xs
xsm
sm
md
lg

ฆาตกรรม “พระนางเธอลักษมีลาวัณ” มเหสี ร.6 บุบพระเศียรด้วยชะแลง!!!

เผยแพร่:   โดย: ่โรม บุนนาค

ร.๖ กับพระนางเธอลักษมีลาวัณ พร้อมลายพระราชหัตถเลขา
ข่าวที่ช็อกคนทั้งเมืองเรื่องนี้ เกิดขึ้นในเช้าของวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๐๔ เมื่อ นสพ.รายวันทุกฉบับต่างพาดหัวพร้อมเพรียงในแนวเดียวกันว่า

ฆาตกรรมพระนางเธอลักษมีลาวัณ
หมกพระศพเน่าในตำหนักลักษมีวิลาศ

เหตุสยองขวัญเริ่มเปิดเผยเมื่อบ่ายวันที่ ๒ กันยายน โดย นายวิไล วุฒิรังสี อดีตคนขับรถของพระนางเธอลักษมีลาวัณ พร้อมด้วยนางสมร ภรรยา จะมาเฝ้าพระนางที่พระตำหนักลักษมีวิลาศ สี่แยกพญาไท กดกริ่งอยู่นานไม่มีใครมาเปิด ด้วยความสงสัยจึงไปทูลพลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ รองนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพระเชษฐา ที่วังถนนสุขุมวิท เสด็จฯในกรมจึงเสด็จมาทันทีกับนายวิไลและนางสมร เมื่อกดกริ่งไม่มีใครเปิดจึงพังประตูเข้าไป เห็นประตูหน้าต่างทุกบานปิด ไม่มีใครอยู่เลย จึงแยกย้ายกันค้นหาสิ่งผิดปกติ ได้กลิ่นเหม็นโชยมาทางหลังพระตำหนัก เมื่อตามกลิ่นไปก็พบพระศพพระนางขึ้นอืดอยู่ในซอกระหว่างเรือนคนใช้กับโรงรถ

พระศพอยู่ในสภาพบรรทมหงาย มีโลหิตเกรอะกรัง พระพักตร์ซบอยู่กับพื้น พระเศียรด้านหลังถูกทุบด้วยของไม่มีคมจนยุบ พระปรางด้านซ้ายก็ถูกทุบจนกรามหัก จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พญาไท ซึ่งอยู่เยื้องพระตำหนักไม่ไกลนัก

พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ รองอธิบดีกรมตำรวจ พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และ ตร.จาก สน.พญาไท เจ้าของท้องที่ได้รุดมาที่เกิดเหตุ พบชะเลง ๑ เล่มตกอยู่บริเวณหน้าห้องครัวใกล้กับที่พบพระศพ ไม่ห่างกันยังพบขวานอีกเล่ม ซึ่งทั้ง ๒ สิ่งมีคราบโลหิตและเส้นผมติดอยู่ ภายในเรือนคนใช้มีมุ้งเล็กๆ กางและตลบชายขึ้น เมื่อคลี่ออกมาก็เห็นคราบเลือดติดอยู่ ส่วนบนพระตำหนักซึ่งเป็นตึก ๒ ชั้น ห้องบรรทมถูกรื้อค้นกระจุยกระจาย ตู้กระจกถูกทุบแตก แต่มหาดเล็กและนางกำนันไม่มีใครอยู่เลย ต่างหายหน้าไปหมด ซึ่งตามปกติจะมีแม่ครัวเครื่องต้น ๒ คน คนสวน ๒ คน และคนขับรถอีก ๒ คน
พระตำหนักลักษมีวิลาศในค่ำวันนั้น จึงคับคั่งไปด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เจ้าหน้าที่กองวิทยาการ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลตำรวจ เพราะเป็นคดีเหี้ยมโหดที่กระทำต่อพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ส่วนนักข่าวก็มาพร้อมหน้าทุกฉบับ ต่างแข่งขันที่จะขุดคุ้ยข่าวนี้ออกมาให้ลึกกว่าฉบับอื่น แต่ก็ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเขตรั้วพระตำหนัก เพราะเจ้าหน้าที่ยังต้องป้องกันหลักฐานไว้ไม่ให้ถูกทำลาย เฝ้าประตูอย่างเข้มงวดไม่ให้ใครล่วงล้ำเข้าไปได้

ราว ๒๐ น. มีรถเก๋งอเมริกันคันใหญ่แล่นมาจอดที่ประตูพระตำหนัก คนขับลงมาเปิดประตูด้านหลังและโค้งให้ชายในชุดสากลผ้าชาร์คสกินสีขาวมันระยับที่ก้าวลงมาด้วยท่วงท่าสง่างาม ตำรวจที่เฝ้าประตูเห็นแค่มาดก็คิดว่าเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หรือบุคคลสำคัญ จึงเปิดประตูพระตำหนักให้เข้าไปแต่โดยดี ชายในชุดสากลสีขาวเดินตรวจรอบพระตำหนัก โดยเฉพาะบริเวณที่พบพระศพ แต่พอก้าวเข้าไปในพระตำหนักก็เผชิญหน้ากับ พ.ต.อ.มนต์ชัย พันธ์คงชื่น รองผู้บัญชาการนครบาล นายตำรวจใหญ่ถึงกับตะลึง และชี้มือถาม

“นี่คุณเข้ามาได้ยังไงนี่?”

จากนั้นก็เรียกตำรวจให้คุมตัวชายในชุดชาร์คสกินสีขาวไปส่งให้พ้นรั้วพระตำหนัก

เขาผู้วางมาดเท่ห์จน ตร.หลงเปิดประตูให้เข้าแต่โดยดีผู้นี้ก็คือ สุเทพ เหมือนประสิทธิเวช หัวหน้าข่าวมือฉกาจแห่ง นสพ.เดลินิวส์ ซึ่งพยายามจะขุดคุ้ยข่าวใหญ่นี้ให้ได้ละเอียดที่สุด

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามคนที่เกี่ยวข้องกับพระนางเธอลักษมีลาวัณมาสอบสวน เพื่อจะรู้วิถีชีวิตของแต่ละคนในพระตำหนัก ตลอดจนพระชนม์ชีพประจำวัน และใครบ้างที่แสดงอาการโกรธเมื่อถูกพระนางกริ้ว รวมทั้งหายไปไหนกันหมด

