คุยเบาๆ กับสาวญี่ปุ่นที่คุณผู้ชายต้องปิ๊ง “มิซากิ นิโตะ” ผู้มาพร้อมคุณสมบัติรอบด้าน ทั้งบุคลิก หน้าตา และความสามารถ เธอบินลัดฟ้าข้ามมาจากแดนซามูไร หวังเอาดีที่เมืองไทยสายบันเทิง โดยประเดิมงานชิ้นแรกๆ ไปแล้วกับซิงเกิ้ลเพลง “Here for Love” ซึ่งบอกกล่าวอย่างอ่อนหวานถึงการมาอยู่เมืองไทยด้วยใจรัก
จากการมีโอกาสเดินทางมาถ่ายแบบในดินแดนสยามเมืองยิ้ม ส่งผลให้ “มิซากิ นิโตะ” นางแบบและนักแสดงจากดินแดนแห่งปลาดิบ หลงเสน่ห์ประเทศไทย ซึ่งเมื่อโอกาสเปิด เธอก็คว้าโอกาสนั้นกับการทำงานอยู่ในวงการบันเทิงบ้านเรา โดยหนึ่งในผลงานที่ออกสู่วงการในขณะนี้ คือเพลงไทยที่ชื่อ “Here For Love” อิเล็กทรอนิกส์ แดนซ์ สนุกๆ ที่ปลุกให้คนฟังลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาไปตามจังหวะเพลงของเธอ
“จริงๆ เพลงนี้มากจากเรื่องราวชีวิตของมิซากิเลยค่ะ เป็นเรื่องของคนที่เดินทางมาไกลเพื่อที่จะมาทำงานในเมืองไทย ต่อสู้และอดทน ก็เหมือนเป็นเพลงที่ให้กำลังใจตัวเอง และเหมือนเป็นเพลงที่กำลังใจทุกคนด้วยค่ะ”
สาวญี่ปุ่นยิ้มแก้มแทบปริ ขณะบอกเล่าด้วยภาษาไทยที่ได้ยินเสียงสำเนียงแล้ว เราต้องยอมรับในความพยายามของเธอในการใช้ภาษาไทย
• ถามย้อนไปถึงจุดคุณเริ่มต้นของงานบันเทิงที่ญี่ปุ่นครับว่าคุณเข้ามาสู่ทางสายนี้นานเท่าไหร่แล้ว
ตั้งแต่อายุ 17 ปีค่ะ เป็นช่วงนั้นกำลังตั้งใจเรียนอยู่ ซึ่งที่ญี่ปุ่น เวลาเรียนจะค่อนข้างซีเรียส ตอนนั้นก็มีแมวมองมาติดต่อแถวชิบูย่า ให้มาเป็นนางแบบหรือลองมาประกวดเวทีต่างๆ กับนิตยสารต่างๆ ประกอบกับว่า เวลาต่อมา เราเรียนจบไฮสคูลพอดี เลยได้มาทำงานในวงการค่ะ ซึ่งพอได้เข้ามาทำแล้ว ได้ทำเกือบหมดเลย ทั้งนักร้อง ทั้งถ่ายแบบ และเป็นนางแบบกราเวียร์ค่ะ
• นางแบบกราเวียร์ นี่คือยังไงนะครับ
นางแบบกราเวียร์ก็คือถ่ายแบบลงสื่อต่างๆ ด้วยคอนเซปต์การใส่บิกินี่ ซึ่งนักแสดงส่วนใหญ่จะเคยผ่านการถ่ายแบบในลักษณะนี้มาก่อนทุกคน เป็นการถ่ายแบบทั่วไป แล้วก็ถ่ายคู่กับผลิตภัณฑ์สินค้าด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของวงการที่นั่น และนางแบบกราเวียร์ก็แตกต่างจากนักแสดงเอวีที่คนไทยรู้จักทั่วไป
จริงๆ นางแบบกราเวียร์จะเป็นในลักษณะของการถ่ายบิกินี่ พอมาเมืองไทยนี่เปลี่ยนแปลงคอนเซปต์หมดเลย คือไม่ถ่ายบิกินี่ แต่จะมีถ่ายแบบน่ารัก ใสๆ มีความเซ็กซี่เล็กน้อย งานที่ญี่ปุ่นกับเมืองไทย จึงค่อนข้างตรงกันข้าม และตัวจริงของเราก็ค่อนข้างจะเนิร์ดๆ มากกว่า คือถ้าไม่มีงาน มิซากิก็จะอ่านหนังสือ เรียนหนังสือภาษาไทย เพราะถ้าเราอยากรู้อะไรสักอย่าง ก็จะตั้งใจศึกษาค่ะ (ยิ้ม)
• ตอนนี้เรียนภาษาไทยไปถึงขั้นไหนแล้วครับ
ยากมากเลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ก็เลยเขียนได้นิดหน่อย แต่ถ้ามีเวลาบ้าง ก็จะนั่งมาหยิบศึกษา หรือให้คุณครูภาษาไทยช่วยสอน
• แรกเริ่มเพราะเหตุใด คุณถึงสนใจที่มาทำงานที่เมืองไทยครับ
ตอนที่ทำงานที่ญี่ปุ่น เราเคยได้มาบินทำงานที่เมืองไทยและรู้สึกว่าชอบเมืองไทย เพราะว่าคนไทยเป็นคนที่ใจดีมาก และอาหารไทยก็อร่อยมากค่ะ ตอนนั้นมิซากิมาถ่ายนิตยสาร Spectrum ที่เมืองไทย เลยมีคนในวงการมาถามว่าสนใจจะมาทำงานด้วยกันที่เมืองไทยหรือเปล่า เราก็ตอบรับและมาทำงานที่เมืองไทยตั้งแต่นั้นเลยค่ะ คือเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมาดังในเมืองไทยนะคะ แต่ว่าอยากมาทำงานที่นี่ เพราะอย่างที่บอกค่ะว่าชอบเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพหรือลักษณะนิสัยคนไทยที่ใจดี คือไม่ได้คาดหวังว่าจะมาโกอินเตอร์
• พอได้มาอยู่เมืองไทยจริงๆ แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
สบายๆ ค่ะ เพราะที่เมืองไทย ทุกคนใจดีมาก ทุกคนดูแลมิซากิเป็นอย่างดี ข้าวของก็ถูกกว่า มีผลไม้เยอะ ซึ่งแตกต่างกับที่ญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยมี เช่น ฝรั่ง มะละกอ มะม่วง โดยเฉพาะมะละกอ ที่ญีปุ่นราคาแพงมาก ลูกละเป็น 3,000 บาทเลย แต่ที่นี่ก็จะมีปัญหาเรื่องรถติดหน่อย หรืออย่างเวลาเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ก็จะเจออุบัติเหตุบ่อยๆ คือมีความตกใจอยู่บ้าง แล้วก็เรื่องแมลงสาบที่ตัวใหญ่มาก ซึ่งแตกต่างกับที่ญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยเห็น แต่เมืองไทยเห็นได้แทบทุกที่ เราก็เลยซื้อแมลงสาบปลอมมาไว้ที่บ้านพักเพื่อแก้เคล็ด
• การทำงานกับคนไทยแตกต่างจากการทำงานที่ญี่ปุ่นอย่างไรหรือไม่
คนญี่ปุ่นจริงๆ ซีเรียสมากค่ะ ไม่ยิ้ม ถ้าสมมุติว่านัด 3 โมง ก็จะมาตรงเวลา แต่คนไทยจะไม่เป็นอย่างนั้น จะสบายๆ ซึ่งตอนแรกเราไม่ชินเลย เพราะอย่างบางงานก็จะมีงานที่มันกะทันหันอยู่บ่อยๆ เราก็มีซีเรียสนิดหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มโอเคแล้วค่ะ ซึ่งบางทีก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกสบายดีค่ะ แต่ว่าตกใจเรื่องเวลา แตกต่างจากที่ญี่ปุ่น ตรงที่การถ่ายทำจะกินเวลานาน แต่ที่เมืองไทยไม่ค่อยนาน และที่ญี่ปุ่นจะมีการประชุมอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เมืองไทยนานๆ ครั้ง ส่วนเรื่องคิว ที่ญี่ปุ่นจะล็อกเวลาอย่างเสร็จสรรพ สมมุติว่า 5 ชั่วโมง ก็ 5 ชั่วโมงเลย แต่ที่เมืองไทยจะมีการเลทบ้างจนเราตกใจ เมื่อก่อนถ่ายงานทีวีซีจะล็อกเวลาแค่ 10 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปรากฏว่า ถ่ายไป 18 ชั่วโมง (หัวเราะ)
การทำงานที่ญี่ปุ่น จะเป็นลักษณะว่า เวลาถ่ายละครแต่ละเรื่อง จะมีการส่งบทละครล่วงหน้าเป็นเดือน แต่ที่เมืองไทยบางทีส่งบทมาให้ก่อน 2 วัน แล้วก็เปลี่ยนสคริปต์ได้ตลอดเลย ซึ่งเราก็พยายามทำการบ้านจากโจทย์ที่ให้มา แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มันก็เลยทำให้เราเครียดอยู่เหมือนกันว่าที่เราทำการบ้านมา ไม่ใช่เลย ก็ต้องมานั่งทำงานกันใหม่อีกครั้ง ตอนแรกๆ ที่มาใหม่ๆ เรายังไม่ชินกับวัฒนธรรมการทำงานของไทย แต่ตอนนี้ก็พอรับได้บ้างแล้ว ใช้คำว่าอดทนแทน (หัวเราะ)
• รู้ไหมครับว่า หนุ่มๆ ไทย ชอบสาวญี่ปุ่นมาก
(ทำท่าเขินอายก่อนตอบ) จริงๆ ผู้ชายไทยใจดีมากค่ะ คือแตกต่างกับผู้ชายญี่ปุ่นค่ะ ถ้าชอบผู้หญิงจะไม่พูดว่าชอบ จะขี้อาย จะพูดบอกชอบกับช่องทางอื่นแทน แต่อยู่ต่อหน้าพูดไม่ได้ แต่ผู้ชายไทยจะบอกมาเยอะๆ มาก (หัวเราะ) และก็ยิ้ม และโทรหาเยอะมาก แต่ก็มีแบบคนที่เรารู้สึกดีด้วยเหมือนกันค่ะ
จากการมีโอกาสเดินทางมาถ่ายแบบในดินแดนสยามเมืองยิ้ม ส่งผลให้ “มิซากิ นิโตะ” นางแบบและนักแสดงจากดินแดนแห่งปลาดิบ หลงเสน่ห์ประเทศไทย ซึ่งเมื่อโอกาสเปิด เธอก็คว้าโอกาสนั้นกับการทำงานอยู่ในวงการบันเทิงบ้านเรา โดยหนึ่งในผลงานที่ออกสู่วงการในขณะนี้ คือเพลงไทยที่ชื่อ “Here For Love” อิเล็กทรอนิกส์ แดนซ์ สนุกๆ ที่ปลุกให้คนฟังลุกขึ้นมาขยับแข้งขยับขาไปตามจังหวะเพลงของเธอ
“จริงๆ เพลงนี้มากจากเรื่องราวชีวิตของมิซากิเลยค่ะ เป็นเรื่องของคนที่เดินทางมาไกลเพื่อที่จะมาทำงานในเมืองไทย ต่อสู้และอดทน ก็เหมือนเป็นเพลงที่ให้กำลังใจตัวเอง และเหมือนเป็นเพลงที่กำลังใจทุกคนด้วยค่ะ”
สาวญี่ปุ่นยิ้มแก้มแทบปริ ขณะบอกเล่าด้วยภาษาไทยที่ได้ยินเสียงสำเนียงแล้ว เราต้องยอมรับในความพยายามของเธอในการใช้ภาษาไทย
• ถามย้อนไปถึงจุดคุณเริ่มต้นของงานบันเทิงที่ญี่ปุ่นครับว่าคุณเข้ามาสู่ทางสายนี้นานเท่าไหร่แล้ว
ตั้งแต่อายุ 17 ปีค่ะ เป็นช่วงนั้นกำลังตั้งใจเรียนอยู่ ซึ่งที่ญี่ปุ่น เวลาเรียนจะค่อนข้างซีเรียส ตอนนั้นก็มีแมวมองมาติดต่อแถวชิบูย่า ให้มาเป็นนางแบบหรือลองมาประกวดเวทีต่างๆ กับนิตยสารต่างๆ ประกอบกับว่า เวลาต่อมา เราเรียนจบไฮสคูลพอดี เลยได้มาทำงานในวงการค่ะ ซึ่งพอได้เข้ามาทำแล้ว ได้ทำเกือบหมดเลย ทั้งนักร้อง ทั้งถ่ายแบบ และเป็นนางแบบกราเวียร์ค่ะ
• นางแบบกราเวียร์ นี่คือยังไงนะครับ
นางแบบกราเวียร์ก็คือถ่ายแบบลงสื่อต่างๆ ด้วยคอนเซปต์การใส่บิกินี่ ซึ่งนักแสดงส่วนใหญ่จะเคยผ่านการถ่ายแบบในลักษณะนี้มาก่อนทุกคน เป็นการถ่ายแบบทั่วไป แล้วก็ถ่ายคู่กับผลิตภัณฑ์สินค้าด้วย ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของวงการที่นั่น และนางแบบกราเวียร์ก็แตกต่างจากนักแสดงเอวีที่คนไทยรู้จักทั่วไป
จริงๆ นางแบบกราเวียร์จะเป็นในลักษณะของการถ่ายบิกินี่ พอมาเมืองไทยนี่เปลี่ยนแปลงคอนเซปต์หมดเลย คือไม่ถ่ายบิกินี่ แต่จะมีถ่ายแบบน่ารัก ใสๆ มีความเซ็กซี่เล็กน้อย งานที่ญี่ปุ่นกับเมืองไทย จึงค่อนข้างตรงกันข้าม และตัวจริงของเราก็ค่อนข้างจะเนิร์ดๆ มากกว่า คือถ้าไม่มีงาน มิซากิก็จะอ่านหนังสือ เรียนหนังสือภาษาไทย เพราะถ้าเราอยากรู้อะไรสักอย่าง ก็จะตั้งใจศึกษาค่ะ (ยิ้ม)
• ตอนนี้เรียนภาษาไทยไปถึงขั้นไหนแล้วครับ
ยากมากเลยค่ะ (หัวเราะ) เพราะไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่ ก็เลยเขียนได้นิดหน่อย แต่ถ้ามีเวลาบ้าง ก็จะนั่งมาหยิบศึกษา หรือให้คุณครูภาษาไทยช่วยสอน
• แรกเริ่มเพราะเหตุใด คุณถึงสนใจที่มาทำงานที่เมืองไทยครับ
ตอนที่ทำงานที่ญี่ปุ่น เราเคยได้มาบินทำงานที่เมืองไทยและรู้สึกว่าชอบเมืองไทย เพราะว่าคนไทยเป็นคนที่ใจดีมาก และอาหารไทยก็อร่อยมากค่ะ ตอนนั้นมิซากิมาถ่ายนิตยสาร Spectrum ที่เมืองไทย เลยมีคนในวงการมาถามว่าสนใจจะมาทำงานด้วยกันที่เมืองไทยหรือเปล่า เราก็ตอบรับและมาทำงานที่เมืองไทยตั้งแต่นั้นเลยค่ะ คือเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมาดังในเมืองไทยนะคะ แต่ว่าอยากมาทำงานที่นี่ เพราะอย่างที่บอกค่ะว่าชอบเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพหรือลักษณะนิสัยคนไทยที่ใจดี คือไม่ได้คาดหวังว่าจะมาโกอินเตอร์
• พอได้มาอยู่เมืองไทยจริงๆ แล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
สบายๆ ค่ะ เพราะที่เมืองไทย ทุกคนใจดีมาก ทุกคนดูแลมิซากิเป็นอย่างดี ข้าวของก็ถูกกว่า มีผลไม้เยอะ ซึ่งแตกต่างกับที่ญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยมี เช่น ฝรั่ง มะละกอ มะม่วง โดยเฉพาะมะละกอ ที่ญีปุ่นราคาแพงมาก ลูกละเป็น 3,000 บาทเลย แต่ที่นี่ก็จะมีปัญหาเรื่องรถติดหน่อย หรืออย่างเวลาเดินทางด้วยมอเตอร์ไซต์รับจ้าง ก็จะเจออุบัติเหตุบ่อยๆ คือมีความตกใจอยู่บ้าง แล้วก็เรื่องแมลงสาบที่ตัวใหญ่มาก ซึ่งแตกต่างกับที่ญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยเห็น แต่เมืองไทยเห็นได้แทบทุกที่ เราก็เลยซื้อแมลงสาบปลอมมาไว้ที่บ้านพักเพื่อแก้เคล็ด
• การทำงานกับคนไทยแตกต่างจากการทำงานที่ญี่ปุ่นอย่างไรหรือไม่
คนญี่ปุ่นจริงๆ ซีเรียสมากค่ะ ไม่ยิ้ม ถ้าสมมุติว่านัด 3 โมง ก็จะมาตรงเวลา แต่คนไทยจะไม่เป็นอย่างนั้น จะสบายๆ ซึ่งตอนแรกเราไม่ชินเลย เพราะอย่างบางงานก็จะมีงานที่มันกะทันหันอยู่บ่อยๆ เราก็มีซีเรียสนิดหน่อย แต่ตอนนี้เริ่มโอเคแล้วค่ะ ซึ่งบางทีก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกสบายดีค่ะ แต่ว่าตกใจเรื่องเวลา แตกต่างจากที่ญี่ปุ่น ตรงที่การถ่ายทำจะกินเวลานาน แต่ที่เมืองไทยไม่ค่อยนาน และที่ญี่ปุ่นจะมีการประชุมอย่างต่อเนื่อง แต่ที่เมืองไทยนานๆ ครั้ง ส่วนเรื่องคิว ที่ญี่ปุ่นจะล็อกเวลาอย่างเสร็จสรรพ สมมุติว่า 5 ชั่วโมง ก็ 5 ชั่วโมงเลย แต่ที่เมืองไทยจะมีการเลทบ้างจนเราตกใจ เมื่อก่อนถ่ายงานทีวีซีจะล็อกเวลาแค่ 10 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ปรากฏว่า ถ่ายไป 18 ชั่วโมง (หัวเราะ)
การทำงานที่ญี่ปุ่น จะเป็นลักษณะว่า เวลาถ่ายละครแต่ละเรื่อง จะมีการส่งบทละครล่วงหน้าเป็นเดือน แต่ที่เมืองไทยบางทีส่งบทมาให้ก่อน 2 วัน แล้วก็เปลี่ยนสคริปต์ได้ตลอดเลย ซึ่งเราก็พยายามทำการบ้านจากโจทย์ที่ให้มา แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ มันก็เลยทำให้เราเครียดอยู่เหมือนกันว่าที่เราทำการบ้านมา ไม่ใช่เลย ก็ต้องมานั่งทำงานกันใหม่อีกครั้ง ตอนแรกๆ ที่มาใหม่ๆ เรายังไม่ชินกับวัฒนธรรมการทำงานของไทย แต่ตอนนี้ก็พอรับได้บ้างแล้ว ใช้คำว่าอดทนแทน (หัวเราะ)
• รู้ไหมครับว่า หนุ่มๆ ไทย ชอบสาวญี่ปุ่นมาก
(ทำท่าเขินอายก่อนตอบ) จริงๆ ผู้ชายไทยใจดีมากค่ะ คือแตกต่างกับผู้ชายญี่ปุ่นค่ะ ถ้าชอบผู้หญิงจะไม่พูดว่าชอบ จะขี้อาย จะพูดบอกชอบกับช่องทางอื่นแทน แต่อยู่ต่อหน้าพูดไม่ได้ แต่ผู้ชายไทยจะบอกมาเยอะๆ มาก (หัวเราะ) และก็ยิ้ม และโทรหาเยอะมาก แต่ก็มีแบบคนที่เรารู้สึกดีด้วยเหมือนกันค่ะ
ชื่อ : มิซากิ นิโตะ (Mizaki Nito) ชื่อเล่น : มิซากิ วันเกิด : 3 มีนาคม 1993 ส่วนสูง : 166 น้ำหนัก : 48 ความสามารถพิเศษ : เล่นเปียโน, ร้องเพลง งานอดิเรก : เรียนภาษาไทย ผลงาน : โฆษณา TVC Oishi Tea โฆษณา TVC Tea Plus ละครเรื่อง นารีคงกระพัน ทางช่อง 3 |
เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร