xs
xsm
sm
md
lg

"จราจรมือปราบ - ส.ต.ต.เสกสรรค์ ภูเขียว" เขามากอบกู้ภาพลักษณ์ตำรวจ!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ถูกแชร์อย่างกว้างขวางสำหรับคลิปการเข้าจับกุมคนร้ายซุกซ่อนยาไอซ์แหกด่านของสิงห์ตำรวจสังกัด สภ.อ.บ้านหมอ ที่ระทึกและชวนให้ลุ้นตัวโก่ง ไม่ต่างไปจากหนังแอ็กชั่นฮอลลีวูด

ตำรวจมือปราบ "Police chased the culprit"
หรือ “The Fast and Furious”
คือฉายานามที่ถูกหยิบยกมาเรียกขาน “ส.ต.ต.เสกสรรค์ ภูเขียว” ตำรวจหนุ่มวัย 29 ปี พร้อมกับคำสรรเสริญในความกล้าหาญของการปฏิบัติหน้าที่

จากเด็กช่างสู่นักจิตวิทยาก่อนจะจับพลัดจับผลูมาเป็นตำรวจ แม้จะไม่ได้ตั้งใจแต่แรก แต่เมื่อย่างก้าวเข้ามาแล้วก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดชีวิต ในการจับเหล่าร้ายมาลงโทษ...

กำเนิดตำรวจพันธุ์ใหม่
“หัวใจ” ไฮเทค

“ผมเกิดที่จังหวัดเชียงราย แล้วพ่อแม่ก็ย้ายมาอยู่นครสวรรค์ เพราะมีที่มีทางและมีบ้านเช่าที่นั่น เป็นห้องแถวประมาณ 6-7 ห้อง แต่บังเอิญตอนนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดี พ่อแม่ผมก็เลยต้องย้ายไปทำงานก่อสร้างที่ชลบุรี ช่วงนั้น ผมประมาณ ป.1 ได้ ไปอยู่ได้สักปีหนึ่ง พ่อแม่ก็ย้ายกลับมาอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์อีก ก็ไปเรียน ป.2 ที่นั่น ทีนี้พอ ป.3 พ่อแม่ผมก็ไปซื้อสวนกาแฟที่ชุมพร ผมก็ต้องย้ายอีก ตอนนั้นก็ไปช่วยพ่อแม่ปลูกต้นกาแฟ กระทั่งเรียนจบชั้น ป.6 พ่อแม่เลิกกัน แม่ไปอยู่สระบุรี พ่อก็ส่งผมไปอยู่กับลุงที่บุรีรัมย์ เรียน ม.ต้นที่นั่น แล้วบังเอิญที่บ้านลุงมีค่ายมวย ผมก็เลยได้ฝึกวิชามวยกับแกที่ค่าย ก็เลยมีวิชาติดตัวในส่วนนี้มา”

“แต่ยังไม่มีแววเป็นตำรวจ แค่มีทักษะหน่อย”
ตำรวจหนุ่มบอกกล่าวถึงช่วงชีวิตในวินาทีนั้นที่ตราผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยังไม่ปรากฏ

“ก็ได้ทักษะมวยป้องกันตัว ทีนี้พอเรียนจบ ม.3 ก็ย้ายมาอยู่กับแม่ที่สระบุรี เรียนช่างไฟอาชีวะ ปวช.1-2-3 เพราะผมชอบประดิษฐ์อะไรเล็กๆ น้อยๆ อยู่แล้ว อะไรที่มันเสียผมก็แกะดู เสียตรงไหน พอจบจากตรงนั้นผมก็เข้าไปเรียนกรุงเทพฯ คณะศึกษาศาสตร์ สาขาจิตวิทยา ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง

“ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ทำงานช่างไฟอยู่ที่ห้างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ สาขาแฟชั่นไอส์แลนด์ แต่ก็ไม่ได้ซ่อมไฟอย่างเดียว ซ่อมทุกอย่างเลย เพราะพนักงานเขาทำไม่เป็น คอมพิวเตอร์เสีย ท่อน้ำตัน ท่อน้ำระเบิด ไฟไม่ติด เราก็ซ่อม ผมก็เลยมีวิชาซ่อมอะไรพวกนี้ติดตัว กลางคืนทำงาน กลางวันก็ไปเรียน หมุนเวียนอย่างนี้ประมาณ 3-4 ปีจนเรียนจบ

“ในระยะนั้นยังไม่ได้รับปริญญา เพราะต้องเว้นไว้ปี 1 ผมก็เลยไปสมัครทหารเกณฑ์ที่ผ่อนผันไว้ตอนเรียน ก็ไปเป็นอยู่ 1 ปี ได้ฝึกการใช้อาวุธ ใช้ปืนยาว ระบบระเบียบ แล้วก็สมัครใจลง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำอยู่ที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา

“คือผมคิดไม่เหมือนใคร คนอื่นไปได้ ผมก็ต้องไปได้ ก็ไปอยู่ที่นั่น พอปลดทหารช่วงนั้นจังหวะที่ราคายางมันสูงด้วย ที่บ้านผมก็มีสวนยางประมาณ 15 ไร่ ก็ไปช่วยพ่อกรีดยาง รายได้ตกอาทิตย์ประมาณ 7-8 พันบาท ถ้าทำต่อไปเรื่อยๆ ก็เป็นนายหัวได้เลย (หัวเราะ) แต่ในระหว่างนั้นก็มีชาวบ้านพูดกันว่า เราจบปริญญาตรีมาแล้วมากรีดยางทำไม บวกกับเสียงด่าของลุง เพราะลุงคุยกับผมทุกครั้ง เขาก็จะว่า...มึงจบปริญญาตรีมา จะกรีดยางได้ไง มึงไม่หาสมัครอาชีพที่มันมั่นคงหน่อย พูดกรอกหูเราบ่อยๆ บังเอิญจังหวะนั้นไปเห็นข่าวตำรวจเปิดรับสมัครสอบพอดี ผมก็เลยไปสมัครสอบตำรวจ แต่ก็ไม่ได้ไปติวไม่ได้ไปกวดวิชาอะไร ก็ไปสอบ ปรากฏว่าติดเฉย เลยจับพลัดจับผลูมาเป็นตำรวจ”

ด้วยตำแหน่งผู้บังคับหมู่งานป้องกันและปราบปราม ปฏิบัติหน้าที่จราจร ประจำสถานีตำรวจภูธรบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี

“ก่อนหน้านี้ ผมมองตำรวจอีกอย่าง คือเราเป็นประชาชน เราก็มองตำรวจธรรมดา ตำรวจก็ต้องจับโจร ก็ต้องตั้งด่าน บางทีก็ไม่ชอบขี้หน้าด้วยซ้ำ พอมาเป็นเองเราเข้าใจเลยว่า ตำรวจทำงานหนักมาก ไม่ได้พูดเข้าข้างตำรวจเอง แต่ตำรวจก็ต้องรู้ทุกอย่าง ประชาชนถามกฎหมายก็ต้องรู้ ประชาชนถามโน่นนี่ ตำรวจก็ต้องรู้ และเวลามีเหตุการณ์อะไร จะเฉยเมยไม่ได้ มีเหตุเราต้องเข้าไปช่วย แม้ว่าออกเวร เราก็ต้องไปช่วย มันเป็นหน้าที่ของเรา ก็เลยเข้าใจว่าตำรวจต้องเสียสละหลายสิ่งอย่าง เสียสละส่วนตัว อย่างเทศกาลปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์ คนอื่นเขาไปเที่ยวกัน เราต้องปฏิบัติงาน

“เมื่อก่อนที่ผมเป็นประชาชน ผมไม่ชอบอย่างไร ผมก็ไม่ทำ ผมเป็นประชาชนเคยโดนตำรวจเรียกตรวจแล้วพูดกระโชกโฮกฮาก ผมก็ไม่ทำ ถ้าเกิดผมไม่ชอบอะไรผมก็ไม่ทำอย่างนั้น”

นายตำรวจหนุ่มบอกกล่าวถึงลักษณะการปฏิบัติของตนที่ยึดมั่น ก่อนจะเล่าถึงคลิปเหตุการณ์ไล่จับกุมคนร้ายอันโด่งดังที่ใครต่อใครต่างขนานนาม มือปราบ “The Fast and Furious” เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์

“พอคลิปออกไป พ่อก็มีโทร.มาแซว เป็นไงล่ะฮีโร่ (หัวเราะ) แกก็บอกว่าปฏิบัติหน้าที่ก็ระมัดระวังด้วยนะ อะไรที่มันเสี่ยงๆ ก็อย่าไปลุยมาก แกก็ฝากเตือน ส่วนแม่ปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นเลยนะ ท่านเห็นคลิปเห็นอะไร ก็ธรรมดา เพราะว่าเราทำอย่างนี้เป็นปกติอยู่แล้ว พอกลับบ้าน ผมก็ชอบไปเล่าให้แม่ฟังว่า วันนี้ผมไล่มอเตอร์ไซค์อย่างนั้นอย่างนี้ วันนี้ผมไปทำอะไรๆ ผมก็ไปเล่าให้แกฟัง

“ถามว่ากลัวไหม ไม่กลัวนะ เพราะก่อนจะทำอะไร เราต้องมั่นใจในฝีมือของเราก่อน ทักษะของเราก่อน ไม่ใช่ว่าขับรถไม่เป็นแล้วไปขับเร็วๆ อย่างนั้น มันอันตรายแน่ แต่ที่ผมขับเร็วๆ อย่างนั้น ส่วนหนึ่งผมคิดว่าผมขับเร็วได้ เพราะผมมีทักษะ เมื่อก่อนตอนสมัยเรียนที่กรุงเทพฯ ผมขับมอเตอร์ไซค์ไปเรียนก็ต้องซอกแซกไปเรื่อยๆ หลบนั่นนี่ หลบกระจก หลบรถใหญ่บ้าง มันก็เลยติดได้ทักษะตรงนี้มาในการขับรถ ก็เลยไม่กลัว และผมโชคดีที่ผมมีผู้บังคับบัญชาที่ดี ท่านคอยสั่งการตลอดเหตุการณ์ ผู้บังคับบัญชาคอยอยู่เคียงข้าง แล้วก็มีทีมงานที่สนับสนุน ทีมงานจราจร อย่างที่เห็นในคลิป พอผมจอดรถ ทีมงานจะมาถึงเลย นั่นแหละครับ มีทีมงานสนับสนุน ทำให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ เราทำได้เต็มที่

“ก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างนี้ปกติทุกครั้ง คือเมื่อก่อนก็มีการไล่ล่าอย่างนี้ แต่ไม่มีคลิปออกมา แต่ก่อนผมก็เคยไล่รถมอเตอร์ไซค์ไปไกลเหมือนกัน ข้ามอำเภอก็เคย ไล่ไปจับเด็กแว้นที่ทำผิดกฎหมายมาได้ เจ้าหน้าที่ทุกคนก็ทำกันอย่างนั้น เพียงแต่มันไม่มีภาพไม่มีสื่ออะไรออกไป ก็เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนทำอะไรไม่ค่อยเหมือนใครอยู่แล้ว สมมติว่าคนอื่นเขาเคยทำอย่างโน้นอย่างนี้ ในใจผมจะตั้งคำถามว่าทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย เราทำอย่างอื่นที่มันดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ เช่น สมมติตำรวจเคยทำชีวิตประจำวันอยู่อย่างนี้ ในใจผมก็คิดว่าผมซื้อกล้องมาติดไม่ได้หรือ ทำไมคุณต้องทำอะไรแบบเดิมๆ ชีวิตคุณไม่เปลี่ยน คุณเปลี่ยนไปที่มันดีกว่าเดิมไม่ได้หรือ หรืออย่างเราเคยเดินทางเข้ากรุงเทพฯ คุณเคยเดินเส้นทางนี้มา ผมก็คิดว่าอ้าวไปทางอื่นไม่ได้เหรอ นั่นแหละ ผมไม่ชอบคิดเหมือนใคร ชอบคิด ชอบตั้งคำถาม แต่ไม่ได้ค้านไปทุกเรื่อง อะไรที่มันดีกว่าและสัมฤทธิผลกว่า ผมก็ไม่ขัดแย้ง”

มุ่งมั่นปั้นภาพลักษณ์
ไฮเทค และโปร่งใส

“ผมก็เอากล้องมาติด ก่อนติดก็ไปปรึกษาผู้บังคับบัญชาว่า ถ้าผมจะเอากล้องมาติดเพื่อที่จะเสริมภาพลักษณ์ของตำรวจให้ดีขึ้น เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบว่าตำรวจจราจร ไม่ได้จับหมวกกันน็อกอย่างเดียว เพราะบางคนบอก.. “ตั้งด่านจับหมวกอีกแล้ว” “จับใบขับขี่อีกแล้ว” ก็เลยอยากจะให้ประชาชนรู้ว่ามีอย่างอื่น มียาเสพติด มีอาวุธปืนที่เราจับได้ มีอย่างอื่นที่ประชาขนยังไม่รู้ จะได้ไปเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กรของเรา ซึ่งผู้บังคับบัญชาก็อนุญาต ให้ติดได้ เพราะไม่ได้มีระบ่งระเบียบว่าติดไม่ได้ ท่านก็ให้คำปรึกษามา ผมก็เลยซื้อมาติด

“ก็ติดประมาณกลางเดือนมกราคม ต่อมาได้ประมาณเดือนกว่าๆ 2 เดือนนี่แหละครับก่อนเกิดเรื่อง ก่อนหน้านี้ตอนที่ติดก็มีประชาชนมองอย่างสงสัย ตำรวจติดกล้องด้วยเหรอ ประชาชนก็ถาม เพราะว่ามันเป็นเรื่องใหม่ ไม่ใช่ว่าผมกลัวประชาชนนะ ผมไม่ได้กลัว ผมแค่แสดงความบริสุทธิ์ใจในการทำงาน คือมีกล้อง ประชาชนก็อุ่นใจ มั่นใจว่าเราไม่ได้ทำอะไรผิดแน่นอน

“หลักๆ ก็เกิดจากความชอบส่วนตัว เมื่อก่อนผมประกอบคอมพิวเตอร์เองเลยนะ ซื้อแรม ซื้อเมนบอร์ด ซื้อฮาร์ดดิสก์มา สเปกก็อย่างที่เราชอบ เทคโนโลยีมันก็เป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมาเรื่อยๆ หลายอย่าง”

ตำรวจหนุ่มกล่าวอย่างซื่อๆ ถึงสิ่งที่ตนทำขึ้น โดยที่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งการพลิกโฉม เป็นทั้งฮีโร่ของประชาชน และควบคู่ไปกับการเป็นความหวังใหม่ในการลบภาพลักษณ์สีกากีในเหล่าตำรวจ

“หลังจากเหตุการณ์คลิปนั้นออกไป ก็มีการพูดคุยกันกับพี่ๆ ที่เขาเป็นตำรวจมานานแล้ว ท่านก็ไม่สันทัดเท่าไหร่เรื่องเทคโนโลยี ก็จะมาถามมาศึกษาว่าทำอย่างไรตั้งแต่เรื่องสมาร์ทโฟน เราจะกดตรงนี้ เช็กประวัติของคนร้ายทำอย่างไร ก็มีการพูดคุยกัน ส่วนกล้องมีเยอะเลย หลายจังหวัดที่ติดต่อมา โรงพักอื่นๆ ต่างจังหวัด ทางจังหวัดภูเก็ต จังหวัดชลบุรี จังหวัดลำปางก็มีสอบถามมาว่าซื้อที่ไหน ติดตั้งอย่างไร ราคาเท่าไหร่ เขาก็สนใจ มีความสนใจในเรื่องนี้ มีการตื่นตัวมากขึ้น

“หรืออย่างเรื่องขับรถ ผู้บังคับบัญชาท่านก็ได้มีการพูดคุยอยู่ก่อนแล้วว่าจะฝึกฝน โดยจัดเจ้าหน้าที่มาฝึกฝน และได้ประสานงานไปยังส่วนที่เกี่ยวข้องตามโรงพัก เกี่ยวกับการขับมอเตอร์ไซค์ที่ถูกต้อง การเลี้ยว การเบรก ก็คุยกันก่อนตั้งแต่ที่เกิดเรื่องแล้วว่าเราจะเสริมสร้างทักษะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะผู้บังคับบัญชาท่านได้บอกว่าเราได้รถใหม่ที่มีสมรรถนะมากกว่าเดิม

“ตอนนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มมีแล้วนะ ก็คือนำร่องที่จังหวัดสระบุรี การติด GPS ที่รถสายตรวจ สายตรวจไปที่ไหน ศูนย์วิทยุสามารถมองเห็นได้ว่าสายตรวจขี่รถไปในจุดนี้ๆ ซึ่งมันง่ายที่มันจะติดตามคนร้าย ศูนย์ควบคุมสั่งการสามารถมองเห็นได้ว่าผ่านถนนเส้นนี้ๆ แล้วก็แจ้งตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องสกัดจับได้ แต่ยังไงโจรก็ยังเป็นโจรวันยันค่ำ ถ้าเราเป็นอย่างนี้เขาก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการ เราก็ต้องเดินนำหน้าเขาให้ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาปรับเปลี่ยน เราก็ต้องหาวิธีไหนที่จะจับเขาแล้วก็ดูแลพิทักษ์ปกป้องประชาชน”

“ก็จับได้หลายรายเหมือนกันที่เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ” ตำรวจหนุ่มเผย

“องค์กรตำรวจอยู่มานานแล้ว จะให้ปรับเปลี่ยนทีเดียวมันก็คงไม่ได้ เพราะว่าบุคลากรในองค์กรตำรวจมีทั้งรุ่นเก่า-ใหม่ รุ่นเก่าเขาก็ปฏิบัติตามกันมา อย่างที่ผมเคยบอกว่าเขาเคยทำอย่างนี้ เขาก็ทำอย่างนี้ ต่อไปนี้ผมว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะผลิตบุคลากรรุ่นใหม่ที่มีไฟออกมาเรื่อยๆ เพื่อดูแลประชาชน พอตำรวจยุคเก่าเห็น บางทีเขาอาจจะมีภาพลักษณ์ไม่ดี เขาเห็นตำรวจรุ่นใหม่มา เขาก็จะเปลี่ยนตาม ก็จะทำให้องค์กรตำรวจไม่มีภาพลักษณ์ที่เป็นองค์กรที่ใสสะอาดได้

“ตำรวจคือข้ารับใช้ประชาชน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ก็ต้องดูแลประชาชนให้ดีที่สุด ซึ่งภาพลักษณ์ที่เสียๆ มันจะส่งต่อกันได้ไว บางทีตำรวจรับส่วยรู้กันทั่วประเทศแล้ว คนก็จะรุมประณามตรงนี้แล้วคนจะจำไปนาน แล้วส่วนภาพลักษณ์ที่ดีๆ อย่างดาบเพียร (สมเพียร เอกสมญา) คิดดูว่าตอนนี้มีใครพูดถึงบ้าง นั่นล่ะส่วนดีๆ คนไม่ค่อยจดจำเท่าไหร่ จดจำก็ส่วนน้อย พอมีภาพลักษณ์เสียๆ ก็เลยจะจำไปๆ พอภาพลักษณ์ดีๆ คนก็จะลืม เป็นอย่างนี้ ก็เลยทำให้สังคมองค์กรตำรวจมีภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

“ตำรวจไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย ตำรวจจราจรไม่ใช่ตั้งด่านอย่างเดียว ถ้าเราได้มาคลุกคลีระบบตำรวจ เราก็จะเข้าใจมากขึ้น เขาทำงานอย่างไร ตำรวจทั้งอำเภอคือมีตำรวจแค่ที่เดียว ตำรวจหนึ่งคนต่อประชาชนเป็นพันคนที่ต้องดูแลทุกข์สุขทุกอย่าง รวมจุดศูนย์กลางที่ตำรวจ ก็อยากให้ประชาชนเข้าใจตรงนี้ด้วยครับ”

ทำงานให้เต็มที่
เป็นคนดีของประชาชน

“ผมก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกตินะ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้คิดว่าผมเป็นคนดัง ผมก็ไปตลาดธรรมเดา กินข้าวร้านไหน ผมก็ไปกินข้าวร้านนั้นธรรมดา เพราะว่าผมก็ปฏิบัติอย่างนี้มาตั้งแต่เป็นตำรวจแล้ว ไม่ได้คิดว่าตัวเองดังจริงๆ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะดังด้วยซ้ำ คลิปที่เอาไปลงในเพจจราจร คือจะเอาไปประชาสัมพันธ์องค์กรตำรวจ ประชาสัมพันธ์งานจราจรว่าเราไม่ได้จับแต่ใบขับขี่ หมวกกันน็อก ก็ยังมีอย่างอื่นที่ตำรวจจราจรทำ”

นายตำรวจหนุ่มกล่าวถึงความรู้สึกที่ต่อให้กระแสคลิปนี้จะจางหายไป กระนั้นก็จะยังคงพิทักษ์คุ้มครองประชาชนเช่นเดิม

“ผมก็เป็นผมนี่แหละครับ ใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ธรรมดา ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่เต็มกำลังที่ตำรวจคนหนึ่งจะทำได้ ก็ขอขอบคุณประชาชนที่ให้กำลังใจมา ผมก็ดีใจนะที่ประชาชนมองเห็นว่าตำรวจเราปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท ขณะที่ตำรวจด้วยกันเองก็มีกำลังใจในการปฏิบัติงานมากขึ้น

“ทุกโรงพักเชื่อว่ามีอย่างนี้ แต่เขาไม่ได้ออกสื่อเท่านั้นเอง มีการไล่ล่า บางทีโรงพักใกล้เคียงมีการขอประกาศจับก็มี เขาหนีมาที่เขตอำเภอเรา ทางเขาก็วิทยุมาทางโรงพักเรา แล้วก็ขอกำลัง มีการทำงานร่วมกัน ก็ทำอย่างนี้อยู่แล้วแต่ว่าประชาชนไม่เห็นเท่านั้นเอง เราเต็มที่อย่างนั้นอยู่แล้ว ตามกำลังที่ทำได้ ปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่ครับ

“และถ้ามีเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็จะเอามาปรับใช้ เพราะว่าผมชอบเทคโนโลยีอยู่แล้ว เราจะปรับเปลี่ยนอย่างไรให้มันใช้งานกับการทำงานของเรา ถ้าต่อไปมีเทคโนโลยีอะไรที่ออกมาใหม่ๆ ผมก็จะลองเอามาปรับใช้ อันไหนที่เราใช้ได้แล้วก็เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุดครับ


เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : เฟซบุ๊ก เสกสรรค์ ภูเขียว

กำลังโหลดความคิดเห็น