พูดได้ว่าตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยเลยที่จะได้สัมผัสกับความผอม เพราะเธอเป็นคนที่อ้วนมาตั้งแต่เด็กๆ และอาหารที่เธอโปรดปรานมากที่สุดก็หนีไม่พ้นของทอด ขนม นม เนย มันหมู น้ำหวาน ซึ่งล้วนแล้วแต่นำไปสู่ความอ้วน
เมื่ออายุ 11-12 ปี เธอเกิดมีความคิดที่จะลดน้ำหนักเป็นครั้งแรก ตอนนั้นเธอแบกน้ำหนักไว้ในร่างมากกว่า 70 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกัน เธอเหมือนพี่ใหญ่ที่ตัวโตกว่าใครเพื่อน แต่เมื่อความเป็นวัยรุ่นเริ่มเดินทางมา ความรู้สึกว่าอยากสวยอยากรูปร่างดี ก็เกิดมีตามมา และนั่นก็นำพาความคิดสู่การลดน้ำหนักเป็นครั้งแรก
ณ เวลานี้ “แจ๋ม-ภาวิณี เกษมสันต์ ณ อยุธยา” เติบโตเป็นสาววัยยี่สิบต้นๆ ที่ผ่านพ้นการลองผิดลองถูกกับการลดน้ำหนักมาแล้วนักต่อนัก และก็ล้มเหลวมานักต่อนัก จนกระทั่งมาเจอแนวทางการลดน้ำหนักที่เหมาะกับร่างกายตัวเอง...
“ครั้งแรกที่ลดน้ำหนัก ใช้วิธีการอดอาหาร กินน้อยมากและออกกำลังกายเยอะมาก ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ผิดมาก อย่างตอนเช้า แจ๋มจะกินแค่นมกล่องเดียวกับขนมปังแผ่นหรือครึ่งแผ่น มื้อกลางวันก็จะไม่แตะข้าวเลย กลับมาตอนเย็นก็จะไปฟิตเนสเลย มีกินบ้าง แต่ก็น้อยมากๆ ถามว่าน้ำหนักลดไหม ก็ลดนะคะ 3-4 เดือนก็ลดลงไปจาก 73 กิโลกรัม เหลือ 50 กิโลกรัม แต่ก็เกิดอาการโยโย่เอฟเฟกต์ขึ้นมา พอลดน้ำหนักไปได้เหลือประมาณ 50 กิโลกรัม เราก็เริ่มรู้สึกสบายใจ เราก็กินเยอะขึ้นมาหน่อย ออกกำลังน้อยลงนิดหนึ่ง น้ำหนักมันก็เด้งขึ้นไปประมาณ 60 กิโลกรัมแล้วก็อยู่ตัว ซึ่งเราก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก
“ช่วงที่น้ำหนักเด้งขึ้นไปเยอะสุดๆ ก็น่าจะเป็นตอนที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศคอสตาริกา 1 ปีเต็มๆ ที่ไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนัก กินเหมือนคนปกติทั่วไป เขากินอะไรกัน เราก็กินอย่างนั้น ก็รู้สึกกางเกงรัดๆ นะ แต่ก็คิดว่าคงไม่ได้อ้วนขึ้นมาก ถามคนรอบข้างก็บอกว่าเราไม่อ้วน พอกลับมาไทยเท่านั้นแหละ ถึงกับเป็นลมหงายหลัง เมื่อตาชั่งขึ้นเลข 73 กลับมาจุดเดิม....”
ภายหลังกลับมาจากต่างประเทศ เธอก็กลับสู่โหมดเดิม ใช้วิธีการกินน้อย แต่เพราะความที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย จึงทำให้เธอไม่ได้ออกกำลังกายสักเท่าไหร่ และนำมาซึ่งความเบื่อหน่าย จนต้องหันไปพึ่งพายาลดความอ้วนในที่สุด
“มันมาถึงจุดที่รู้สึกว่าเราเบื่อมากๆ หลังจากนั้น แจ๋มเลยลองยาลดความอ้วนเลยค่ะ มันก็ช่วยได้นะคะ แต่เรากลับเป็นโรคซึมเศร้า มันมีผลกระทบกดประสาทเรา ซึ่งเราจะไม่อยากกินอะไรเลย แถมไม่มีเรี่ยวมีแรง เราใช้วิธีนี้ จนน้ำหนักลดเหลือ 63-64 กิโลกรัม แต่ว่าเราก็ยังมีความรู้สึกทรมานอยู่ดี เพราะว่าเราจะกินอะไรก็ไม่ค่อยได้ กินอะไรก็ต้องออกกำลังกายเยอะๆ”
นั่นเป็นอีกครั้งที่เธอลดความอ้วน ก่อนจะไปเจอกับการลดน้ำหนักแบบ “กินคลีน” ที่ตอนนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก
“มีอยู่วันหนึ่ง แจ๋มลองเสิร์ชในอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นน่าจะในช่วงปี ค.ศ. 2012 ที่เมืองนอกเขาเพิ่งฮิตกินคลีนเหมือนกับเมืองไทยตอนนี้ ฉะนั้น เข้าไปดูวิธีการลดน้ำหนัก เขาก็จะบอกเลยว่าการกินคลีนต้องเน้นโปรตีน คาร์โบไฮเดรตน้อย นับแคลอรี ออกกำลังกาย กินผักผลไม้เยอะๆ ตามหลักการกินคลีนเลย จากนั้น แจ๋มก็เลยเริ่มต้นกินคลีนซึ่งเราจะกินคลีนไปด้วย ออกกำลังกายไปด้วย นับแคลอรีไปด้วย วันหนึ่งไม่น่าจะเกิน 1,200 แคลอรีซึ่งมันก็ยังน้อยอยู่นะคะ แต่ว่ามันก็ยังดีกว่าอดอาหาร ผลลัพธ์ก็ดีนะคะ น้ำหนักลดลงไปเรื่อยๆ เลย ลงมาอยู่ที่ 55-57 กิโลกรัมเท่าๆ กับปัจจุบัน”
หลังจากที่พบกับวิธีลดความอ้วนแบบยั่งยืนด้วยวิธีกินคลีนแล้ว เธอก็ทำอย่างนั้นมาถึง 4 ปีเต็ม อย่างไรก็ดี การกินคลีนก็ไม่ได้เป็นหนทางที่ช่วยให้การใช้ชีวิตและการกินของเธอมีความสุขแม้แต่น้อย เธอจึงหันไปหาวิธีใหม่
“ปัจจุบัน แจ๋มเปลี่ยนจากการกินคลีนมาเป็นสาย High Carb Low Fat Vegan หรือกินเจ เน้นแป้ง ไขมันต่ำ จะบอกว่าช่วงที่กินคลีนมาได้ 4 ปีช่วงนั้นไม่มีปัญหาอะไรเลยนะคะ เรามีความสุขดี น้ำหนักไม่ขึ้น ไปต่างประเทศ น้ำหนักก็คงที่ แต่เรามีปัญหาตรงที่นับแคลอรี คือถึงจะมีความสุข แต่วันๆ เราก็ต้องคิดว่าวันนี้เรากินเยอะเกินไปหรือเปล่า วันไหนที่กินเยอะเกินไปเราก็จะมานั่งเครียดแล้วบอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องกลับไปคลีนสุดๆ นะ ซึ่งเราจะต้องคิดทั้งวันว่าเราจะกินอะไรดี อันนี้กินได้ อันนี้กินไม่ได้ มันเครียดเกินไป
“วันหนึ่งเราดูยูทูปแล้วไปเจอวิดีโอ What I Eat in a Day! เขาจะโชว์ว่า วันๆ เขากินอะไรบ้าง ซึ่งเราก็ตกใจนะว่า ทำไมเขาถึงกินได้เยอะขนาดนี้แล้วเขาก็ไม่อ้วนเลย เราก็เลยพยายามศึกษา
“แจ๋มเริ่มจากกินผลไม้ทั้งวันเลย สองวันแรกที่ทำแจ๋มกินผลไม้เยอะมากๆ แต่เราก็แปลกใจว่าทำไมหน้าท้องเรายุบไปเลย เบาตัวด้วย มันต่างจากที่เราเคยกินคลีน เพราะมันกินได้เยอะมาก (เน้นเสียง) กินจนอิ่ม กินจนไม่หิวโหย ไม่อยากกินอะไรอีกด้วย มากในที่นี้คือตอนเช้าแจ๋มกินแตงโม 1 ลูก เที่ยงบางทีก็กินกล้วย 5-6 ลูก กินจนอิ่ม อิ่มแล้วก็จะหยุด แต่ช่วงแรก เราจะกินไม่ค่อยได้เยอะเท่าไหร่ เพราะเรายังติดกินคลีนอยู่ วันๆ ก็จะกินได้นิดเดียว ซึ่งแจ๋มก็จะไม่ฝืนตัวเองจะค่อยๆ เพิ่ม
“ช่วงแรกๆ ที่ทำเราก็รู้สึกอยากกินนอาหารคาวบ้างนะคะซึ่งตอนนั้นแจ๋มรู้สึกว่าเราเคร่งเกินไป หลังๆ ก็จะเพิ่มอาหารคาวเข้ามาก็จะเป็นพวก ข้าว มันฝรั่ง ผักต่างๆ แต่จะไม่ค่อยปรุงแต่ง สิ่งที่แจ๋มทำเรียกว่า High Carb Low Fat 80 10 10 ซึ่ง 80 เปอร์เซ็นต์จะเน้นคาร์โบไฮเดรตที่ดี 10 เปอร์เซ็นต์เน้นโปรตีน และอีก 10 เปอร์เซ็นต์จะเน้นไขมันดี แจ๋มจะพยายามกินของสดให้เยอะที่สุด โดยเฉพาะผัก ผลไม้ หลังจากนั้น ถ้าเบื่อผักผลไม้แล้วก็จะเน้นกินข้าว ส่วนมากแจ๋มจะกินผลไม้สดๆ ผักสดๆ ตอนเช้า ตอนเที่ยงก็จะกินข้าว หรือไม่ก็กินผัก ผลไม้ ตอนเย็นก็จะกินข้าวเป็นหลัก”
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นเธอบอกว่ามหัศจรรย์มาก มันทำให้สุขภาพจิตของเธอดีขึ้นเยอะมาก เพราะว่าวันๆ ไม่ต้องคิดว่ากินเยอะไป กินน้อยไปหรือแคลอรีเท่าไหร่ หิวเมื่อไหร่ก็สามารถกินได้ อีกทั้งยังมีแรงมากขึ้น ซึ่งแตกต่างจากตอนที่กินคลีน เธอจะผมร่วงเยอะมาก ประจำเดือนก็จะขาดๆ หายๆ อารมณ์แปรปรวนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา พอหลังจากเปลี่ยนมากินแบบนี้ประจำเดือนก็มาปกติ ผมไม่ร่วง แถมอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย
การรับประทานแบบ High Carb Low Fat Vegan จะเกิดความเคลือบแคลงใจว่ามันเป็นสิ่งที่จะสามารถทำได้จริงหรือ? และคงมีคำถามมากมายพรั่งพรูถามเข้ามา และนี่คือคำตอบบางส่วนที่เธอตอบเอาไว้แล้ว
1. ไม่กินเนื้อสัตว์ ห้ามใจตัวเองยาก มันทรมานตัวเองไปหรือเปล่า
ตรงนี้แจ๋มมองกลับกันนะคะเพราะอย่างตอนที่แจ๋มกินคลีนเรากินทุกอย่างได้ก็จริง แต่มันก็ทรมานตรงที่ว่ากินได้ทุกอย่าง แต่เรากินได้ในปริมาณที่น้อยมาก เรายิ่งต้องห้ามใจตัวเอง ซึ่งวันไหนที่มีโอกาส เราก็จะกินเข้าไปเยอะมาก แต่ถ้าเทียบกับที่แจ๋มหันมากิน High Carb Low Fat หรือเรียกง่ายๆ ว่ากินเจ เราแค่ยอมตัดอาหารออกไปไม่กี่อย่าง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ แค่ตัดพวกนี้ออกไป นอกจากนั้นเราสามารถกินได้ไม่จำกัด มันทำให้ไม่อยากกินอย่างอื่นเลยนะ
2. เป็นไปได้หรือ กินแต่คาร์โบไฮเดรตแล้วจะผอม
แจ๋มเคยอ่านเจอมาว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมนุษย์ทำงานด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเวลาที่เรากินคลีนแล้วเราอยากกินนู่นอยากกินนี่ ส่วนมากจะอยากพวกของหวานกับแป้ง เพราะร่างกายเราใช้คาร์โบไฮเดรตในการทำงาน เรากินเข้าไปก็จริง แต่ร่างกายกลับบอกว่าคุณกินเข้ามาก็จริง แต่มันไม่ใช่สารอาหารที่เราต้องการ ฉะนั้น ร่างกายเลยสั่งให้เรากินแป้ง กินน้ำตาลซึ่งพอเราเปลี่ยนมากินเจ มันเลยเป็นผลพลอยได้ที่ทำให้เราไม่อยากกินของหวานเลยนะ เพราะว่าทุกวันนี้เราได้รับเต็มที่แล้ว มันยิ่งดีกว่าด้วยซ้ำที่เรากินได้เยอะกว่าเดิมด้วย
3. จะกินเข้าไปทำไมเยอะแยะ แคลอรียิ่งเยอะ ยิ่งไม่ดี จะไปสะสมไหม
แจ๋มเคยไปอ่านและศึกษามาที่เขาบอกว่าไม่ให้กินแคลอรีเยอะ เพราะว่าอาหารทุกอย่างล้วนมีแคลอรี แต่ว่าอาหารที่คนกิน ส่วนใหญ่จะเต็มไปด้วยน้ำมัน น้ำตาล และคอเลสเตอรอล คนส่วนใหญ่เลยไปโยงกันว่าอย่าแคลอรีเยอะเกินไปนะ เพราะมันจะทำให้น้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอลเยอะตามด้วย
มีบทความที่เขียนประมาณว่าอย่านับแคลอรี ให้นับสารอาหารดีกว่า เพราะตัวที่จะทำให้เราอ้วนมันคือไขมัน น้ำตาล และคอเลสเตอรอลมากกว่า ไม่ใช่แคลอรี อย่างผักผลไม้ถึงแจ๋มจะกินเยอะ แต่ตามธรรมชาติ แคลอรีของผักผลไม้ก็ต่ำอยู่แล้วนะ แถมไขมันต่ำหรือแทบไม่มีเลย
4. แล้วถ้าไม่กินเนื้อสัตว์เอาโปรตีนมาจากไหน
คำถามนี้เยอะมาก ทุกคนที่แจ๋มไปกินข้าวด้วย เขาจะถามว่าเรากินโปรตีนจากอะไร ไม่ขาดโปรตีนเหรอ ซึ่งอันนี้แจ๋มก็ไปหาข้อมูลมา เขาบอกว่าพืชผักผลไม้มีโปรตีนหมดเลย ผักโขมมีโปรตีนมากกว่าสเต๊กอีก แม้แต่แตงโมยังมีโปรตีนเลย ซึ่งข้อมูลที่แจ๋มหามาเขาบอกว่าคนเราต้องการโปรตีนแค่ 0.8 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมเอง มันก็มีคนคำนวณออกมาว่าคนหนักเท่านี้ ต้องการแคลอรี 2,000 กว่าแคลอรี ต้องการโปรตีนเท่าไหร่มันก็ตกมาแค่ 10 เปอร์เซ็นต์จากแคลอรีทั้งหมด ซึ่งก็ตกตามหลัก 80 10 10 เหมือนเดิม เราก็เลยโอเค จริงๆ ปัญหามันไม่ใช่ว่าเราจะขาดโปรตีน อย่างบางคนกินโปรตีนมากเกินไปด้วยซ้ำ คนเราวันหนึ่งควรกินโปรตีนไม่เกิน 300 มิลลิกรัม ซึ่งแค่ไข่ 2 ฟองก็เกินแล้ว
5. วิธีกินแบบ High Carb Low Fat Vegan ทำอย่างไร
ไม่กิน หรือ กินน้อยที่สุด
1.ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นนม ไข่ ชีส
2.ไขมัน น้ำมันต่างๆ รวมถึงพวกอาหารที่ไขมันสูง
3.อาหารแปรรูป
แล้วกินอะไรดี?
1.ผัก ผลไม้
2.พืชที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น กล้วย ข้าวขาว ข้าวกล้อง พาสต้า มันฝรั่ง ฟักทอง มันเทศ
3.พืชที่มีโปรตีน เช่น ถั่วดำ ถั่วแดง
***หมายเหตุข้างบนนี้คือหลักการจริงๆ ของ HCLF vegan คาร์โบไฮเดรตไม่ได้ทำให้อ้วน ไขมันต่างหากที่ทำให้อ้วน
สุดท้าย หากใครสนใจอยากหันมาทำแบบเธอบ้าง เธอแนะนำว่าต้องค่อยๆ ปรับ ลดการกินเนื้อสัตว์ลง ถ้าอยากเริ่มจริงๆ ไม่ต้องตัดขาดเลย แค่พยายามลดลง แล้วก็เพิ่มคาร์โบไฮเดรตให้มากขึ้น ลดไขมัน ลดน้ำตาลลง ซึ่งเธอยืนยันว่ามันได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อตัวเองแน่นอน แต่อาจจะไม่ได้ผลในระยะสั้น เพราะมันไม่ใช่ทางลัดหรือสูตรระยะสั้น อีกอย่างร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน เราต้องปรับให้เข้ากับตัวเราเอง
ตัวอย่างเมนูอาหาร
เรื่อง : วรัญญา งามขำ
ภาพ : อินสตาแกรม @ooops_jam