คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.ฝรั่งเศสถูกก่อการร้าย โจมตี “ปารีส” หลายจุดพร้อมกัน ตายกว่า 150 เจ็บกว่า 200 ด้าน “บิ๊กตู่” สั่งสถานทูตดูแลคนไทย!

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. เวลาประมาณ 23.00 น.ตามเวลาในประเทศฝรั่งเศส ได้เกิดเหตุรุนแรงหลายจุดในกรุงปารีส โดยคนร้ายไม่ทราบจำนวนพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งปืนกล ปืนไรเฟิล และระเบิด ได้บุกโจมตีสถานที่หลายแห่งทั้งใจกลางและชานกรุงปารีส ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จุดที่ถูกโจมตี ได้แก่ โรงละครบาตาคล็อง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสำนักพิมพ์ชาร์ลี เอ็บโด ที่เคยเกิดเหตุกราดยิงและจับตัวประกันก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เหตุเกิดขณะโรงละครบาตาคล็องกำลังมีการแสดงคอนเสิร์ต โดยคนร้ายได้จับผู้คนในโรงละครหลายสิบคนเป็นตัวประกัน โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า คนร้ายได้ใช้ปืนไรเฟิลจ่อยิงผู้ที่เข้าชมคอนเสิร์ตรายตัวเป็นเวลาประมาณ 10-15 นาที ด้านหน่วยคอมมานโดตัดสินใจบุกจู่โจมท่ามกลางเสียงระเบิดดังขึ้นหลายระลอก ทั้งนี้ มีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตที่จุดนี้นับร้อยศพ ขณะที่ผู้ต้องสงสัยนักรบญิฮัด 3 คน ถูกหน่วยคอมมานโดสังหาร
นอกจากที่โรงละครบาตาคล็องแล้ว สนามสตาด เดอ ฟรองซ์ ทางเหนือของปารีส ก็ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน ขณะที่ฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนี กำลังฟาดแข้งกันอยู่ โดยประธานาธิบดี ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ได้เข้าร่วมชมด้วย หลังเกิดเหตุระเบิด เจ้าหน้าที่ได้คุ้มกันประธานาธิบดีฝรั่งเศสออกจากสนาม และไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อเรียกประชุมฉุกเฉินทันที ก่อนประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วฝรั่งเศส รวมทั้งสั่งปิดชายแดนทั่วประเทศ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยังยืนยันด้วยว่า การโจมตีปารีสครั้งนี้เป็นเรื่องของการก่อการร้าย ทั้งนี้ ทางการฝรั่งเศสได้ส่งทหารเข้าไปคุ้มกันเมืองหลวงเพิ่มอีก 1,500 นาย ขณะเดียวกันมีรายงานว่า โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ในปารีสหยุดการเรียนการสอนในวันที่ 14 พ.ย.
สำหรับจุดอื่นๆ ที่ถูกโจมตีในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ บาร์ในเขต 11 ของปารีส ซึ่งมีทั้งเสียงปืนรัวและเสียงระเบิด ทำให้ตำรวจต้องกันประชาชนออกจากบาร์และร้านอาหารทั้งหมดที่อยู่ในเขต 10 และ 11 สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการถูกโจมตีครั้งนี้ ยังไม่นิ่ง โดยมีรายงานว่า ไม่ต่ำกว่า 150 คน และมีผู้บาดเจ็บกว่า 200 ราย
มีรายงานว่า เหตุโจมตีฝรั่งเศสพร้อมกันหลายจุดครั้งนี้ มีขึ้นในขณะที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งพันธมิตรนานาชาติ นำโดยสหรัฐฯ กำลังปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อนักรบรัฐอิสลามในซีเรียและอิรัก และอยู่ระหว่างเฝ้าระวังก่อการร้ายขั้นสูงสุดก่อนหน้าการประชุมภูมิอากาศโลกที่จะมีขึ้นปลายเดือนนี้
ด้านผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย ได้แสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดกับฝรั่งเศส โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและครอบครัวจากเหตุรุนแรงในปารีส พร้อมสั่งให้สถานทูตไทยในกรุงปารีสติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลคนไทยในกรุงปารีส ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย รายงานว่า ยังไม่พบคนไทยในปารีสได้รับผลกระทบจากเหตการณ์ที่เกิดขึ้น
2.“สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” รอด เสียงถอดถอนของ สนช.ไม่ถึงเกณฑ์ 109 : 82 !

เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อรับฟังการแถลงปิดคดีถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกจากตำแหน่ง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งสำนวนชี้มูลความผิดนายสมศักดิ์ มายัง สนช. จากกรณีร่ำรวยผิดปกติ เกี่ยวกับบ้านที่ อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมีการก่อสร้างต่อเนื่องในขณะที่นายสมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จนปลูกสร้างแล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ.2554 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 16 ล้านบาทเศษ
ทั้งนี้ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหา ไม่ประสงค์แถลงปิดคดีด้วยวาจา โดยได้ยื่นคำแถลงเป็นเอกสารแทน ขณะที่นายสมศักดิ์ ผู้ถูกกล่าวหา แถลงปิดคดีด้วยวาจา โดยยืนยันว่า บ้านดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จเดือน เม.ย. ปี 2542 ก่อนที่ตนจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเมื่อเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน หลังจากนั้นจึงได้มีการต่อเติมสร้างเรือนพักรับรองประชาชนจำนวน 1 ล้าน 4 แสนบาท แต่กรรมการ ป.ป.ช. กลับนำค่าใช้จ่ายการต่อเติมดังกล่าวไปรวมกับมูลค่าบ้านที่สร้างเสร็จไปแล้วตั้งแต่ต้น เหตุใดกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่ชี้มูลว่า ตนได้ใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่หลังดำรงตำแหน่งดังกล่าวทำให้มีรายได้ร่ำรวยเพิ่มขึ้น 1 ล้าน 4 แสนบาทเท่านั้น และจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ ตนได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการก่อสร้างบ้านอย่างครบถ้วน อาทิ พยานบุคคล และภาพถ่ายทางอากาศ พร้อมทั้งไม่มีเจตนาใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งดังกล่าวโดยมิชอบในการได้มาซึ่งทรัพย์สินของตนเอง ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช.ก็ได้มีการยืนยันแล้วว่า ไม่พบการทุจริตในการบริหารงานขณะตนดำรงตำแหน่ง
นายสมศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สำนวนสรุปคำชี้มูลที่กรรมการ ป.ป.ช. ตั้งประเด็นว่า ตนใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งบ้านดังกล่าวนั้น กลับพบว่าคำชี้มูลของกรรมการ ป.ป.ช. ในสำนวนดังกล่าวไม่มีการกล่าวถึงการใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินนั้นแต่อย่างใด และว่า ญัตติที่กรรมการ ป.ป.ช.ได้เสนอต่อ สนช. เพื่อถอดถอนตนครั้งนี้ เป็นข้อกล่าวหาในคดีร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์เพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่ไม่ใช่กรณีจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งตนได้รับบทลงโทษก่อนหน้านี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่กรรมการ ป.ป.ช.ได้นำประเด็นดังกล่าวมานำเสนอในที่ประชุมอีกครั้ง จึงเกรงว่าสมาชิก สนช.อาจเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ เชื่อว่า ในการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนตนออกจากตำแหน่งในวันที่ 13 พ.ย. 58 สมาชิก สนช.จะใช้วิจารณญาณพิจารณาคดีดังกล่าวด้วยความเป็นธรรม ซึ่งตนพร้อมน้อมรับคำวินิจฉัย พร้อมเชื่อมั่นว่า สนช.ยังเป็นที่พึ่งและความหวัง ผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประเทศได้
สำหรับการลงมติถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ คือ 132 เสียง จาก 220 เสียง โดยผู้ที่ถูกถอดถอน จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(13 พ.ย.) สนช.ได้ประชุมลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนนายสมศักดิ์ โดยใช้วิธีให้สมาชิก สนช.เข้าคูหาลงคะแนนลับ ผลปรากฏว่า สมาชิก สนช.มีมติถอดถอนนายสมศักดิ์ด้วยคะแนน 109 ไม่ถอดถอน 82 คะแนน งดออกเสียง 3 คะแนน บัตรเสีย 1 ใบ จากจำนวนบัตรที่ลงคะแนนทั้งหมด 195 ใบ เมื่อคะแนนถอดถอนไม่ถึง 3 ใน 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ จึงส่งผลให้นายสมศักดิ์ไม่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
ด้านนายสมศักดิ์ ได้เปิดใจหลังรู้ผลการลงมติของ สนช. โดยขอบคุณ สนช.ทุกคนที่ทำหน้าที่อันทรงเกียรติ และเชื่อมั่นว่า สนช.ทุกคนเป็นคนดี พิจารณาด้วยเหตุและผลจากการที่ได้ฟังการชี้แจงแถลงปิดคดีด้วยวาจาของตน แม้เสียงไม่ถอดถอนตนจะน้อย แต่เสียงถอดถอนก็มีไม่ถึงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นกำลังใจให้ตนและครอบครัว ทำสิ่งที่ดีและเดินไปบนเส้นทางของระบอบประชาธิปไตย ที่จะมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
3.กรธ.ผุดแนวคิดใหม่ที่มานายกฯ ให้แต่ละพรรคเสนอชื่อ-เปิดช่องคนนอก-ปชช.รู้ล่วงหน้า ด้าน พท. เชื่อเรียกแขกแน่ ขณะที่ “นิพิฏฐ์” ซัด วิตถาร!

ความคืบหน้าการทำงานของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับที่มาของนายกรัฐมนตรี โดยการประชุม กรธ.เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ได้มีการรับฟังผลการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการได้มาของฝ่ายบริหารจากคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหารที่มีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ เป็นประธาน ซึ่งอนุกรรมการฯ ได้ศึกษาที่มานายกฯ ไว้ 3 ทางเลือก คือ 1.มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ซึ่งประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ขณะที่ไทยก็เคยใช้ในรัฐธรรมนูญหลายๆ ฉบับ 2.บุคคลใดๆ ที่มีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ โดยจะเป็น ส.ส.หรือไม่เป็น ส.ส.ก็ได้ ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ขณะที่ไทยก็เคยใช้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับเช่นกัน และ 3.ผู้ที่ปรากฏรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอให้เป็นนายกฯ โดยให้พรรคแจ้งชื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) บันทึกไว้อย่างน้อย 1 รายชื่อ แต่ไม่เกิน 5 รายชื่อ ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ อิสราเอล แต่ไทยยังไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อน
ทั้งนี้ อนุกรรมการฯ ชี้ข้อดีของทางเลือกที่ 3 ว่า ส.ส.เสียงส่วนใหญ่เป็นผู้เลือกนายกฯ ทำให้ประชาชนได้ทราบรายชื่อผู้ที่จะได้เป็นนายกฯ ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ขณะที่ข้อด้อย คือ ช่วงบ้านเมืองวิกฤต ทางเลือกจะถูกจำกัดเฉพาะรายชื่อที่แต่ละพรรคเสนอเท่านั้น ประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่คุ้นชิน ไม่เข้าใจและสับสนได้
ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ชี้ว่า วิธีการได้มาซึ่งนายกฯ ที่อนุกรรมการฯ เสนอ จะทำให้ประชาธิปไตยก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะทำให้ประชาชนทราบว่าใครจะเป็นผู้บริหารประเทศ และคนจะเป็นนายกฯ จะผ่านการเห็นชอบจากประชาชนทางอ้อมแล้ว หากพรรคเสนอได้มากกว่า 1 รายชื่อ ก็จะมีโอกาสเลือกมากขึ้น ทั้งนี้ ที่ประชุม กรธ.ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับที่มานายกฯ โดยให้อนุกรรมการฯ ไปศึกษาข้อดี-ข้อเสียอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ได้มีปฏิกิริยาจากแกนนำพรรคต่างๆ ต่อที่มานายกฯ ดังกล่าว เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.) ชี้ว่า การเสนอให้นายกฯ มาจากคนนอก จะมีปัญหาเรียกแขกตามมาแน่ๆ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการเห็นนายกฯ เป็นคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งคงจะไม่โหวตรับรัฐธรรมนูญในการทำประชามติแน่นอน
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงข้อเสนอที่มานายกฯ ของ กรธ. ที่ให้พรรคการเมืองเปิดเผยรายชื่อผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ ต่อ กกต. ว่า ส่วนตัวเห็นว่า เป็นการคิดแบบวิตถาร หรือทำการเมืองแบบวิตถาร มีที่ไหนที่พรรคการเมืองใดจะเสนอชื่อคนนอกพรรคเป็นนายกฯ เพราะตามธรรมชาติทั่วไปของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่ไม่วิตถาร พรรคไหนเลือกตั้งชนะ เขาจะเสนอชื่อหัวหน้าพรรคของตัวเอง ที่ได้เสียงมากที่สุดให้ขึ้นเป็นนายกฯ กันทั้งนั้น
ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. แถลงถึงเสียงวิจารณ์ระบบเลือกตั้งที่ให้พรรคการเมืองเสนอบัญชีรายชื่อนายกฯ ไม่เกิน 5 คนว่า เท่าที่สรุป มีผู้ไม่เห็นด้วยจากเหตุผล 5 ประเด็น คือ 1.วิตถาร 2.เปิดช่องคนนอก 3.ขัดเจตนารมณ์ประชาชน 4.ไม่ยึดโยงประชาชน และ 5.ก้าวก่ายการตัดสินใจของพรรค ทั้งนี้ นายมีชัย ถามกลับว่า ไม่ทราบว่าที่มานายกฯ วิตถารตรงไหน เพราะประชาชนได้ทราบล่วงหน้าว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยัน ไม่ถือว่าเปิดช่องคนนอก เพราะการเสนอชื่อนายกฯ เป็นเรื่องที่พรรคกำหนด ไม่ใช่ กรธ.กำหนด
4.ประมูล 4G คลื่น 1800 มาราธอนข้ามวันข้ามคืน 29 ชม. “ทรูมูฟ-เอไอเอส” คว้าคนละใบ ราคากระฉูด 8 หมื่นล้าน!

เมื่อวันที่ 11 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้จัดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ ในระบบ 4G โดยมีผู้เข้าประมูล 4 ราย ประกอบด้วย บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ในเครือบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือดีแทค นำโดยนายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทค, บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส นำโดยนายวิทิต ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหารเอไอเอส, บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ในเครือบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) นำโดยนายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัสมิน และบริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) นำโดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารทรู โดยมีผู้ติดตามของแต่ละบริษัทและสื่อมวลชนสังเกตการณ์กว่า 500 คน
ด้าน พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช.และประธาน กรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) เผยขั้นตอนและรูปแบบการประมูลว่า เป็นการเปิดประมูลชุดคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ พร้อมกันทั้ง 2 ใบอนุญาต โดยประมูลรอบแรก ผู้เข้าร่วมประมูลทุกรายต้องเสนอราคาในชุดคลื่นความถี่ชุดหนึ่งที่ราคา 16,708 ล้านบาท จากนั้นต้องเสนอราคาครั้งละ 5% ของราคาขั้นต่ำ 15,912 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นครั้งละ 796 ล้านบาท แต่เมื่อราคาถึง 19,890 ล้านบาท การเสนอราคาจะปรับเพิ่มครั้งละ 2.5% หรือคิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นครั้งละ 398 ล้านบาท โดยจะเริ่มประมูลตั้งแต่ 10.00-21.00 น.
เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรยากาศการแข่งขันกันเคาะราคาประมูลเป็นไปอย่างเข้มข้น จนมีแนวโน้มว่าจะไม่ยุติในเวลา 21.00 น. บอร์ด กทค.จึงเรียกประชุมวาระพิเศษร่วมกับเลขาธิการ กสทช.ก่อนมีมติให้แก้ไขเกณฑ์การประมูล จากเดิมที่ให้สิ้นสุดในเวลา 21.00 น. ให้ขยายต่อเนื่องแบบไม่มีกำหนดเวลา ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลา 21.00 น.การเสนอราคาดำเนินไปแล้ว 33 รอบ วงเงินประมูล 2 ใบอนุญาต จำนวน 51,724 ล้านบาท โดยมีผู้สู้ราคาแข่งขันกัน 3 ราย จากทั้งหมดที่เข้าร่วมประมูล 4 ราย
หลังจากการประมูลดำเนินไปแบบข้ามคืนมาถึงเช้าวันที่ 12 พ.ย. โดยผ่านไปแล้ว 24 ชั่วโมง ปรากฏว่า ราคาประมูล 2 ใบอนุญาตมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 73,216 ล้านบาท โดยมีการเสนอราคากันแล้ว 72 รอบ ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า “การประมูลแบบเก็บตัวข้ามวันในการประมูล ถือได้ว่าประเทศไทยเป็นที่แรกที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ในต่างประเทศจะมีการประมูลได้จากคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ในที่ทำงานของแต่ละบริษัท” นายฐากร เผยด้วยว่า กทค.มีมติให้ผู้เข้าประมูลที่ต้องการออกจากห้องประมูลสามารถเดินทางกลับก่อนได้ แต่ห้ามกลับเข้าห้องประมูลอีก รวมทั้งได้เตรียมอุปกรณ์ หมอน ผ้าห่ม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ให้ผู้เข้าร่วมประมูลด้วย และว่า ในการประมูล 4G คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ในวันที่ 15 ธ.ค. ทาง กสทช.ได้เตรียมแผนใหม่ โดยจะเตรียมห้องนอนให้ผู้เข้าร่วมประมูลด้วยหากการประมูลยืดเยื้อ
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการประมูลรอบที่ 75 สิ้นสุดลงในเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ได้ประกาศพักการประมูล 3 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้พักผ่อนและรับประทานอาหาร เนื่องจากการประมูลผ่านพ้นไปแล้วกว่า 25 ชั่วโมง ทำให้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความสามารถในการตัดสินใจของผู้ร่วมประมูลได้ และว่า หากการประมูลวันที่ 12 พ.ย. ยังยืดเยื้อข้ามวันอีก กสทช.ได้จัดเตรียมโรงแรมและระบบรักษาความปลอดภัยไว้เรียบร้อยแล้ว
ต่อมา เวลา 16.30 น. นายฐากร เผยว่า ที่ประชุม กทค.มีมติตามข้อเสนอของผู้เข้าร่วมประมูลว่า ให้ยุติการประมูลชั่วคราวในเวลา 17.30 น. หรือครบการประมูล 28 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้มีเวลาพักผ่อน เนื่องจากผู้เข้าร่วมประมูลส่วนใหญ่มีอายุเยอะ มีภาวะอ่อนเพลียและเมื่อยล้า ซึ่ง กสทช.ได้เตรียมที่พัก ห้องอาบน้ำในอาคารสำนักงาน กสทช. โดยจะมีเจ้าหน้าที่และตำรวจดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการสื่อสารและการฮั้วประมูล รวมทั้งไม่ให้ออกนอกสถานที่โดยเด็ดขาด และให้กลับมาประมูลอีกครั้งในวันที่ 13 พ.ย. เวลา 10.00-18.00 น.
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมประมูลส่วนใหญ่ไม่ต้องการนอนในสำนักงาน กสทช. โดยต้องการกลับไปนอนที่บ้านของตนเอง ซึ่ง กทค.ไม่สามารถอนุญาตได้ ผู้ประมูลจึงยอมประมูลต่อจนเสร็จสิ้น กทค.จึงมีมติให้ประมูลต่อไป โดยเริ่มรอบใหม่ในเวลา 18.30-24.00 น. หากยังไม่เสร็จสิ้น กทค.จะประชุมเพื่อตัดสินใจอีกรอบ
เมื่อมีการประมูลต่อในรอบที่ 85 ปรากฏว่า ใบอนุญาตที่ 1 ยังคงราคาเดิมอยู่ที่ 39,792 ล้านบาท ส่วนใบอนุญาตที่ 2 เพิ่มขึ้นจากเดิม 40,588 ล้านบาท เป็น 40,986 ล้านบาท รวมมูลค่า 2 ใบอนุญาต 80,778 ล้านบาท กระทั่งเวลา 19.05 น. การประมูลรอบที่ 86 สิ้นสุดลง ปรากฏว่า ไม่มีการเคาะราคาเพิ่มทั้ง 2 ใบอนุญาต จึงเท่ากับว่าการประมูลได้สิ้นสุดลง และได้ผู้ชนะการประมูลทั้ง 2 ใบอนุญาตแล้ว ราคารวม 80,778 ล้านบาท ใช้เวลาในการประมูลทั้งสิ้น 29 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับราคาตั้งต้นแต่ละใบอนุญาต ถือว่า ใบอนุญาตที่ 1 ราคาประมูลเพิ่มขึ้นถึง 200% ขณะที่ใบอนุญาตที่ 2 ราคาประมูลเพิ่มขึ้นถึง 206%
ต่อมา พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธาน กทค.แถลงผลการประมูลว่า ผู้ชนะการประมูลชุดที่ 1 ช่วง 1710-1725 เมกะเฮิรตซ์ คู่กับ 1805-1820 เมกะเฮิรตซ์ คือ บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น หรือทรูมูฟ ด้วยราคาสุดท้ายที่ 39,792 ล้านบาท ส่วนชุดที่ 2 ช่วง 1725-1740 เมกะเฮิรตซ์ คู่กับ 1820-1835 เมกะเฮิรตซ์ ผู้ชนะการประมูลคือ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค หรือเอไอเอส ด้วยราคาสุดท้ายที่ 40,986 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ไม่ชนะการประมูล ประกอบด้วย บริษัท แจส โมบายบรอดแบนด์ ประมูลใบอนุญาตที่ 1 ด้วยราคาสุดท้าย 38,996 ล้านบาท และบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต ประมูลใบอนุญาตที่ 1 ด้วยราคาสุดท้าย 17,504 ล้านบาท โดยหลังจากนี้ จะมีการประชุมกรรมาธิการธรรมาภิบาลเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของการประมูล ก่อนเรียกประชุม กทค.เพื่อรับรองผลภายในวันที่ 17 พ.ย.นี้ โดยทั้งสองใบอนุญาตมีอายุ 18 ปี
ด้าน นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวถึงข้อกังวลเรื่องราคาประมูลใบอนุญาตที่พุ่งสูงขึ้น จะส่งผลต่อราคาค่าบริการและกระทบต่อผู้บริโภคหรือไม่ว่า ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งวิตกกังวลมากนัก เนื่องจาก กสทช.มีการกำหนดกฎการประมูลให้ราคาค่าใช้บริการเสียงไม่เกิน 69 สตางค์/นาที ส่วนบริการอินเตอร์เน็ตไม่เกิน 26 สตางค์/เมกะบิต
5.“หมอหยอง” ตายในเรือนจำอีกคน ด้านกรมราชทัณฑ์แจงป่วยตาย ติดเชื้อในกระแสเลือด!

ความคืบหน้าคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีผู้ต้องหา 3 ราย คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง, นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท เลขาฯ หมอหยอง และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 ราย คือ นายศุกร์โข ตามเสรี คนสนิทสารวัตรเอี๊ยด ถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองอาวุธปืน โดยสารวัตรเอี๊ยดผูกคอตายในเรือนจำชั่วคราว มณฑลทหารบกที่ 11 ขณะที่ พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ อดีตที่ปรึกษา (สบ10) ซึ่งสนิทสนมกับสารวัตรเอี๊ยด ได้ลาออกจากราชการแล้ว ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีนายทหารยศ พล.ต. และ พ.อ.ถูกผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงพาดพิงถึง ซึ่งในเวลาต่อมา มีข่าวว่า นายทหารยศ พล.ต.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแล้ว ขณะที่นายทหารยศ พ.อ.ได้เดินทางออกนอกประเทศผ่านด่าน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กอ.รมน. ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจกองปราบฯ อีก 2 คดี โดยทั้งสองคดีเป็นการกล่าวโทษนายสุริยัน หรือหมอหยอง, นายจิรวงศ์ หรืออาท และ พ.อ.คชาชาต บุญดี หรือโจ้ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 ด้วยข้อหาเดียวกัน คือ ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติ ทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกตนมีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่มิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้นเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ออกมาแถลงว่า นายสุริยัน หรือหมอหยอง เสียชีวิตแล้ว โดยเมื่อคืนวันที่ 7 พ.ย.ได้รับรายงานจากนายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่า มีการนำนายสุริยันออกจากเรือนจำชั่วคราว มทบ.11 ไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษา เนื่องจากมีอาการป่วยหนัก และว่า หลังจากเสียชีวิต พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง และแพทย์ ได้ร่วมกันชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการตาย พบว่านายสุริยันเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ทั้งนี้ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า นายสุริยันมีอาการป่วยตลอด และมีโรคประจำตัวตั้งแต่ก่อนเข้าเรือนจำแล้ว ส่วนเรื่องศพ ญาติได้มารับศพไปบำเพ็ญกุศลเรียบร้อยแล้ว และว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้กรมราชทัณฑ์ทำหนังสือชี้แจงรายละเอียดการเสียชีวิตของนายสุริยันให้สื่อมวลชนและสังคมทราบแล้ว
ด้านกรมราชทัณฑ์ได้ออกแถลงการณ์ว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานจากเรือนจำชั่วคราว มทบ.11 ว่า เวลาประมาณ 21.00 น. เวรรักษาการณ์ตรวจพบว่า นายสุริยันนอนอยู่ในห้องขัง เรียกชื่อไม่ขานตอบ และมีอาการหายใจเฮือก จึงรีบแจ้งหน่วยเสนารักษ์ เมื่อตรวจสอบพบว่าชีพจรอ่อน ไม่รู้สึกตัว จึงรีบส่งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อไปถึงโรงพยาบาลเวลา 22.20 น. ห้องฉุกเฉินพบว่า นายสุริยันไม่ตอบสนองใดๆ วัดสัญญาณชีพไม่ได้ ม่านตาขยาย 4 มม.จึงได้ช่วยฟื้นคืนชีพเป็นเวลาชั่วโมงเศษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แพทย์เวรจึงลงความเห็นว่าเสียชีวิต ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งชันสูตรโดยสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สันนิษฐานว่าระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจากติดเชื้อในกระแสโลหิต
แถลงการณ์ระบุอีกว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ต่อเนื่องวันที่ 6 พ.ย. นายสุริยันมีอาการไข้สูง กระสับกระส่าย ไอ พยาบาลเสนารักษ์ประจำเรือนจำได้จ่ายยาลดไข้ ยาลดอาการไอ แล้วให้นอนพัก กระทั่งมีอาการเรียกไม่รู้สึกตัวและหายใจเฮือกยาวเมื่อคืนวันที่ 7 พ.ย. แถลงการณ์ระบุด้วยว่า เท่าที่สอบถามจากแพทย์ทราบว่า เชื้อที่สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ เชื้อไวรัสที่ติดต่อทางเดินหายใจ สายพันธุ์รุนแรง เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์รุนแรง ซึ่งนายสุริยันอาจมีภูมิต้านทานอ่อนแอ โดยจากการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 22 ต.ค.พบว่า นายสุริยันมีภาวะไขมันสะสมในตับสูง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติหมายจับนายจิรวงศ์ หรืออาท และ พ.อ.คชาชาต ในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงแล้ว ส่วนนายสุริยัน หรือหมอหยอง เมื่อเสียชีวิตแล้ว จึงจำหน่ายออกจากการขออนุมัติหมายจับ ส่วนความเคลื่อนไหวกรณีทหารยศ พล.ต.ที่เป็นเพื่อนสนิทของ พ.อ.คชาชาต ที่ถูกผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันพาดพิงถึงด้วยนั้น เมื่อวันที่ 11 พ.ย. พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า นายทหารยศ พล.ต.ดังกล่าว ได้ทำหนังสือลาออกและส่งมาถึงกระทรวงกลาโหมแล้วตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงกลาโหม ซึ่งวันต่อมา(12 พ.ย.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมายืนยันว่า นายทหารยศ พล.ต.ดังกล่าว ลาออกจากราชการเรียบร้อยแล้ว และตนลงชื่อรับรองแล้ว
6.ศาลขอนแก่น พิพากษาจำคุกกลุ่มเสื้อแดง 13 ปี คดีเผาศาลากลางฯ ปี ’53 ด้านกรมสรรพากรเตรียมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน!
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ศาลจังหวัดขอนแก่นได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องกลุ่มคนเสื้อแดง 4 คน ที่ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในศาลากลางจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และได้บุกเข้าไปภายในตัวอาคาร ขว้างปาจนกระจกอาคารหลังเก่าแตกยับเยิน พร้อมทั้งใช้ยางรถยนต์สุมไฟจนลุกไหม้ ทำให้ข้าวของทรัพย์สินทางราชการเสียหาย โดยจำเลยทั้ง 4 คน ประกอบด้วย นายอดิศัย วิบูลเสข จำเลยที่ 1, นายจิรัฐตระกูล สุมหา จำเลยที่ 2, นายสุทัศน์ สิงห์บัวขาว จำเลยที่ 3 และนายอุดม คำมูล จำเลยที่ 4
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ในวันเกิดเหตุ กลุ่มคนเสื้อแดงได้นัดชุมนุมกันจำนวนหลายร้อยคนบริเวณสวนสาธารณะรัชดานุสรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศาลากลางจังหวัดขอนแก่น หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลี่อนขบวนตรงไปยังประตูทางเข้าศาลากลางทางทิศตะวันตก ซึ่งปิดล็อคอยู่ แล้วร่วมกันฝ่าแนวกั้นที่มีทั้งสิ่งกีดขวางและกำลังเจ้าหน้าของรัฐดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ หลังจากฝ่าแนวกั้นประตูเข้าไปได้แล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือต่อนายพยัต ชาญประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุติการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์
อย่างไรก็ตาม แม้จะยื่นหนังสือข้อเรียกร้องเสร็จแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงก็ยังไม่ยอมออกไปจากศาลากลางจังหวัด ยังชุมนุมกันต่อด้วยท่าทีที่รุนแรงเกรี้ยวกราด ระหว่างนั้นผู้ชุมนุมได้พยายามรุกคืบเข้าไปภายในตัวอาคารศาลากลางจังหวัด มีการนำยางรถยนต์ไปวางสุมแล้วจุดไฟเผา บ้างก็ขว้างปาขวดที่เชื่อว่ามีน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในตัวอาคาร บ้างก็หยิบก้อนหิน อิฐตัวหนอนที่อยู่บริเวณนั้นขว้างปา ทุบทำลายทรัพย์สินทางราชการ ทรัพย์สินของประชาชน
โดยระหว่างการชุมนุมจนถึงเหตุการณ์จุดไฟเผาศาลากลาง ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกไว้ได้ทั้งจากช่างภาพสื่อมวลชนหลายแขนงและจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่นำมาใช้สืบพยานในชั้นศาล ปรากฏภาพของจำเลยทั้งสี่ ร่วมก่อเหตุอยู่ด้วยอย่างชัดเจน แต่ละคนมีพฤติการณ์การกระทำผิดที่รุนแรงแตกต่างกันไป ฯลฯ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-4 มีพฤติกรรมฐานความผิดหลายข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันตระเตรียมวางแพลิง วางเพลิงเผาทรัพย์และร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทำให้เสียทรัพย์ที่มีใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ จึงพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสี่ ในฐานความผิดหลายมาตราแตกต่างกันไป โดยจำคุกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 คนละ 13 ปี โดยไม่รอลงอาญา จำคุกจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 คนละ 3 ปี ทั้งนี้ แม้จำเลยที่ 3 และ 4 จะมีโทษจำคุกเพียง 3 ปี แต่ก็ไม่มีเหตุให้รอลงอาญา เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสอง ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฏหมาย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสถานการ์การชุมนุมมีแนวโน้มลุกลามบานปลาย
หลังฟังคำพิพากษา นายบุญยง แก้วฝ่ายนอก ทนายความจำเลย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากนี้คงต้องใช้สิทธิสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ แต่มีปัญหากรณีการยื่นประกันตัวผู้ต้องหา ไม่สามารถใช้ตำแหน่ง ส.ส.ยื่นขอประกันได้ เพราะสถานภาพ ส.ส.หมดสิ้นไปแล้วหลังรัฐประหาร มีทางเดียว คือนัดหารือญาติของผู้ต้องหา เพื่อหาหลักทรัพย์มายื่นขอประกัน ซึ่งยังไม่ทราบว่าต้องใช้หลักทรัพย์มูลค่าเท่าไหร่ และตอบไม่ได้ว่าจะสามารถยื่นประกันได้เมื่อใด
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายอุดม คำมูล จำเลยที่ 4 นั้น ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยรถของเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่นในฐานะนักโทษชายในคดีเผาสถานีโทรทัศน์ NBT ขอนแก่นเมื่อปี 2553 โดยศาลฏีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 10 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญาเช่นกัน
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า นอกจากจำเลยทั้งสี่ จะถูกพิพากษาจำคุกในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว หลังจากนี้กรมสรรพากรจะยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่เพื่อเอาผิดทางแพ่งฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วย เนื่องจากศาลากลางจังหวัดขอนแก่นหลังเก่าที่ถูกเผานั้น เป็นที่ตั้งของสำนักงานสรรพากรพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และสำนักงานสรรพากรเขตด้วย คาดว่า ได้รับความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
1.ฝรั่งเศสถูกก่อการร้าย โจมตี “ปารีส” หลายจุดพร้อมกัน ตายกว่า 150 เจ็บกว่า 200 ด้าน “บิ๊กตู่” สั่งสถานทูตดูแลคนไทย!
เมื่อวันที่ 13 พ.ย. เวลาประมาณ 23.00 น.ตามเวลาในประเทศฝรั่งเศส ได้เกิดเหตุรุนแรงหลายจุดในกรุงปารีส โดยคนร้ายไม่ทราบจำนวนพร้อมอาวุธครบมือ ทั้งปืนกล ปืนไรเฟิล และระเบิด ได้บุกโจมตีสถานที่หลายแห่งทั้งใจกลางและชานกรุงปารีส ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก จุดที่ถูกโจมตี ได้แก่ โรงละครบาตาคล็อง ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับสำนักพิมพ์ชาร์ลี เอ็บโด ที่เคยเกิดเหตุกราดยิงและจับตัวประกันก่อนหน้านี้ ทั้งนี้ เหตุเกิดขณะโรงละครบาตาคล็องกำลังมีการแสดงคอนเสิร์ต โดยคนร้ายได้จับผู้คนในโรงละครหลายสิบคนเป็นตัวประกัน โดยมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า คนร้ายได้ใช้ปืนไรเฟิลจ่อยิงผู้ที่เข้าชมคอนเสิร์ตรายตัวเป็นเวลาประมาณ 10-15 นาที ด้านหน่วยคอมมานโดตัดสินใจบุกจู่โจมท่ามกลางเสียงระเบิดดังขึ้นหลายระลอก ทั้งนี้ มีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตที่จุดนี้นับร้อยศพ ขณะที่ผู้ต้องสงสัยนักรบญิฮัด 3 คน ถูกหน่วยคอมมานโดสังหาร
นอกจากที่โรงละครบาตาคล็องแล้ว สนามสตาด เดอ ฟรองซ์ ทางเหนือของปารีส ก็ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน ขณะที่ฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างฝรั่งเศสและเยอรมนี กำลังฟาดแข้งกันอยู่ โดยประธานาธิบดี ฟรังซัวส์ ออลลองด์ ได้เข้าร่วมชมด้วย หลังเกิดเหตุระเบิด เจ้าหน้าที่ได้คุ้มกันประธานาธิบดีฝรั่งเศสออกจากสนาม และไปที่กระทรวงมหาดไทยเพื่อเรียกประชุมฉุกเฉินทันที ก่อนประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วฝรั่งเศส รวมทั้งสั่งปิดชายแดนทั่วประเทศ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ยังยืนยันด้วยว่า การโจมตีปารีสครั้งนี้เป็นเรื่องของการก่อการร้าย ทั้งนี้ ทางการฝรั่งเศสได้ส่งทหารเข้าไปคุ้มกันเมืองหลวงเพิ่มอีก 1,500 นาย ขณะเดียวกันมีรายงานว่า โรงเรียนและมหาวิทยาลัยต่างๆ ในปารีสหยุดการเรียนการสอนในวันที่ 14 พ.ย.
สำหรับจุดอื่นๆ ที่ถูกโจมตีในครั้งนี้ด้วย ได้แก่ บาร์ในเขต 11 ของปารีส ซึ่งมีทั้งเสียงปืนรัวและเสียงระเบิด ทำให้ตำรวจต้องกันประชาชนออกจากบาร์และร้านอาหารทั้งหมดที่อยู่ในเขต 10 และ 11 สำหรับตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการถูกโจมตีครั้งนี้ ยังไม่นิ่ง โดยมีรายงานว่า ไม่ต่ำกว่า 150 คน และมีผู้บาดเจ็บกว่า 200 ราย
มีรายงานว่า เหตุโจมตีฝรั่งเศสพร้อมกันหลายจุดครั้งนี้ มีขึ้นในขณะที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งพันธมิตรนานาชาติ นำโดยสหรัฐฯ กำลังปฏิบัติการโจมตีทางอากาศต่อนักรบรัฐอิสลามในซีเรียและอิรัก และอยู่ระหว่างเฝ้าระวังก่อการร้ายขั้นสูงสุดก่อนหน้าการประชุมภูมิอากาศโลกที่จะมีขึ้นปลายเดือนนี้
ด้านผู้นำประเทศต่างๆ รวมทั้งไทย ได้แสดงความเสียใจกับโศกนาฏกรรมที่เกิดกับฝรั่งเศส โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายและครอบครัวจากเหตุรุนแรงในปารีส พร้อมสั่งให้สถานทูตไทยในกรุงปารีสติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลคนไทยในกรุงปารีส ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย รายงานว่า ยังไม่พบคนไทยในปารีสได้รับผลกระทบจากเหตการณ์ที่เกิดขึ้น
2.“สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” รอด เสียงถอดถอนของ สนช.ไม่ถึงเกณฑ์ 109 : 82 !
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อรับฟังการแถลงปิดคดีถอดถอนนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ออกจากตำแหน่ง ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ส่งสำนวนชี้มูลความผิดนายสมศักดิ์ มายัง สนช. จากกรณีร่ำรวยผิดปกติ เกี่ยวกับบ้านที่ อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2541 ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และมีการก่อสร้างต่อเนื่องในขณะที่นายสมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จนปลูกสร้างแล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ.2554 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 16 ล้านบาทเศษ
ทั้งนี้ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้กล่าวหา ไม่ประสงค์แถลงปิดคดีด้วยวาจา โดยได้ยื่นคำแถลงเป็นเอกสารแทน ขณะที่นายสมศักดิ์ ผู้ถูกกล่าวหา แถลงปิดคดีด้วยวาจา โดยยืนยันว่า บ้านดังกล่าวก่อสร้างแล้วเสร็จเดือน เม.ย. ปี 2542 ก่อนที่ตนจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเมื่อเดือน ก.ค.ปีเดียวกัน หลังจากนั้นจึงได้มีการต่อเติมสร้างเรือนพักรับรองประชาชนจำนวน 1 ล้าน 4 แสนบาท แต่กรรมการ ป.ป.ช. กลับนำค่าใช้จ่ายการต่อเติมดังกล่าวไปรวมกับมูลค่าบ้านที่สร้างเสร็จไปแล้วตั้งแต่ต้น เหตุใดกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่ชี้มูลว่า ตนได้ใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่หลังดำรงตำแหน่งดังกล่าวทำให้มีรายได้ร่ำรวยเพิ่มขึ้น 1 ล้าน 4 แสนบาทเท่านั้น และจากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ ตนได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการก่อสร้างบ้านอย่างครบถ้วน อาทิ พยานบุคคล และภาพถ่ายทางอากาศ พร้อมทั้งไม่มีเจตนาใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งดังกล่าวโดยมิชอบในการได้มาซึ่งทรัพย์สินของตนเอง ซึ่งกรรมการ ป.ป.ช.ก็ได้มีการยืนยันแล้วว่า ไม่พบการทุจริตในการบริหารงานขณะตนดำรงตำแหน่ง
นายสมศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สำนวนสรุปคำชี้มูลที่กรรมการ ป.ป.ช. ตั้งประเด็นว่า ตนใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งบ้านดังกล่าวนั้น กลับพบว่าคำชี้มูลของกรรมการ ป.ป.ช. ในสำนวนดังกล่าวไม่มีการกล่าวถึงการใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินนั้นแต่อย่างใด และว่า ญัตติที่กรรมการ ป.ป.ช.ได้เสนอต่อ สนช. เพื่อถอดถอนตนครั้งนี้ เป็นข้อกล่าวหาในคดีร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์เพิ่มขึ้น เนื่องจากการใช้ตำแหน่งอำนาจหน้าที่ไม่ใช่กรณีจงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งตนได้รับบทลงโทษก่อนหน้านี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่กรรมการ ป.ป.ช.ได้นำประเด็นดังกล่าวมานำเสนอในที่ประชุมอีกครั้ง จึงเกรงว่าสมาชิก สนช.อาจเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ อย่างไรก็ตาม นายสมศักดิ์ เชื่อว่า ในการลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนตนออกจากตำแหน่งในวันที่ 13 พ.ย. 58 สมาชิก สนช.จะใช้วิจารณญาณพิจารณาคดีดังกล่าวด้วยความเป็นธรรม ซึ่งตนพร้อมน้อมรับคำวินิจฉัย พร้อมเชื่อมั่นว่า สนช.ยังเป็นที่พึ่งและความหวัง ผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประเทศได้
สำหรับการลงมติถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง ต้องใช้เสียง 3 ใน 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ คือ 132 เสียง จาก 220 เสียง โดยผู้ที่ถูกถอดถอน จะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(13 พ.ย.) สนช.ได้ประชุมลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนนายสมศักดิ์ โดยใช้วิธีให้สมาชิก สนช.เข้าคูหาลงคะแนนลับ ผลปรากฏว่า สมาชิก สนช.มีมติถอดถอนนายสมศักดิ์ด้วยคะแนน 109 ไม่ถอดถอน 82 คะแนน งดออกเสียง 3 คะแนน บัตรเสีย 1 ใบ จากจำนวนบัตรที่ลงคะแนนทั้งหมด 195 ใบ เมื่อคะแนนถอดถอนไม่ถึง 3 ใน 5 ของสมาชิกที่มีอยู่ จึงส่งผลให้นายสมศักดิ์ไม่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี
ด้านนายสมศักดิ์ ได้เปิดใจหลังรู้ผลการลงมติของ สนช. โดยขอบคุณ สนช.ทุกคนที่ทำหน้าที่อันทรงเกียรติ และเชื่อมั่นว่า สนช.ทุกคนเป็นคนดี พิจารณาด้วยเหตุและผลจากการที่ได้ฟังการชี้แจงแถลงปิดคดีด้วยวาจาของตน แม้เสียงไม่ถอดถอนตนจะน้อย แต่เสียงถอดถอนก็มีไม่ถึงตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถือเป็นกำลังใจให้ตนและครอบครัว ทำสิ่งที่ดีและเดินไปบนเส้นทางของระบอบประชาธิปไตย ที่จะมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น
3.กรธ.ผุดแนวคิดใหม่ที่มานายกฯ ให้แต่ละพรรคเสนอชื่อ-เปิดช่องคนนอก-ปชช.รู้ล่วงหน้า ด้าน พท. เชื่อเรียกแขกแน่ ขณะที่ “นิพิฏฐ์” ซัด วิตถาร!
ความคืบหน้าการทำงานของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับที่มาของนายกรัฐมนตรี โดยการประชุม กรธ.เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ได้มีการรับฟังผลการศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการได้มาของฝ่ายบริหารจากคณะอนุกรรมการศึกษาโครงสร้างฝ่ายบริหารที่มีนายอภิชาต สุขัคคานนท์ เป็นประธาน ซึ่งอนุกรรมการฯ ได้ศึกษาที่มานายกฯ ไว้ 3 ทางเลือก คือ 1.มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ซึ่งประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ขณะที่ไทยก็เคยใช้ในรัฐธรรมนูญหลายๆ ฉบับ 2.บุคคลใดๆ ที่มีคุณสมบัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ โดยจะเป็น ส.ส.หรือไม่เป็น ส.ส.ก็ได้ ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ สหราชอาณาจักร ขณะที่ไทยก็เคยใช้ในรัฐธรรมนูญหลายฉบับเช่นกัน และ 3.ผู้ที่ปรากฏรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอให้เป็นนายกฯ โดยให้พรรคแจ้งชื่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) บันทึกไว้อย่างน้อย 1 รายชื่อ แต่ไม่เกิน 5 รายชื่อ ประเทศที่ใช้ระบบนี้ ได้แก่ อิสราเอล แต่ไทยยังไม่เคยใช้วิธีนี้มาก่อน
ทั้งนี้ อนุกรรมการฯ ชี้ข้อดีของทางเลือกที่ 3 ว่า ส.ส.เสียงส่วนใหญ่เป็นผู้เลือกนายกฯ ทำให้ประชาชนได้ทราบรายชื่อผู้ที่จะได้เป็นนายกฯ ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. ขณะที่ข้อด้อย คือ ช่วงบ้านเมืองวิกฤต ทางเลือกจะถูกจำกัดเฉพาะรายชื่อที่แต่ละพรรคเสนอเท่านั้น ประชาชนมาใช้สิทธิเลือกตั้งไม่คุ้นชิน ไม่เข้าใจและสับสนได้
ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ชี้ว่า วิธีการได้มาซึ่งนายกฯ ที่อนุกรรมการฯ เสนอ จะทำให้ประชาธิปไตยก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะทำให้ประชาชนทราบว่าใครจะเป็นผู้บริหารประเทศ และคนจะเป็นนายกฯ จะผ่านการเห็นชอบจากประชาชนทางอ้อมแล้ว หากพรรคเสนอได้มากกว่า 1 รายชื่อ ก็จะมีโอกาสเลือกมากขึ้น ทั้งนี้ ที่ประชุม กรธ.ยังไม่ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับที่มานายกฯ โดยให้อนุกรรมการฯ ไปศึกษาข้อดี-ข้อเสียอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ได้มีปฏิกิริยาจากแกนนำพรรคต่างๆ ต่อที่มานายกฯ ดังกล่าว เช่น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.) ชี้ว่า การเสนอให้นายกฯ มาจากคนนอก จะมีปัญหาเรียกแขกตามมาแน่ๆ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการเห็นนายกฯ เป็นคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งคงจะไม่โหวตรับรัฐธรรมนูญในการทำประชามติแน่นอน
ขณะที่นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กล่าวถึงข้อเสนอที่มานายกฯ ของ กรธ. ที่ให้พรรคการเมืองเปิดเผยรายชื่อผู้ที่จะมาเป็นนายกฯ ต่อ กกต. ว่า ส่วนตัวเห็นว่า เป็นการคิดแบบวิตถาร หรือทำการเมืองแบบวิตถาร มีที่ไหนที่พรรคการเมืองใดจะเสนอชื่อคนนอกพรรคเป็นนายกฯ เพราะตามธรรมชาติทั่วไปของการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่ไม่วิตถาร พรรคไหนเลือกตั้งชนะ เขาจะเสนอชื่อหัวหน้าพรรคของตัวเอง ที่ได้เสียงมากที่สุดให้ขึ้นเป็นนายกฯ กันทั้งนั้น
ด้านนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. แถลงถึงเสียงวิจารณ์ระบบเลือกตั้งที่ให้พรรคการเมืองเสนอบัญชีรายชื่อนายกฯ ไม่เกิน 5 คนว่า เท่าที่สรุป มีผู้ไม่เห็นด้วยจากเหตุผล 5 ประเด็น คือ 1.วิตถาร 2.เปิดช่องคนนอก 3.ขัดเจตนารมณ์ประชาชน 4.ไม่ยึดโยงประชาชน และ 5.ก้าวก่ายการตัดสินใจของพรรค ทั้งนี้ นายมีชัย ถามกลับว่า ไม่ทราบว่าที่มานายกฯ วิตถารตรงไหน เพราะประชาชนได้ทราบล่วงหน้าว่าใครจะเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมยืนยัน ไม่ถือว่าเปิดช่องคนนอก เพราะการเสนอชื่อนายกฯ เป็นเรื่องที่พรรคกำหนด ไม่ใช่ กรธ.กำหนด
4.ประมูล 4G คลื่น 1800 มาราธอนข้ามวันข้ามคืน 29 ชม. “ทรูมูฟ-เอไอเอส” คว้าคนละใบ ราคากระฉูด 8 หมื่นล้าน!
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ได้จัดประมูลคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ ในระบบ 4G โดยมีผู้เข้าประมูล 4 ราย ประกอบด้วย บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด ในเครือบริษัท โทเทิ่ลแอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือดีแทค นำโดยนายลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทค, บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด(มหาชน) หรือเอไอเอส นำโดยนายวิทิต ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหารเอไอเอส, บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ในเครือบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน) นำโดยนายพิชญ์ โพธารามิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารจัสมิน และบริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) นำโดยนายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารทรู โดยมีผู้ติดตามของแต่ละบริษัทและสื่อมวลชนสังเกตการณ์กว่า 500 คน
ด้าน พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช.และประธาน กรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.) เผยขั้นตอนและรูปแบบการประมูลว่า เป็นการเปิดประมูลชุดคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์ พร้อมกันทั้ง 2 ใบอนุญาต โดยประมูลรอบแรก ผู้เข้าร่วมประมูลทุกรายต้องเสนอราคาในชุดคลื่นความถี่ชุดหนึ่งที่ราคา 16,708 ล้านบาท จากนั้นต้องเสนอราคาครั้งละ 5% ของราคาขั้นต่ำ 15,912 ล้านบาท หรือคิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นครั้งละ 796 ล้านบาท แต่เมื่อราคาถึง 19,890 ล้านบาท การเสนอราคาจะปรับเพิ่มครั้งละ 2.5% หรือคิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นครั้งละ 398 ล้านบาท โดยจะเริ่มประมูลตั้งแต่ 10.00-21.00 น.
เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรยากาศการแข่งขันกันเคาะราคาประมูลเป็นไปอย่างเข้มข้น จนมีแนวโน้มว่าจะไม่ยุติในเวลา 21.00 น. บอร์ด กทค.จึงเรียกประชุมวาระพิเศษร่วมกับเลขาธิการ กสทช.ก่อนมีมติให้แก้ไขเกณฑ์การประมูล จากเดิมที่ให้สิ้นสุดในเวลา 21.00 น. ให้ขยายต่อเนื่องแบบไม่มีกำหนดเวลา ทั้งนี้ เมื่อถึงเวลา 21.00 น.การเสนอราคาดำเนินไปแล้ว 33 รอบ วงเงินประมูล 2 ใบอนุญาต จำนวน 51,724 ล้านบาท โดยมีผู้สู้ราคาแข่งขันกัน 3 ราย จากทั้งหมดที่เข้าร่วมประมูล 4 ราย
หลังจากการประมูลดำเนินไปแบบข้ามคืนมาถึงเช้าวันที่ 12 พ.ย. โดยผ่านไปแล้ว 24 ชั่วโมง ปรากฏว่า ราคาประมูล 2 ใบอนุญาตมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 73,216 ล้านบาท โดยมีการเสนอราคากันแล้ว 72 รอบ ด้านนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า “การประมูลแบบเก็บตัวข้ามวันในการประมูล ถือได้ว่าประเทศไทยเป็นที่แรกที่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ในต่างประเทศจะมีการประมูลได้จากคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ในที่ทำงานของแต่ละบริษัท” นายฐากร เผยด้วยว่า กทค.มีมติให้ผู้เข้าประมูลที่ต้องการออกจากห้องประมูลสามารถเดินทางกลับก่อนได้ แต่ห้ามกลับเข้าห้องประมูลอีก รวมทั้งได้เตรียมอุปกรณ์ หมอน ผ้าห่ม ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ให้ผู้เข้าร่วมประมูลด้วย และว่า ในการประมูล 4G คลื่น 900 เมกะเฮิรตซ์ ในวันที่ 15 ธ.ค. ทาง กสทช.ได้เตรียมแผนใหม่ โดยจะเตรียมห้องนอนให้ผู้เข้าร่วมประมูลด้วยหากการประมูลยืดเยื้อ
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังการประมูลรอบที่ 75 สิ้นสุดลงในเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ได้ประกาศพักการประมูล 3 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้พักผ่อนและรับประทานอาหาร เนื่องจากการประมูลผ่านพ้นไปแล้วกว่า 25 ชั่วโมง ทำให้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความสามารถในการตัดสินใจของผู้ร่วมประมูลได้ และว่า หากการประมูลวันที่ 12 พ.ย. ยังยืดเยื้อข้ามวันอีก กสทช.ได้จัดเตรียมโรงแรมและระบบรักษาความปลอดภัยไว้เรียบร้อยแล้ว
ต่อมา เวลา 16.30 น. นายฐากร เผยว่า ที่ประชุม กทค.มีมติตามข้อเสนอของผู้เข้าร่วมประมูลว่า ให้ยุติการประมูลชั่วคราวในเวลา 17.30 น. หรือครบการประมูล 28 ชั่วโมง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมประมูลได้มีเวลาพักผ่อน เนื่องจากผู้เข้าร่วมประมูลส่วนใหญ่มีอายุเยอะ มีภาวะอ่อนเพลียและเมื่อยล้า ซึ่ง กสทช.ได้เตรียมที่พัก ห้องอาบน้ำในอาคารสำนักงาน กสทช. โดยจะมีเจ้าหน้าที่และตำรวจดูแลอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันการสื่อสารและการฮั้วประมูล รวมทั้งไม่ให้ออกนอกสถานที่โดยเด็ดขาด และให้กลับมาประมูลอีกครั้งในวันที่ 13 พ.ย. เวลา 10.00-18.00 น.
อย่างไรก็ตาม ผู้เข้าร่วมประมูลส่วนใหญ่ไม่ต้องการนอนในสำนักงาน กสทช. โดยต้องการกลับไปนอนที่บ้านของตนเอง ซึ่ง กทค.ไม่สามารถอนุญาตได้ ผู้ประมูลจึงยอมประมูลต่อจนเสร็จสิ้น กทค.จึงมีมติให้ประมูลต่อไป โดยเริ่มรอบใหม่ในเวลา 18.30-24.00 น. หากยังไม่เสร็จสิ้น กทค.จะประชุมเพื่อตัดสินใจอีกรอบ
เมื่อมีการประมูลต่อในรอบที่ 85 ปรากฏว่า ใบอนุญาตที่ 1 ยังคงราคาเดิมอยู่ที่ 39,792 ล้านบาท ส่วนใบอนุญาตที่ 2 เพิ่มขึ้นจากเดิม 40,588 ล้านบาท เป็น 40,986 ล้านบาท รวมมูลค่า 2 ใบอนุญาต 80,778 ล้านบาท กระทั่งเวลา 19.05 น. การประมูลรอบที่ 86 สิ้นสุดลง ปรากฏว่า ไม่มีการเคาะราคาเพิ่มทั้ง 2 ใบอนุญาต จึงเท่ากับว่าการประมูลได้สิ้นสุดลง และได้ผู้ชนะการประมูลทั้ง 2 ใบอนุญาตแล้ว ราคารวม 80,778 ล้านบาท ใช้เวลาในการประมูลทั้งสิ้น 29 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับราคาตั้งต้นแต่ละใบอนุญาต ถือว่า ใบอนุญาตที่ 1 ราคาประมูลเพิ่มขึ้นถึง 200% ขณะที่ใบอนุญาตที่ 2 ราคาประมูลเพิ่มขึ้นถึง 206%
ต่อมา พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ประธาน กทค.แถลงผลการประมูลว่า ผู้ชนะการประมูลชุดที่ 1 ช่วง 1710-1725 เมกะเฮิรตซ์ คู่กับ 1805-1820 เมกะเฮิรตซ์ คือ บริษัท ทรูมูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น หรือทรูมูฟ ด้วยราคาสุดท้ายที่ 39,792 ล้านบาท ส่วนชุดที่ 2 ช่วง 1725-1740 เมกะเฮิรตซ์ คู่กับ 1820-1835 เมกะเฮิรตซ์ ผู้ชนะการประมูลคือ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค หรือเอไอเอส ด้วยราคาสุดท้ายที่ 40,986 ล้านบาท ส่วนผู้ที่ไม่ชนะการประมูล ประกอบด้วย บริษัท แจส โมบายบรอดแบนด์ ประมูลใบอนุญาตที่ 1 ด้วยราคาสุดท้าย 38,996 ล้านบาท และบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต ประมูลใบอนุญาตที่ 1 ด้วยราคาสุดท้าย 17,504 ล้านบาท โดยหลังจากนี้ จะมีการประชุมกรรมาธิการธรรมาภิบาลเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสของการประมูล ก่อนเรียกประชุม กทค.เพื่อรับรองผลภายในวันที่ 17 พ.ย.นี้ โดยทั้งสองใบอนุญาตมีอายุ 18 ปี
ด้าน นพ.ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา กรรมการ กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวถึงข้อกังวลเรื่องราคาประมูลใบอนุญาตที่พุ่งสูงขึ้น จะส่งผลต่อราคาค่าบริการและกระทบต่อผู้บริโภคหรือไม่ว่า ขอให้ประชาชนอย่าเพิ่งวิตกกังวลมากนัก เนื่องจาก กสทช.มีการกำหนดกฎการประมูลให้ราคาค่าใช้บริการเสียงไม่เกิน 69 สตางค์/นาที ส่วนบริการอินเตอร์เน็ตไม่เกิน 26 สตางค์/เมกะบิต
5.“หมอหยอง” ตายในเรือนจำอีกคน ด้านกรมราชทัณฑ์แจงป่วยตาย ติดเชื้อในกระแสเลือด!
ความคืบหน้าคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่มีผู้ต้องหา 3 ราย คือ นายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง, นายจิรวงศ์ วัฒนเทวาศิลป์ หรืออาท เลขาฯ หมอหยอง และ พ.ต.ต.ปรากรม วารุณประภา หรือสารวัตรเอี๊ยด ส่วนผู้ต้องหาอีก 1 ราย คือ นายศุกร์โข ตามเสรี คนสนิทสารวัตรเอี๊ยด ถูกดำเนินคดีข้อหาครอบครองอาวุธปืน โดยสารวัตรเอี๊ยดผูกคอตายในเรือนจำชั่วคราว มณฑลทหารบกที่ 11 ขณะที่ พล.ต.อ.ประวุฒิ ถาวรศิริ อดีตที่ปรึกษา (สบ10) ซึ่งสนิทสนมกับสารวัตรเอี๊ยด ได้ลาออกจากราชการแล้ว ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีนายทหารยศ พล.ต. และ พ.อ.ถูกผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงพาดพิงถึง ซึ่งในเวลาต่อมา มีข่าวว่า นายทหารยศ พล.ต.ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการแล้ว ขณะที่นายทหารยศ พ.อ.ได้เดินทางออกนอกประเทศผ่านด่าน อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. พล.ต.วิจารณ์ จดแตง ผู้อำนวยการส่วนกฎหมายและสิทธิมนุษยชน กอ.รมน. ได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อตำรวจกองปราบฯ อีก 2 คดี โดยทั้งสองคดีเป็นการกล่าวโทษนายสุริยัน หรือหมอหยอง, นายจิรวงศ์ หรืออาท และ พ.อ.คชาชาต บุญดี หรือโจ้ นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำกองทัพภาคที่ 3 ด้วยข้อหาเดียวกัน คือ ดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติ ทำให้ผู้อื่นเชื่อว่าพวกตนมีตำแหน่งหรือหน้าที่ ทั้งที่มิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้นเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ออกมาแถลงว่า นายสุริยัน หรือหมอหยอง เสียชีวิตแล้ว โดยเมื่อคืนวันที่ 7 พ.ย.ได้รับรายงานจากนายวิทยา สุริยะวงค์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ว่า มีการนำนายสุริยันออกจากเรือนจำชั่วคราว มทบ.11 ไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์รักษา เนื่องจากมีอาการป่วยหนัก และว่า หลังจากเสียชีวิต พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง และแพทย์ ได้ร่วมกันชันสูตรพลิกศพเพื่อหาสาเหตุการตาย พบว่านายสุริยันเสียชีวิตจากการติดเชื้อในกระแสเลือด ทั้งนี้ พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า นายสุริยันมีอาการป่วยตลอด และมีโรคประจำตัวตั้งแต่ก่อนเข้าเรือนจำแล้ว ส่วนเรื่องศพ ญาติได้มารับศพไปบำเพ็ญกุศลเรียบร้อยแล้ว และว่า เบื้องต้นได้สั่งการให้กรมราชทัณฑ์ทำหนังสือชี้แจงรายละเอียดการเสียชีวิตของนายสุริยันให้สื่อมวลชนและสังคมทราบแล้ว
ด้านกรมราชทัณฑ์ได้ออกแถลงการณ์ว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. กรมราชทัณฑ์ได้รับรายงานจากเรือนจำชั่วคราว มทบ.11 ว่า เวลาประมาณ 21.00 น. เวรรักษาการณ์ตรวจพบว่า นายสุริยันนอนอยู่ในห้องขัง เรียกชื่อไม่ขานตอบ และมีอาการหายใจเฮือก จึงรีบแจ้งหน่วยเสนารักษ์ เมื่อตรวจสอบพบว่าชีพจรอ่อน ไม่รู้สึกตัว จึงรีบส่งทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ เมื่อไปถึงโรงพยาบาลเวลา 22.20 น. ห้องฉุกเฉินพบว่า นายสุริยันไม่ตอบสนองใดๆ วัดสัญญาณชีพไม่ได้ ม่านตาขยาย 4 มม.จึงได้ช่วยฟื้นคืนชีพเป็นเวลาชั่วโมงเศษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ แพทย์เวรจึงลงความเห็นว่าเสียชีวิต ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งชันสูตรโดยสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ สันนิษฐานว่าระบบหายใจไหลเวียนโลหิตล้มเหลวจากติดเชื้อในกระแสโลหิต
แถลงการณ์ระบุอีกว่า เมื่อวันที่ 5 พ.ย.ต่อเนื่องวันที่ 6 พ.ย. นายสุริยันมีอาการไข้สูง กระสับกระส่าย ไอ พยาบาลเสนารักษ์ประจำเรือนจำได้จ่ายยาลดไข้ ยาลดอาการไอ แล้วให้นอนพัก กระทั่งมีอาการเรียกไม่รู้สึกตัวและหายใจเฮือกยาวเมื่อคืนวันที่ 7 พ.ย. แถลงการณ์ระบุด้วยว่า เท่าที่สอบถามจากแพทย์ทราบว่า เชื้อที่สามารถทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ได้แก่ เชื้อไวรัสที่ติดต่อทางเดินหายใจ สายพันธุ์รุนแรง เช่น ไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์รุนแรง ซึ่งนายสุริยันอาจมีภูมิต้านทานอ่อนแอ โดยจากการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 22 ต.ค.พบว่า นายสุริยันมีภาวะไขมันสะสมในตับสูง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 9 พ.ย. ศาลทหารกรุงเทพได้อนุมัติหมายจับนายจิรวงศ์ หรืออาท และ พ.อ.คชาชาต ในคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงแล้ว ส่วนนายสุริยัน หรือหมอหยอง เมื่อเสียชีวิตแล้ว จึงจำหน่ายออกจากการขออนุมัติหมายจับ ส่วนความเคลื่อนไหวกรณีทหารยศ พล.ต.ที่เป็นเพื่อนสนิทของ พ.อ.คชาชาต ที่ถูกผู้ต้องหาในคดีหมิ่นสถาบันพาดพิงถึงด้วยนั้น เมื่อวันที่ 11 พ.ย. พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ยอมรับว่า นายทหารยศ พล.ต.ดังกล่าว ได้ทำหนังสือลาออกและส่งมาถึงกระทรวงกลาโหมแล้วตั้งแต่วันที่ 5 พ.ย. โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงกลาโหม ซึ่งวันต่อมา(12 พ.ย.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ออกมายืนยันว่า นายทหารยศ พล.ต.ดังกล่าว ลาออกจากราชการเรียบร้อยแล้ว และตนลงชื่อรับรองแล้ว
6.ศาลขอนแก่น พิพากษาจำคุกกลุ่มเสื้อแดง 13 ปี คดีเผาศาลากลางฯ ปี ’53 ด้านกรมสรรพากรเตรียมฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน!
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ศาลจังหวัดขอนแก่นได้นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องกลุ่มคนเสื้อแดง 4 คน ที่ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในศาลากลางจังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 และได้บุกเข้าไปภายในตัวอาคาร ขว้างปาจนกระจกอาคารหลังเก่าแตกยับเยิน พร้อมทั้งใช้ยางรถยนต์สุมไฟจนลุกไหม้ ทำให้ข้าวของทรัพย์สินทางราชการเสียหาย โดยจำเลยทั้ง 4 คน ประกอบด้วย นายอดิศัย วิบูลเสข จำเลยที่ 1, นายจิรัฐตระกูล สุมหา จำเลยที่ 2, นายสุทัศน์ สิงห์บัวขาว จำเลยที่ 3 และนายอุดม คำมูล จำเลยที่ 4
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ในวันเกิดเหตุ กลุ่มคนเสื้อแดงได้นัดชุมนุมกันจำนวนหลายร้อยคนบริเวณสวนสาธารณะรัชดานุสรณ์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับศาลากลางจังหวัดขอนแก่น หลังจากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เคลี่อนขบวนตรงไปยังประตูทางเข้าศาลากลางทางทิศตะวันตก ซึ่งปิดล็อคอยู่ แล้วร่วมกันฝ่าแนวกั้นที่มีทั้งสิ่งกีดขวางและกำลังเจ้าหน้าของรัฐดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ หลังจากฝ่าแนวกั้นประตูเข้าไปได้แล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมได้ยื่นหนังสือต่อนายพยัต ชาญประเสริฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นในขณะนั้น เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุติการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์
อย่างไรก็ตาม แม้จะยื่นหนังสือข้อเรียกร้องเสร็จแล้ว กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงก็ยังไม่ยอมออกไปจากศาลากลางจังหวัด ยังชุมนุมกันต่อด้วยท่าทีที่รุนแรงเกรี้ยวกราด ระหว่างนั้นผู้ชุมนุมได้พยายามรุกคืบเข้าไปภายในตัวอาคารศาลากลางจังหวัด มีการนำยางรถยนต์ไปวางสุมแล้วจุดไฟเผา บ้างก็ขว้างปาขวดที่เชื่อว่ามีน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปในตัวอาคาร บ้างก็หยิบก้อนหิน อิฐตัวหนอนที่อยู่บริเวณนั้นขว้างปา ทุบทำลายทรัพย์สินทางราชการ ทรัพย์สินของประชาชน
โดยระหว่างการชุมนุมจนถึงเหตุการณ์จุดไฟเผาศาลากลาง ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่บันทึกไว้ได้ทั้งจากช่างภาพสื่อมวลชนหลายแขนงและจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่นำมาใช้สืบพยานในชั้นศาล ปรากฏภาพของจำเลยทั้งสี่ ร่วมก่อเหตุอยู่ด้วยอย่างชัดเจน แต่ละคนมีพฤติการณ์การกระทำผิดที่รุนแรงแตกต่างกันไป ฯลฯ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-4 มีพฤติกรรมฐานความผิดหลายข้อหา ประกอบด้วย ร่วมกันมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันตระเตรียมวางแพลิง วางเพลิงเผาทรัพย์และร่วมกันวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทำให้เสียทรัพย์ที่มีใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ จึงพิพากษาจำคุกจำเลยทั้งสี่ ในฐานความผิดหลายมาตราแตกต่างกันไป โดยจำคุกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 คนละ 13 ปี โดยไม่รอลงอาญา จำคุกจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 คนละ 3 ปี ทั้งนี้ แม้จำเลยที่ 3 และ 4 จะมีโทษจำคุกเพียง 3 ปี แต่ก็ไม่มีเหตุให้รอลงอาญา เนื่องจากมีพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นว่าจำเลยทั้งสอง ไม่มีความเกรงกลัวต่อกฏหมาย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสถานการ์การชุมนุมมีแนวโน้มลุกลามบานปลาย
หลังฟังคำพิพากษา นายบุญยง แก้วฝ่ายนอก ทนายความจำเลย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า หลังจากนี้คงต้องใช้สิทธิสู้ต่อในชั้นอุทธรณ์ แต่มีปัญหากรณีการยื่นประกันตัวผู้ต้องหา ไม่สามารถใช้ตำแหน่ง ส.ส.ยื่นขอประกันได้ เพราะสถานภาพ ส.ส.หมดสิ้นไปแล้วหลังรัฐประหาร มีทางเดียว คือนัดหารือญาติของผู้ต้องหา เพื่อหาหลักทรัพย์มายื่นขอประกัน ซึ่งยังไม่ทราบว่าต้องใช้หลักทรัพย์มูลค่าเท่าไหร่ และตอบไม่ได้ว่าจะสามารถยื่นประกันได้เมื่อใด
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับนายอุดม คำมูล จำเลยที่ 4 นั้น ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยรถของเรือนจำกลางจังหวัดขอนแก่นในฐานะนักโทษชายในคดีเผาสถานีโทรทัศน์ NBT ขอนแก่นเมื่อปี 2553 โดยศาลฏีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก 10 ปี 8 เดือน โดยไม่รอลงอาญาเช่นกัน
ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า นอกจากจำเลยทั้งสี่ จะถูกพิพากษาจำคุกในคดีอาญาดังกล่าวแล้ว หลังจากนี้กรมสรรพากรจะยื่นฟ้องจำเลยทั้งสี่เพื่อเอาผิดทางแพ่งฐานทำให้เสียทรัพย์ด้วย เนื่องจากศาลากลางจังหวัดขอนแก่นหลังเก่าที่ถูกเผานั้น เป็นที่ตั้งของสำนักงานสรรพากรพื้นที่จังหวัดขอนแก่น และสำนักงานสรรพากรเขตด้วย คาดว่า ได้รับความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท