตให้มีความสุขไปวันๆ ขอให้มีเงินส่งที่บ้าน มีใช้ของเรา ไม่อดไม่อยากก็พอตอนนั้น พอมาตรงนี้ได้มันก็มีแรงฮึด ก็ขอให้ผมอยู่ได้สักพัก จะดูหลักพี่ๆ เขาสอนกันอย่างไร แต่ผมก็คิดว่าทำได้ ในสไตล์ของเรา พอทำได้
“อนาคตตอนนี้ก็เน้นไปที่เรื่องการแสดงแล้วก็เรื่องร้องเพลง เพราะว่าผมร้องเพลงไม่ค่อยจบเพลง ขนาดอัดเพลงภาพยนตร์วันนั้นในหนัง ร้องเพี้ยนไปหมด พี่พจน์ฮามากเลย รู้เลยว่านักร้องที่ร้องเก่งๆ ไม่ใช่ร้องกันง่ายๆ ก็อยากร้อง ก็ไปบอกพี่พจน์ไว้ว่าอยากเรียนร้องเพลง ถ้ามีโอกาสก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด อย่างว่าไม่มีใครเป็นตั้งแต่เกิด เราก็ต้องเรียนรู้ไป อีกหน่อยผมว่าก็คงดีขึ้น ก็คงต้องเรียนรู้ให้มากกว่านี้ ก็พยายามทำให้เต็มที่ไม่ให้ผิดพลาด”
กตัญญู ไม่ลืมตน
ลูกเทพ(พิทักษ์)ของจริง
“เพราะที่ผ่านมา เราทำให้ท่านเสียใจกับอนาคตของเราตอนวัยรุ่น พอคุณพ่อเสีย คุณแม่จิตใจแกก็ไม่ค่อยดี เราก็ไม่ค่อยอยู่ เคยขึ้นไปขับรถอ้อยอยู่กับท่าน แต่สักพัก เราก็ไปทำงานของเรา แม่เสียใจ พ่อไม่อยู่แล้วก็เหมือนกระทบกระเทือนจิตใจ อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ประมาณประสาท ที่คนเขาว่าแม่กัน แต่ผมก็ไม่รังเกียจ แม่ทั้งคน ใครจะว่ายังไงไม่สน เขาไม่รู้ว่าแม่จริงๆ เป็นเพราะอะไร เราก็เลยต้องทำให้ดีที่สุด มันย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว พยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด นี่ก็เพิ่งซื้อมอเตอร์ไซค์มือหนึ่งให้คุณแม่ขับไปซื้อของในตลาดที่อยู่ห่างจากบ้าน 4-5 กิโลเมตร ไม่อยากให้ไปยืมใครเขา ของใครใครก็หวง
“ไม่ซื้อรถเก่าๆ มือ 4-5-6 แล้ว มันพังง่าย ยิ่งจักรยานพังประจำ ก็เลยตัดสินใจซื้อ ตอนแรกก็ว่าจะผ่อน แต่ผมไม่กล้าผ่อน อาชีพเรายังไม่ลงตัว เงินยังไม่ลงตัว ก็ตัดสดเลย มีโอกาสได้มีเงิน ดีใจมาก ได้ซื้อรถให้แม่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แม่เห็นก็ยิ้ม ไม่พูดอะไร ก็บอกแต่เพียงว่าอย่าลืมตัว สอนอย่าลืมตัวอย่างที่บอกเสมอๆ บางครั้งจริงๆ มีเงินมากๆ อาจจะลืมตัว เราก็จำมาตลอด ทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่คิดว่าดังแล้วจะเปลี่ยนไป ไม่ถือตัวเลย แค่เดินไปซื้อของกว่าจะถึง ไม่ได้กินสักที ก็ยังเดินริมถนนเป็นกิโลๆ ก็เดินได้ปกติ นั่งรถเมล์ รถแท็กซี่ไม่กล้านั่งเหมือนเดิม ถ้าไม่ได้ไปไหนไกลๆ พี่พจน์หาที่อยู่ดูแลให้อย่างดี วันก่อนถ่ายละคร พี่ที่ดูแลเขาไม่ว่าง เราก็เดินจากกลางๆ ซอยเข้ามาถ่าย แต่โชคดีฝนตก แดดไม่ร้อน”
ตัวตนคงเดิม
เพิ่มเติมคือ “อนาคต”
“ก็จะผมสีทองอย่างนี้เหมือนเดิมไม่มีสีอื่น แต่ดีหน่อยตรงที่พี่ๆ เขาย้อมให้เลยไม่ทองๆ ดำๆ เหมือนย้อมเอง สีลิปสติกก็ไม่เปลี่ยน อันนี้ก็เพิ่งไปเดินหาซื้อตลาดนัดแถวลาดพร้าว กว่าจะได้ แต่เราก็ไม่ได้ซีเรียส ตอนนี้คิดเรื่องทำงานการแสดงให้ดีที่สุดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ต้องปรับตัว อีกอย่างต้องเตรียมตัวด้วย เพราะงานวงการนี้ไม่ใช่สบายๆ อย่างที่คิด เห็นพี่ๆ บางคนออกงานข้ามจังหวัดที ไปโน่นที เราเคยขับรถเรารู้ว่าเหนื่อยแน่นอน ตอนนี้งานเริ่มเข้ามาเยอะแล้ว เราก็ต้องทำหน้าที่จุดนี้ พยายามทำให้ดีที่สุด เพื่อจะได้สร้างอนาคตเก็บเงินตอบแทนแม่ ซื้อบ้าน แต่ไม่ได้ถึงกับเลิศหรูเกินไป เผื่อวันใดวันหนึ่งผมออกงานจากที่นี่จะได้มีบ้านอยู่ กลับไปอยู่บ้าน กินปลาร้า ปลูกผักกิน เหมือนเดิม
“ส่วนเรื่องครอบครัว ถ้ามีก็โอเค ก็รออยู่ อยากมีครอบครัว อายุมากแล้ว 32 ก็อยากมีครอบครัว มีลูกมีเต้า ไม่ใช่เราจะหนุ่มอย่างนี้ ต่อไปก็ต้องแก่ ชีวิตข้างหน้าใช่ไหม ตอนนี้ก็มีเข้ามาเยอะ มาคุยจากที่แต่ก่อนไม่มี ก็ต้องดูดีๆ ... ดีๆ คือไม่ต้องสวยมาก เพราะคนสวยมักชอบคนรวย จริงๆ ผมชอบคนไม่สวยด้วยซ้ำ ชอบคนสบายๆ ไปกับผมได้ ง่ายๆ จริงใจ ขอให้อยู่ด้วยกันได้ ไม่ทิ้งกัน ถ้าทะเลาะกัน พอแรงมา ผมไม่ค่อยเถียงหรอก ผมโมโห ผมเดินหนีเลย ลองใครบ่นผม ผมเดินหนีเลย แล้วจะไม่พูด เพราะผมเคยพูดเวลามีปัญหาแล้วยิ่งทะเลาะกันหนักขึ้น เราเดินหนีมาก่อนแล้วพอเย็นลงค่อยกลับมาคุยกันดีกว่า รักเราอยู่กับเรา ห้ามมีคนอื่น ก็เหมือนคนเป็นแฟน คนเป็นครอบครัวกัน ก็อยากอยู่อย่างนั้นไม่ชอบอยู่กับคนที่เงิน ถ้าอยู่แล้วไม่สบายใจก็ไม่ไป รวยแค่ไหนก็ไม่ไป
“ก็ขอขอบพระคุณทุกๆ คนที่ติดตาม ดีใจที่วันนี้ได้มีโอกาส จากที่ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ มีงานในวงการ มีภาพยนตร์ ก็ขอฝากติดตามผลงาน ตุลาคมนี้น่าจะได้ชมกันกับภาพยนตร์เรื่อง 888 แรงทะลุนรก ครับ”
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : พลภัทร วรรณดี