ภาพเคลื่อนไหวที่สื่อให้เห็นถึงความถดถอยของร่างกายที่ค่อยๆ เสื่อมสลายลงไป ในมิวสิกวิดีโอเพลง ‘ตราบลมหายใจสุดท้าย’ สร้างแรงสั่นสะเทือนในสังคมออนไลน์ด้วยปรากฏการณ์ยอดชมกว่าล้านวิวภายในระยะเวลาแค่ 3 วัน และ “กลุ่มบัวลอย” ก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น

“กลุ่มบัวลอย” แห่งวัดปทุมวาราม นี้ ก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ให้กับวิถีชีวิตต่อธรรมะที่เปลี่ยนแปลงของสังคมไทยให้เข้ากับความร่วมสมัยมากขึ้น โดยมีพระปกรณ์วินณ์ ฐิตวังโส เป็นแกนนำของกลุ่ม พร้อมสมาชิกที่เป็นฟันเฟืองร่วมทีม ได้แก่ ภัทธิ บัณฑุวณิช, เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฎ์ และรัชต์พงษ์ สมศรี ทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังของซิงเกิลดังกล่าว ไห้ถูกพูดถึงในเวลานี้

หากเธอมองทุกการเกิดมา
ที่มีอย่างลึกซึ้ง
ด้วยการทำเพลงที่อ้างอิงจากประวัติพระนางเขมาเถรี ซึ่งกล่าวถึงความเสื่อมถอยของร่างกาย ได้น้อมนำความนึกคิดของผู้ฟังตลอดจนผู้ชมเอ็มวีดังกล่าว เข้าใจในความเป็นอนิจจังของสังขาร
พระปกรณ์วินณ์ : ถ้าพูดในฐานะคนทำงาน เราไม่ได้สร้างงานเพื่อให้เกิดปรากฎการณ์ แค่เราซื่อสัตย์ต่อชิ้นงาน ต่อเนื้อหาที่อิงเนื้อหาเดิมจากที่พระพุทธเจ้าสอนมากที่สุด การทำงานหนึ่งชิ้น สมัยก่อนตอนที่อาตมายังไม่บวช ทำเพลงหนึ่งอัลบัม เราต้องอาศัยนักข่าว อาศัยการแถลงข่าวต่างๆ แต่ตอนนี้ แค่คุณปาน (ธนพร แวกประยูร) ลงรูปตอนที่ตัวเองศีรษะโล้น ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พูดเนื้อหาอะไรเลย คนกลับมีกระแสตอบรับเยอะมากและไวมาก เรารู้สึกเลยว่าคนในปัจจุบันไวต่อความรู้สึก กลายเป็นไม่น่าเชื่อว่าตลาดอนิจจังมันขายได้ (หัวเราะ) แสดงว่ามันต้องเกิดอะไรกับสังคม เช่น ความตายใกล้เข้ามา โรคภัยไข้เจ็บใกล้เข้ามา หรือมันอาจจะเป็นอะไรที่เขารู้สึกอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครไปสะกิดต่อมมัน
ภัทธิ : ในเรื่องงานด้านภาพ เราก็ต้องศึกษาการย่อยสลายของร่างกายของคนว่ามันเป็นยังไง ก็ต้องทำการบ้านด้วยว่าในทางร่างกาย เรื่องการย่อยสลายในความเป็นจริงนั้นเป็นยังไง ส่วนหนึ่งศึกษาจากรูป จากตำรา จากเพื่อนที่เป็นหมอ หรือคนต่างๆ อีกส่วนหนึ่งก็ต้องไปศึกษาว่าอสุภกรรมฐานทั้ง 10 อย่างมีอะไรบ้าง (อสุภกรรมฐาน หมายถึงการบำเพ็ญกรรมฐานโดยการพิจารณาอสุภะหรือพิจารณาร่างกายของตนหรือของผู้อื่นว่าเป็นของไม่งาม ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น) และมันจะเชื่อมโยงกับทางร่างกายได้ยังไง ระดับไหนที่เราจะสามารถนำไปใส่ในตัวงานได้ ก็ต้องทบทวน
โดยส่วนตัวผมก็มีนิสัยชอบดูลักษณะอย่างนี้อยู่แล้ว ฟังดูเหมือนว่า มันอาจจะเข้าทาง แต่ว่าการชอบดู มันก็แค่ชอบ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร งานชิ้นนี้ ได้ทำให้เรากลับไปศึกษาให้ลึกซึ้งอีกครั้งว่าแต่ละอย่างมันมีอะไรบ้าง แล้วก็กลับไปค้นอีกทีว่าจริงๆ มันเป็นยังไง ซึ่งการที่ได้ตามโจทย์ตรงนี้มา ตอกย้ำให้ลึกกว่าเดิม มันทำให้เราได้ดำดิ่งกับสิ่งนี้มากขึ้น ต้องกลับไปศึกษามากขึ้น
ทีนี้ ถามว่า ทำไมต้องทำแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องอ้างอิงจากเรื่องของพระนางเขมาเถรีที่เจออะไร อย่างพระพุทธเจ้าทรงสร้างนิมิต ทรงสร้างนางฟ้าองค์หนึ่งให้ท่านดู แล้วให้เห็นถึงความเสื่อมของร่างกายตั้งแต่สาวจนแก่ เราก็จับจุดนี้มาตีความเป็นภาพ ฉะนั้น เราก็ยึดจากที่พระไตรปิฎกเขียนเอาไว้ มาเป็นแกนของมิวสิกวิดีโอ คือมันก็หลอนตามเรื่องที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก เพียงแต่อาจจะไม่หลอนมาก แต่ถ้าเป็นภาพ เราเป็นพระนางเขมาฯ และเห็นคนคนนั้นตายไปต่อหน้าต่อตาเรา ก็หลอนนะ คือไม่ได้คาดคิดว่าจะเจออะไรต่อหน้า คนรับสารก็เหมือนกัน ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจออะไรที่แรงสุดขั้วขนาดนั้น มันก็สร้างอารมณ์เดียวกันกับตอนที่พระนางเขมาฯ เจอ

ห้วงแห่งภพจบลงที่ใจ
เห็นภัยที่เกิดมา
ในแง่ของคนทำดนตรี เดชาณัฏฐ์ ได้ทำดนตรีร่วมกับ รัชต์พงษ์ คอยไล่ท่วงทำนองให้เป็นไปตามบทเพลง และเดินไปสู่ความไพเราะแห่งเส้นเสียง
เดชาณัฏฐ์ : จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจดีไซน์ให้หลอนอะไรแบบนั้นนะครับ เพราะตอนที่เป็นฉบับร่างแรกของเพลงออกมา มันจะดูสดใสกว่านี้ แต่เมื่อมองว่าเราพูดถึงความไม่เที่ยง คือคนเราปกติจะมองเรื่องนี้ว่ามันคืออะไร ฉันก็เป็นของฉันอยู่อย่างงี้ ผมเองก็เป็นคนที่ชอบของสวยๆ งามๆ ไม่ชอบกลิ่นเหม็น ไม่ชอบดูศพ แต่พอเราอ่านเนื้อเพลง มันรู้สึกว่า จุก เหมือนโดนตบหน้า (หัวเราะ) เราก็เลยเอาความรู้สึก ณ ตรงนั้น ตั้งจิตให้รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ และคิดว่าคนที่ฟังก็จะรู้สึกเหมือนกับเรา ช่วงแรกมันจะฟังเหมือนสงบ แต่ว่ามันยังมีความหนักหน่วงของดนตรี เป็นไมเนอร์ สเกล ที่ดูมืดๆหน่อย แต่ว่าไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นผีมาหลอก มันจะเป็นความรู้สึกลักษณะใกล้ชิดกับความตาย คือเรื่องจริง แต่เราไม่ยอมรับมัน
เรื่องแบบนี้คนทั่วไปกลัวนะ แต่พอไปถึงจุดที่เป็นท่อนฮุกของเพลง เพลงจะสว่างขึ้นมา ด้วยทำนองและเนื้อร้อง มันเริ่มสอนและบอกคนฟังแล้ว ดังนั้น การที่จะบอกคนฟังให้เข้าใจ เราต้องเปลี่ยนอารมณ์ให้เขารู้สึกว่าเธอต้องตื่น ต้องรู้สึกอะไรบ้างแล้วนะ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ นี่จึงเป็นที่มาของการออกแบบดนตรีให้มีความแตกต่างระหว่างช่วงหนึ่งกับอีกช่วงหนึ่ง คล้ายกับจิตคนที่เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา

เปิดดวงตาเห็นความสัตย์จริง
เมื่อสิ้นสุดการผลิตทุกกระบวนการ และแล้วก็มาถึงขั้นตอนผ่านการตรวจสอบ ซึ่งก็สร้างความกังวลให้กับทีมผู้ผลิตว่าบรรดาผู้ตรวจสอบจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่ในที่สุดความกังวลที่มีในก่อนหน้านี้ก็คลายลงไป เมื่อมีมติที่ว่า “ไม่มีปัญหา และสามารถเผยแพร่ได้”
พระปกรณ์วินณ์ : จริงๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ของทางวัด แต่ทางผู้ใหญ่ก็รู้แล้ว แม้กระทั่งตัวคุณปานเอง เขาเห็นความตั้งใจดีของทางกลุ่มว่าดีมาก แต่เราก็ไม่ใช่ผู้รู้ ทีนี้ พอทำงานชิ้นนี้ซึ่งมาจากพระไตรปิฎก มันมีเรื่องความถูกต้องของพระธรรม ก็จำเป็นต้องมีท่านมหาเปรียญช่วยตรวจสอบ เพราะเรื่องของบาลีมีความละเอียดลึกซึ้ง อย่างคำว่าจิตอ่อน มันไม่เหมือนในหลักพระพุทธศาสนา พอเรื่องของเนื้อหาเสร็จแล้วเรียบร้อย ตรวจสอบไป ดนตรีมันใช้คำว่าคีตธรรม ดนตรีก็ต้องดูเรื่องความละเอียดอ่อนเหล่านี้ด้วย หรือแม้แต่เรื่องราวในเอ็มวี เราก็ต้องเช็กกับผู้รู้ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งหมอ ที่ต้องทำการบ้านมาเลยว่า เน่าไปกี่วัน ทางพระพุทธศาสนาเป็นยังไง หลักการทางกายภาพเป็นยังไง มีหนอนตอนไหน พระพุทธเจ้าให้ไปดูศพตอนไหน ตรวจสอบละเอียดเลยในเรื่องความถูกต้อง แต่พอกลับมาเป็นชิ้นงานปุ๊บก็ต้องไปนำเสนอให้พระผู้ใหญ่ที่ดูแลว่า เราโปรโมตแบบนี้นะ มันแรงไปหรือเปล่า เราให้เกียรติทุกคน และทุกคนก็บอกกลับมาว่ามันดีต่อสังคม ทุกคนยอมรับหมด ไม่ใช่แค่คนทำงาน

จากความจริงของเมืองแห่งกาย
“กลุ่มบัวลอย” ไม่ได้เพิ่งเริ่มก่อตั้งมาประการใด แต่มีการดำเนินงานมาเป็นเวลาหนึ่ง โดยมีกลุ่มเพื่อนร่วมงานของพระปกรณ์วินณ์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง โดยเล็งเห็นว่า ยุคสมัยเปลี่ยนไป การเผยแผ่หลักพระพุทธศาสนาก็ต้องเปลี่ยนตาม
“ก็เริ่มจากตัวอาตมาเป็นหลักเลย เพราะก่อนหน้านี้ เราเคยทำงานด้านสื่อสารมวลชนมาก่อน แล้วพอหลวงพ่อทราบว่าทำงานแบบนี้ได้ ประจวบเหมาะกับทางวัดเป็นช่วงที่บูรณปฏิสังขรณ์ใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งสมัยก่อนจะเป็นวัดปิด จะเงียบไม่มีอะไรเลย แต่พอกระแสสังคมเปลี่ยนไป มีรถไฟฟ้าผ่าน เด็กๆ มาเข้าวัดนี้กันมากขึ้น พระผู้ใหญ่เลยมองว่ามันน่าจะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะตอบรับเรื่องธรรมะกับกลุ่มเยาวชนนี้ได้ ซึ่งพอท่านเห็นอาตมามาบวช ก็บอกว่าช่วยหน่อยได้มั้ย จนในที่สุดก็มารวมกลุ่มจากลูกศิษย์ก่อน ก็มีกลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัน เวลาหลวงพ่อเรียกมาแต่ละครั้ง ก็จะเรียกว่ากลุ่ม “บัวลอย” เพราะคำว่าปทุมแปลว่าบัวลอย จากนั้นก็เริ่มทำงาน แล้วขยายตัวไปจัดที่พารากอนบ้าง ผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างท่านผู้หญิงสุมาลี (จาติกวณิช) ท่านสุเมธ (ตันติเวชกุล) หรือ ท่านองคมนตรีเกษม (วัฒนชัย) ลงมาดูคนกลุ่มนี้ ประจวบเหมาะว่า กลุ่มทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็เริ่มเข้ามาช่วยในลักษณะของโครงการที่โตมากขึ้น มีเงินทุน มีเงินเบี้ยเลี้ยงให้กับคนทำงาน เริ่มขยายตัว เริ่มทำงานที่มีเงินแล้ว แล้วก็มีผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาช่วย แต่ว่าก็ยังเป็นลูกศิษย์วัดอยู่
“จนประจวบเหมาะกับเจอคุณปาน ธนพร เพราะเรามีความรู้สึกว่า จะต้องมีงานชิ้นหนึ่ง ซึ่งโจทย์ของเขาคือให้แต่งเพลงให้พระพุทธเจ้า อาตมาเลยบอกว่าแต่งทำไม ไม่ต้องแต่ง รัชกาลที่ 6 ทำไว้ดีแล้ว ที่เรียกว่าสรภัญญะ ไม่ต้องแต่งเลย เอามาทำให้มันเข้าถึงมากขึ้น ให้เยาวชนได้รู้จักเรื่ององค์ความรู้ด้วย คือสมัยก่อนจะทำแต่วาระสำคัญ เช่นพระพุทธเจ้าครบ 2600 ปี งานสมเด็จพระเทพฯ ครบ 60 หรือสมเด็จพระสังฆราช แล้วเวลาคุณปานร้องเพลงเหล่านี้ คนรู้จักนะ แต่ไม่เคยเห็นหน้า เพราะคุณปานบอกว่าจะไม่ขาย แล้วประจวบเหมาะกับเซ็นสัญญาค่ายด้วย ก็จะให้แค่เสียงเฉยๆ แต่ตอนนี้คุณปานหมดสัญญากับทางค่ายพอดี ก็เลยกลายเป็นชิ้นงานนี้มากับกลุ่มบัวลอย
“ส่วนการหาปัจจัยนั้น หลักๆ แล้ว ทุนมาจากการทำโปรเจกต์ ทำแบบสปอนเซอร์ แต่ก็ไม่ทำในทุกโปรเจกต์ คืออาตมาก็ไม่ได้ใช้เงินวัด แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบกัน ไม่ใช่ว่ามาทำแบบสาวน้อยตกน้ำ แล้วเข้าไปคุยกับองค์กรที่เขาสนับสนุนและมีพันธกิจแบบนี้พอดี แต่วัดนี้คือความโชคดีที่เกี่ยวเนื่องของราชสกุลมหิดล เป็นวัดหลวง ผู้หลักผู้ใหญ่มองว่า พระกลุ่มนี้โตมาด้วยกัน ก็เลยเอ็นดูกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็ต้องหาทุน เพราะว่ามันก็มีจำกัด ไม่ใช่ว่าเราอยากทำทุกอย่าง ก็จำเป็นที่จะต้องคุย แต่เราก็ไม่เคยได้กำไรนะ เราเคยทำเสื้อยืดออกมาเพื่อหล่อเลี้ยง แต่ก็ขาดทุนตลอด (หัวเราะ) ซีดีที่ปั๊มออกมา คุณปานบอกทำไปเลยค่ะ เป็นวาระ มันจะขายดีมาก แต่มันถูกกองไว้อย่างนั้น ซึ่งถือว่าทำมาเพื่อธรรมทานจริงๆ เลยรู้ว่า ธรรมะไม่มีกำไร คือใจต้องเอาจริงๆ แต่ความโชคดีก็มี ตรงที่ก็มีองค์กรที่เขาอยากทำ แบบทำไปเลย เขาชอบงานแบบนี้ เช่น กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ เขาเห็นว่าทำงานจริง ก็ช่วย ไม่ต้องมาดูรายละเอียด เขาจะมาดูว่าเราจริงจังมั้ย หรือผู้ใหญ่ที่มาหนุนเรา ท่านก็มาคลุกอยู่ อย่างท่านผู้หญิงสุมาลีพูดคำแรกเลย ทำงานที่นี่ต้องจนนะ ซึ่งมันจะแตกต่างจากการทำงานค่ายหมดเลย

ดั่งแมงมุมที่วางสายใย
กลับติดใยที่ตนสร้างมา
พระปกรณ์วินณ์ : ถ้าถามว่าคนมีทุกข์หรือต้องให้แก่ตัวไปถึงจะเข้าวัด จริงๆ ทุกข์มันไม่ได้เลือกวัยนะ ตามหลักศาสนา ทุกคนก็จะเจอไม่จำกัดเพศและวัย ทุกเชื้อชาติและศาสนามันมีอยู่แล้ว แต่ว่าจะทำยังไงให้เข้าใจและหาวิธีปฏิบัติให้อยู่กับมันได้อย่างเข้าใจความเป็นจริงให้ดีที่สุด สำหรับอาตมาประโยคที่ว่าอาจจะเป็นสำนวนของคนทั่วๆ ไป เพราะในปัจจุบัน เราจะเห็นเด็กเข้าวัด แค่เราไม่ได้เห็นมัน หรือบางทีคำว่าธรรมะมันเป็นรูปแบบหรือเปล่า มันอาจจะซุกซ่อนอยู่ในวิถีของความเป็นไทย เช่น บางคนไม่รู้หรอกว่าคนคนนี้ศึกษา แต่ตามยายเข้าวัดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเขาไม่รู้ว่า ในทางพระพุทธศาสนา เขาปฏิบัติอยู่ แต่ว่ามันอยู่ในรูปแบบไหนที่ไปจำกัดมันแค่นั้นเอง
อย่างที่อาตมาเจอ พอได้มาอยู่ในแวดวงธรรมะ มันก็มีธรรมะอีกโลกหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็คิดคล้ายประโยคที่ว่าเหมือนกัน ซึ่งถ้าวันหนึ่งเราเป็นครีเอทีฟแล้วอยู่ดีๆ มาศึกษาธรรมะ เพื่อนเรายังบอกเลยว่าเราเป็นเจ้าลัทธิเลย แต่พอเราเข้ามาแล้วเราตัวเล็กมาก เพราะเราเห็นเด็ก 7 ขวบนั่งสมาธิ เราก็เลยรู้สึกว่า ในส่วนนี้เราก็ต้องเติบโตไปอีก เลยมีความรู้สึกว่า มันไม่จำเป็นที่จะอายุไหนๆ ที่จะเข้าวัด แล้วในโลกของธรรมะ มันมีมาตั้งแต่พุทธกาลแล้ว
ภัทธิ : ผมก็คิดเช่นเดียวกับหลวงพี่ครับ ธรรมะไม่ได้จำกัดอะไรเลย อย่างงานชิ้นนี้ ผมเจอคนที่บอกว่า ถ้าเป็นเพลงธรรมะ เขาจะไม่ดูจะไม่ฟัง นั่นหมายความว่า ด้วยความที่มันเป็นร่วมสมัย พอบอกว่าเป็นเพลงธรรมะ อาจจะบล็อกด้วยอคติ แต่ธรรมะของเขาอาจจะไปเจอจากเน็ตไอดอล ตัวละครในสังคมที่เขาเชื่อมากกว่า ผมมองว่าคนเหล่านั้นเขามีธรรมะอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะไปตามใคร อย่างที่ถามว่ามีปัญหาก่อนถึงจะเข้าวัดนั้น นั่นหมายความว่าคุณหนีทุกข์มาตลอดชีวิตแล้วคุณไม่ยอมรับตัวเองหรือเปล่า หรือจะต้องตายแล้วฉันต้องทำบุญ แล้วชาติหน้าไม่มีจะกิน มันกลายเป็นว่าต้องเข้าวัดเพื่อศึกษาอะไรบางอย่างหรือเปล่า ผมมองว่ามันเป็นมุมกลับนะ ที่คนเหล่านั้นอาจจะไม่เคยเข้าใจธรรมะเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าสมมติว่าบางคนคิดได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน สังคมไหน หรือศาสนาไหน ถ้าเข้าใจว่าจัดการความคิดของตนเองได้ หรือเรียนรู้ทุกอย่างบนโลกนี้ ด้วยปัญญาให้เห็นธรรมจากตัวเราเองนั่นก็คือธรรมะ ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ที่ไหน
เดชาณัฏฐ์ : ผมว่าคำพูดนี้มันสื่อให้เห็นว่า คนหลายๆ คนเชื่อว่า ธรรมะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ช่วยเขาได้ ซึ่งจริงๆ เราควรจะไว้เป็นอันดับแรกด้วยซ้ำ ถ้าเราเอามาไว้เป็นอันดับแรก เราก็ไม่ต้องวิ่งเข้าหา เพราะยังไงเราก็สามารถอยู่กับมันได้ อยู่กับทุกข์อยู่กับความแก่ได้ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องราวของสังคมที่บอกเล่ากันมาว่า ถ้ามีทุกข์เราก็ไปปรึกษาเพื่อน ไปเล่นเกม ไปดูหนัง ไปฟังเพลง แต่เราไม่เคยจัดการความทุกข์ด้วยตัวของเราเองโดยที่ไม่พึ่งคนอื่นเลย ดังนั้นพอไปถึงจุดที่ไม่มีอะไรเลย หาที่พึ่งไม่ได้ก็พึ่งธรรมะที่มันเป็นสิ่งสุดท้าย ซึ่งผมมองว่า ด้วยระบบสังคมหรือคนหลายๆคน คิดเป็นแบบนั้นไป ผมมองว่าจริงๆ แล้ว ถ้าเข้าใจแล้วรู้ว่าธรรมะ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่วิ่งเข้าหา เพราะมันอยู่กับเราตลอดเวลา อยู่ที่ว่าเราจะเข้าใจและรู้สึกกับมันหรือเปล่า ดังนั้น ถ้าพูดถึงคำพูดนี้ ผมมองว่า เขาหาที่พึ่งไม่ได้ เขาเลยพยายามหาที่พึ่งนี้เพื่อโอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว

ตราบที่ลมหายใจสุดท้ายจะคืนสู่ดิน
พระปกรณ์วินณ์ : คุณค่าของทุกอย่างมันมีคุณค่าหมด แค่เราไม่ไปเพ่งว่าอันไหนดีอันไหนเลว คือทุกอย่างมันมีความงาม แต่มันตีความค่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน พอท้ายที่สุดของอสุภะกรรมฐานไม่สูญ พระก็ต้องฝึกให้มันกลับมาให้ได้นะ เพราะเมื่อไหร่ที่เราพิจารณาให้มันเสื่อมหมด แล้วเราจะใช้ชีวิตในโลกนี้ได้ยังไง พระถึงบอกว่าควรพิจารณาสิ่งนี้ด้วยอนุโลมและปฎิโลม คือคุณจะต้องแยกออกมา ฉันข้าวมาเทรวมกัน มันก็คือปฎิกูลชิ้นนึง คุณก็ต้องแยกให้ได้ว่าส่วนผสมมันคืออะไร เหมือนกันกับการแยกธาตุร่างกาย คุณค่าของมันทั้งหมดมันมีหมด หนองก็เป็นแบบนึง น้ำมูกก็เป็นแบบนึง คิ้วหรือปากก็เช่นกัน แยกเสร็จแล้ว สุดท้ายของการฝึก ก็ต้องกลับมาประกอบร่างให้ได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วที่มันมารวมกันมันคืออะไร ก็ต้องกลับมาที่อสุภะเหมือนเดิม
สุดท้ายแล้วมันงามตามความเป็นจริง ตามความเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ทุกๆ อย่าง หรือทุกบทเพลงในโลกใบนี้ มันก็มีความงามในแบบที่ถ่ายทอดออกมา แต่ใครจะมองว่ามันสุนทรียะมั้ย มันก็อยู่ที่องค์ประกอบต่างๆ ที่อาตมาเป็นคนนำเนื้อมาให้คนจำ เราจะต้องซื่อสัตย์กับภาษาและอารมณ์ของคนและตัวเองมากที่สุด และอย่าดูถูกงานตัวเอง อันนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าไม่ใช่ไปอวดอ้างนะ ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ยังเขียนเป็นร้อยๆ เพลง ดีแค่เพลงเดียว เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเขียนเพลงเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ ตอนหลวงพี่เขียนเพลงให้ค่ายก็ถูกขว้างทิ้งเหมือนกัน ทุกอย่างในโลกใบนี้มันมีความงามของมัน”
ภัทธิ : สิ่งที่เราทำไปทั้งเพลงและภาพ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำแล้วอกุศล หมายถึงว่าทำให้คนเกิดเร้าอารมณ์ แต่ถ้าพูดเรื่องปัจจัย อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลได้ หมายถึงเอาอารมณ์มาเปลี่ยนเป็นกุศลได้ สิ่งที่งานชิ้นนี้ หรือเพลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงของใคร คนเหล่านั้นถูกจริตกับแนวไหน แล้วสามารถหน่วงอารมณ์เหล่านั้นให้เป็นกุศลได้ นั่นคือชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นงานไหน คนจะฟังเพลงนี้แล้ว แล้วตระหนัก หรือสภาวะกับเพลง ไม่ว่าจะขนาบจิตเท่าไหร่ แต่ถ้าทำให้เขาเกิดอะไรได้นั่นคือกุศล นั่นแหละคือคุณค่าชิ้นงานแล้ว
เดชาณัฏฐ์ : ผมมองว่ามันอยู่ที่วาระแล้วก็คน แล้วก็หลายๆ อย่างมากกว่า อย่างเช่นเพลงนี้ อาจจะไม่มีคุณค่าก็ได้ เพลงนี้ไปอยู่ตรงนั้นอาจจะไม่มีคุณค่าก็ได้ มันอยู่ที่คนอยู่ที่เวลาที่สถานที่ เช่น ถ้าเปิดเพลง EDM ในวัดมันก็ไม่มีคุณค่า หรือถ้าไปเปิดในที่สนุกสนานกัน อย่างที่หนูหอยบอก มันก็จะเกิดจิตอกุศลมาก่อน แล้วจะเป็นกุศลก็ได้ ดังนั้น เราจะมาตีความว่าเพลงมันมีคุณค่ายังไง อยู่ที่ตัวเรา ผมอาจจะมองว่าเพลงนี้มี แต่อีกคนอาจจะมองว่าไม่มีก็ได้ ฉะนั้นมันอยู่ที่หลายๆ อย่างครับ

...เคลื่อนไหวในลมหายใจ
ที่มีแต่ปัญญา
เมื่อผลงานประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ออกสู่สายตา แน่นอนว่าย่อมสร้างความดีใจให้กับทีมงาน แต่ทั้งภัทธิ และเดชาณัฏฐ์ กลับมองว่า นี่คืองานของส่วนรวม เมื่อบรรลุเป้าหมายในการทำงานแล้ว ก็เดินหน้าทำงานชิ้นต่อไปตามปกติ
ภัทธิ : ผมว่าเราทำงานแต่ละชิ้นมาก็จบเลยนะครับ ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย หมายถึงว่า พอเราทำงานในนามนี้ แล้วอัปงานเรียบร้อยปุ๊บ มันก็ไม่ใช่งานของเราแล้วนะ มันอยู่ที่คนดูแล้ว เราจบของเราแล้ว ความคาดหวังคือได้มีโอกาสที่จะทำงานแบบนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคมไปเรื่อยๆ แล้วกัน ตามความตั้งใจกัน แต่คนรับสารจะได้อะไรนั้น ก็แล้วแต่มุมมองของเขา เพราะเราก็ตั้งใจที่สุดแล้วแหละ
เดชาณัฏฐ์ : ส่วนผมมองว่า ชิ้นงานที่ออกไป มันทำเพื่อแผ่นดินน่ะครับ มันไม่ใช่ชิ้นงานที่ทำเพื่อเราเอง ถ้าทำแบบนั้นมันจะกลายเป็นเสริมอัตตาตัวเองว่าฉันเป็นเจ้าของสิ่งนี้ ฉันถือมันไว้ ทุกคนต้องมายอมรับฉัน คือหลายๆ คนทั้งหลวงพี่หรือพี่ปานก็จะบอกว่า เวลาเราทำงาน เราต้องลดอัตตาตัวเองลงนะ และต้องมีความมานะและอดทนนะอย่างผมเอง เวลาที่ส่งเพลงไป ผมก็จะโดนตีกลับมาหลายรอบ ซึ่งตอนแรกๆ ที่โดนมาก็จะรู้สึกว่าทำไมนะ แต่พอเราเริ่มหันกลับมามองว่ามันเป็นงานธรรมะ มันไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้คนนี้ฟังอย่างเดียว เราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำ
ดังนั้น ความคาดหวังในการสร้างผลงาน ผมมองว่า ชิ้นงานชิ้นหนึ่งที่ออกไปมันน่าจะสร้างอะไรให้กับสังคม โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา มันมีคอมเมนต์นึงในยูทิวบ์ที่บอกว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนามันต้องมีความทันสมัย ซึ่งเพลงที่เราปล่อยออกไป ผมว่ามันมีความทันสมัยในตัวของมัน ในยุคปัจจุบัน คนสมัยก่อนอาจจะชอบอ่านหนังสือ ฟังเทศน์ฟังธรรม แต่คนสมัยนี้หลายๆคน โดยเฉพาะวัยรุ่นก็จะอ่านเฟซบุ๊กอย่างเดียว บางคนก็ไม่ค่อยเข้าวัด แต่ผมมองว่า ชิ้นงานชิ้นหนึ่งที่มันเป็นเพลงที่สะกิดใจคน มันถือว่าเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นงานของแผ่นดินครับ

เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน
“กลุ่มบัวลอย” แห่งวัดปทุมวาราม นี้ ก่อตั้งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ให้กับวิถีชีวิตต่อธรรมะที่เปลี่ยนแปลงของสังคมไทยให้เข้ากับความร่วมสมัยมากขึ้น โดยมีพระปกรณ์วินณ์ ฐิตวังโส เป็นแกนนำของกลุ่ม พร้อมสมาชิกที่เป็นฟันเฟืองร่วมทีม ได้แก่ ภัทธิ บัณฑุวณิช, เดชาณัฏฐ์ ธีรดุริยสฤษฎ์ และรัชต์พงษ์ สมศรี ทีมงานผู้อยู่เบื้องหลังของซิงเกิลดังกล่าว ไห้ถูกพูดถึงในเวลานี้
หากเธอมองทุกการเกิดมา
ที่มีอย่างลึกซึ้ง
ด้วยการทำเพลงที่อ้างอิงจากประวัติพระนางเขมาเถรี ซึ่งกล่าวถึงความเสื่อมถอยของร่างกาย ได้น้อมนำความนึกคิดของผู้ฟังตลอดจนผู้ชมเอ็มวีดังกล่าว เข้าใจในความเป็นอนิจจังของสังขาร
พระปกรณ์วินณ์ : ถ้าพูดในฐานะคนทำงาน เราไม่ได้สร้างงานเพื่อให้เกิดปรากฎการณ์ แค่เราซื่อสัตย์ต่อชิ้นงาน ต่อเนื้อหาที่อิงเนื้อหาเดิมจากที่พระพุทธเจ้าสอนมากที่สุด การทำงานหนึ่งชิ้น สมัยก่อนตอนที่อาตมายังไม่บวช ทำเพลงหนึ่งอัลบัม เราต้องอาศัยนักข่าว อาศัยการแถลงข่าวต่างๆ แต่ตอนนี้ แค่คุณปาน (ธนพร แวกประยูร) ลงรูปตอนที่ตัวเองศีรษะโล้น ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้พูดเนื้อหาอะไรเลย คนกลับมีกระแสตอบรับเยอะมากและไวมาก เรารู้สึกเลยว่าคนในปัจจุบันไวต่อความรู้สึก กลายเป็นไม่น่าเชื่อว่าตลาดอนิจจังมันขายได้ (หัวเราะ) แสดงว่ามันต้องเกิดอะไรกับสังคม เช่น ความตายใกล้เข้ามา โรคภัยไข้เจ็บใกล้เข้ามา หรือมันอาจจะเป็นอะไรที่เขารู้สึกอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครไปสะกิดต่อมมัน
ภัทธิ : ในเรื่องงานด้านภาพ เราก็ต้องศึกษาการย่อยสลายของร่างกายของคนว่ามันเป็นยังไง ก็ต้องทำการบ้านด้วยว่าในทางร่างกาย เรื่องการย่อยสลายในความเป็นจริงนั้นเป็นยังไง ส่วนหนึ่งศึกษาจากรูป จากตำรา จากเพื่อนที่เป็นหมอ หรือคนต่างๆ อีกส่วนหนึ่งก็ต้องไปศึกษาว่าอสุภกรรมฐานทั้ง 10 อย่างมีอะไรบ้าง (อสุภกรรมฐาน หมายถึงการบำเพ็ญกรรมฐานโดยการพิจารณาอสุภะหรือพิจารณาร่างกายของตนหรือของผู้อื่นว่าเป็นของไม่งาม ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น) และมันจะเชื่อมโยงกับทางร่างกายได้ยังไง ระดับไหนที่เราจะสามารถนำไปใส่ในตัวงานได้ ก็ต้องทบทวน
โดยส่วนตัวผมก็มีนิสัยชอบดูลักษณะอย่างนี้อยู่แล้ว ฟังดูเหมือนว่า มันอาจจะเข้าทาง แต่ว่าการชอบดู มันก็แค่ชอบ ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร งานชิ้นนี้ ได้ทำให้เรากลับไปศึกษาให้ลึกซึ้งอีกครั้งว่าแต่ละอย่างมันมีอะไรบ้าง แล้วก็กลับไปค้นอีกทีว่าจริงๆ มันเป็นยังไง ซึ่งการที่ได้ตามโจทย์ตรงนี้มา ตอกย้ำให้ลึกกว่าเดิม มันทำให้เราได้ดำดิ่งกับสิ่งนี้มากขึ้น ต้องกลับไปศึกษามากขึ้น
ทีนี้ ถามว่า ทำไมต้องทำแบบนั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องอ้างอิงจากเรื่องของพระนางเขมาเถรีที่เจออะไร อย่างพระพุทธเจ้าทรงสร้างนิมิต ทรงสร้างนางฟ้าองค์หนึ่งให้ท่านดู แล้วให้เห็นถึงความเสื่อมของร่างกายตั้งแต่สาวจนแก่ เราก็จับจุดนี้มาตีความเป็นภาพ ฉะนั้น เราก็ยึดจากที่พระไตรปิฎกเขียนเอาไว้ มาเป็นแกนของมิวสิกวิดีโอ คือมันก็หลอนตามเรื่องที่มีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก เพียงแต่อาจจะไม่หลอนมาก แต่ถ้าเป็นภาพ เราเป็นพระนางเขมาฯ และเห็นคนคนนั้นตายไปต่อหน้าต่อตาเรา ก็หลอนนะ คือไม่ได้คาดคิดว่าจะเจออะไรต่อหน้า คนรับสารก็เหมือนกัน ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจออะไรที่แรงสุดขั้วขนาดนั้น มันก็สร้างอารมณ์เดียวกันกับตอนที่พระนางเขมาฯ เจอ
ห้วงแห่งภพจบลงที่ใจ
เห็นภัยที่เกิดมา
ในแง่ของคนทำดนตรี เดชาณัฏฐ์ ได้ทำดนตรีร่วมกับ รัชต์พงษ์ คอยไล่ท่วงทำนองให้เป็นไปตามบทเพลง และเดินไปสู่ความไพเราะแห่งเส้นเสียง
เดชาณัฏฐ์ : จริงๆ ไม่ได้ตั้งใจดีไซน์ให้หลอนอะไรแบบนั้นนะครับ เพราะตอนที่เป็นฉบับร่างแรกของเพลงออกมา มันจะดูสดใสกว่านี้ แต่เมื่อมองว่าเราพูดถึงความไม่เที่ยง คือคนเราปกติจะมองเรื่องนี้ว่ามันคืออะไร ฉันก็เป็นของฉันอยู่อย่างงี้ ผมเองก็เป็นคนที่ชอบของสวยๆ งามๆ ไม่ชอบกลิ่นเหม็น ไม่ชอบดูศพ แต่พอเราอ่านเนื้อเพลง มันรู้สึกว่า จุก เหมือนโดนตบหน้า (หัวเราะ) เราก็เลยเอาความรู้สึก ณ ตรงนั้น ตั้งจิตให้รู้สึกว่าเป็นแบบนี้ และคิดว่าคนที่ฟังก็จะรู้สึกเหมือนกับเรา ช่วงแรกมันจะฟังเหมือนสงบ แต่ว่ามันยังมีความหนักหน่วงของดนตรี เป็นไมเนอร์ สเกล ที่ดูมืดๆหน่อย แต่ว่าไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นผีมาหลอก มันจะเป็นความรู้สึกลักษณะใกล้ชิดกับความตาย คือเรื่องจริง แต่เราไม่ยอมรับมัน
เรื่องแบบนี้คนทั่วไปกลัวนะ แต่พอไปถึงจุดที่เป็นท่อนฮุกของเพลง เพลงจะสว่างขึ้นมา ด้วยทำนองและเนื้อร้อง มันเริ่มสอนและบอกคนฟังแล้ว ดังนั้น การที่จะบอกคนฟังให้เข้าใจ เราต้องเปลี่ยนอารมณ์ให้เขารู้สึกว่าเธอต้องตื่น ต้องรู้สึกอะไรบ้างแล้วนะ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ เธอไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ นี่จึงเป็นที่มาของการออกแบบดนตรีให้มีความแตกต่างระหว่างช่วงหนึ่งกับอีกช่วงหนึ่ง คล้ายกับจิตคนที่เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา
เปิดดวงตาเห็นความสัตย์จริง
เมื่อสิ้นสุดการผลิตทุกกระบวนการ และแล้วก็มาถึงขั้นตอนผ่านการตรวจสอบ ซึ่งก็สร้างความกังวลให้กับทีมผู้ผลิตว่าบรรดาผู้ตรวจสอบจะมีความคิดเห็นอย่างไร แต่ในที่สุดความกังวลที่มีในก่อนหน้านี้ก็คลายลงไป เมื่อมีมติที่ว่า “ไม่มีปัญหา และสามารถเผยแพร่ได้”
พระปกรณ์วินณ์ : จริงๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งใหม่ของทางวัด แต่ทางผู้ใหญ่ก็รู้แล้ว แม้กระทั่งตัวคุณปานเอง เขาเห็นความตั้งใจดีของทางกลุ่มว่าดีมาก แต่เราก็ไม่ใช่ผู้รู้ ทีนี้ พอทำงานชิ้นนี้ซึ่งมาจากพระไตรปิฎก มันมีเรื่องความถูกต้องของพระธรรม ก็จำเป็นต้องมีท่านมหาเปรียญช่วยตรวจสอบ เพราะเรื่องของบาลีมีความละเอียดลึกซึ้ง อย่างคำว่าจิตอ่อน มันไม่เหมือนในหลักพระพุทธศาสนา พอเรื่องของเนื้อหาเสร็จแล้วเรียบร้อย ตรวจสอบไป ดนตรีมันใช้คำว่าคีตธรรม ดนตรีก็ต้องดูเรื่องความละเอียดอ่อนเหล่านี้ด้วย หรือแม้แต่เรื่องราวในเอ็มวี เราก็ต้องเช็กกับผู้รู้ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งหมอ ที่ต้องทำการบ้านมาเลยว่า เน่าไปกี่วัน ทางพระพุทธศาสนาเป็นยังไง หลักการทางกายภาพเป็นยังไง มีหนอนตอนไหน พระพุทธเจ้าให้ไปดูศพตอนไหน ตรวจสอบละเอียดเลยในเรื่องความถูกต้อง แต่พอกลับมาเป็นชิ้นงานปุ๊บก็ต้องไปนำเสนอให้พระผู้ใหญ่ที่ดูแลว่า เราโปรโมตแบบนี้นะ มันแรงไปหรือเปล่า เราให้เกียรติทุกคน และทุกคนก็บอกกลับมาว่ามันดีต่อสังคม ทุกคนยอมรับหมด ไม่ใช่แค่คนทำงาน
จากความจริงของเมืองแห่งกาย
“กลุ่มบัวลอย” ไม่ได้เพิ่งเริ่มก่อตั้งมาประการใด แต่มีการดำเนินงานมาเป็นเวลาหนึ่ง โดยมีกลุ่มเพื่อนร่วมงานของพระปกรณ์วินณ์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง โดยเล็งเห็นว่า ยุคสมัยเปลี่ยนไป การเผยแผ่หลักพระพุทธศาสนาก็ต้องเปลี่ยนตาม
“ก็เริ่มจากตัวอาตมาเป็นหลักเลย เพราะก่อนหน้านี้ เราเคยทำงานด้านสื่อสารมวลชนมาก่อน แล้วพอหลวงพ่อทราบว่าทำงานแบบนี้ได้ ประจวบเหมาะกับทางวัดเป็นช่วงที่บูรณปฏิสังขรณ์ใกล้แล้วเสร็จ ซึ่งสมัยก่อนจะเป็นวัดปิด จะเงียบไม่มีอะไรเลย แต่พอกระแสสังคมเปลี่ยนไป มีรถไฟฟ้าผ่าน เด็กๆ มาเข้าวัดนี้กันมากขึ้น พระผู้ใหญ่เลยมองว่ามันน่าจะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซึ่งน่าจะตอบรับเรื่องธรรมะกับกลุ่มเยาวชนนี้ได้ ซึ่งพอท่านเห็นอาตมามาบวช ก็บอกว่าช่วยหน่อยได้มั้ย จนในที่สุดก็มารวมกลุ่มจากลูกศิษย์ก่อน ก็มีกลุ่มเพื่อนๆ มาช่วยกัน เวลาหลวงพ่อเรียกมาแต่ละครั้ง ก็จะเรียกว่ากลุ่ม “บัวลอย” เพราะคำว่าปทุมแปลว่าบัวลอย จากนั้นก็เริ่มทำงาน แล้วขยายตัวไปจัดที่พารากอนบ้าง ผู้หลักผู้ใหญ่ อย่างท่านผู้หญิงสุมาลี (จาติกวณิช) ท่านสุเมธ (ตันติเวชกุล) หรือ ท่านองคมนตรีเกษม (วัฒนชัย) ลงมาดูคนกลุ่มนี้ ประจวบเหมาะว่า กลุ่มทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็เริ่มเข้ามาช่วยในลักษณะของโครงการที่โตมากขึ้น มีเงินทุน มีเงินเบี้ยเลี้ยงให้กับคนทำงาน เริ่มขยายตัว เริ่มทำงานที่มีเงินแล้ว แล้วก็มีผู้หลักผู้ใหญ่เข้ามาช่วย แต่ว่าก็ยังเป็นลูกศิษย์วัดอยู่
“จนประจวบเหมาะกับเจอคุณปาน ธนพร เพราะเรามีความรู้สึกว่า จะต้องมีงานชิ้นหนึ่ง ซึ่งโจทย์ของเขาคือให้แต่งเพลงให้พระพุทธเจ้า อาตมาเลยบอกว่าแต่งทำไม ไม่ต้องแต่ง รัชกาลที่ 6 ทำไว้ดีแล้ว ที่เรียกว่าสรภัญญะ ไม่ต้องแต่งเลย เอามาทำให้มันเข้าถึงมากขึ้น ให้เยาวชนได้รู้จักเรื่ององค์ความรู้ด้วย คือสมัยก่อนจะทำแต่วาระสำคัญ เช่นพระพุทธเจ้าครบ 2600 ปี งานสมเด็จพระเทพฯ ครบ 60 หรือสมเด็จพระสังฆราช แล้วเวลาคุณปานร้องเพลงเหล่านี้ คนรู้จักนะ แต่ไม่เคยเห็นหน้า เพราะคุณปานบอกว่าจะไม่ขาย แล้วประจวบเหมาะกับเซ็นสัญญาค่ายด้วย ก็จะให้แค่เสียงเฉยๆ แต่ตอนนี้คุณปานหมดสัญญากับทางค่ายพอดี ก็เลยกลายเป็นชิ้นงานนี้มากับกลุ่มบัวลอย
“ส่วนการหาปัจจัยนั้น หลักๆ แล้ว ทุนมาจากการทำโปรเจกต์ ทำแบบสปอนเซอร์ แต่ก็ไม่ทำในทุกโปรเจกต์ คืออาตมาก็ไม่ได้ใช้เงินวัด แต่ก็ต้องมีการตรวจสอบกัน ไม่ใช่ว่ามาทำแบบสาวน้อยตกน้ำ แล้วเข้าไปคุยกับองค์กรที่เขาสนับสนุนและมีพันธกิจแบบนี้พอดี แต่วัดนี้คือความโชคดีที่เกี่ยวเนื่องของราชสกุลมหิดล เป็นวัดหลวง ผู้หลักผู้ใหญ่มองว่า พระกลุ่มนี้โตมาด้วยกัน ก็เลยเอ็นดูกลุ่มนี้เป็นพิเศษ ในขณะเดียวกันก็ต้องหาทุน เพราะว่ามันก็มีจำกัด ไม่ใช่ว่าเราอยากทำทุกอย่าง ก็จำเป็นที่จะต้องคุย แต่เราก็ไม่เคยได้กำไรนะ เราเคยทำเสื้อยืดออกมาเพื่อหล่อเลี้ยง แต่ก็ขาดทุนตลอด (หัวเราะ) ซีดีที่ปั๊มออกมา คุณปานบอกทำไปเลยค่ะ เป็นวาระ มันจะขายดีมาก แต่มันถูกกองไว้อย่างนั้น ซึ่งถือว่าทำมาเพื่อธรรมทานจริงๆ เลยรู้ว่า ธรรมะไม่มีกำไร คือใจต้องเอาจริงๆ แต่ความโชคดีก็มี ตรงที่ก็มีองค์กรที่เขาอยากทำ แบบทำไปเลย เขาชอบงานแบบนี้ เช่น กลุ่มไทยเบฟเวอเรจ เขาเห็นว่าทำงานจริง ก็ช่วย ไม่ต้องมาดูรายละเอียด เขาจะมาดูว่าเราจริงจังมั้ย หรือผู้ใหญ่ที่มาหนุนเรา ท่านก็มาคลุกอยู่ อย่างท่านผู้หญิงสุมาลีพูดคำแรกเลย ทำงานที่นี่ต้องจนนะ ซึ่งมันจะแตกต่างจากการทำงานค่ายหมดเลย
ดั่งแมงมุมที่วางสายใย
กลับติดใยที่ตนสร้างมา
พระปกรณ์วินณ์ : ถ้าถามว่าคนมีทุกข์หรือต้องให้แก่ตัวไปถึงจะเข้าวัด จริงๆ ทุกข์มันไม่ได้เลือกวัยนะ ตามหลักศาสนา ทุกคนก็จะเจอไม่จำกัดเพศและวัย ทุกเชื้อชาติและศาสนามันมีอยู่แล้ว แต่ว่าจะทำยังไงให้เข้าใจและหาวิธีปฏิบัติให้อยู่กับมันได้อย่างเข้าใจความเป็นจริงให้ดีที่สุด สำหรับอาตมาประโยคที่ว่าอาจจะเป็นสำนวนของคนทั่วๆ ไป เพราะในปัจจุบัน เราจะเห็นเด็กเข้าวัด แค่เราไม่ได้เห็นมัน หรือบางทีคำว่าธรรมะมันเป็นรูปแบบหรือเปล่า มันอาจจะซุกซ่อนอยู่ในวิถีของความเป็นไทย เช่น บางคนไม่รู้หรอกว่าคนคนนี้ศึกษา แต่ตามยายเข้าวัดมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเขาไม่รู้ว่า ในทางพระพุทธศาสนา เขาปฏิบัติอยู่ แต่ว่ามันอยู่ในรูปแบบไหนที่ไปจำกัดมันแค่นั้นเอง
อย่างที่อาตมาเจอ พอได้มาอยู่ในแวดวงธรรมะ มันก็มีธรรมะอีกโลกหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ก็คิดคล้ายประโยคที่ว่าเหมือนกัน ซึ่งถ้าวันหนึ่งเราเป็นครีเอทีฟแล้วอยู่ดีๆ มาศึกษาธรรมะ เพื่อนเรายังบอกเลยว่าเราเป็นเจ้าลัทธิเลย แต่พอเราเข้ามาแล้วเราตัวเล็กมาก เพราะเราเห็นเด็ก 7 ขวบนั่งสมาธิ เราก็เลยรู้สึกว่า ในส่วนนี้เราก็ต้องเติบโตไปอีก เลยมีความรู้สึกว่า มันไม่จำเป็นที่จะอายุไหนๆ ที่จะเข้าวัด แล้วในโลกของธรรมะ มันมีมาตั้งแต่พุทธกาลแล้ว
ภัทธิ : ผมก็คิดเช่นเดียวกับหลวงพี่ครับ ธรรมะไม่ได้จำกัดอะไรเลย อย่างงานชิ้นนี้ ผมเจอคนที่บอกว่า ถ้าเป็นเพลงธรรมะ เขาจะไม่ดูจะไม่ฟัง นั่นหมายความว่า ด้วยความที่มันเป็นร่วมสมัย พอบอกว่าเป็นเพลงธรรมะ อาจจะบล็อกด้วยอคติ แต่ธรรมะของเขาอาจจะไปเจอจากเน็ตไอดอล ตัวละครในสังคมที่เขาเชื่อมากกว่า ผมมองว่าคนเหล่านั้นเขามีธรรมะอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะไปตามใคร อย่างที่ถามว่ามีปัญหาก่อนถึงจะเข้าวัดนั้น นั่นหมายความว่าคุณหนีทุกข์มาตลอดชีวิตแล้วคุณไม่ยอมรับตัวเองหรือเปล่า หรือจะต้องตายแล้วฉันต้องทำบุญ แล้วชาติหน้าไม่มีจะกิน มันกลายเป็นว่าต้องเข้าวัดเพื่อศึกษาอะไรบางอย่างหรือเปล่า ผมมองว่ามันเป็นมุมกลับนะ ที่คนเหล่านั้นอาจจะไม่เคยเข้าใจธรรมะเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าสมมติว่าบางคนคิดได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน สังคมไหน หรือศาสนาไหน ถ้าเข้าใจว่าจัดการความคิดของตนเองได้ หรือเรียนรู้ทุกอย่างบนโลกนี้ ด้วยปัญญาให้เห็นธรรมจากตัวเราเองนั่นก็คือธรรมะ ฉะนั้นก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ที่ไหน
เดชาณัฏฐ์ : ผมว่าคำพูดนี้มันสื่อให้เห็นว่า คนหลายๆ คนเชื่อว่า ธรรมะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ช่วยเขาได้ ซึ่งจริงๆ เราควรจะไว้เป็นอันดับแรกด้วยซ้ำ ถ้าเราเอามาไว้เป็นอันดับแรก เราก็ไม่ต้องวิ่งเข้าหา เพราะยังไงเราก็สามารถอยู่กับมันได้ อยู่กับทุกข์อยู่กับความแก่ได้ แต่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องราวของสังคมที่บอกเล่ากันมาว่า ถ้ามีทุกข์เราก็ไปปรึกษาเพื่อน ไปเล่นเกม ไปดูหนัง ไปฟังเพลง แต่เราไม่เคยจัดการความทุกข์ด้วยตัวของเราเองโดยที่ไม่พึ่งคนอื่นเลย ดังนั้นพอไปถึงจุดที่ไม่มีอะไรเลย หาที่พึ่งไม่ได้ก็พึ่งธรรมะที่มันเป็นสิ่งสุดท้าย ซึ่งผมมองว่า ด้วยระบบสังคมหรือคนหลายๆคน คิดเป็นแบบนั้นไป ผมมองว่าจริงๆ แล้ว ถ้าเข้าใจแล้วรู้ว่าธรรมะ มันไม่ได้เป็นสิ่งที่วิ่งเข้าหา เพราะมันอยู่กับเราตลอดเวลา อยู่ที่ว่าเราจะเข้าใจและรู้สึกกับมันหรือเปล่า ดังนั้น ถ้าพูดถึงคำพูดนี้ ผมมองว่า เขาหาที่พึ่งไม่ได้ เขาเลยพยายามหาที่พึ่งนี้เพื่อโอกาสสุดท้ายของเขาแล้ว
ตราบที่ลมหายใจสุดท้ายจะคืนสู่ดิน
พระปกรณ์วินณ์ : คุณค่าของทุกอย่างมันมีคุณค่าหมด แค่เราไม่ไปเพ่งว่าอันไหนดีอันไหนเลว คือทุกอย่างมันมีความงาม แต่มันตีความค่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน พอท้ายที่สุดของอสุภะกรรมฐานไม่สูญ พระก็ต้องฝึกให้มันกลับมาให้ได้นะ เพราะเมื่อไหร่ที่เราพิจารณาให้มันเสื่อมหมด แล้วเราจะใช้ชีวิตในโลกนี้ได้ยังไง พระถึงบอกว่าควรพิจารณาสิ่งนี้ด้วยอนุโลมและปฎิโลม คือคุณจะต้องแยกออกมา ฉันข้าวมาเทรวมกัน มันก็คือปฎิกูลชิ้นนึง คุณก็ต้องแยกให้ได้ว่าส่วนผสมมันคืออะไร เหมือนกันกับการแยกธาตุร่างกาย คุณค่าของมันทั้งหมดมันมีหมด หนองก็เป็นแบบนึง น้ำมูกก็เป็นแบบนึง คิ้วหรือปากก็เช่นกัน แยกเสร็จแล้ว สุดท้ายของการฝึก ก็ต้องกลับมาประกอบร่างให้ได้ว่า ท้ายที่สุดแล้วที่มันมารวมกันมันคืออะไร ก็ต้องกลับมาที่อสุภะเหมือนเดิม
สุดท้ายแล้วมันงามตามความเป็นจริง ตามความเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น ทุกๆ อย่าง หรือทุกบทเพลงในโลกใบนี้ มันก็มีความงามในแบบที่ถ่ายทอดออกมา แต่ใครจะมองว่ามันสุนทรียะมั้ย มันก็อยู่ที่องค์ประกอบต่างๆ ที่อาตมาเป็นคนนำเนื้อมาให้คนจำ เราจะต้องซื่อสัตย์กับภาษาและอารมณ์ของคนและตัวเองมากที่สุด และอย่าดูถูกงานตัวเอง อันนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แต่ว่าไม่ใช่ไปอวดอ้างนะ ตุล อพาร์ตเมนต์คุณป้า ยังเขียนเป็นร้อยๆ เพลง ดีแค่เพลงเดียว เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเขียนเพลงเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ ตอนหลวงพี่เขียนเพลงให้ค่ายก็ถูกขว้างทิ้งเหมือนกัน ทุกอย่างในโลกใบนี้มันมีความงามของมัน”
ภัทธิ : สิ่งที่เราทำไปทั้งเพลงและภาพ ปฏิเสธไม่ได้ว่าทำแล้วอกุศล หมายถึงว่าทำให้คนเกิดเร้าอารมณ์ แต่ถ้าพูดเรื่องปัจจัย อกุศลเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลได้ หมายถึงเอาอารมณ์มาเปลี่ยนเป็นกุศลได้ สิ่งที่งานชิ้นนี้ หรือเพลงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงของใคร คนเหล่านั้นถูกจริตกับแนวไหน แล้วสามารถหน่วงอารมณ์เหล่านั้นให้เป็นกุศลได้ นั่นคือชิ้นงาน ไม่ว่าจะเป็นงานไหน คนจะฟังเพลงนี้แล้ว แล้วตระหนัก หรือสภาวะกับเพลง ไม่ว่าจะขนาบจิตเท่าไหร่ แต่ถ้าทำให้เขาเกิดอะไรได้นั่นคือกุศล นั่นแหละคือคุณค่าชิ้นงานแล้ว
เดชาณัฏฐ์ : ผมมองว่ามันอยู่ที่วาระแล้วก็คน แล้วก็หลายๆ อย่างมากกว่า อย่างเช่นเพลงนี้ อาจจะไม่มีคุณค่าก็ได้ เพลงนี้ไปอยู่ตรงนั้นอาจจะไม่มีคุณค่าก็ได้ มันอยู่ที่คนอยู่ที่เวลาที่สถานที่ เช่น ถ้าเปิดเพลง EDM ในวัดมันก็ไม่มีคุณค่า หรือถ้าไปเปิดในที่สนุกสนานกัน อย่างที่หนูหอยบอก มันก็จะเกิดจิตอกุศลมาก่อน แล้วจะเป็นกุศลก็ได้ ดังนั้น เราจะมาตีความว่าเพลงมันมีคุณค่ายังไง อยู่ที่ตัวเรา ผมอาจจะมองว่าเพลงนี้มี แต่อีกคนอาจจะมองว่าไม่มีก็ได้ ฉะนั้นมันอยู่ที่หลายๆ อย่างครับ
...เคลื่อนไหวในลมหายใจ
ที่มีแต่ปัญญา
เมื่อผลงานประสบความสำเร็จในการเผยแพร่ออกสู่สายตา แน่นอนว่าย่อมสร้างความดีใจให้กับทีมงาน แต่ทั้งภัทธิ และเดชาณัฏฐ์ กลับมองว่า นี่คืองานของส่วนรวม เมื่อบรรลุเป้าหมายในการทำงานแล้ว ก็เดินหน้าทำงานชิ้นต่อไปตามปกติ
ภัทธิ : ผมว่าเราทำงานแต่ละชิ้นมาก็จบเลยนะครับ ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย หมายถึงว่า พอเราทำงานในนามนี้ แล้วอัปงานเรียบร้อยปุ๊บ มันก็ไม่ใช่งานของเราแล้วนะ มันอยู่ที่คนดูแล้ว เราจบของเราแล้ว ความคาดหวังคือได้มีโอกาสที่จะทำงานแบบนี้เพื่อเป็นประโยชน์กับสังคมไปเรื่อยๆ แล้วกัน ตามความตั้งใจกัน แต่คนรับสารจะได้อะไรนั้น ก็แล้วแต่มุมมองของเขา เพราะเราก็ตั้งใจที่สุดแล้วแหละ
เดชาณัฏฐ์ : ส่วนผมมองว่า ชิ้นงานที่ออกไป มันทำเพื่อแผ่นดินน่ะครับ มันไม่ใช่ชิ้นงานที่ทำเพื่อเราเอง ถ้าทำแบบนั้นมันจะกลายเป็นเสริมอัตตาตัวเองว่าฉันเป็นเจ้าของสิ่งนี้ ฉันถือมันไว้ ทุกคนต้องมายอมรับฉัน คือหลายๆ คนทั้งหลวงพี่หรือพี่ปานก็จะบอกว่า เวลาเราทำงาน เราต้องลดอัตตาตัวเองลงนะ และต้องมีความมานะและอดทนนะอย่างผมเอง เวลาที่ส่งเพลงไป ผมก็จะโดนตีกลับมาหลายรอบ ซึ่งตอนแรกๆ ที่โดนมาก็จะรู้สึกว่าทำไมนะ แต่พอเราเริ่มหันกลับมามองว่ามันเป็นงานธรรมะ มันไม่ใช่แค่ทำเพื่อให้คนนี้ฟังอย่างเดียว เราต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เราทำ
ดังนั้น ความคาดหวังในการสร้างผลงาน ผมมองว่า ชิ้นงานชิ้นหนึ่งที่ออกไปมันน่าจะสร้างอะไรให้กับสังคม โดยเฉพาะด้านพระพุทธศาสนา มันมีคอมเมนต์นึงในยูทิวบ์ที่บอกว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนามันต้องมีความทันสมัย ซึ่งเพลงที่เราปล่อยออกไป ผมว่ามันมีความทันสมัยในตัวของมัน ในยุคปัจจุบัน คนสมัยก่อนอาจจะชอบอ่านหนังสือ ฟังเทศน์ฟังธรรม แต่คนสมัยนี้หลายๆคน โดยเฉพาะวัยรุ่นก็จะอ่านเฟซบุ๊กอย่างเดียว บางคนก็ไม่ค่อยเข้าวัด แต่ผมมองว่า ชิ้นงานชิ้นหนึ่งที่มันเป็นเพลงที่สะกิดใจคน มันถือว่าเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ซึ่งมันก็เป็นงานของแผ่นดินครับ
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ศิวกร เสนสอน