รายแรกคือนายวิไล วุฒิรังสี ผู้เปิดเผยเรื่องนี้ ซึ่งให้การว่าได้ลาออกจากหน้าที่คนขับรถของพระนางไปนานแล้ว พร้อมกับนางสมร ภรรยาผู้เป็นต้นห้อง โดยตนไปเป็นคนขับรถของบริษัทเชลล์ แต่ก็ยังแวะเวียนมาเฝ้าเสมอ โดยเฉพาะในวันพระมักจะมารับพระนางไปฟังเทศน์ที่วัดบวรนิเวศเป็นประจำ ครั้งสุดท้ายมารับเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม และทราบว่ามีนายทวีกับภรรยา ซึ่งดูแลเรื่องความสะอาด แต่ไม่ค่อยเอาใจใส่งานจนถูกกริ้วอยู่เสมอ เพิ่งลาออกไป จากนั้นก็มี น.ส.สุนีย์และด.ช.สมใจน้องชายเข้ามาทำแทน

น.ส.สุนีย์อายุ ๒๐ ปีและน้องชายถูกตามตัวมาให้การ ว่าได้เข้ามาเป็นต้นห้องเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคมโดยนางสมร วุฒิรังสีเป็นผู้นำมาฝาก ได้เงินเดือน ๒๐๐ บาท แต่ทำงานไม่ถูกพระทัย จึงลาออกเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม กลับไปอยู่บ้านที่ช่องนนทรี พร้อมระบุว่ามี นายวิรัช กับ นายแสง คนสวนอีก ๒ คนยังอยู่ในวันที่ตัวและน้องลาออกไป

จากการสอบสวนคนรอบด้าน ตำรวจให้ความสนใจไปที่นายแสงและนายวิรัช สองคนสวนที่ยังอยู่ในพระตำหนักเป็นรายสุดท้าย แต่ได้หายไปทั้งสองคน ทราบว่านายแสงนั้นอยู่มานานแล้วและเคยลาออกไปหลายครั้ง แต่นายวิรัชเพิ่งมาอยู่ได้ไม่กี่วัน

ตร.ทราบอีกว่า นายแสงมีเพื่อนสนิทเป็นภารโรงอยู่ที่โรงเรียนการเรือนพระนคร สวนสุนันทา จึงเชิญตัวมาสอบเมื่อ ๑๖ น.ของวันที่ ๒ นายเสงี่ยม อุ่นใจ รับว่าเป็นเพื่อนของนายแสง หอมจันทร์ จริง ส่วนนายวิรัชไม่รู้จัก ในเย็นวันที่ ๒๙ สิงหาคม อันเป็นวันที่สันนิษฐานว่าเป็นวันสิ้นพระชนม์ นายแสงมีท่าทางตื่นเต้น ได้ไปหาที่ ร.ร.การเรือน ขอยืมเงิน ๑๐๐ บาท เมื่อได้แล้วก็รีบไป พร้อมให้ข้อมูลว่านายแสงเป็นคนอุบลราชธานี พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ รอง อตร. จึงส่ง พ.ต.อ.วิเชียร แสงแก้ว ผู้กำกับกองสืบสวนสอบสวนเหนือ พร้อมด้วย พ.ต.ต.องอาจ ผุดผาด รองผู้กำกับการ ๒ กองปราบปราม นำรถวิทยุไปอุบลราชธานีในคืนนั้น

พระนางเธอลักษมีลาวัณเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวใน พ.ศ. ๒๔๖๕ ขณะมีพระชนมายุได้ ๒๓ พรรษา แต่ไม่อาจสนองพระเดชพระคุณในเรื่องมีองค์รัชทายาทที่จะสืบทอดราชบัลลังก์ได้ จึงแยกพระองค์ออกมาประทับตามลำพัง เพื่อเปิดโอกาสให้ทรงมีมเหสีใหม่ที่สามารถให้รัชทายาทได้ และเป็นไปตามที่ทรงตั้งปณิธานจะมีมเหสีเพียงองค์เดียวตามแบบตะวันตก

เมื่อสิ้นรัชกาลที่ ๖ พระนางเธอฯได้ย้ายออกจากวังปารุสกวันซึ่งได้รับพระราชทานให้เป็นที่ประทับ มาดำรงพระชนม์ชีพอย่างสามัญชนที่พระตำหนักซอยพระนาง ถนนราชปรารภ และในระหว่างสงครามโลก ได้ทรงย้ายหลบภัยไปประทับที่ตำบลหลอแหล อำเภอหนองจอก จนสิ้นสงครามจึงย้ายมาที่พระตำหนักซอยสวัสดี ถนนสุขุมวิท

พระนางเธอลักษมีลาวัณทรงใช้ชีวิตอย่างสงบ นิพนธ์นวนิยายรวมทั้งแปลนิยายต่างประเทศลงในนิตยสารต่างๆ และพิมพ์ออกสู่ตลาดหลายเล่ม กลายเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นวนิยายที่ได้รับความนิยมสูงได้แก่ ชีวิตหวาม, เรือนใจที่ไร้ค่า, ยั่วรัก, ภัยรักของจันจลา, เสื่อมเสียงสาป เป็นต้น

ในปี ๒๕๐๓ ก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันจะเสด็จพระราชดำเนินไปประทับต่างประเทศ ได้ทรงเป็นประธานแบ่งพระราชมรดกของสมเด็จพระพันปีหลวงซึ่งตกค้างมาแต่เดิมแก่เจ้านายบางพระองค์ ซึ่งพระนางเธอลักษมีลาวัณได้รับพระราชทานราว ๕ ล้านบาท แต่ด้วยทรงระแวงว่าจะมีภัยจึงเสด็จไปประทับกับ ม.จ.สุวิชากร วรวรรณ พระเชษฐา ระยะหนึ่ง ก่อนจะย้ายมาสร้างพระตำหนักลักษมีวิลาศ

พระนางทรงหวาดระแวงว่าจะมีคนทำร้าย จึงทรงพระแสงปืนเป็นประจำ และได้ชื่อว่าทรงแม่นปืน ทรงปรุงพระกระยาหารเสวยเองเพราะกลัวถูกวางยาพิษ ผู้ใกล้ชิดยอมรับว่าพระนางทรงมีอารมณ์ร้อนเป็นนิจ มักไม่พอพระทัยข้ารับใช้และทรงพิโรธเสมอ ข้ารับใช้จึงอยู่กันไม่นาน

ในงานฉลองพระชนมายุครบ ๕ รอบเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๐๓ ทรงระบายความรู้สึกเกี่ยวกับข้าราชบริพารไว้ในหนังสือกวีนิพนธ์ที่ทรงแจกในงาน มีข้อความตอนหนึ่งว่า

“ลักษมีปางกาลีนี้ร้ายนัก
ถูกพวกยักษ์รุมฟัดประหัตประหาร
ข่มขู่ขวัญทุกวันหมั่นรังควาน
เหลือร้าวรานรุมรวนกวนรังแก
ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวอยู่เปลี่ยวเปล่า
ไม่มีบ่าวโจษจันฉันกริ้วแหว
ขืนมีบ่าวเข้ามาพันตอแย
ยั่วยุแหย่ยุ่งขโมยโอยรำคาญ
บ้างเข้ามาทำท่าเป็นบ้างั่ง
เรียกจะสั่งทำใดไม่ขอขาน
สั่งทำโง้นทำอย่างงี้เลี่ยงลี้งาน
ใช่ฉันพาลเป็นดั่งนี้ทุกวี่วัน
พอไล่ไปมาใหม่อยู่ไม่ช้า
แรกทำท่าดีเด่นเป็นขยัน
พอใช้เพลินไม่เกินสิบห้าวัน
คนขยันโกงยับเห็นกับตา
เบื่อเต็มทนเบื่อคนสุดทนสู้
เลยยอมอยู่ผู้เดียวเลิกเที่ยวหา
มีคนใช้ประสาทเสียเพลียอุรา
เรารู้ว่าข่มเหงเพลงทารุณ”

ทั้งยังทรงพรรณนาเกี่ยวกับพระองค์เองไว้หลายบท เช่น

“ฉันไม่บ้าแม้ใครบ้ามาว่าฉัน
ก็ผู้นั้นแหละบ้ามาว่าเขา
เราไม่บ้าแม้ใครบ้ามาว่าเรา
มันก็เข้าคนว่าเป็นบ้าเอง”
“อนาถหนอโลกนี้ชีวีมนุษย์
ยามสาวสุดสูงเด่นเป็นดวงแข
ยามชราเอือมระอาคนรังแก
ช่างไม่แน่เหมือนหวังดังคาดเดา”
“ในยามสุขสนุกสนานนั้นแหละมี
คนพวกผียังยอมตอมล้นหลาม
พออิ่มอ้วนล้วนหลีกปลีกตัวตาม
ยิ่งในยามยากเย็นไม่เห็นคน”

จากการสำรวจทรัพย์สินขั้นแรกในวันพบพระศพนั้น เข้าใจว่าพระนางเธอลักษมีลาวัณทรงมีเครื่องเพชรพระราชทานเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า ๕ ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ยังอยู่ครบในเซฟที่คนร้ายไม่ได้เปิด ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประดับเพชรที่ทรงจัดวางในตู้โชว์ห้องบรรทม ได้ถูกทุบกระจกกวาดไปเกลี้ยง รวมทั้งสร้อยสังวาลเครื่องประดับประจำพระองค์ พระแสงปืนพกที่ไม่เคยห่างพระหัตถ์ และเงินสดในกระเป๋าถือก็หายไปด้วย

จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีและรักษาการอธิบดีกรมตำรวจ ผู้มีอาญาสิทธิ์ มาตรา ๑๗ แห่งธรรมนูญการปกครองอยู่ในอำนาจ สั่งประหารชีวิตคนได้ทันที ซึ่งเป็นที่เกรงกลัวกันในยุคนั้น ได้กำชับตำรวจให้ติดตามคนร้ายรายนี้มาให้ได้ เพราะเป็นการกระทำที่อุกอาจและโหดเหี้ยม ทั้งยังกระทำต่อพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง

เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปอุบลราชธานีในกลางดึกของคืนวันที่ ๒ กันยายน ได้มุ่งไปที่บ้านเดิมของนายแสง หอมจันทร์ ตำบลนาวัง อำเภออำนาจเจริญ ทราบว่าได้กลับมาบ้านแต่ออกไปแล้ว โดยบุกป่าไปทางมุกดาหารเพื่อจะข้ามโขงไปประเทศลาว จึงขอความร่วมมือผู้ใหญ่บ้านออกติดตามไปตามทางเกวียน
๑๕.๓๐ น.ของวันที่ ๔ กันยา คณะติดตามไปถึงบ้านด่านยาว ห่างจากนิคมคำสร้อย ๓ กม. ก็พบนายแสงกับเมียหอบผ้าอยู่ในป่าเต็งรัง ห่างจากชายฝั่งโขงตรงข้ามสวันเขต ประเทศลาวไม่เท่าไหร่ เมื่อถูกเรียกให้หยุด นายแสงหันมาเห็น ตร.ก็มือไม้อ่อน ปล่อยมีดขอด้ามยาวที่ใช้บุกป่าลงกับพื้น ยืนตัวสั่น ตร.ค้นห่อผ้าก็พบว่ามีคราบเลือดติดอยู่ ทั้งกางเกงที่นุ่งก็ยังมีคราบเลือด เลยยอมรับสารภาพแต่โดยดี

นายแสงเล่าว่า ราว ๑๓ น.ของวันที่ ๒๙ สิงหาคม พระนางเสด็จลงมาประทับที่สวนด้านหลังพระตำหนัก ทรงพรวนดินปลูกต้นไม้ เขาและนายวิรัชได้เข้าไปรับใช้ แต่ทรงกริ้วที่ทำไม่ถูกพระทัย ซึ่งเขาไม่รู้สึกอะไรเพราะคุ้นเคยกับการถูกพระนางดุเป็นประจำ จึงปลีกตัวไปที่เรือนคนใช้ สักครู่ได้ยินเหมือนของตกจากที่สูง หันมาเห็นนายวิรัชยืนจังก้าในมือถือชะแลงเหล็ก พระนางล้มคว่ำพระพักตร์อยู่กับพื้นดิน พระเศียรด้านหลังมีโลหิตนอง ไม่เคลื่อนไหวพระอิริยาบถ เขาจึงรี่เข้าไปหวังจะช่วยพระนาง

“แต่พอผมวิ่งไปถึง ไอ้วิรัชก็หันมาประจันหน้าเอาปืนขู่จะยิงทิ้งถ้าทำยุ่ง” แสงว่า

และเล่าว่าวิรัชบังคับให้ช่วยหามพระศพไปวางซุกซอกเรือนคนใช้กับโรงรถ โดยวิรัชจับพระเศียร เขาจับพระบาท และให้คอยเฝ้าไม่ให้ใครเข้ามา จากนั้นวิรัชก็ถือกุญแจขึ้นไปบนพระตำหนัก สักครู่จึงลงมา

“มันยัดของเต็มกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างเลย ผมขอแบ่งมันก็ไม่ยอม แถมจะเตะผมอีก”

แต่เมื่อถูกนำตัวมาถึง สน.พญาไท พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ รอง อตร.สอบปากคำด้วยตนเอง นายแสงกลับเปลี่ยนเรื่องไปอีกอย่างว่า

“ผมกับวิรัชร่วมกันวางแผนเรื่องนี้มาก่อนที่พระนางจะสิ้นแล้ว”
และเล่าใหม่ว่าในวันเกิดเหตุ ขณะพระนางกำลังจะปลูกมะละกอ โดยวิรัชเป็นคนขุดหลุมด้วยชะแลง เขาใช้ขวานลิดกิ่งไม้อยู่ใกล้ๆ แม้ขณะทรงสวนพระนางก็นำกระเป๋าหวายที่ใส่ปืนคอลท์โอโตเมติก ๖.๓๕ มม.ติดพระองค์เสมอ และในกระเป๋านี้ยังมีกุญแจต่างๆและเงินสดด้วย แต่ขณะจะปลูกมะละกอนั้น พระนางได้วางกระเป๋าไว้ข้างพระองค์ พร้อมรับสั่งให้วิรัชไปเอาต้นกล้ามะละกอมาโดยไม่เงยพระพักตร์ พอสิ้นกระแสรับสั่ง วิรัชก็ลุกขึ้นและถอยไปเบื้องพระปฤษฎางค์ ๒ ก้าว เงื้อชะแลงเหล็กฟาดไปทางพระเศียรด้านหลังเต็มแรง พระนางล้มคว่ำลง วิรัชยังตีซ้ำอีก ๒ ครั้งจนโลหิตนองพื้น เขาตกใจจึงใช้สันขวานตีที่พระเศียรอีก ๑ ครั้งโดยนายวิรัชไม่ได้ขู่บังคับเลย แล้วช่วยกันหามพระศพไปซ่อน วิรัชรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าเอาปืนและกุญแจพร้อมเงินในกระเป๋าแล้ววิ่งขึ้นไปบนพระตำหนัก เขาเลยปลดสร้อยสังวาลที่พระศอใส่กระเป๋ากางเกง สักครู่วิรัชก็ตะโกนให้ขึ้นไปช่วยเพราะไขกุญแจไม่ออก เขาจึงคว้ามีดอีโต้ขนาดใหญ่จากเรือนคนใช้วิ่งขึ้นไป
เมื่อไขกุญแจตู้โชว์ในห้องบรรทมไม่ได้ เขาจึงทุบกระจก แต่พอจะหยิบของในตู้วิรัชก็บอก

“มึงอย่ายุ่ง มึงไม่รู้หรอกว่าของอะไรมีค่าหรือไม่มีค่า กูจัดการเองแล้วจะแบ่งให้”

วิรัชกวาดของในตู้ใส่กระเป๋ากางเกงจนหมด ทั้งยังได้เงินจากในกระเป๋าไปปึกใหญ่ จากนั้นพยายามจะงัดตู้เซฟแต่ไม่สำเร็จและเกิดเสียงดัง วิรัชจึงบอกว่า

“งัดไม่ออกก็ไม่เอา แค่นี้ก็รวยแล้ว”

วิรัชไปล้างตัวที่เปื้อนเลือดแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกไปเรียกแท็กซี่โดยไม่มีจุดหมาย

วิรัชมีท่าทีดีใจมาก ควักเงินมาอวด คุยตลอดเวลาว่า

“กูเป็นเศรษฐีแล้วโว้ย มึงเห็นมั๊ย มึงจะกินอะไรบอก”

เขาจึงว่า “กูกินอะไรไม่ลงหรอก”

วิรัชว่า “มึงไม่ต้องกลัว กูเคยวางเพลิงมาแล้ว ยิ่งกว่านี้ยังบ่ยั่น”

จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ตระเวนกรุงไปตามแหล่งโสเภณี จนจบรายการเมื่อตีสาม มาส่งเขาที่ ร.ร.การเรือน ก่อนลงรถแสงได้ถามว่า

“ไหนเงิน แบ่งกูบ้างซี”

แต่วิรัชว่า “มึงอย่าเพิ่งเอา พรุ่งนี้เช้าเจอกันที่นี่ค่อยเอา”
รุ่งเช้าเขาออกมายืนคอยวิรัชจนเที่ยงก็ยังไม่มา รู้ว่าถูกหักหลังเสียแล้ว จึงขอยืมเงินนายเสงี่ยม ๑๐๐ บาท และพาเมียที่ฝากไว้บ้านนายเสงี่ยมไปพักบ้านนายถนอม บุญทัน ที่ซอยสวนอ้อย สามเสน ซึ่งเป็นญาติของนายเสงี่ยม

ตร.ถามถึงสร้อยสังวาลที่ปลดไปจากพระศอ นายแสงก็ว่าโยนทิ้งไว้หลังบ้านนายถนอมเพราะเห็นว่าเป็นของไม่มีค่า ตร.จึงให้พาไปบ้านนายถนอม นางยุพินภรรยานายถนอมบอกว่าสามีไม่อยู่ ไปทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์บางซื่อ เหตุที่ให้นายแสงกับเมียมาพักก็เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนนายเสงี่ยม ตร.ควานในน้ำครำหลังบ้านก็พบสังวาลฝังเพชรอันเป็นสร้อยพระศอจมอยู่ในเลน ส่วนในบ้านไม่พบอะไร

ตร.ตรวจสอบทะเบียนประวัติ ไม่พบนายแสง หอมจันทร์เคยต้องคดีมาก่อน จึงมุ่งไปที่นายวิรัชตัวการของคดีนี้

ส่วนนางเลี่ยม แสงจันทร์ ภรรยาของนายแสงให้การว่า เดิมเป็นหมอลำ นายแสงเป็นคนเป่าแคน เร่หากินไปได้เสียกันที่ศรีษะเกษ ต่อมางานฝืดเคืองแสงจึงมาหางานที่กรุงเทพฯ ตัวเองกลับไปอุบลฯ แสงมาทำงานกับพระนางและลากลับไปเกณฑ์ทหาร เมื่อไม่เป็นทหารก็รับเธอมาอยู่กรุงเทพฯด้วยโดยฝากไว้ที่บ้านนายเสงี่ยม แสงกลับไปทำงานกับพระนางอีก ส่วนนายวิรัชนั้นไม่เคยพบ ได้ยินแต่สามีเล่าให้ฟังว่าเป็นคนชำนาญกรุงเทพฯมาก คิดว่าน่าจะหลบอยู่ในกรุงเทพฯนี่เอง
แสงบอกรูปพรรณของวิรัชว่า มีแผลเป็นที่หน้าผากจากชายผมจนเกือบถึงคิ้วขวา ผิวเนื้อดำแดง รอบคอเป็นเกลื้อนเห็นเด่นชัด เจ้าหน้าที่จึงสเก๊ตรูปวิรัชจากคำบอกเล่าของแสงแจกจ่ายไปทั่ว

ตร.สืบทราบว่า ในวันเกิดเหตุวิรัชได้ไปตัดผมที่ร้านสุรีย์ สะพานขาว จึงไปสอบถามช่างได้ความว่า วิรัชให้เปลี่ยนทรงผมจากหวีเสยเป็นผมดัดลอน และยืนยันว่าแผลเป็นที่หน้าผากนั้นเริ่มจากตีนผมเฉียงมาทางหัวคิ้วขวา ทั้งยังบอกว่าวิรัชคุยจะไปบางแสน

ในที่สุด ตร. ก็ประกาศจับนายวิรัชโดยระบุรูปพรรณไว้ว่า

“นายเจริญ หรือ ดำ หรือ สูน หรือวิรัช หรือณรงค์ นามสกุล จันทะไพร หรือ กาญจนไพร มีตำหนิผิวค่อนข้างดำ หน้าเหลี่ยม ผมดำหยักศกเล็กน้อย หวีแสกซ้าย ศีรษะกลม หน้าผากกว้าง จมูกใหญ่และแฟบ ปากบางเล็ก คอใหญ่ ลูกกระเดือกแหลมโต คางกางเป็นเหลี่ยม ฟันขาวเลียบ หูแบนกลาง มือใหญ่ เสียงแตกห้าวมีสำเนียงอีสาน มีไฝที่แก้มซ้ายใต้คาง รอยสักที่หน้าอก บริเวณ ๒ แก้มและรอบคอมีรอยเกลื้อน เวลาเดินศีรษะส่ายไปมาพร้อมกัน สูงประมาณ ๑๗๐ ซม. ไม่แน่ชัดว่าบริเวณหน้าจะมีรอยแผลเป็นหรือไม่”

หลังจาก ตร.เจ้าของคดีประกาศรูปพรรณละเอียด ตร.ชลบุรีก็พบชายที่มีลักษณะใกล้เคียงหลายคน แต่เมื่อนำมาสอบแล้วต่างก็ไม่ใช่นายวิรัช จนวันที่ ๑๗ น. เศษของวันที่ ๑๑ กันยายน ตร.ประจันตคาม ปราจีนบุรี ก็พบชายคนหนึ่งเดินทอดน่องอยู่ในตลาด มีลักษณะใกล้เคียงกับที่ประกาศ จึงควบคุมตัวไว้ ชายดังกล่าวอ้างว่าชื่อ สมพงษ์ ชมดี ไม่ใช่วิรัช ตร.ค้นพบเงินติดตัวแค่ ๑๖ บาท จึงคุมตัวส่งมา สน.พญาไทให้พยานชี้ตัว

คนสำคัญที่ถูกนำมาชี้ตัวเป็นรายแรกก็คือ นายแสงผู้ร่วมกันก่อคดีโหดนั่นเอง ขณะนั้นถูกควบคุมตัวอยู่ในลหุโทษ พอรู้ว่าจับวิรัชได้ก็มีอาการคุ้มคลั่งหนักขึ้นพยายามฆ่าตัวตาย เจ้าหน้าที่แย่งอาวุธมาได้ก็หาเชือกมารัดคอตัวเองอีก จึงต้องดูแลตลอด แต่พอมาเผชิญหน้านายสมพงษ์ที่กองกำกับการ ๒ ชั้นบนของ สน.พญาไท นายแสงก็ร้องว่า

“ใช่แล้ว นี่แหละนายวิรัช”

จากนั้นก็รำพรรณถึงความหลังที่เคยร่วมงานในพระตำหนักลักษมีวิลาศด้วยกันมา กินข้าวหม้อเดียวกัน อาบน้ำใช้สบู่ก้อนเดียวกัน น่าจะยอมรับเสีย ทำเอานายสมพงษ์ยืนเซ่อ บอกว่าเขาไม่เคยอยู่กรุงเทพฯ อยู่แต่บ้านสร้าง แสงยังต่อว่าที่กวาดเงินและสมบัติไปหมดไม่ยอมแบ่ง ทำให้เขายืนคอยเก้อ
สมพงษ์ยืนฟังนายแสงพล่ามอย่างงงๆ แล้วร้องอย่างหงุดหงิดว่า “กูบ่ฮู้จักมึง!”

นายแสงก็ไม่ยอมจำนน บอกตำรวจให้เปิดดูที่พุงนายสมพงษ์ จะมีรอยสักอยู่ทั้งด้านซ้ายด้านขวา ตร.เข้าไปเลิกเสื้อเปิดดู ก็เห็นรอยสักตามที่นายแสงว่า นายแสงยังรุกฆาตต่อไปอีกว่า

“ถอดกางเกงมันออกดูซี จะเห็นแผลเป็นที่โคนขาขวา”

ตร.ก็เข้าไปถอดตามสั่ง แล้วก็พบแผลเป็นตามที่นายแสงว่า ทำเอานายสมพงษ์หน้าเผือดร้องลั่นว่า

“กูบ่ฮู้...มึงใส่ความกู!”

แสงยังรุกต่อไปอีกว่า

“บุหรี่ที่มันสูบยี่ห้อรวงข้าว ผมเคยขอมันสูบ ค้นดูซี ใช่มั๊ย”

เมื่อ ตร.เข้าไปล้วงกระเป๋ากางเกงนายสมพงษ์ ก็เจอซองบุหรี่รวงข้าวจริงๆ ทำเอานายสมพงษ์เดือดดาลร้องลั่นว่า

“มึงใส่ความกู...มึงใส่ความกู”

นายตำรวจผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ดูการชี้ตัวครั้งนี้ ต่างฟันธงกับนักข่าวเลยว่า

“ใช่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์”

ส่วนคนดูที่มุงกันแน่น สน.พญาไท ต่างก็พนันกันเป็นที่สนุกสนานว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่

จากนั้นคนที่เคยเห็นตัวนายวิรัชขณะทำสวนอยู่ในพระตำหนักลักษมีวิลาศ ต่างถูกนำมาชี้ตัวนายสมพงษ์ ซึ่งก็มีทั้งยืนยันว่าใช่และไม่ใช่ หรือไม่ค่อยแน่ใจ แต่นางหมุน ซึ่งเคยเป็นเมียนายวิรัช ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าไม่ใช่ผัวเธอแน่ ในที่สุด ตร.ก็ต้องสรุปว่า “ไม่ใช่” ทำเอานายตำรวจใหญ่ที่ฟันธงไปว่า ๙๙ เปอร์เซ็นต์ต้องหลบฉากไป

นักข่าวยังไม่หายสงสัยกับการชี้ตัวของนายแสง ที่มองทะลุปรุโปร่งจนเห็นรอยสักและแผลเป็นในร่มผ้า จึงหาทางสอบถามจากนายสมพงษ์ ซึ่ง“แพะ”รายนี้ก็ “ฟันธง” เลยว่า

“ก็ตำรวจน่ะซีบอกมันให้พูดปรักปรำผม เค้าจับผมแก้ผ้าค้นตั้งแต่ประจันตคามแล้ว ก็คงบอกให้มันพูดไปตามนั้น”

ส่วนนายแสงเมื่อถูกนักข่าวถามเรื่องนี้ ก็อ้อมแอ้มตอบแต่เพียงว่า

“เอาใครมาให้ผมชี้ ผมก็ชี้ทั้งนั้นแหละ ถ้าจับนายวิรัชได้โทษผมจะได้เบาลง ผมกลัวถูกยิงเป้า”

ตร.ยังติดตามหาคนที่รู้จักวิรัชมาหาข้อมูลต่อไป มหาบำรุง จันทร์มา วัดม่วงแค เป็นอีกรายที่ ตร.ขอสอบปากคำ เพราะทราบว่าวิรัชไปหาบ่อยๆ มหาบำรุงว่าวิรัชแวะมาเสมอ มานอนเล่นที่วัดบ้าง มาเล่นหมากฮอสกับคนในวัดบ้าง บางวันไม่มีเงินก็ขอเงินพระกลับ เด็กวัดยืนยันว่าหลังเกิดเหตุก็มา มหาบำรุงยังบอกอีกอย่างที่ ตร.ปิดเป็นความลับในตอนนั้นว่า วิรัชเคยบอกอยากทำงานในไร่อ้อย อาจจะหนีไปทางชลบุรี
หลังจากได้พบมหาบำรุง พล.ต.อ.ประเสริฐ รุจิรวงศ์ รอง อตร.ได้เรียกประชุม ตร.ที่ทำคดีนี้จนถึงตี ๔ จากนั้น พ.ต.ท.วิเชียร แสงแก้ว ผู้กำกับสืบสวนสอบสวนนครบาลเหนือ จึงได้คุมกำลังมุ่งไปชลบุรีทันที

ในวันที่ ๑๕ กันยายน ตร.โดยการนำของ พ.ต.ท.วิเชียร ร่วมกับ ตร.ชลบุรี ได้เข้าล้อมหมู่บ้านในเขตบ้านบึง โดยมีนายฉลอง งามสม ผู้ใหญ่บ้านนำทาง ค้นไร่อ้อยไร่มันตั้งแต่ซากแง้วไปตลาดหัวกุญแจก็ไม่ได้วี่แวว จนค่ำจึงออกหาข่าว รุ่งเช้า ตร.ก็ปลอมตัวเป็นชาวไร่ในชุดดำเข้าไปที่โรงงานเพาะเชื้อน้ำตาล “ซุ่นยู่ฮวด” หมู่ ๔ ตำบลคลองกิ่ง อำเภอบ้านบึง ห่างตัวอำเภอ ๒๐ กม.

จน ๑๒ น.หยุดพักกลางวัน กรรมกรตัดอ้อยกลับเข้ามากินข้าวที่โรงงาน ตร.ได้สอดส่ายหาคนที่มีลักษณะเหมือนวิรัช จนพบกรรมกรคนหนึ่งอยู่ในชุดเสื้อโปโลสีขาว กางเกงขายาวสีน้ำตาล มีเกลื้อนเต็มคอ นอนหลับอยู่ด้านเหนือของโรงงาน จึงสะกิดให้ตื่น พ.ต.ท.วิเชียรเป็นผู้ถามว่า

“ลื้อชื่อวิรัชหรือเริญ ใช่มั้ย ?”

ชายผู้นั้นอึ้งอยู่พัก ก่อนจะตอบว่า “ใช่ครับ”

พ.ต.ท.วิเชียรถามอีกว่า “เรื่องนั้น ลื้อรับมั๊ย ?”

ตร.ต่างถอนหายใจโล่งอกไปตามกัน เมื่อได้ยินเขาตอบชัดถ้อยชัดคำว่า

“รับครับ ผมฆ่าพระนางเอง”

“ลื้อเอาของไปไว้ที่ไหน?” พ.ต.ท.วิเชียรซักอีก
วิรัชไม่ตอบ ลุกขึ้นเดินไปที่กองชานอ้อยข้างโรงอบ ล้วงมือเข้าไปตรงมุมกอง ดึงห่อผ้าเช็ดหน้าลายเขียวสลับขาวส่งให้เป็นคำตอบ เมื่อแก้ดูก็เห็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้ง ๕ ชิ้น

“ของผมที่ได้มาเท่านี้ครับ” วิรัชบอก

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้ง ๕ ประกอบด้วย ๑. เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก ฝังเพชร ๒.เหรียญเฉลิมพระนคร ๑๕๐ ปี ฝังเพชร ๓. เหรียญเงินสลักรูปเสือ ประดับอักษร “ว.ร.ร.” ๔. เครื่องราชอิสริยาภรณ์จตุถาภรณ์ช้างเผือก ประดับเพชร มีพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. และ ๕. เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีฝังเพชร

วิรัชผู้เป็นบุคคลหลายชื่อ มีชื่อใหม่ในการทำงานครั้งนี้อีกว่า “นพ” เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ ๗ กันยายน ได้ค่าแรงวันละ ๘ บาท

ระหว่างทางถูกควบคุมตัวเข้ากรุงเทพฯ วิรัชยอมรับว่า

“ผมฆ่าพระนางจริง แต่ไอ้แสงเป็นคนชวน”

วิรัชว่าใครๆก็หาว่าเขาหน้าบาก แต่ความจริงไม่มีเลย ทำให้เขาโล่งใจ ในวันที่ ๓ กันยายนซึ่ง น.ส.พ.เสนอข่าว เขายังมายืนดูอยู่หน้าพระตำหนักด้วย เห็นตำรวจคึกคักเขาก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะตอนนั้น ตร.รู้แต่ชื่อปลอมว่าวิรัช จนต่อมาชื่อจริงว่าเจริญถูกเปิดจึงคิดหนี เมื่ออยู่กรุงเทพฯไม่ได้เพราะไม่มีเงินจึงไปชลบุรี ได้ข่าวว่าแสงปรักปรำเขามากจึงแค้น อยากจะกลับมามอบตัวเปิดเผยความจริง แต่เงินหมดไม่มีค่ารถ จึงไปหานายคำพัน พันนะโยชน์ คนร้อยเอ็ดด้วยกัน ขอยืมเงิน ๕๐ บาท แต่นายคำพันไม่มีและกำลังป่วย จึงฝากเขาเข้าทำงานในโรงงานซุ่นยู่ฮวด ว่า ๗ วันจ่ายเงินที เขาจึงไปทำงานหาค่ารถ วันนั้น ครบ ๗ วันพอดี ตอนเช้าได้บอกหัวหน้างานไว้แล้วว่าขอลาออก ช่วยคิดเงินให้ด้วย ก็พอดีตำรวจมาจับ

วิรัชถูกนำตัวมาให้คนรู้จักและพระประยูรญาติชี้ตัว แต่วิรัชบอกว่า “ไม่ต้องชี้หรอกครับ ผมวิรัชแน่ และผมก็รับสารภาพไปหมดแล้ว” ซึ่งทุกคนก็รับว่าใช่เขาแน่

วิรัชให้การเปิดเผยหมดทุกอย่าง ว่าชื่อจริงของเขาคือ เจริญ การจานะไพร อยู่บ้านหนองบัวใหญ่ ต.พนมไพร อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ในวันที่แรกที่นายทวี คนเคยทำงานที่พระตำหนักนัดให้ไปสมัครงานนั้น เขาไปตามนัดแต่ฝนตกพอดีหาพระตำหนักไม่พบ จะถามใครก็มีแต่คนวิ่งหนีฝนจึงกลับ รุ่งขึ้นวันที่ ๒๔ กันยาไปอีกอ้างว่าที่นัดไว้เมื่อวันวาน พระนางก็รับเข้าทำงานในอัตราเงินเดือน ๑๕๐ บาท พอ ๔ โมงเย็นวันนั้น นายแสงก็มากดกริ่ง พระนางรับสั่งว่าแสงเคยทำงานที่พระตำหนักมาก่อนแต่ให้ออกไป ตอนนี้คงไม่มีงานจึงเซมาอีก ซึ่งพระนางก็รับไว้ มอบหน้าที่ให้กวาดสวน ตัดหญ้า รดน้ำต้นไม้ เช่นเดียวกับเขา จึงได้พบนายแสงครั้งแรกในวันนั้น ส่วนสุนีย์ เป็นคนทำความสะอาดภายในพระตำหนักและหุงข้าว สมใจเป็นคนจ่ายกับข้าว

ในวันเกิดเหตุคือ ๒๙ สิงหาคม สุนีย์กับสมใจได้ลาออกไปแล้ว จึงเหลือแต่แสงกับเขา แสงซึ่งเคยทำงานกับพระนางมาก่อนบอกว่าพระนางมีเงินและทรัพย์สมบัติมาก ในวันที่ ๒๘ สิงหาเวลาราว ๑๒ น. ขณะที่ วิรัชกำลังกวาดเรือนคนใช้ แสงเข้ามาชวนว่า

“ถ้ามึงฆ่าให้ตายมึงจะได้สมบัติ มึงเอามั้ย ?”

เขาก็ตอบเพียงว่า “เออ”

ในวันที่ ๒๙ สิงหา ตอนเช้า ขณะที่วิรัชเข็นรถตัดหญ้าญี่ปุ่นอยู่ แสงเข้ามาบอกว่า

“วันนี้ลงมือนะ ปลอดคนแล้ว พระนางจะปรุงอาหาร กูจะไปรับใช้อยู่หน้าประตู มึงไปตัดหญ้าแปลงหน้าพระตำหนักจะได้มองเห็นกัน พอกูพยักหน้ามึงก็จัดการได้เลย”

“เออ” วิรัชตอบ

ราว ๑๓ น. พระนางลงมาจากพระตำหนัก ทรงปรุงพระกระยาหารด้วยพระองค์เอง แสงเข้าไปรับใช้หน้าประตูด้านหลัง วิรัชผละจากเครื่องตัดหญ้าไปหยิบชะแลงที่บนโต๊ะหน้าเรือนคนใช้มานั่งยองๆพรวนดินที่แปลงปลูกบัวบก มองเห็นแสงถนัด แต่พระนางกลับขึ้นพระตำหนักก่อน แสงจึงผละมาที่วิรัช บอกว่า

“คนข้างนอกผ่านไปมาเยอะ แล้วพระนางระวังตัวด้วย ต้องรอให้เหมาะกว่านี้”

๑๓ น.เศษพระนางลงมาจากพระตำหนักอีก มีพระประสงค์จะปลูกมะละกอในที่ว่างหลังสวน พระนางวางกระเป๋าหวายที่ใส่เงินสดและพระแสงปืนไว้ข้างพระกาย ทรงชี้ให้แสงขุดหลุม แล้วเสด็จมาประทับดูต้นเฟิร์นในกระถางข้างๆวิรัชที่ถือชะแลงพรวนดิน

“แกเป็นพวก...หรือเปล่า?” รับสั่งถาม

“เปล่าครับ” วิรัชตอบ

“พวก...หรือเปล่า?”

“เปล่าครับ” วิรัชตอบแล้วก็เหลือบไปเห็นแสงหยิบขวานที่ใช้ตัดกิ่งไม้มากระชับมือ

“ดีแล้ว...มันมาอยู่ในวังทำไม คนโกหกไม่ชอบ”

ทรงบ่นอีก ๒-๓ คำ แล้วจึงย้ายมาประทับยองๆข้างแสงหันหลังให้วิรัช แสงสบตาวิรัชแล้วดีดนิ้วเป็นสัญญาณ ทันใดนั้นเองวิรัชก็คว้าชะแลงลุกขึ้นยืนจังก้าด้านพระปฤษฎางค์ เงื้อชะแลงแล้วฟาดลงมาเฉียงๆ

“มีเสียงดังโพล๊ะ เข้าใจว่าถูกพระเศียร” วิรัชบรรยาย

เขาหวดซ้ำไปอีก ๒ ที พระนางฟุบพระพักตร์ลงบนบุ้งกี๋ที่วางอยู่ตรงหน้า แสงตรงเข้ามาเงื้อสันขวานสับลงที่พระศออีก ๓ ครั้ง แล้วทั้งคู่ก็ยืนหอบด้วยความตื่นเต้น

วิรัชได้สติวิ่งเข้าไปในพระตำหนัก จัดการปิดหน้าต่างชั้นล่างห้องรับแขก โดยเกรงว่าคนข้างนอกจะมองเข้ามาเห็น แล้วรีบกลับมาที่พระศพ ช่วยกับแสงพลิกหงายและหามไปไว้ที่ซอกข้างเรือนคนใช้กับโรงรถ โดยแสงจับพระเศียรวิรัชจับพระบาท มาได้ครึ่งทางก็ถึงพื้นซีเมนต์ วิรัชทิ้งศพให้แสงลากไปคนเดียว เขาวิ่งไปใส่กลอนประตูรั้วพระตำหนัก

ทั้ง ๒ ปราดเข้าไปในพระตำหนัก วิรัชไม่ลืมที่จะหยิบกระเป๋าหวายที่ทรงทิ้งไว้ในสวน หยิบเงินสดและพระแสงปืนแล้วจึงโยนกระเป๋าทิ้ง เอากุญแจไขประตูตู้ไม้ในห้องบรรทมแต่ไขไม่ออก ไม่ได้เฉลียวใจว่าตู้ไซด์บอร์ดข้างพระแท่นบรรทมทรงซ่อนตู้เซฟไว้จึงไม่ได้ไขกุญแจเปิด หันมาช่วยกันทุบตู้กระจกที่ตั้งโชว์เครื่องราชอิสริยาภรณ์ แสงหยิบไปได้ ๓ ชิ้น วิรัชคว้ามาได้ ๕ ชิ้น เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไร จึงลงจากพระตำหนักเก็บข้าวของส่วนตัวเตรียมหนี กระจกตู้โชว์บาดมือแสงเลือดไหลจึงไปเช็ดไว้ที่มุ้งแล้วตลบขึ้นปิดไว้ วิรัชบอกว่า

“มึงออกไปก่อน เดี๋ยวกูจะเอากุญแจไปใส่ประตูหน้าไว้ ใครมาหาจะได้เข้าใจว่าพระนางไม่อยู่ เขาจะได้ไม่กดกริ่งและจะได้ไม่กล้าเข้า”

จากนั้นทั้ง ๒ ก็ออกมาเรียก ๓ ล้อเครื่อง ทีแรกบอกให้ไปโรงแรมหลานหลวง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจให้ไปโรงแรมรองเมือง แต่ห้องเต็มเลยบอกให้ไปโรงแรมเม่งแซ ข้างโรงหนังกรุงเกษม เข้าพักที่ห้องหมายเลย ๖ เมื่อเวลา ๑๗ น. วิรัชลงทะเบียนว่า นายดำ ศรีชัย บ้านอยู่อุบลราชธานี

ทั้ง ๒ เอาทรัพย์ที่ได้ออกมาวางกองบนที่นอน โดยแบ่งออกเป็น ๒ กอง กองหนึ่งมีเงิน ๑๐๐ บาท ส่วนอีกกองมีเงิน ๓๐ บาทพร้อมกับปืน หลังจากจ่ายค่าโรงแรมไปแล้ว ๒๐ บาท วิรัชจะเอากองเงิน ๑๐๐ บาทแต่แสงไม่ให้ เลยต้องเอาเงิน ๓๐ บาทกับปืนพก จากนั้นก็ออกจากโรงแรมในเวลา ๑๘ น.เศษ แสงเรียกแท็กซี่ไปหาเมียที่ ร.ร.การเรือน วิรัชขออาศัยมาลงที่สะพานขาว แยกกันที่หน้ากรมประชาสงเคราะห์ โดยวิรัชเป็นผู้กล่าวลาเพื่อนที่เพิ่งร่วมก่อคดีโหดสยองขวัญแต่เพียงว่า

“ลาก่อน...หิวข้าวจังเลย”

จากนั้นก็ตรงไปที่ร้านแซบอีหลี แล้วไปรับเมียที่โรงงานแก้วใกล้ๆกัน กลับไปบ้านที่ตรอกข้างทางรถไฟใกล้วัดพระยายัง ซึ่งเป็นห้องเช่าราคาเดือนละ ๘๐ บาท รุ่งขึ้นจึงมาที่ร้านตัดผมสุรีย์ ข้างกรมประชาสงเคราะห์ที่เคยไปเล่นหมากฮอสเป็นประจำ และขายปืนให้แก่นายพวง นิลงาม ช่างตัดผมไปในราคา ๓๐๐ บาท

เจ้าหน้าที่ได้พาวิรัชไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพถึง ๘ แห่งทั่วกรุงเทพฯ จึงเกิดโกลาหลไปทั่วเพราะเกิดขบวนติดตามดู และบางแห่งก็เกิดเป็นเรื่องฮา

ในเรื่องพระแสงปืนประจำพระองค์ซึ่งวิรัชนำไปขายให้ช่างตัดผมในราคา ๓๐๐ บาท เจ้าหน้าที่ได้นำวิรัชไปทำแผนที่ร้านสุรีย์สะพานขาว นายพวง นิลงามคนที่รับซื้อให้การว่าได้ขายต่อให้นายชิ้น สว่างอารมณ์ อยู่ประตูน้ำไปแล้ว เมื่อเจ้าหน้าที่ตามไปพบ นายชิ้นก็บอกว่าขายต่อให้นายหมัดหรือณรงค์ ปลื้มสุข ที่คลอง ๑๓ ธัญบุรี ปทุมธานีไปอีก จึงตามไปธัญบุรียึดของกลางกลับคืนมาได้ ส่วนนักซื้อขายทั้ง ๓ รายนี้ต่างก็ได้รับข้อหา “รับซื้อของโจร” ไปถ้วนหน้า

ขบวนทำแผนประกอบคำรับสารภาพได้นำวิรัชไปที่ห้องหมายเลย ๖ โรงแรมเม่งแซ แต่ไปแบบจู่โจมโดยไม่ได้บอกให้รู้ล่วงหน้า พอไปถึงก็เคาะประตูหมายเลขที่ ๖ ซึ่งมีคนพักอยู่ มีเสียงคนอึกอักอยู่ข้างในแต่ไม่ยอมเปิด ตร.ก็เคาะจนประตูจะพังจึงมีผู้หญิงนุ่งกระโจมอกโผล่ออกมา พอเห็นเป็นตำรวจกลุ่มใหญ่ก็ยิ้มแหยบอกว่า

“หนูเปล่าค่ะ” ซึ่งก็ไม่รู้ว่า “เปล่า” อะไร

จากนั้นก็มีผู้ชายนุ่งเพียงกางเกงใน กระมิดกระเมี้ยนออกมาแล้วหลบไปทางหลังโรงแรม

ในวันที่ ๑๙ ตุลาคม เจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ๘ ชิ้นที่เป็นของกลางไปให้กองปกาสิต สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตีราคา ปรากฏว่าเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ๓ ชิ้นที่แสงนำไป ตีราคาได้ ๔๕,๐๐๐ บาท ส่วนอีก ๕ ชิ้นที่วิรัชนำไปตีราคา ๒๐,๓๒๐ บาท

ในวันที่ ๑๒ ตุลาคม ตร.ได้นำตัว ๒ ผู้ต้องหาไปขอฝากขังกับศาลทหารต่ออีก ๑๒ วัน แล้วส่งตัวเข้าลหุโทษไป จากนั้นข่าวฆาตกรรมพระนางเธอลักษมีลาวัณ ซึ่งพาดหัว นสพ.รายวันติดต่อมาตลอดตั้งแต่วันที่ ๓ กันยายน ก็ขาดหายไปตั้งแต่วันนั้น ฆาตกรทั้ง ๒ ก็ถูกศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตชดใช้กรรมที่ทำไว้

ข่าวนี้นับเป็นเรื่องสยองขวัญที่สุดในยุคนั้น ที่ฆาตกรผู้โหดเหี้ยมกระทำต่อสตรีสูงอายุผู้เคยดำรงพระอิสริยยศสูงสุด และเคยเป็นสุดที่รักของล้นเกล้าฯรัชกาลที่ ๖
วิรัชแสดงท่าปลงพระชนม์
วิรัชยิ้มเหมือนไม่วิตกว่าทำอะไรลงไป


ผู้คนเฝ้าดูฆาตกรแน่นโรงพักพญาไท
กำลังโหลดความคิดเห็น