จากรับขายเสื้อผ้า สู่เจ้าของแบรนด์เครื่องสำอาง “Fairy Milky” ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยใสไปจนถึงคนโต สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ กระทั่งปลดหนี้กว่า 1 ล้านบาทให้ครอบครัวในเวลา 4 ปี แถมมีเงินหมุนเวียนในบัญชีกว่า 5-6 ล้าน นำพาครอบครัวที่กำลังระส่ำระสายให้กลับมาสุขสันต์อีกครั้ง และนี่ก็คือวีรกรรมของเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งอายุเพียงแค่ 14 ปี...“มิลค์ รัญชิดา กมลฉัตรนิธิ”...
เพราะ "ความลำบาก"
คือยาชูกำลัง
"เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนมิลค์เรียนอยู่ชั้น ม.2 ที่บ้านซึ่งขายวัสดุอุปกรณ์ช่างและรับเหมา กำลังทรุด ไม่ค่อยมีงาน แล้วเจอน้ำท่วมด้วย ลำบากมาก แต่พ่อแม่พยายามไม่ให้เรารู้ คือได้ค่าขนมวันละ 100 บาท อย่างไรก็ยังได้เหมือนเดิม แต่เรากับพี่ก็สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้มันไม่ไหวนะ ถึงขั้นกินมาม่าเป็นจริงเป็นจังแทนข้าวก็บ่อย เพราะอย่างพี่สาวตอนที่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด อาทิตย์หนึ่งเขาได้เงิน 500 บาท ค่าเทอมก็ต้องผ่อนผัน มันแย่ก็จริงๆ เราจึงอยากทำอะไรที่ช่วยเหลือแบ่งเบา มีวิธีไหนช่วยได้ เราก็จะช่วย โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมที่เวลาว่างเยอะ
"แล้วก็ก่อนหน้านั้น พอพ่อเครียดจากที่งานมาเขาก็กินเหล้า สูบบุหรี่หนักจนเข้าโรงพยาบาล ก็ไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้น เราก็เลยพยายามหาวิธี เลยเริ่มจากช่วยโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตหาลูกค้าให้พ่อ ก่อนจะเอาเสื้อผ้าที่เคยใส่แล้วมาขาย"
มิลค์ สาวน้อยวัย 18 ปี ในปัจจุบันกล่าวเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นอย่างรวบรัดที่ทำให้เกิดความคิดริเริ่มในการหารายได้
"คือไปเห็นจากอินเตอร์เน็ตว่าเขาลงขายกัน ตอนนั้นเลยไปดูว่าเขารับของมาจากประตูน้ำ เราก็ไปรับมาลองขาย เพราะว่าเราก็ชอบด้านนี้อยู่แล้ว ตอนสมัยเด็กๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยช่วยคุณพ่อขายของหน้าร้านที่ค้างสต็อก ก็ขายได้ หรือมีงานโรงเรียนก็ไปเช่าที่ให้แม่กับพี่ขายไก่ทอด เฟรนช์ฟรายด์ มาม่าผัด คือเห็นอะไรที่เป็นลู่ทางช่วย เราทำหมด"
เฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างเพื่อน จึงกลายเป็นเพจซื้อสั่งสิ้นค้าเสื้อผ้าไปโดยปริยาย
"ตอนนั้นก็ขายกลุ่มเพื่อนๆ นักเรียนในโรงเรียน การสั่งซื้อเป็นแบบพรีออเดอร์ ใครสั่งโอนเงินมาก็จัดหา ก็มียอดสั่งอยู่บ้าง แต่มันก็กำไรไม่เยอะเพราะไหนจะค่าเดินทาง ค่าเหนื่อย เพราะเราต้องถ่ายรูปลงเองด้วย ก็ถ่ายจากโทรศัพท์หน้าจอแตก (หัวเราะ) ถ่ายไปร้อยกว่ารูป ใช้ได้จริงไม่ถึงครึ่ง ก็มีใส่ไม้แขวนเสื้อบ้าง กับกำแพงบ้าง ใส่เองถ่ายเองเป็นพรีเซ็นต์เตอร์บ้าง ทีนี้พอขายไปเรื่อยๆ ก็อยากขายให้ได้เพิ่ม หลังจากนั้นเลยลองไปขายที่ตลาดนัดสวนรถไฟดู แต่ปรากฏว่าขายไม่ได้เลย เพราะมีแต่คนเดินไม่มีคนซื้อ ตอนนั้นก็เริ่มท้อ เพราะมันเป็นเดือนๆ ที่เป็นอย่างนั้น"
แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นหวังแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว บวกกับคำสอนและกำลังใจของคุณพ่อคุณแม่ที่สนับสนุน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจเสื้อผ้าเท่าที่ควร กระนั้นเธอก็ไม่หยุดหาลู่ทางต่อ
"ตอนนั้นก็พอมีเงินใช้เองระดับหนึ่ง ก็อยากจะดูดี เพราะเราตากแดดตอนขายเสื้อผ้า ผิวก็ค่อนข้างจะดำ เลยลองซื้อครีมตัวหนึ่งมาใช้ ปรากฏว่าใช้แล้วดี เหมาะกับเรา เพราะเราเป็นคนไม่ชอบใช้ครีมหลายตัว แล้วก็อยากได้ตัวที่เห็นผลเร็ว (หัวเราะ) ตัวนี้ก็ตอบโจทย์ เราก็ไปดูว่าเขาผลิตที่ไหน ไปดูเองเลยว่าโรงงานนี้เป็นอย่างไร พอเห็นว่าดีจริง เราก็สั่งจากพี่เขา"
"คือแรกๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะสำเร็จ ยอมรับว่าตอนนั้นท้อ แต่คุณพ่อคุณแม่จะบอกเสมอว่าอยากทำอะไรก็ทำ ทำเลย เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็สู้มาตลอดให้เราเห็นจากชีวิตท่าน เราก็ต้องทำได้ แล้วเราก็เคยผ่านความลำบากมาช่วงก่อนที่จะมาทำตรงนี้ คุณแม่ก็มักจะชวนหนูขี่มอเตอร์ไซค์ตากแดดร้อนๆ กันไปสองคนชวนแจกใบปลิวตามบ้าน ติดตามเสาร์ไฟฟ้าบ้าง บางที บ้านไหนมีหมาก็ต้องวิ่งหนีหมากันจ้าละหวั่น ก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้"
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการแบรนด์ครีมของตัวเองที่ช่วยปลดหนี้ครอบครัวกว่า 1.5 ล้านบาท จากต้นทุนเพียงหลักพันต้นๆ
เคล็ดลับความสำเร็จ
สำคัญที่ "จริงใจ"
แม้ว่าจะมีแรงกำลังใจสนับสนุนผลักดัน กระทั่งเคยมีประสบการณ์การค้าขาย แต่ใช่ว่าจะง่ายเพราะด้วยการเป็นเจ้าแรกๆ บุกเบิกด้วยวัยเด็กหญิงนำหน้า ยังไม่เคยเรียนรู้วิชาการตลาดในหลักสูตร จึงต้องลองผิดลองถูกนานพอสมควร
"คือตอนแรกๆ ก็ลำบากเหมือนกัน กว่าจะมาถึงขั้นนี้ก็ใช้ระยะเวลาราว 4 ปี จากทุน 3,000 บาท ของคุณพ่อ เพราะเรายังไม่มีชื่อ แรกๆ ก็ขายไม่ดีเท่าไหร่ เราก็ทำแบบเดิมคือให้สั่งสินค้าแบบพรีออเดอร์ เราทำได้แต่คิดว่าเราขายของให้คนที่เรารู้จัก คนที่เรารัก เราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่เราประสบมา สักพักพอมีคนมาลองซื้อไปใช้แล้วเขาได้ผล เขาก็ไปบอกต่อกัน จากนั้นเราก็เริ่มให้คนช่วยโปรโมทบ้าง รีวิวบ้าง ทีนี้เยอะขึ้นๆ ก็เริ่มกว้างขึ้น"
มิลค์บอกว่า บ่อยครั้งที่ซื้อครีมของเจ้าอื่น เพื่อเพียงต้องการดูแบบกล่องผลิตภัณฑ์ ต้องการคอนเน็กชั่นติดต่อ เพราะเครือข่ายสำคัญและการทำธุรกิจนั้นหยุดไม่ได้ ต้องคอยดูคู่แข่งอยู่ตลอดเวลาว่าเขาทำอะไร เราต้องทำให้ดีกว่า ต้องเลือกขายต้องแตกต่างจากคนอื่น
"เราเริ่มแบบไม่มีใครมาบอก ก็ขวนขวายหาเองว่าเราควรจะทำอย่างไร แรกๆ ทำก็ไม่มีกล่องใส่บรรจุ ก็ต้องลงทุนซื้อครีมของคนอื่น ซื้อมาเพื่อจะดูแพคเก็จเขา กล่องเขาทำอย่างไร ขนาด สี ของเรามันต้องดีกว่านี้ หรืออย่างคนอื่นเขาจะขายหน้าขาว ลดสิว แต่เราจะเพิ่มไม่มีสีไม่มีกลิ่นไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อให้เหมาะกับทุกสภาพผิว อย่างนี้เป็นต้น คือมองหาจุดที่คนอื่นที่เขายังไม่มี ต้องหาของแตกต่างให้เป็นจุดขายการสร้างจุดขายให้ตัวเอง ต้องดีกว่าจริงๆ ถึงจะอยู่ได้
"แล้วอย่างราคาก็ต้องถูกกว่าเขา เพราะกลุ่มเป้าหมายเราเป็นเด็กวัยรุ่นที่กำลังซื้อไม่มาก เราก็ต้องหาวิธีลดต้นทุน ทำการประชาสัมพันธ์เองเพื่อให้เข้าถึงกลุ่ม ก็โพสต์ตามร้านบ้างตามอย่างสมัยนั้น โต้งๆ เลย ประมาณว่าเราใช้อันนี้แล้วดี
"ถ้าถามว่าเคล็ดลับความสำเร็จคืออะไร หัวใจหลักสำหรับมิลค์คือเรื่องคุณภาพสำคัญที่สุด ถ้าคุณภาพดี คนเขาก็ไม่ไปไหน แล้วก็ความใส่ใจ พยายามชี้แจงทุกอย่างให้ละเอียดแล้วมากกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
และด้วยเหตุนี้ปัญหาต่างๆ อย่างการขายตัดราคา การโจมตีป้ายสีเรื่องคุณภาพสินค้า ที่ต้องประสบพบเจอในการตลาดโลกออนไลน์ จึงไม่สามารถสกัดฐานลูกค้าของเธอได้
"อย่างมีคนโจมตีเราว่าครีมมีสารสเตียรอยด์ทั้งที่ไม่ได้ใช้ของเรา เราก็ต้องพิสูจน์โดยการเอาใบรับรองมาให้ดู มีการจดทะเบียนการค้า หรือรายย่อยได้รับผลกระทบเรื่องการตัดราคา เราก็ต้องโทรไปเคลียร์ทันทีเลยว่าขายราคานี้ไม่ได้ ถ้ารับไม่ได้ ก็ต้องขอซื้อคืน ใจแลกใจ มันก็จำเป็นที่ต้องทำให้ดี หยุดไม่ได้"
ขั้นสุดท้าย...
อย่าหยุดที่จะเรียนรู้
ณ ตอนนี้กลุ่มตัวแทนจำหน่ายสายตรงมีมากกว่า 300 ราย ยังไม่นับรายย่อยที่ต่อแชร์กันแทบทั่วภูมิภาค มีเงินหมุนเวียน 5-6 ล้าน ภายใต้แบรนด์ Fairy Milky
"ก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป ทั้งในแง่ธุรกิจและชีวิต เรื่องเรียนมิลค์ก็ไม่ทิ้งเพราะคิดเสมอว่าการเรียนมันเป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีความรู้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างตอนนี้ก็กำลังขยายสินค้าทำอาหารเสริม ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติม"
มิลค์เผยด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนอกจากเรื่องธุรกิจที่ใช้ความจริงใจ ความสำเร็จในชีวิตก็เช่นเดียวกัน
เพราะแม้จะหนักหนาจนบางครั้งผู้ที่พบเห็นเรื่องราวชีวิตของเธอจะทัดทานด้วยประสงค์ดีที่อยากให้มุ่งมั่นตั้งใจเรียน แต่เมื่อนึกถึงภาพครอบครัวทีไรเธอก็ลุกขึ้นสู้ได้เสมอ และทำได้ดีในทั้งสองอย่างเสียด้วย
"ก็เคยมีคนเขาบอกเราว่าวัยอย่างเราตอนนี้น่าจะตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะมาทำอะไรอย่างนี้ เรื่องตรงนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ก็ยอมรับว่าเหนื่อยบ้าง แต่อย่างที่บอก เหตุผลเริ่มธุรกิจ คือพอมีปัญหาเรื่องเงินทุกคนก็เครียด อยู่ด้วยกันบ้านเดียวกัน แต่เข้ามากันมาแล้วต่างคนต่างไม่คุยกัน เข้ามาก็ต่างคนต่างขึ้นห้อง
"แต่ช่วงเวลาที่เราทำงานนี้ ที่บ้านครอบครัวช่วยกัน เราก็ได้พูดได้คุย เรื่องโน่นนี่นั่นกับครอบครัวบ้าง ก็ทำให้มีความสัมพันธ์กันมากขึ้น หรือบางทีกับเพื่อนๆ ที่มาช่วยบ้าง ทำเสร็จเราก็ช่วยกันติว ตอนนี้ก็เรียนไม่ตกได้เกรดเฉลี่ย 3 กว่าทุกเทอม
"คือเงินมันไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เงินมันทำให้ทุกคนกลับมารวมกันได้ จากที่เหมือนแพจะแตก ต้องไปคนละทิศทาง แต่พอลุกขึ้นมาได้ ทุกคนก็กลับมา คุณพ่อคุณแม่ก็ดีใจกับความสำเร็จของเรา ท่านร้องไห้และขอบคุณที่เรานำครอบครัวกลับมาได้ ภาพความตื้นตันในวันที่แอบไปปลดหนี้ที่ธนาคาร ยังคงจำได้ถึงวันนี้ แต่จริงๆ ชีวิตเราประสบความสำเร็จเพราะครอบครัวให้โอกาส คุณพ่อคุณแม่ที่เป็นต้นแบบ ป้า พี่สาว ก็ภูมิใจที่มีวันนี้ แต่เราจะไม่ประสบความสำเร็จเลยถ้าไม่มีพวกเขาคอยช่วยเหลือให้กำลังใจแนะนำ
"ท้ายที่สุดก็อยากจะฝากสำหรับคนที่อาจจะเจอะเจอปัญหาอย่างมิลค์อยู่ หรืออะไรก็ตาม ขอให้เชื่อในตัวเอง เจออุปสรรค อย่าเพิ่งท้อ เพราะมันอาจจะอีกแค่ก้าวเดียวก็สำเร็จ เพียงมุ่งมั่น ตั้งใจ แล้วลองลงมือทำ"
Profile
ชื่อจริง : รัญชิดา กมลฉัตรนิธิ
ชื่อเล่น : มิลค์
อายุ : 18 ปี
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปลายที่ 6 สาย ศิลป์-จีน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
ความฝันในอนาคต : ผู้กำกับภาพยนตร์
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปัญญาพัฒน์ เข็มราช
เพราะ "ความลำบาก"
คือยาชูกำลัง
"เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ตอนมิลค์เรียนอยู่ชั้น ม.2 ที่บ้านซึ่งขายวัสดุอุปกรณ์ช่างและรับเหมา กำลังทรุด ไม่ค่อยมีงาน แล้วเจอน้ำท่วมด้วย ลำบากมาก แต่พ่อแม่พยายามไม่ให้เรารู้ คือได้ค่าขนมวันละ 100 บาท อย่างไรก็ยังได้เหมือนเดิม แต่เรากับพี่ก็สามารถรู้ได้ว่าตอนนี้มันไม่ไหวนะ ถึงขั้นกินมาม่าเป็นจริงเป็นจังแทนข้าวก็บ่อย เพราะอย่างพี่สาวตอนที่เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด อาทิตย์หนึ่งเขาได้เงิน 500 บาท ค่าเทอมก็ต้องผ่อนผัน มันแย่ก็จริงๆ เราจึงอยากทำอะไรที่ช่วยเหลือแบ่งเบา มีวิธีไหนช่วยได้ เราก็จะช่วย โดยเฉพาะช่วงปิดเทอมที่เวลาว่างเยอะ
"แล้วก็ก่อนหน้านั้น พอพ่อเครียดจากที่งานมาเขาก็กินเหล้า สูบบุหรี่หนักจนเข้าโรงพยาบาล ก็ไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้น เราก็เลยพยายามหาวิธี เลยเริ่มจากช่วยโพสต์ลงอินเตอร์เน็ตหาลูกค้าให้พ่อ ก่อนจะเอาเสื้อผ้าที่เคยใส่แล้วมาขาย"
มิลค์ สาวน้อยวัย 18 ปี ในปัจจุบันกล่าวเล่าย้อนถึงจุดเริ่มต้นอย่างรวบรัดที่ทำให้เกิดความคิดริเริ่มในการหารายได้
"คือไปเห็นจากอินเตอร์เน็ตว่าเขาลงขายกัน ตอนนั้นเลยไปดูว่าเขารับของมาจากประตูน้ำ เราก็ไปรับมาลองขาย เพราะว่าเราก็ชอบด้านนี้อยู่แล้ว ตอนสมัยเด็กๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยช่วยคุณพ่อขายของหน้าร้านที่ค้างสต็อก ก็ขายได้ หรือมีงานโรงเรียนก็ไปเช่าที่ให้แม่กับพี่ขายไก่ทอด เฟรนช์ฟรายด์ มาม่าผัด คือเห็นอะไรที่เป็นลู่ทางช่วย เราทำหมด"
เฟซบุ๊กส่วนตัวที่ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างเพื่อน จึงกลายเป็นเพจซื้อสั่งสิ้นค้าเสื้อผ้าไปโดยปริยาย
"ตอนนั้นก็ขายกลุ่มเพื่อนๆ นักเรียนในโรงเรียน การสั่งซื้อเป็นแบบพรีออเดอร์ ใครสั่งโอนเงินมาก็จัดหา ก็มียอดสั่งอยู่บ้าง แต่มันก็กำไรไม่เยอะเพราะไหนจะค่าเดินทาง ค่าเหนื่อย เพราะเราต้องถ่ายรูปลงเองด้วย ก็ถ่ายจากโทรศัพท์หน้าจอแตก (หัวเราะ) ถ่ายไปร้อยกว่ารูป ใช้ได้จริงไม่ถึงครึ่ง ก็มีใส่ไม้แขวนเสื้อบ้าง กับกำแพงบ้าง ใส่เองถ่ายเองเป็นพรีเซ็นต์เตอร์บ้าง ทีนี้พอขายไปเรื่อยๆ ก็อยากขายให้ได้เพิ่ม หลังจากนั้นเลยลองไปขายที่ตลาดนัดสวนรถไฟดู แต่ปรากฏว่าขายไม่ได้เลย เพราะมีแต่คนเดินไม่มีคนซื้อ ตอนนั้นก็เริ่มท้อ เพราะมันเป็นเดือนๆ ที่เป็นอย่างนั้น"
แต่ด้วยใจที่มุ่งมั่นหวังแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว บวกกับคำสอนและกำลังใจของคุณพ่อคุณแม่ที่สนับสนุน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจเสื้อผ้าเท่าที่ควร กระนั้นเธอก็ไม่หยุดหาลู่ทางต่อ
"ตอนนั้นก็พอมีเงินใช้เองระดับหนึ่ง ก็อยากจะดูดี เพราะเราตากแดดตอนขายเสื้อผ้า ผิวก็ค่อนข้างจะดำ เลยลองซื้อครีมตัวหนึ่งมาใช้ ปรากฏว่าใช้แล้วดี เหมาะกับเรา เพราะเราเป็นคนไม่ชอบใช้ครีมหลายตัว แล้วก็อยากได้ตัวที่เห็นผลเร็ว (หัวเราะ) ตัวนี้ก็ตอบโจทย์ เราก็ไปดูว่าเขาผลิตที่ไหน ไปดูเองเลยว่าโรงงานนี้เป็นอย่างไร พอเห็นว่าดีจริง เราก็สั่งจากพี่เขา"
"คือแรกๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะสำเร็จ ยอมรับว่าตอนนั้นท้อ แต่คุณพ่อคุณแม่จะบอกเสมอว่าอยากทำอะไรก็ทำ ทำเลย เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็สู้มาตลอดให้เราเห็นจากชีวิตท่าน เราก็ต้องทำได้ แล้วเราก็เคยผ่านความลำบากมาช่วงก่อนที่จะมาทำตรงนี้ คุณแม่ก็มักจะชวนหนูขี่มอเตอร์ไซค์ตากแดดร้อนๆ กันไปสองคนชวนแจกใบปลิวตามบ้าน ติดตามเสาร์ไฟฟ้าบ้าง บางที บ้านไหนมีหมาก็ต้องวิ่งหนีหมากันจ้าละหวั่น ก็คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้"
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการแบรนด์ครีมของตัวเองที่ช่วยปลดหนี้ครอบครัวกว่า 1.5 ล้านบาท จากต้นทุนเพียงหลักพันต้นๆ
เคล็ดลับความสำเร็จ
สำคัญที่ "จริงใจ"
แม้ว่าจะมีแรงกำลังใจสนับสนุนผลักดัน กระทั่งเคยมีประสบการณ์การค้าขาย แต่ใช่ว่าจะง่ายเพราะด้วยการเป็นเจ้าแรกๆ บุกเบิกด้วยวัยเด็กหญิงนำหน้า ยังไม่เคยเรียนรู้วิชาการตลาดในหลักสูตร จึงต้องลองผิดลองถูกนานพอสมควร
"คือตอนแรกๆ ก็ลำบากเหมือนกัน กว่าจะมาถึงขั้นนี้ก็ใช้ระยะเวลาราว 4 ปี จากทุน 3,000 บาท ของคุณพ่อ เพราะเรายังไม่มีชื่อ แรกๆ ก็ขายไม่ดีเท่าไหร่ เราก็ทำแบบเดิมคือให้สั่งสินค้าแบบพรีออเดอร์ เราทำได้แต่คิดว่าเราขายของให้คนที่เรารู้จัก คนที่เรารัก เราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่เราประสบมา สักพักพอมีคนมาลองซื้อไปใช้แล้วเขาได้ผล เขาก็ไปบอกต่อกัน จากนั้นเราก็เริ่มให้คนช่วยโปรโมทบ้าง รีวิวบ้าง ทีนี้เยอะขึ้นๆ ก็เริ่มกว้างขึ้น"
มิลค์บอกว่า บ่อยครั้งที่ซื้อครีมของเจ้าอื่น เพื่อเพียงต้องการดูแบบกล่องผลิตภัณฑ์ ต้องการคอนเน็กชั่นติดต่อ เพราะเครือข่ายสำคัญและการทำธุรกิจนั้นหยุดไม่ได้ ต้องคอยดูคู่แข่งอยู่ตลอดเวลาว่าเขาทำอะไร เราต้องทำให้ดีกว่า ต้องเลือกขายต้องแตกต่างจากคนอื่น
"เราเริ่มแบบไม่มีใครมาบอก ก็ขวนขวายหาเองว่าเราควรจะทำอย่างไร แรกๆ ทำก็ไม่มีกล่องใส่บรรจุ ก็ต้องลงทุนซื้อครีมของคนอื่น ซื้อมาเพื่อจะดูแพคเก็จเขา กล่องเขาทำอย่างไร ขนาด สี ของเรามันต้องดีกว่านี้ หรืออย่างคนอื่นเขาจะขายหน้าขาว ลดสิว แต่เราจะเพิ่มไม่มีสีไม่มีกลิ่นไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อให้เหมาะกับทุกสภาพผิว อย่างนี้เป็นต้น คือมองหาจุดที่คนอื่นที่เขายังไม่มี ต้องหาของแตกต่างให้เป็นจุดขายการสร้างจุดขายให้ตัวเอง ต้องดีกว่าจริงๆ ถึงจะอยู่ได้
"แล้วอย่างราคาก็ต้องถูกกว่าเขา เพราะกลุ่มเป้าหมายเราเป็นเด็กวัยรุ่นที่กำลังซื้อไม่มาก เราก็ต้องหาวิธีลดต้นทุน ทำการประชาสัมพันธ์เองเพื่อให้เข้าถึงกลุ่ม ก็โพสต์ตามร้านบ้างตามอย่างสมัยนั้น โต้งๆ เลย ประมาณว่าเราใช้อันนี้แล้วดี
"ถ้าถามว่าเคล็ดลับความสำเร็จคืออะไร หัวใจหลักสำหรับมิลค์คือเรื่องคุณภาพสำคัญที่สุด ถ้าคุณภาพดี คนเขาก็ไม่ไปไหน แล้วก็ความใส่ใจ พยายามชี้แจงทุกอย่างให้ละเอียดแล้วมากกว่า เอาใจเขามาใส่ใจเรา"
และด้วยเหตุนี้ปัญหาต่างๆ อย่างการขายตัดราคา การโจมตีป้ายสีเรื่องคุณภาพสินค้า ที่ต้องประสบพบเจอในการตลาดโลกออนไลน์ จึงไม่สามารถสกัดฐานลูกค้าของเธอได้
"อย่างมีคนโจมตีเราว่าครีมมีสารสเตียรอยด์ทั้งที่ไม่ได้ใช้ของเรา เราก็ต้องพิสูจน์โดยการเอาใบรับรองมาให้ดู มีการจดทะเบียนการค้า หรือรายย่อยได้รับผลกระทบเรื่องการตัดราคา เราก็ต้องโทรไปเคลียร์ทันทีเลยว่าขายราคานี้ไม่ได้ ถ้ารับไม่ได้ ก็ต้องขอซื้อคืน ใจแลกใจ มันก็จำเป็นที่ต้องทำให้ดี หยุดไม่ได้"
ขั้นสุดท้าย...
อย่าหยุดที่จะเรียนรู้
ณ ตอนนี้กลุ่มตัวแทนจำหน่ายสายตรงมีมากกว่า 300 ราย ยังไม่นับรายย่อยที่ต่อแชร์กันแทบทั่วภูมิภาค มีเงินหมุนเวียน 5-6 ล้าน ภายใต้แบรนด์ Fairy Milky
"ก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป ทั้งในแง่ธุรกิจและชีวิต เรื่องเรียนมิลค์ก็ไม่ทิ้งเพราะคิดเสมอว่าการเรียนมันเป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีความรู้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม อย่างตอนนี้ก็กำลังขยายสินค้าทำอาหารเสริม ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติม"
มิลค์เผยด้วยรอยยิ้ม ซึ่งนอกจากเรื่องธุรกิจที่ใช้ความจริงใจ ความสำเร็จในชีวิตก็เช่นเดียวกัน
เพราะแม้จะหนักหนาจนบางครั้งผู้ที่พบเห็นเรื่องราวชีวิตของเธอจะทัดทานด้วยประสงค์ดีที่อยากให้มุ่งมั่นตั้งใจเรียน แต่เมื่อนึกถึงภาพครอบครัวทีไรเธอก็ลุกขึ้นสู้ได้เสมอ และทำได้ดีในทั้งสองอย่างเสียด้วย
"ก็เคยมีคนเขาบอกเราว่าวัยอย่างเราตอนนี้น่าจะตั้งใจเรียนมากกว่าที่จะมาทำอะไรอย่างนี้ เรื่องตรงนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ก็ยอมรับว่าเหนื่อยบ้าง แต่อย่างที่บอก เหตุผลเริ่มธุรกิจ คือพอมีปัญหาเรื่องเงินทุกคนก็เครียด อยู่ด้วยกันบ้านเดียวกัน แต่เข้ามากันมาแล้วต่างคนต่างไม่คุยกัน เข้ามาก็ต่างคนต่างขึ้นห้อง
"แต่ช่วงเวลาที่เราทำงานนี้ ที่บ้านครอบครัวช่วยกัน เราก็ได้พูดได้คุย เรื่องโน่นนี่นั่นกับครอบครัวบ้าง ก็ทำให้มีความสัมพันธ์กันมากขึ้น หรือบางทีกับเพื่อนๆ ที่มาช่วยบ้าง ทำเสร็จเราก็ช่วยกันติว ตอนนี้ก็เรียนไม่ตกได้เกรดเฉลี่ย 3 กว่าทุกเทอม
"คือเงินมันไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เงินมันทำให้ทุกคนกลับมารวมกันได้ จากที่เหมือนแพจะแตก ต้องไปคนละทิศทาง แต่พอลุกขึ้นมาได้ ทุกคนก็กลับมา คุณพ่อคุณแม่ก็ดีใจกับความสำเร็จของเรา ท่านร้องไห้และขอบคุณที่เรานำครอบครัวกลับมาได้ ภาพความตื้นตันในวันที่แอบไปปลดหนี้ที่ธนาคาร ยังคงจำได้ถึงวันนี้ แต่จริงๆ ชีวิตเราประสบความสำเร็จเพราะครอบครัวให้โอกาส คุณพ่อคุณแม่ที่เป็นต้นแบบ ป้า พี่สาว ก็ภูมิใจที่มีวันนี้ แต่เราจะไม่ประสบความสำเร็จเลยถ้าไม่มีพวกเขาคอยช่วยเหลือให้กำลังใจแนะนำ
"ท้ายที่สุดก็อยากจะฝากสำหรับคนที่อาจจะเจอะเจอปัญหาอย่างมิลค์อยู่ หรืออะไรก็ตาม ขอให้เชื่อในตัวเอง เจออุปสรรค อย่าเพิ่งท้อ เพราะมันอาจจะอีกแค่ก้าวเดียวก็สำเร็จ เพียงมุ่งมั่น ตั้งใจ แล้วลองลงมือทำ"
Profile
ชื่อจริง : รัญชิดา กมลฉัตรนิธิ
ชื่อเล่น : มิลค์
อายุ : 18 ปี
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมปลายที่ 6 สาย ศิลป์-จีน โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
ความฝันในอนาคต : ผู้กำกับภาพยนตร์
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปัญญาพัฒน์ เข็มราช