พิธีกรเกมส์โชว์ชื่อดังบ่น ประเทศไทยมีกฎหมายโง่ๆ คนป้องกันตัวจากโจรเป็นฝ่ายผิด แชร์ภาพเปรียบสเปรย์พริกไทยจับ-ปรับ ติดคุกนานกว่าคดีข่มขืน
กระแสข่าวที่กลุ่มวัยรุ่น 4 คน ก่อเหตุจี้บังคับจับหนุ่มวัย 19 ปิดปาก มัดมือ จากนั้นมีการขุดหลุมให้ฝ่ายชายไปนั่งแล้วข่มขืนแฟนสาวของอีกฝ่ายต่อหน้า ก่อนใช้ปืนยิงผู้ตายและทำการฝังพร้อมนำร่างหญิงสาวไปทำร้าย โดยการใช้มีดปลายแหลมแทง 4 แผล และใช้ของแข็งทุบบริเวณใบหน้าก่อนโยนร่างทิ้งเหวแต่โชคดีที่หญิงสาวคนดังกล่าวรอดชีวิต จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากโซเชียลมีเดียและคนบันเทิง เรียกร้องให้มีบทลงโทษที่รุนแรงแก่เยาวชนที่ก่อเหตุอย่างอุกอาจ ควรแก้ไขกฎหมายฆ่าข่มขืนต้องประหารชีวิต และไม่ควรลดโทษหรืออภัยโทษ
ล่าสุด เฟซบุ๊ก "Kiat Kitcharoen" ของนายเกียรติ กิจเจริญ หรือซูโม่กิ๊ก พิธีกรรายการเกมส์โชว์ชื่อดัง ได้แชร์ภาพเปรียบเทียบบทลงโทษ ระหว่าง คดีข่มขืน คุก 4-20 ปี ปรับ 8,000-40,000 บาท กับคดีที่สุภาพสตรีพกสเปรย์พริกไทย คุกสูงสุด 10 ปี ปรับสูงสุด 1 ล้านบาท โดยกล่าวว่า "ประเทศไทย... มีกฎหมายโง่ๆ เยอะมาก เช่นคนธรรมดาห้ามยิงคนที่ถือมีดจะเข้ามาฟันเรา เพราะเค้าแค่เงื้อ ยังไม่ได้ฟัน เป็นต้น... กูละหน่าย ไอ้ควายเอ้ย..."
ประเทศไทย... มีกฎหมายโง่ๆเยอะมาก เช่นคนธรรมดาห้ามยิงคนที่ถือมีดจะเข้ามาฟันเรา เพราะเค้าแค่เงื้อ ยังไม่ได้ฟัน เป็นต้น... กูละหน่ายไอ้ควายเอ้ย...
Posted by Kiat Kitcharoen on Wednesday, February 3, 2016
อย่างไรก็ตาม กรณีสเปรย์พริกไทย เคยสร้างกระแสความไม่พอใจและข้อกังขาถึงกฎหมายไทย ทำไมผู้กระทำผิดฐานข่มขืนจึงมีโทษน้อยกว่าผู้ต้องการป้องกันตัว จนถึงขั้นมีการล่ารายชื่อเพื่อแก้ไขกฎหมายให้สามารถพาสเปรย์พริกไทยได้อย่างถูกต้อง แต่จากคำอธิบายของนายวันชัย สอนศิริ ทนายความชื่อดัง และเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เคยกล่าวไว้ว่า สเปรย์พริกไทยมิได้เป็นอาวุธโดยสภาพ เพียงแต่สามารถใช้หรือเจตนาเป็นอาวุธประทุษร้ายร่างกายให้ถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(5) (2) ส่วนโทษปรับสูงสุด 1 ล้านบาท น่าจะหมายถึงการดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นตาบอด
ทั้งนี้ แม้การพกมีด พกสเปรย์พริกไทย มาตั้งแต่ที่ทำงานหรือในห้างเพื่อป้องกันตัว มีความผิดฐานพกพาสิ่งของลักษณะเป็นอาวุธ แต่ก็เปิดช่องให้การป้องกันตัวต้องพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีโทษหรือความผิดทางกฎหมาย แม้จะทำให้คนร้ายถึงแก่ความตายหรือพิการ เช่น ยิงปืนไปที่คนร้าย 1 นัด ทำให้คนร้ายเสียชีวิต ฉีดสเปรย์พริกไทย 1 ทีแล้วคนร้ายตาบอด ถือว่าป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่ต้องรับโทษตามกฎหมาย ไม่ต้องชดใช้ทางแพ่ง แต่หากยิงปืนใส่คนร้ายจนร่างพรุน ฉีดสเปรย์จนหมดกระป๋อง ถือว่าทำเกินสมควรแก่เหตุ กฎหมายบัญญัติว่าหากเป็นเหตุที่เราสามารถหลบหลีกได้ ควรหลบหลีก แต่ถ้าหลบหลีกไม่ได้ก็ป้องกันตัวแค่พอแก่เหตุ.