เสียงขอพรกังวานอยู่ในใจ กลิ่นธูปไม่เคยจะเบาบาง โรยควันสีจางกลางอากาศ ขณะแสงแห่งเปลวเทียนนับหมื่นนับพันเล่ม ก็แจ่มจรัสเบื้องพระพักตร์แห่งพระพรหม หน้าโรงแรมเอราวัน สี่แยกราชประสงค์ นี่คือสถานที่แห่งศรัทธาที่เรียกผู้คนจากทั่วสารทิศ ทั้งไทยและเทศ มารวมตัวกัน
บ้างมาเพื่อขอบูชาและพร
บ้างมาเพื่อหาบคอนชีวิตทำมาหากิน
ทว่าเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ราวประมาณ 19.00 น. เสียงระเบิดดังกึกก้อง แทรกซ้อนเสียงของผู้คนบนพื้นที่นั้น
เป็นความเจ็บปวดและสูญเสียที่ยากจะบรรยาย
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร...ชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป
เศษเขม่าดินระเบิด และซากความโศกเศร้าอาจยังไม่จางหาย แต่วิถีชีวิตและพลังศรัทธา ยังคงเดินหน้า ลมหายใจที่แข็งแกร่ง เพียงรอเวลาคืนมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ภายหลังความกลัวได้ผ่านพ้น...
ใจหาย..แต่ศรัทธาไม่จางหาย
เพราะพวงมาลัยให้ชีวิต
"หลังจากวันนั้น เราต่างก็กลัว แต่เรากลัวไม่มีกินมากกว่า ไอ้เรื่องกลัว มันก็กลัว แต่กลัวมากที่สุดคือกลัวไม่มีกิน ไหนจะลูก ไหนจะหลาน ไหนจะแม่ ไหนจะตัวเราอีก หนี้สินก็มี จะให้ทำไง ก็ต้องฝืนมาอย่างนี้"
อัศจรรย์ มีสัตย์ แม่ค้าขายพวงมาลัยวัย 57 คนยุคบุกเบิกที่เข้ามาขายดอกไม้ ธูป เทียน บูชาพระพรหม ตั้งแต่ครั้งยังเป็นสาว สมัยที่โรงแรมเก่า ยังไม่มีการล้อมรอบขอบชิดเป็นรั้วอย่างทุกวันนี้ บอกเล่าถึงความรู้สึกภายหลังมีเหตุระเบิดเมื่อสัปดาห์ก่อน
"วันที่เกิดเหตุ ป้าก็อยู่ตรงเสา ตรงแยกไฟแดงด้านหน้าประตูใหญ่เลย นั่งคู่กับเพื่อนอีกคน คือใกล้มาก เดินไม่ถึง 10 ก้าวด้วยซ้ำ เศษเนื้อเศษเลือดยังกระเด็นติดตัวป้าเต็มไปหมด ตอนแรกป้าก็คิดว่าป้าโดนเหมือนกันแต่ไม่รู้ตัว จริงๆ ไม่เป็นอะไร
"แรกๆ ป้าคิดว่าเป็นเสียงฟ้าผ่าหรือไม่ก็เสียงยางรถระเบิด เพราะมันเคยระเบิดอยู่ประจำ แต่เสียงมันดังมากเลย จากนั้นก็เห็นเปลวไฟลุกแดงขึ้น พอเสียงตูมนี่นะ กระแทกแรงเลย ตกใจ หูอื้อไปข้างหนึ่ง ตอนนั้นก็กอดอก ทำอะไรไม่ถูก พอสักพักมีคนมาบอกว่าหนีไปซิๆ ถ้ามีลูกที่สอง เดี๋ยวจะอันตราย ก็เลยตั้งสติได้แล้วก็ลุกขึ้นมา เดินๆ ไปหลบตรงใต้ห้องอาหารของโรงแรม พนักงานโรงแรมก็บอกให้เอาผ้าเย็น เอาผ้ามาเช็ดเลือด ดึงเศษสะเก็ดที่กระเด็นมาติดที่หัวออก มีเสียงเขาบอกกันว่าข้างนอกตายกันเยอะ
"ก็ไปหลบในนั้นนานอยู่ จนเขาปิดร้านปิดอะไรก็กลับ ออกไปทางโน้น ฝั่งด้านข้าง ก็ไปนั่ง คนโน้นก็ถาม คนนี้ก็ถาม เขาก็อยากรู้ เราก็ตอบเขาอยู่อย่างนี้ พอนึกขึ้นได้ก็เป็นห่วงแฟน เพราะว่าเขาก็อยู่ตรงนั้น เราก็โทร.หาเขาว่า อยู่ตรงไหน เขาก็บอกว่าอยู่กับลูกเขา อยู่โรงพยาบาลตำรวจ ลูกโดนระเบิด เป็นหนักมาก สาหัสเลย คิดว่าจะไม่รอด แต่ก็รอดแล้วล่ะ
"นอกนั้น เราก็ไม่รู้อะไรแล้ว ป้าก็รู้เท่านั้น..."
น้ำเสียงที่สั่นเทา น่าจะบอกเล่าความรู้สึกของป้าได้ดี ขณะที่สีหน้าแววตาซึ่งดูเนือยๆ ของเพื่อนซี้วัยข้างเคียง เป็นอีกหนึ่งเสียงที่ร่วมยืนยัน แม้ไม่พูดออกมา แต่ก็สัมผัสได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงกระทบต่อจิตใจ เป็นบาดแผลที่ยากจะลบเลือน วาจาไม่เอื้อนเอ่ย ได้แต่ยกมือพนมขึ้นเหนือหัว...
"ป้าเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีองค์ปู่พรหมท่านช่วย ท่านรักษาทุกคน แต่ว่าคนไหนโดนมากท่านก็รักษาไม่ได้ คือว่าคนไหนโดนมาก เขารักษาไม่ไหวแล้ว นั่นแหล่ะก็คือไปตามนั้น เราก็เสียใจ"
แต่ด้วยเหตุผลเรื่องปากท้อง จึงไม่มีแม่ค้าพ่อขายหนีหายตามแรงระเบิดสักคนเดียว แม้ว่าผู้คนบางส่วนหล่นหายเกินกว่าครึ่ง กิจวัตรประจำวันอันคุ้นชินที่เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่ 6 นาฬิกาไปจนถึงเกือบเที่ยงคืนขึ้นวันใหม่ ยังคงดำเนินต่อไปแม้ในวันนี้
"ไม่มีหนี มาขายกันทุกคน แต่ว่าเขาจะเปลี่ยนสลับเวรกัน กลัวแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรอย่างที่บอก นี่ก็เพิ่งกลับมาขายได้ 2 วัน หลังจากที่เขาปิดตั้งแต่วันเกิดเหตุ ก็มาขายกันตามปกติ ศาลเปิด 6 โมง ปิด 5 ทุ่ม ใครมาเช้าก็มาเช้า ใครอยู่มืดก็มืด ไม่มีเปลี่ยนแปลง กลัวก็ทน"
"เพราะมันคือหน้าที่ ที่ทำมาหากินเราอยู่ตรงนี้ เรามาเป็นกิจวัตรของเรา นี่ก็มาแบบไม่ได้มาบ่าย มาดูลาดเลาก่อน แล้วก็ไม่ได้นัดกันมาด้วย ต่างคนต่างมากันเอง เรารู้แล้วว่าที่ทำมาหากินเราอยู่ตรงนี้ ไม่ได้เคยโทรนัดว่ามึงมาไหม กูมา ไม่มี มันเป็นหน้าที่ เราก็คือมาของเราเป็นกิจวัตรของเรา"
"ก็หวาดระแวงอยู่ ก็มีตำรวจที่ตอนนี้เขาดูแลก็มาถามอยู่นะว่าไม่กลัวเหรอ ก็กลัว แต่จะให้ทำอะไรได้ แก่แล้ว จะไปทำยกของ ยกโน่นนี่ ก็ไปไม่ไหว ก็อยู่ตามประสาแบบนี้ ก็เหมือนกับตอนมีผู้ชุมนุม หรือก่อนหน้าที่มีเหตุระเบิดครั้งหนึ่ง เราเคยเจอมาพอๆ กันแล้ว"
"คือแรกเริ่มเดิมที ตอนนั้นตอนสาวๆ วัยรุ่น ป้าเห็นศาลนี้ตั้งแต่ยังไม่ล้อมรั้วเลยนะ บริเวณรอบๆ ก็จะมีรูปช้างเต็มไปหมด ป้าก็นั่งรถเมล์ สาย 17 ผ่านไปสีลมบ่อย เพราะป้าอยู่อนุสาวรีย์แล้วต้องไปส่งผ้าให้เขา ป้าก็เป็นแค่ลูกจ้างเขา ป้าก็ยกมือไหว้ บอกลูกช้างอยากมาไหว้แล้วก็อยากมาขายของที่นี่จังเลย ลูกยากจน"
"หลังจากนั้นไม่นาน ป้าก็ได้มาขายของ เพราะแฟนป้าเขาขับแท็กซี่แล้วบังเอิญเขามีคนรู้จักที่ขายอยู่ตรงนี้ ที่ราชประสงค์ แต่แรกๆ เขาก็บอกว่าตำรวจห้าม มีโทษแรง หากโดนจับ แต่เพราะความอยากได้เงิน เห็นคนเขามาไหว้กันเยอะ ก็เลยมา
"มาวันแรก ป้าก็ไปซื้อดอกไม้เขา ชุดละ 10 บาท มา 2 ชุดพี่คนนั้นเขาก็บอกว่าเอาไปก่อนซิลูก เดี๋ยวค่อยเอามาให้ป้า ขายได้แล้วค่อยเอามาให้ ก็เลยเอามา เอามาถือขายอยู่แถวนี้ คนนั้นก็แย่งขาย คนนี้ก็แย่งขาย ป้าก็ไม่ได้ขาย ป้าขายได้ชุดเดียว 5 บาท แล้วมีฝรั่งยื่นกางเกงมาให้ตัวหนึ่ง ป้าก็ดีใจ แม้ว่าได้เงินกลับไปบ้าน 5 บาท แล้ววันหลังก็มาอีก ก็ค่อยได้มาเรื่อยๆ เคยได้สูงสุดสมัยก่อนหลักพันขึ้นเลย แต่ก่อนขายดีคือถ้าใครรู้จักเก็บรู้จักใช้ก็สบาย
"พูดตรงๆ ที่มีกินมีใช้ก็เพราะปู่พรหม ทุกวันนี้ได้เลี้ยงครอบครัวก็เพราะปู่พรหม ไม่โกหก ปู่พรหมช่วยจริงๆ ไอ้กลัวก็กลัว แต่ถามว่า ป้าแก่แล้วจะให้ไปทำอะไร ทำไม่ไหว คือขายมาลัยคือหนึ่งมันเบา เราไม่ต้องแบกต้องอะไร แล้วอีกอย่างเราก็อยู่ตรงนี้มานาน นี่เป็นถิ่นที่ทำมาหากินมากว่า 30 ปี ไปไหนไม่ไปหรอก แล้วชีวิตนี้พูดจริงๆ มีกินมีใช้ได้ก็เพราะพ่อปู่ เหมือนตายแล้วเกิดใหม่"
พระพรหมอยู่ เราอยู่
จากอดีตที่เริ่มก่อตั้งศาลพระพรหมกว่า 50 ปี มีความเป็นมาว่า ทางราชการจะมีการประชุมนานาชาติ โรงแรมที่จะให้ผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างชาติพักที่อยู่ระดับ 4-5 ดาวสมัยนั้นมีน้อย จึงมีการสร้างโรงแรมเอราวัณนี้ขึ้น แต่ปรากฏว่าระหว่างดำเนินการโครงการสร้างโรงแรมนี้มีปัญหาต่างๆ บ่อยๆ ครั้ง จนมีทีท่าว่าจะสร้างไม่เสร็จทันตามกำหนดงานประชุม เรื่องนี้จึงถูกปรึกษากับผู้มีความรู้นำชำนาญด้านโหราศาสตร์ ซึ่งในตอนนั้นคือ หลวงสุวิชาญแพทย์ ท่านได้กล่าวว่า การตั้งชื่อ "เอราวัณ" นั้นเป็นการไปนำเอาชื่อของช้างพาหนะของท้าวมหาพรหมมาตั้ง หากจะให้งานการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีก็ต้องอัญเชิญท้าวมหาพรหมมาประดิษฐานอยู่ด้วยกัน จึงเป็นเป็นที่มาของการสร้างศาลท้าวมหาพรหมประดิษฐานกราบไหว้อยู่ที่โรงแรมเอราวัณ
เรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ท้าวมหาพรหมเป็นที่เลื่องลือกันมาก นอกจากในหมู่คนไทย ยังกระฉ่อนไกลไปถึงต่างชาติ บนบานศาลกล่าวขอพรสิ่งใดก็มักจะสำเร็จสมหวังเสมอ ทำให้มีผู้บริจาคเงินด้วยความเต็มใจและศรัทธา ปีหนึ่งๆ ตกเป็นหลายล้านบาท จนกระทั่งมีการจัดตั้ง มูลนิธิท้าวมหาพรหมขึ้นเพื่อจะได้นำเงินเหล่านี้ไปบริจาคต่อให้แก่โรงพยาบาลในชนบท รวมทั้งงานการกุศลต่างๆ มากมาย
ณ ตอนนี้ แรงศรัทธายังคงมั่นอยู่กลางใจ ไม่ต่างไปจาก "ธิดารัตน์ ศิวะนาถนุสรณ์" และ " Stanic Teah" คู่รักสาวไทยกับหนุ่มมาเลเซียที่ทำงานในประเทศไทย ก็ยังไม่ลดน้อยถอยลงหลังเสียงระเบิด
"ก็ยังมีความศรัทธาในองค์พระพรหมท่านอยู่ ทุกครั้งที่มาไหว้ มาขอพร ก็รู้สึกดีตลอด มีเวลาว่างก็จะมาแวะสักการะ ก็ไม่ได้กลัว หลังเหตุการณ์เกิด ก็ยังมา ส่วนแฟนก็ทำงานในกรุงเทพฯ อยู่แล้ว เขานับถือองค์พระพรหมด้วย เพราะว่าเขาเคยขอพรแล้วสำเร็จผล เพื่อนๆ เขาเคยมาขอทั้งเรื่องงาน เรื่องความรัก การเงิน การเรียน ขอแล้วก็ได้
"เขามาสักการะมากกว่า 10 ครั้ง นับจากครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว บ้านเขาที่มาเลเซีย เขายังเชื่อถือองค์ท่านอยู่ เขาก็ยังมากันอยู่ตอนนี้ ยิ่งพอมาเห็นก็เหมือนกับเชื่อว่าองค์ท่านมีฤทธิ์พลัง ระเบิดก็เลยทำความเสียหายท่านได้เพียงเล็กน้อย"
หญิงสาวกล่าว พร้อมกับบอกต่ออีกว่า ซึ่งแม้ว่าถึงจะมีที่อื่นที่ใดที่จะขอพร ทว่าความศรัทธาก็ไม่เทียบเท่าที่แห่งนี้ และจากร่องรอยความเสียหายที่เล็กน้อยในเทวรูป คืออีกส่วนหนึ่งของความเชื่อที่มิอาจปฏิเสธได้
"จริงๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์ ตอนนั้น เราอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต เรารู้ข่าวก่อนเขา ก็ส่งข้อความไปหาเขาบอกว่าระวังตัวด้วยนะ แต่พอเขารู้เขาก็มาที่นี้เลย คือเขาบอกว่าเขามาเพื่อว่าเขาจะช่วยอะไรได้ เพราะว่าเขาเห็นว่ามีชาวต่างชาติ คนจีนอะไรอย่างนี้ แล้วเขาพูดภาษาจีนได้ ก็เลยอยากมา"
"กลัวบ้างหรือเปล่า"
เราถาม เพราะเหตุผลว่า การก่อวินาศกรรมครั้งนี้คร่าชีวิตทั้งคนไทย และชาวต่างชาติอีกหลายชีวิต
"ไม่กลัว เพราะถ้ามันจะตายมันก็ต้องตาย แต่ก็เสียใจ ทำไมเขาถึงทำกับผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้รู้อะไร คือคนเขามาเพื่อเคารพสักการะกราบไหว้ ทำไมถึงทำกับเขาอย่างนั้น
"สถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าต้องคอยมาระแวดระวังหรือมีมาตรการป้องกันตรวจค้น มันใช่สถานที่ๆ ควรเป็นอย่างนั้น"
"ผู้ที่ศรัทธาไม่น่าจะน้อยลง แต่ที่คนบ้านเรายังมากันไม่มาก เพราะว่าตอนนี้เหตุการณ์อาจจะเพิ่งเกิด แล้วก็น่าจะยังกลัวอยู่ ในอนาคตก็จะเหมือนเดิม เราไม่กลัวแต่เราก็ระวัง ก็พยายามมองรอบตัว มองรอบๆ ระมัดระวังตัว"
เช่นเดียวกับครอบครัว "บุญจุ้ย" ที่พากันก้าวเข้ามาในรอบรั้ว ให้มุมมองเรื่องความกลัวไว้น่าสนใจ พร้อมบอกเล่าถึงเหตุผลที่ทำไมวันนี้ หลังเกิดเหตุการณ์ไม่นาน จึงกล้าที่จะมา
"คือคนไทยกลัวแป๊บเดียว เดียวก็เลิกกลัวกันแล้ว นี่ก็ชวนลูกๆ มา ไม่ได้บังคับ" คุณแม่ลูก 2 ว่าย้ำแรงศรัทธา ที่ต่อให้ร้ายแรงกว่านี้ ความเลื่อมใสก็มิคลาย
"คือแรงศรัทธาน่าจะมีมากกว่าเสียงระเบิด ระเบิดระยะตั้งกี่เมตร แต่องค์พ่อท่านบิ่นนิดเดียว ท่านศักดิ์สิทธิ์ หลังเหตุการณ์นี้ก็ยังศรัทธา ขนาดชื่อ 'ปารวตี' ยังเป็นเทพเลย แล้วก็ยังอยากจะมาไหว้อยู่ หลังระเบิดก็ไม่กลัว คือตั้งใจว่าจะมาก็ต้องมา เมื่อมีโอกาสก็มา วันนี้ก็ไปไหว้มาหลายที่ ไปไหว้พระเจ้าตาก ไปไหว้วัดแขก แล้วก็มาที่นี้ที่สุดท้าย"
"คือเราตั้งใจจะมาทำบุญ ไม่ระแวงว่าตรงจุดไหนจะมี คนไหนจะมีอะไรวาง ถ้ามีโอกาสก็จะมาเรื่อยๆ จะให้ใช้ชีวิตหวาดระแวงกันตลอดเวลาก็คงไม่ได้ ไม่กลัวขนาดนั้น"
เพราะ “เวลา” จะเยียวยาทุกอย่าง
แม้ว่าความสูญเสียครั้งนี้จะร้ายแรงเพียงใด ทว่าในทางกลับกัน กลับยิ่งทำให้ความสูญเสียก่อเกิดเป็นการรวมน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย
"ยิ่งพอเกิดเหตุการณ์ ทำให้รู้ว่าคนไทยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เห็นน้ำใจพ่อแม่พี่น้องผู้ประกอบการรถแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ แล้วอีกอย่าง คนก็ยิ่งเชื่อมั่นและศรัทธาในในความศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าพอมีเหตุการณ์อย่างนี้ องค์พระท่านก็ไม่ได้รับความเสียหายมาก ใช่ไหม เขาก็ต้องศักดิ์สิทธิ์ คนที่เขาศรัทธาอยู่แล้ว เขาไม่กลัว เขาก็จะมาเรื่อยๆ อย่างที่เห็นๆ ชาวต่างชาติ ส่วนมากเป็นคนจีน มาเลเซีย สิงค์โปร ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขารู้ แต่เพราะศรัทธา เขาจึงมา"
"คนที่เขามาไหว้ เราก็สอบถาม เขาก็ไม่กลัว ที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่กลัวอยู่แล้ว เราต้องเชื่อมั่น ตอนนี้ทุกคนก็พยายามช่วยกันสอดส่องดูคนที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เช่นสะพายเป้ ไม่ให้มีสิ่งของที่วางโดยไม่มีเจ้าของ"
เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลศาลพระพรหมเผยทัศนะ ที่ทุกคนต่างระแวดระวัง เป็นหูเป็นตา และนอกจากผู้ดูแลที่เพิ่มขึ้นอีกกะละ 1 คน ตอนนี้ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงทหารคอยดูแลรอบบริเวณด้านนอก
"อีกอย่างหนึ่ง ประตูใหญ่เราก็ยังไม่ได้เปิด ก็ไม่สะดวก รออีกสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ ก็อาจจะกลับมาเหมือนเดิม"
"ใช้เวลาหน่อย...ก็คิดว่าจะไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกแล้ว อย่างที่บอกคือ ยิ่งพอเกิดเหตุการณ์ น้ำใจคนไทยแล้วก็ความศรัทธา คนก็ยิ่งเชื่อมั่นและศรัทธาในในความศักดิ์สิทธิ์"
ผู้ดูแลรักษาความปลอดภัยกล่าวทิ้งท้าย ก่อนวาดสายตาชำเลืองมองสิ่งรอบๆ ตัว ท่ามกลางเสียงเครื่องวงดนตรีไทยและท่วงท่าร่ายรำแก้บน และใครบางคนบางรถเมล์วิ่งผ่านพร้อมกับยกมือพนมอธิษฐาน
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช