ในสมัยรัชกาลที่ ๕ สยามได้เปิดประตูรับอารยะธรรมตะวันตกอย่างเต็มที่ คนหลายชาติหลายภาษาต่างหลั่งไหลเข้ามา โสเภณีต่างชาติเลยเข้ามาเป็นขบวน ไม่ว่าหญิงเอเชียมี กวางตุ้ง ญี่ปุ่น ญวน ลาว หรือยุโรป รัสเซียนำขบวนเยอรมัน อิตาลี ต่างก็เห็นว่ากรุงเทพฯเป็นแหล่งขุดทอง ทำให้กรุงเทพฯของเรากลายเป็นเมืองทันสมัยในระดับโลกกับเขาทันที
รายงานกระทรวงนครบาล ลงวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๔๕๒ หลังการประกาศใช้พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค ได้สรุปผลในปีที่ผ่านมา มีจำนวนโรงโสเภณีที่ได้รับอนุญาตคือ ไทย ๑๗๒ โรง จีน ๑๓๔ โรง ญวน ๒ โรง ลาว ๗ โรง รวม ๓๑๙ โรง มีจำนวนหญิงที่ได้รับใบอนุญาต คือ ไทย ๙๕๐ คน จีน ๑๔๔๑ คน ญวน ๕๘ คน ลาว ๕๐ คน มอญ ๑ คน รวม ๒,๕๐๐ คน เก็บเงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาตตัวหญิงฉบับละ ๑๒ บาทต่อภาค หรือ ๓ เดือน และค่าใบอนุญาตเป็นนายโรง รวมกันเป็นเงิน ๓๙,๕๔๐ บาท สูงกว่าที่ประมาณไว้ถึง ๘,๘๖๘ บาท
การที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.สัญจรโรคนี้ นับว่าเป็นผลดีที่เจ้าพนักงานได้มีโอกาสซักถามหญิงทุกคนตอนมาต่อใบอนุญาตทุก ๓ เดือน จึงออกใบอนุญาตให้แก่หญิงที่สมัครใจเท่านั้น ส่วนหญิงที่ไม่สมัครใจก็ให้ความช่วยเหลือไปตามกรณี หญิงชาติจีนนอกจากมีจำนวนมากกว่าหญิงชาติอื่นๆแล้ว ยังมีปัญหาที่จะถูกขายต่ออีก คือนายโรงคิดจะส่งกลับไปขายที่ฮ่องกง กรมกองตระเวนจึงได้จัดคนไปคอยเฝ้าเรือเมล์ที่จะไปเมืองจีน เพื่อป้องกันหญิงถูกล่อลวงไปขาย เมื่อนายโรงได้ทราบว่ากองตระเวนไปป้องกันเช่นนี้ ก็ไม่กล้าส่งหญิงออกไป แต่ยังเอาไปกักขังซ่อนไว้ เจ้าพนักงานกรมกองตระเวนได้พยายามสืบสวน ขณะเดียวกันก็หาทางชี้แจงให้หญิงเข้าใจว่า ตนมีอิสระอันชอบธรรมสุดแต่ใจสมัคร ไม่มีใครมีอำนาจบังคับหรือกักขังได้ ทั้งพิมพ์ประกาศเป็นภาษาจีนไปปิดไว้ตามห้องในโรงหญิงโสเภณี ให้หญิงเข้าใจว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง
ส่วนหญิงชาติญี่ปุ่น มีอยู่ ๔ โรง มีหญิง ๒๑ คนเป็นญี่ปุ่นล้วน ยังไม่ได้จดทะเบียนมีใบอนุญาต เหตุที่ยังไม่ได้จดมีเหตุขัดข้อง ๒ ประการคือ กงสุลญี่ปุ่นชี้แจงว่า พระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรคของไทย ยังไม่ได้รับการรับรองจากรัฐบาลญี่ปุ่น ส่วนบรรดาหญิงญี่ปุ่นว่าจะยอมจดทะเบียน ก็ต่อเมื่อมีแพทย์มาตรวจให้ด้วย
ส่วนหญิงฝรั่งมีอยู่ ๗ โรง มีหญิงชาวยุโรป ๑๗ คน ยังไม่ได้จดทะเบียนมีใบอนุญาตเช่นกัน ด้วยเหตุที่ทูตและกงสุลจะรักษาหน้าคนยุโรป ไม่ให้คนเอเซียดูถูกได้ พยายามจะให้กลับออกไปทั้งหมด แต่บรรดาผู้หญิงก็ไม่ยอมกัน
พร้อมกันนี้ มิสเตอร์อีริค เซนต์ ลอสัน ผู้บังคับการกรมกองตระเวน ได้รายงานบัญชีที่ตั้งของโสเภณียุโรป ๗ แห่ง ซึ่งอยู่ในท้องที่บางรักทั้งหมด คือ
“เบลีวิวบาร์” มีหญิง ๔ คน สัญชาติรัสเซีย ๒ คน อีก ๒ คนบังคับสยามแต่ไม่ปรากฏสัญชาติ
“สเปล็นดิดบาร์” มีหญิง ๒ คน สัญชาติรัสเซีย ๑ คน อีก ๑ คนบังคับสยามไม่ปรากฏสัญชาติ
“เดียร์ฮาร์ท” มีหญิง ๒ คน คน ๑ ไม่ทราบสัญชาติ อีก ๑ คนเป็นรัสเซียบังคับสยาม
“เมโทร โพล” มีหญิง ๑ คน เป็นเยอรมัน
“แรฟเฟิลบาร์” มีหญิง ๓ คน อิตาเลียน ๑ รัสเซีย ๑ อีก ๑ ไม่ปรากฏสัญชาติ บังคับสยาม
“อินเตอร์เนชัลแนล” มีหญิงรัสเซีย ๒ คน
“ไครทีเลียน” มีหญิง ๓ คน เป็นเยอรมัน ๒ รัสเซีย ๑
นอกจากนี้ยังมี “สตาร์โฮเตล” ที่บางรักเช่นกัน รอผู้หญิง ๒ คนที่กำลังเดินทางมา ยังไม่ทราบสัญชาติ
จะเห็นว่ามีหญิงรัสเซียมากกว่าหญิงยุโรปทุกสัญชาติ มีอยู่ในเกือบทุกโรง จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้ก็ยังมีหญิงรัสเซียเข้ามาขุดทองแท่งในเมืองไทยกันมาก เพราะชำนาญเส้นทางมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แล้ว
ส่วนโรงผู้หญิงญี่ปุ่น ๔ แห่ง มีแต่ผู้หญิงญี่ปุ่นล้วน คือ
“มาดามมาจี” อยู่ที่สี่แยกลำภุญไชย มีผู้หญิง ๒ คน
“มาดามอาซาฮี” อยู่ข้างที่ว่าการอำเภอบางรัก มีผู้หญิง ๖ คน
“มาดามโวมาเบียซัง” อยู่เชิงสะพานวัดยานนาวา มีผู้หญิง ๗ คน
“มาดามซีเอ็กซ์” อยู่ตรอกพระยาละคร มีผู้หญิง ๒ คน
พระยาอินทราบดีสีหราชรองเมือง ได้มีหนังสือพร้อมแนบรายงานนี้ กราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสมมตอมรพันธ์ ราชเลขาธิการในรัชกาลที่ ๕ ลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๕๓ ว่าถ้ามีโอกาสสมควร ขอได้โปรดนำความกราบบังคมทูลพระกรุณา ทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทด้วย
ในวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๓๕๓ จึงมีพระราชหัตถเลขาถึงพระยาอินทราธิบดีฯ ความว่า
“ได้รับหนังสือที่มีมาที่กรมขุนสมมตอมรพันธ์ ที่ ๙๙/๑๓๑๑ ลงวันที่ ๑๕ เดือนนี้ เป็นรายงานจัดการเรื่องหญิงตามพระราชบัญญัติสัญจรโรค จำนวนศก ๑๒๗ นั้น ได้ทราบแล้ว จัดการมาได้ดังนี้ก็ดีแล้ว แต่ยี่ปุ่นแลฝรั่ง ที่จะหาทางหลีกเลี่ยง แล้วจะเลยไปนั้น ควรพยายามหาทางที่จะปลดเปลื้องความขัดข้องโดยเงียบๆต่อไป” พระปรมาภิไธย สยามินทร์
มิสเตอร์ลอสัน ผู้บังคับการกองตระเวน ได้มีหนังสือรายงานเสนาบดีกระทรวงนครบาล เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๕๓ อีกว่า ได้รับรายงานว่าขณะนี้ตามโรงหญิงนครโสเภณีทั้งจีนและไทย ปรากฏว่ามีชายไม่ปรากฏอาชีพและเป็นนักเลง เข้าพักอาศัยโรงละหลายๆคน ซึ่งนายโรงจัดหามาก็เพื่อใช้ข่มขู่ผู้หญิงให้เกรงกลัว ในโรงจีนมักจะเป็นพวกอั้งยี่ที่ยกพวกตีกันบ่อยๆ เจ้ากรมกองพิเศษรายงานมาว่า มีผู้ชายพวกนี้อยู่ในโรงโสเภณีจีนไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ คน ส่วนโรงไทยมีไม่ต่ำกว่า ๒๕๐ คน เห็นว่าไม่ควรอนุญาตให้อยู่ ทราบว่าที่ฮ่องกงจะยอมให้อยู่ได้ไม่เกิน ๒ คน อยากให้เพิ่มข้อนี้ในพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรคที่กำลังจะแก้ไขด้วย กับควรจะบังคับผู้ชายและผู้หญิงที่อยู่ในโรงหญิงนครโสเภณี พิมพ์ลายมือและถ่ายรูปไว้ด้วย
ตามโรงจีนมักมีหญิงรับใช้ ๔-๕ คน ผู้หญิงพวกนี้มักเคยมีอาชีพโสเภณีมาก่อน ส่วนมากมักไม่สวยหรืออายุมาก ขายไม่ค่อยได้ จึงหันมาเป็นคนใช้ บางที่เจ้าของโรงก็ให้ผู้หญิงพวกนี้จดทะเบียนเป็นนายโรง เมื่อมีความผิดก็ให้รับโทษแทนไป ตัวเองอยู่เบื้องหลัง
ผู้หญิงจีนจำนวนมากมักถูกหลอกมาจากเมืองจีน นำมาขายต่อที่ฮ่องกง ก่อนที่จะขายต่อมาเมืองไทย ผู้หญิงเหล่านี้นับว่าน่าสงสาร ถูกล่อลวงมาด้วยวิธีการต่างๆนานา ส่วนใหญ่จะให้เซ็นสัญญารับจ้างทำงาน จากนั้นก็บีบบังคับทั้งทุบตีกักขังให้ยอมขายตัว ซึ่งวันนี้ก็ยังมีพฤติกรรมแบบเดียวกันนี้อีก เกิดกับหญิงไทยในต่างประเทศอยู่บ่อยๆ บางคนก็หนีออกมาได้ บางคนก็ให้แขกช่วยแจ้งกองตระเวน บางคนก็ถูกหนุ่มเล่นละครทำเป็นตกหลุมรัก ช่วยออกมาจากซ่องไปอยู่กินกันฉันท์ผัวเมีย ผู้หญิงก็นึกว่าพ้นนรกแล้ว แต่ที่ไหนได้ ถูกเอาไปขายต่อเข้าซ่องอีก มีรายงานของกรมกองตระเวนระบุว่า มีคดีหลายคดีที่เกิดขึ้นในรูปแบบนี้ และยังระบุว่าฝ่ายชายอยู่ในอาชีพคนขับรถรางและลิเกมากกว่าอาชีพอื่น
ยังมีอีกวิธีหนึ่งในธุรกิจการค้ามนุษย์นี้ ซึ่งกล้าทำกันอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย โดยใช้เจ้าพนักงานเป็นเครื่องมือให้ หลวงนรพรรคพฤฒิกร เจ้ากรมกองพิเศษ รายงานเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๔๕๓ ว่า มีหญิงจีนคนหนึ่งเดินทางมาจากฮ่องกง แจ้งว่า บุตรหญิง ๒ คน ชื่อ ย่วนเซง กับ ย่วนเซ่ง ได้หายไปจากบ้าน ๑ ปีกับ ๓ เดือนมาแล้ว ตนกับสามีได้ติดตามหามาตลอด จนเมื่อ ๒ เดือนที่ผ่านมาจึงได้ข่าวว่า ถูกล่อลวงไปขายที่สิงคโปร์หรือกรุงเทพฯ สามีจึงไปตามที่สิงคโปร์ ตนได้มาหาที่กรุงเทพฯ และตระเวนไปหาตามโรงโสเภณีจีนที่สำเพ็ง ก็ได้เห็นบุตรสาวทั้งสองอยู่ในโรงโสเภณีแห่งหนึ่ง จึงมาขอให้กรมพิเศษช่วยด้วย
ทางกรมจึงส่งพลตระเวนไปนำผู้หญิงทั้งสองนั้นมาสอบสวน แต่เรื่องกลับโอละพ่อ หญิงทั้งสองบอกว่ามาอยู่กรุงเทพฯได้ ๓ ปีแล้ว และผู้หญิงที่มาแจ้งซึ่งชื่อ นางยุด ก็ไม่ใช่แม่ของตน พ่อแม่ตนอยู่ที่ปักกิ่ง ได้ขายตนให้กับคนฮ่องกง และนางยุดผู้นี้ได้ซื้อตนมาจากฮ่องกงอีกต่อหนึ่งในราคา ๑,๐๐๐ เหรียญ ได้ส่งตนทั้งสองพี่น้องมาเป็นโสเภณีที่กรุงเทพฯเมื่อ ๓ ปีก่อน แต่ตอนนี้จะพาไปขายที่สิงคโปร์อีก ตนไม่ยอมไป สมัครใจจะเป็นโสเภณีอยู่ที่กรุงเทพฯต่อไป จึงมาใช้อุบายนี้
กรมกองพิเศษเห็นว่านางยุดแจ้งความเท็จ แต่จะฟ้องร้องก็ไม่มีหลักฐานเพราะไม่ได้ลงบันทึกไว้แต่ต้น จึงไม่ได้ดำเนินการต่อ แต่ก็ทำให้รู้ว่าขณะนี้มีการซื้อขายผู้หญิงจีนในกรุงเทพฯมาก
ธุรกิจโสเภณีในยุคนั้น มีข่าวสลดใจที่ผู้หญิงโสเภณีฆ่าตัวตายเพราะความคับแค้น หรือถูกฆ่าตายเพราะขัดขืนอยู่เป็นประจำ เรื่องหนึ่งสะเทือนขวัญและอื้อฉาวไปหลายประเทศ ในที่สุดตำรวจกองพิเศษฝ่ายจีน ซึ่งมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ ถูกศาลตัดสินประหารชีวิต ส่วนสามีที่มาตามหาความยุติธรรมให้ภรรยา ชีวิตกลับถูกแขวนไว้บนเส้นด้าย ใกล้หลักประหารเหมือนกัน
เรื่องเริ่มขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๖๘ หญิงกวางตุ้งคนหนึ่งเรียกกันว่า นางเย้าคอกสี ได้ออกจากมณฑลกวางตุ้งจะไปหาสามีที่ไซ่ง่อน แต่ถูกหลอกให้ลงเรือผิดมากรุงเทพฯ และถูกพาไปพักที่โรงแรมไต้ซังจั่น ถนนเยาวราช พอถึงวันที่ ๒๔ มีนาคม นางก็เป็นศพอยู่ในห้อง โจษจรรย์กันว่าถูกฆ่าตายบ้าง ผูกคอตายเพราะถูกกดขี่บังคับให้เป็นหญิงหยำฉ่าบ้าง พวกกวางตุ้งในเมืองไทยสนใจกันมาก เชื่อว่านางตายโดยไม่บริสุทธิ์
ในเดือนพฤษภาคมต่อมา นายเย้าปัดหลิน สามีนางเย้าคอกสี ได้เดินทางมาจากไซ่ง่อนเพื่อติดตามเรื่องภรรยา สโมสรกวางตุ้งได้ส่ง นายตั้งหว่า เข้าช่วยเหลือ และทำเรื่องราวยื่นต่อกระทรวงมหาดไทย สมเด็จฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เสนาบดี จึงทรงสั่งให้ไต่สวน และได้ความว่า นางเย้าคอกสีถูกล่อลวงมาจากเมืองจีน ถูกบังคับให้เป็นหญิงหยำฉ่า แต่ในเรื่องที่ใครฆ่าไม่มีหลักฐาน จึงไม่มีการดำเนินคดีกับใคร
นายเย้าปัดหลินจึงตั้งทนายฟ้องเองต่อศาลโปริสสภา โดยมีจำเลย ๖ คน คือ ๑.นายเจ้าไต้ซัง เจ้าของโรงแรม ๒.นายหว่องกิ๊ด ตำรวจกองพิเศษ ๓.นายเจี๊ยะขิ่น ตำรวจกองพิเศษ ๔.นายหลีเก๊า ๕.นายเส็ง ผู้จัดการโรงแรม และ ๖. นางไต้ยี่ม้า ซึ่งหาตัวไม่ได้ ในข้อหาว่าจำเลยทั้ง ๖ หลอกลวงนางเย้าคอกสีมาเมืองไทย กักขังทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ทำร้ายร่างกายบีบบังคับจะให้เป็นหญิงหยำฉ่า และฆ่านางเย้าคอกสีตาย ศาลไต่สวนแล้วให้นายเย้าปัดหลินฟ้องได้แค่ ๓ คน คือ นายเจ้าไต้ซัง นายหว่องกิ๊ด และนายเจี๊ยะขิ่น ฐานทำให้นางเย้าคอกสีเสื่อมเสียอิสรภาพที่เอาไปกักขังไว้ นายเย้าปัดหลินอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฟ้องนางไต้ยี่ม้าที่หาตัวไม่ได้อีกคน
จากการสืบสวนของฝ่ายโจทก์ ได้ความว่านางไต้ยี่ม้า ซึ่งเป็นเจ้าของโรงน้ำชามีหญิงโสเภณีเป็นคนร้องเชื้อเชิญแขกให้ “เจี๊ยะเต้” ได้ไปหลอกลวงนางเย้าคอกสีมาจากมณฑลกวางตุ้ง พอเกิดเรื่องก็หนีไป แต่ นางกั๋นเข่ง ที่ไปด้วยกันยังไม่กลับจากกวางตุ้ง เลยถูกตำรวจจีนควบคุมตัวไว้ รอฟังคดีทางเมืองไทย
ในระหว่างไต่สวนคดี นายตั้งหว่าที่สโมสรกวางตุ้งส่งมาช่วยนายเย้าปัดหลิน ก็ถูกยิงตายขณะนอนหลับบนเก้าอี้ผ้าใบอยู่ในบ้านที่ถนนอุณากรรณกลางวันแสกๆ จับคนร้ายได้ชื่อ นายเล้า ตำรวจนครบาลจึงส่งฟ้องศาลฐานฆ่าคนตาย แต่นางทองดี เมียนายตั้งหว่า ตั้งทนายฟ้องนายหว่องกิ๊ดเพิ่มขึ้นอีกคน ฐานสบคบกับนายเล้าฆ่านายตั้งหว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตนายเล้า แต่ยกฟ้องนายหว่องกิ๊ด นางทองดีอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาประหารทั้งนายเล้าและนายหว่องกิ๊ด และศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ก่อนถูกนำไปประหาร นายหว่องกิ๊ดได้ทำพินัยกรรม ปรากฏว่าเขาเป็นคนมีฐานะอยู่ในขั้นมั่งคั่งทีเดียว โดยยกหุ้นส่วนโรงสีกับหุ้นส่วนโรงเป่าแก้วให้แม่ เงินในธนาคารและสิ่งของต่างๆให้นางหมุน ภรรยาหลวง ส่วนภรรยาน้อยอีก ๒ คน ได้แบ่งให้ไปก่อนแล้ว
เรื่องนี้แม้นายหว่องกิ๊ดจะถูกศาลโปริสสภาให้ฟ้องแค่กักขังทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ แต่ก็ต้องมาถูกประหารในอีกคดีที่จะปิดปากคดีเดิม
ส่วนนายเย้าปัดหลินที่ตามหาความยุติธรรมให้เมียนั้น ก็ต้องเผชิญอุปสรรคอย่างหนักหนาสาหัส ถึงขนาดชีวิตต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย ใกล้หลักประหารเหมือนกัน
ในระหว่างการพิจารณาคดี ในวันที่ ๓ มกราคม ๒๔๗๑ นายเย้าปัดหลินก็ถูกตำรวจจับเพื่อเนรเทศ โดยอ้างว่ารัฐบาลอินโดจีนแจ้งมาว่า นายเย้าปัดหลินเป็นบุคคลไม่พึงปรารถนา มีความเกี่ยวพันกับคอมมิวนิสต์ ในวันเดียวกันยังจับ นายซันหอย อาชีพช่างไม้ ที่คอยช่วยเหลือนางทองดีในการฟ้องร้อง ค้นบ้านพบรายการค่าใช้จ่ายในการทำคดี รวมทั้งบิลไปเลี้ยงกันที่ภัตตาคารก่ำจันเหลาด้วย แต่ในตอนบ่ายก็ปล่อยนายซันหอยไปเฉยๆ
นายเย้าปัดหลินได้ทำฎีกาขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอผ่อนผันการเนรเทศ อ้างว่ายังมีคดีที่ศาลกำลังไต่สวนอีก และได้พรรณนาความเป็นมาว่า ตนมีอายุ ๔๔ ปี ตั้งบ้านเรือนอยู่ในเมืองไซ่ง่อนมาหลายสิบปีแล้ว ตั้งร้านค้าขายมีทุนหลายหมื่นเหรียญ ภรรยาเดิมเสียชีวิต จึงได้แต่งงานกับ นางกว๊ะสี ที่เมืองกวางตุ้งเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๔๖๘ ให้นางอยู่กับมารดาที่มณฑลกวางตุ้งขณะที่ตนมาจัดการธุรกิจที่เมืองไซ่ง่อน แต่นางก็ตามมา
นายเย้าปัดหลินกราบบังคมทูลในฎีกาว่า ในระหว่างคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล มีตำรวจกองพิเศษตั้งแต่ผู้บัญชาการลงมา ได้ช่วยเหลือจำเลยให้หลุดพ้นจากพระราชอาญา ตนเองก็ถูกจับหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จะจัดการเนรเทศภายใน ๗ วัน ทั้งที่ไม่เคยเป็นสมาชิกในสมาคมคอมมิวนิสต์ หรือเผยแพร่ลัทธิของสมาคมเลย เคยแต่ช่วยราชการฝรั่งเศสมามาก เหตุที่ถูกจับครั้งนี้อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของรัฐบาลอินโดจีน หรือถูกยุแยงส่งเสริมในกลอุบายเพื่อให้คดีของขาเสื่อมไป จึงได้ทูลเกล้าฯขอรับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ ผ่อนผันให้การเนรเทศของตนช้าไป เพื่อจะได้มีโอกาสหาข้อเท็จจริงกับรัฐบาลอินโดจีน หากรัฐบาลอินโดจีนยังยืนยันอย่างเดิมแล้ว ตนจะขอรับพระราชอาญาตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่สยามต่อไป
ต่อมาวันที่ ๘ กรมราชเลขาธิการได้ส่งหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทย สั่งให้รอการเนรเทศนายเย้าปัดหลินไว้ก่อน เพื่อรอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยให้เด็ดขาด
พระยาอรรถโกญจนาท ทนายความของนายเย้าปัดหิน ได้ไปพบผู้ใหญ่ในกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงต่างประเทศ ชี้แจงว่านายเย้าปัดหลินถูกจับผิดตัว และถ้าเนรเทศไปจีน เขาก็ต้องถูกยิงเป้าก่อนมีการไต่สวนแน่ ทั้งยังทำคำร้องต่อสถานทูตฝรั่งเศส ขอให้ยืนยันว่า การที่เจ้าหน้าที่สยามจับนายเย้าปัดหลินนั้น เป็นการจับผิดตัวหรือไม่ เขาคือคนที่ฝรั่งเศสเนรเทศหรือไม่ และขอให้ตระหนักเป็นอย่างยิ่งว่า ขณะนี้ชีวิตมนุษย์คนหนึ่งกำลังล่อแหลมอย่างที่สุดแล้ว
ก่อนที่นายเย้าปัดหลินจะถูกจับ มีข่าวว่าสถานทูตฝรั่งเศสมีหนังสือไปถึงกระทรวงต่างประเทศว่า
“รัฐบาลอินโดจีนได้หลักฐานอันแน่ชัดว่า จีนที่มีนามว่า กูลู หรือ คุนตี หรือ คุนซาน หรือ เย้าปัดหลิน เป็นคนในบังคับฝรั่งเศส เดิมอยู่ในโคชินไชน่า เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับคณะคอมมิวนิสต์จีน บัดนี้ท่านโรแบงได้ออกคำสั่งเนรเทศแล้ว”
หนังสือพิมพ์ “บางกอกเดลิเมล์” ซึ่งติดตามเรื่องนี้มาตลอด ได้ไปขอสัมภาษณ์ มร.โชเวต์ เลขานุการสถานทูตฝรั่งเศส ถามเรื่องการจับนายเย้าปัดหลิน และได้คำตอบว่า เรื่องนี้สถานทูตฝรั่งเศสไม่มีอะไรเกี่ยวข้องด้วยเลย ยิ่งกว่านั้นนายเย้าปัดหลินก็ไม่ใช่คนในบังคับฝรั่งเศส เมื่อถูกถามว่า นายเย้าปัดหลินถูกจับเพราะสถานทูตฝรั่งเศสขอร้อง มร.โชเวต์บอกว่า “เป็นความไม่จริง และประหลาดอย่างยิ่ง”
เลขานุการสถานทูตฝรั่งเศสยังเผยว่า ในวันที่มาถึงเมืองไทย นายเย้าปัดหลินมารายงานตัวที่สถานทูตจริง แต่ไม่มีหนังสือเดินทาง มีแต่บัตรคนเข้าเมืองมาให้ดูเท่านั้น เมื่อนักข่าวถามว่า ทำอย่างไรนายเย้าปัดหลินจะพิสูจน์ตัวได้ว่าไม่ใช่คนที่ถูกรัฐบาลอินโดจีนเนรเทศ ม.โชเวต์ตอบว่า เป็นเรื่องของทางการสยาม เมื่อขอมาก็จะแจ้งไปยังผู้สำเร็จราชการอินโดจีน สถานทูตทำหน้าที่ได้แค่เป็นออฟฟิสกลางสื่อสารไปมาเท่านั้น
บางกอกเดลิเมล์ยังได้สอบถามไปยัง ม.วิลดัง อดีตทูตฝรั่งเศสที่เพิ่งพ้นหน้าที่ และเคยพบกับนายเย้าปัดหลินตอนมาถึง ม.วิลดังบอกว่านายเย้าปัดหลินเป็นคนมีสัมมาอาชีพอย่างปกติชน ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ที่มากรุงเทพฯก็เพื่อขุดค้นความยุติธรรมให้ภรรยาที่ถูกฆาตกรรมเท่านั้นเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า การค้าหญิงโสเภณีนั้นต้องลงทุนลงแรงไปหลอกลวงกันถึงเมืองจีน คงต้องเป็นธุรกิจที่ทำเงินอย่างมหาศาล คนที่เห็นแก่เงินจึงโหดร้ายอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ได้ถึงเพียงนี้ แม้แต่สามีที่มาหาความยุติธรรมให้ภรรยา ก็ยังถูกกลั่นแกล้งต่างๆนานาจนชีวิตต้องแขวนอยู่บนเส้นด้าย น่าเสียดายที่เอกสารเรื่องนี้ขาดหายไป ผู้เขียนไม่พบชะตากรรมสุดท้ายของนายเย้าปัดหลิน หวังว่าเขาคงตามหาความยุติธรรมให้ตัวเองได้