ตำรวจกองปราบปรามพร้อมตำรวจจีนนำหมายศาลบุกค้นบ้านแหล่งกบดานแก๊งคอลเซ็นเตอร์จีนหมู่บ้านหรูย่านประชาชื่น สามารถจับกุมได้ 27 ราย หลบหนีไปได้ 1 ราย มูลค่าเสีย 100 ล้านบาท ขณะที่ “ฐิติราช” เผยแก๊งนี้ใช้ไทยเป็นที่ตั้งเนื่องจากทางการจีนได้กวดขันหนัก โชว์ใช้เวลาแค่ 2 วัน รวบเกือบยกแก๊ง
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 ธันวาคม พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชาญ วิมลศรี รอง ผบช.ก.รรท.ผบก.ป. พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย พ.ต.อ.พันชนะ นุชนารถ พ.ต.อ.สยาม บุญสม รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.อรุณ วชิรศรีสุกัญยา รอง ผกก.1บก.ป. พ.ต.ท. รัฐพงศ์ แก้วยอด พ.ต.ท.วิศิษฐ์ พลบม่วง สว.กก.1บก.ป. สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ ตร.กก.1บก.ป. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ประชาชื่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน นำหมายค้นศาลอาญา รัชดาภิเษก เลขที่ 401/2558 ลงวันที่ 24 ธันวาคม 2558 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 374 เทศบาลนิมิตใต้ ซ.7 หมู่บ้านประชานิเวศน์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร หลังสืบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นสถานที่การลักลอบกระทำความผิดคอลเซ็นเตอร์
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเดี่ยวสูง 2 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ตารางวา เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังเข้าตรวจสอบบ้านดังกล่าว ซึ่งผู้ต้องหานั้นทั้งหมดอยู่ในอาการตกใจเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ และบางรายพยายามหลบหนี ทั้งนี้เบื้องต้นสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้งสิ้น 27 คน เป็นชาย 20 หญิง 7 คน แบ่งออกเป็นชาวจีน 14 คน และชาวไต้หวัน 13 คน และหลบหนีไปได้ 1 คน นอกจากนี้ ยังพบแม่บ้านชาวไทยและพม่า 2 คน อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบบ้านหลังดังกล่าวพบว่าภายในการดัดแปลงบุผนังด้วยฟองน้ำให้เป็นที่เก็บเสียง บริเวณห้องโถงชั้นล่าง มีโต๊ะโทรศัพท์ถูกแบ่งเป็นล็อกประมาณ 30 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก พร้อมอุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจำนวนมาก สมุดรายชื่อเบอร์โทรศัพท์ กระดาษบทสนทนาต่างๆ เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้พบว่าภายนอกบริเวณบ้านมีการติดกล้องวงจรปิดรอบตัวบ้านอีกด้วย
พล.ต.ท.ฐิติราชเปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากทางการจีนประสานความร่วมมือมายังประเทศไทย ว่ามีแก๊งคอลเซ็นเตอร์สัญชาติจีนหลอกลวงชาวจีนด้วยกันเองมาตั้งฐานคอลเซ็นเตอร์ที่ไทย เนื่องจากที่ผ่านมาทางการจีนได้เข้มงวดกวดขันจับกุมขบวนการดังกล่าวจริงจังจึงทำให้ผู้ต้องหากลุ่มนี้เลือกที่จะย้ายมาตั้งที่ทำการในประเทศไทยเพื่อให้ยากต่อการตรวจสอบ ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างเร่งขยายผล และเร่งดำเนินการตรวจสอบประวัติการเข้าออกประเทศไทยของผู้ต้องหาทั้งหมด โดยน่าจะใช้เวลาราว 2 วันในการตรวจสอบ คาดว่าน่าจะบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายดังกล่าวอยู่ในไทยอีกจำนวนหลายราย
ด้าน พ.ต.อ.จิรภพกล่าวว่า สำหรับพฤติกรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการนี้นั้น แนวทางการสืบสวนพบว่า จะเช่าบ้านในหมู่บ้านหรู เพื่อตั้งเป็นฐานการใช้ระบบ “วอยซ์โอเวอร์อินเทอร์เน็ตโพรโตคอล” ผ่านอินเทอร์เน็ต หลอกลวงให้เหยื่อซึ่งเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่และชาวไต้หวัน โอนเงินเข้าบัญชี สาเหตุที่ขบวนการดังกล่าวใช้ไทยเป็นฐานที่ตั้งเนื่องจากยากต่อการจับกุมและติดตาม เนื่องจากเหยื่อกลุ่มเป้าหมายของขบวนการนี้เป็นชาวจีนและไต้หวัน นอกจากนี้ ขบวนการดังกล่าวจะมีการแบ่งงานกันทำ ใช้กลอุบายหลอกเหยื่อว่าติดหนี้บัตรเครดิต ติดหนี้โทรศัพท์ อย่างไรก็ดีในส่วนของส่วนแบ่งจะได้เงินค่าจ้างเป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนเงินที่หลอกเหยื่อมาได้ ทั้งนี้เบื้องต้นพบความเสียหายกว่าร้อยล้านบาท
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 3 เดือนได้มีสามีภรรยาลักษณะคล้ายชาวต่างชาติเข้ามาติดต่อขอพักอาศัยบ้านหลังดังกล่าว โดยจะเก็บตัวเงียบอยู่ภายในบ้านไม่ค่อยออกมาปรากฏตัวให้เพื่อนบ้านเห็นเท่าใดนัก แต่จะมีรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ขับเข้าออกภายในบ้านเป็นประจำทุกเย็น แต่ไม่มีใครทราบว่าบุคคลที่ขับรถยนต์คันดังกล่าวคือใคร อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมเรียกเจ้าของบ้านซึ่งเป็นคนไทยมาสอบปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เบื้องต้นจึงคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไว้ทำการสอบปากคำก่อนส่งตัวให้พนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งตรวจสอบประวัติว่าเข้าประเทศมาอย่างถูกต้องหรือไม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ มีรายงานความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอชาวจีนนี้มูลค่าร่วม 100 ล้านบาท