xs
xsm
sm
md
lg

โยคะปฏิวัติชีวิต “ป้าจิ๊ อัจฉราพรรณ”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“อัจฉราพรรณ ไพบูลย์สุวรรณ” หรือ “ป้าจิ๊” ที่ใครต่อใครต่างเรียกขาน เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักดารานักแสดงมากบทบาทและความสามารถที่กวาดรางวัลมาได้ทั้ง 4 รางวัลชั้นนำของวงการ อาทิ รางวัลพระสุรัสวดี, รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์, รางวัลโทรทัศน์ทองคำและรางวัลเมขลา

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่โลดแล่นอยู่ในวงการไม่น้อยกว่า 30 ปี นอกจากบทบาทงานเบื้องหน้าอันเป็นที่ประจักษ์จนสามารถกล่าวได้ว่าเป็นโลโก้ต้นแบบหนึ่งที่สามารถเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้ ในเรื่องชีวิตส่วนตัวเธอยังเป็นทั้งนักเผยแผ่ธรรมะและครูสอนโยคะที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างถึงขั้น “ปรมาจารย์” คนหนึ่งของเมืองไทยอีกด้วย

จากคนที่ไม่เคยออกกำลังกายจนกระทั่งอายุล่วงเลยวัย 52 ปี กระทั่งโยคะก้าวเข้ามาในชีวิตถึงวันนี้ 10 กว่าปีให้หลัง ผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่เราเห็นได้อย่างชัดแจ้งคือไม่ว่าจะรูปร่างหรือผิวพรรณยังคงไม่ต่างเหมือนวันวานก่อนหน้า แต่ทว่าที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ “ภายใน” เรื่องของจิตใจ ที่เดินทางนำไปสู่เรื่องราวทั้งหมด

• ศาสตร์การออกกำลังกายมีหลายอย่าง อยากทราบเหตุผลของป้าจิ๊ครับว่าเพราะอะไรถึงเลือกที่จะเล่นโยคะ

คือต้องบอกก่อนว่า เรื่องการออกกำลังกาย ก่อนหน้านั้นไม่ทำอะไรเลย เพราะเราเป็นคนไม่มีเวลา เล่นหนังเล่นละคร งานพิธีกรเยอะมาก ซึ่งความจริง คุณม้า (อรนภา กฤษฎี) ที่เป็นเพื่อนรักกันมาก ก็ชวนให้ไปแอโรบิก ให้ไปเข้าฟิตเนส แต่เราก็ไม่ทำเลย จนอายุ 52 คุณตุ๊ก (ดวงตา ตุงคะมณี) ก็มาสะกิดตลอด ซึ่งน่ารำคาญมาก (หัวเราะ) เขาก็บอกตลอดเวลาว่าให้เราออกกำลังกาย สะกิดหลายๆ ทีเข้า ก็เลยเริ่ม เพราะเราก็รักสุขภาพเรา เราอยากสุขภาพดี เพราะการที่เรามีสุขภาพที่ดี จะทำให้เราไม่ต้องไปแก้ไขเวลาที่เกิดโรคภัยไข้เจ็บ ฉะนั้น เวลาที่ป้าทำอะไร ก็อยากจะทำตั้งแต่ต้นเหตุ ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่ดูแล เราแก้ไขมัน ไม่คุ้มกัน ก็เลยเริ่มต้นแต่นั้นมา

ตอนนั้น โยคะร้อนเพิ่งเริ่มเข้ามาที่เมืองไทยใหม่ๆ เราก็ชอบเลย เพราะว่าสงบ สบาย ไม่วุ่นวายกับใคร ก็เลยทำ จากนั้นก็เปลี่ยนไป พอเริ่มต้นด้วยตัวเอง ก็บ้าคลั่งเลย (ยิ้ม) ตอนนี้ปั่นจักรยานด้วย รู้สึกชอบมาก โยคะกับจักรยาน ได้อิสระ อยู่กับตัวเอง เวลาที่ปั่นจักรยานก็เหมือนกับอยู่กับตัวเองบนอาน สงบ กลับมามีชีวิตที่สบายใจดี ก็เลยชอบเหมือนเราปิดสวิตช์ให้ตัวเอง

• เหมือนเราปิดสวิตช์ให้ตัวเองนี้ ความหมายคืออย่างไร

ก็คือเราต้องอยู่บนแมตผ้าหรือเสื่อที่ปูตลอดใช่ไหม แล้วเราก็ต้องฟังครู ดังนั้นเราต้องมีสติ ครูบอกว่ายืนตัวตรง เท้าชิดกัน ยืดตัวขึ้น หายใจ ตามองกระจก ยกแขนขึ้น ฉะนั้น ใจเราก็จะไม่นึกถึงเรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องเดี๋ยวเย็นนี้กินอะไรดี หรือเดี๋ยวออกไปรถจะติดหรือเปล่า เพราะมันคิดอย่างอื่นไม่ได้ ถ้าคิด เราก็ไม่สามารถทำตามที่ครูสั่ง

แล้วเวลาที่ฝึกโยคะ เขาก็มักจะสอนไว้ว่า อยู่บนที่ของตัวเองเท่านั้น ไม่แข่งขันและไม่เปรียบเทียบ ถ้าเกิดเราแข่งขันปุ๊บ เราก็มองคนโน้นคนข้างๆ ซึ่งส่วนมากคนเรามักจะไม่อยู่กับตัวเอง จะไปอยู่กับคนอื่นตลอดเวลา ทำไมเขาทำท่าได้เยอะ ฉันทำไม่ได้เลยอย่างนี้ แล้วก็เปรียบเทียบ ทำไมเขาทำได้มากเลย ทำไมฉันยังทำไม่ได้เลย เราก็จะฝึกอย่างไม่มีความสุข

• เท่าที่เล่ามา เหมือนว่านอกจากเรื่องสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจเราก็ได้ด้วยเช่นกัน

คืออาชีพอย่างที่เราทำ ต้องพบปะผู้คนมากมาย ต้องถ่ายรายการเยอะ เวลาอยู่กับตัวเองแทบไม่มี แต่วันแรกมาเรียน ทำสามท่าก็ลงไปนอนเลย (หัวเราะ) จะตายไหมเนี่ย ออกกำลังกายก็ไม่เคยออก แล้วก็เป็นโยคะร้อนด้วย ซึ่งในขณะที่คิดว่าจะตายไหม ก็คิดว่าไม่น่าผลีผลามเลย จ่ายเงินซื้อคอร์สตั้งปีหนึ่ง ตอนนั้นเกือบ 4 หมื่น 5 หมื่น คอร์สปีหนึ่ง เพราะกะเอาจริง เวลาเราทำอะไร เราจะทำจริงจัง สนใจต้องสนใจจริง ต้องทำจริง อย่าเสียเวลา แล้วเหยาะๆ แหยะๆ แต่ไม่รู้กำลังตัวเองไง กลับมาบ้านก็คิดว่าตัวเองแค่คงจะขาดเกลือแร่ ก็ไปหาเกลือแร่มากิน ปรากฏว่าออกเดินเท่านั้นอ้วกพุ่ง (หัวเราะ)

คือเราไม่เคยออกกำลังกายเลย ข้างในมันคงเหนื่อยเกินไป ก็ปรับใหม่ ก็ไปซ้ำอีกรอบวันรุ่งขึ้นไปเลย ขนาดถ่ายละครเลิก 5 โมงเย็น แล้วคลาสเรียนตอน 6 โมง ฝนก็ตก ก็อุตสาหะเรียกวินมอเตอร์ไซค์ เอาผ้าพลาสติกห่อหัวไป เพื่อนๆ ยังบอกเลยว่าตกลงจะได้ไปฝึกโยคะหรือได้ไปนอนเอาผ้าคลุมอยู่ริมถนน (หัวเราะ) เพราะมันอันตรายมาก แต่เราบอกว่าไม่ได้ๆ เราต้องทำอะไรจริงจัง หลังจากวันนั้น ก็มาดูตัวเอง แล้วคิดว่าไม่มีอะไรทำไม่ได้ มันพยุงขึ้นวันละนิด ค่อยๆ ทำได้วันละนิด โยคะมันไม่ใช่ว่าทำได้ชั่วข้ามคืน ค่อยๆ มองคนข้างหน้าแล้วทำตาม

คนข้างหน้าอายุ 20-40 ปี ทำได้ ทำไมฉันจะทำไม่ได้ ตอนนั้นเราอายุ 52 ไม่มีใครแก่เท่าเราเลยในห้อง เราคิดว่าเขาทำได้เราก็ทำได้ เหมือนหัดขับรถใหม่ๆ กลัวมากๆ และในขณะที่เราขับ เราก็มองไปเห็นคนขับรถตุ๊กๆ เราเคยคุยกับรถตุ๊กตุ๊ก เขาบอกว่าว่างจากการทำนา ถึงได้มาขี่รถตุ๊กตุ๊กในกรุงเทพฯ คิดดูสิ ทำนาเสร็จกระโจนขึ้นรถตุ๊กๆ ยังขี่ได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ ต้องทำให้ได้ ล้มบ้างไม่ล้มบ้าง เจ็บตัวต้องยอม แล้วป้าก็ทำได้

• กลัวเจ็บ หรือกลัวพลาดบ้างหรือเปล่าตอนนั้น

ไม่กลัวหรอก เราต้องก้าวข้ามความกลัว ถ้าเกิดมันเจ็บก็ต้องยอมเจ็บ เพราะนี่คือต้นทุน มันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรือถ้ามันตายก็แสดงว่าอายุเราจบแค่นั้น...จบ เกิดหนเดียวตายหนเดียว หลังตายแล้วจะเอาอะไรมากกว่านี้ มันก็จบแล้ว ไม่ต้องไปกลัวหรอก ความตายไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้ ไม่ได้น่ากลัว (ลากเสียงยาว) เหมือนอย่างมุกที่เราโพสต์ติดตลก คนนั้นเขาบอกว่า ความตายคิดว่าต้องเป็นเรื่องดี เพราะเท่าที่เห็นคนตาย ไม่เห็นมีใครกลับมาเลย ถ้าตายแล้วมันไม่ดี ก็คงกลับมาดีกว่า แต่นี่คนที่รู้จักที่ตายไป ไม่มีใครกลับมาเลย (ยิ้ม)

แต่จริงๆ ความตายมันน่ากลัวเพราะอะไร เพราะเราไม่รู้ว่าตายแล้วเราจะไปไหน แล้วเราคิดว่าเราได้ทำแต่ในสิ่งที่รู้ว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เราทำเรื่องบุญ เรื่องกุศลตลอด ตายไปมันก็คงไม่เลวร้าย มันแค่เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ แต่ว่าที่เรายังไม่อยากตาย เพราะเรายังมีความผูกพันกับคนข้างตัว เรายังมีความผูกพันกับ เกียรติยศ ชื่อเสียง มีความผูกพันกับทรัพย์สมบัติเงินทอง แต่เรามองดู วันหนึ่งมันก็ไม่ใช่ของเราแล้ว วันหนึ่งมันก็เป็นของใครก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เมื่อมีชีวิตอยู่ เราเคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย

• จากโยคะที่เหมือนเป็นเรื่องทางร่างกาย ก็หมุนเข้าสู่โหมดของจิตใจไปด้วยใช่ไหมครับ

ในเรื่องจิตใจ จริงๆ ป้าชอบปฏิบัติธรรมมานานแล้ว ตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ แต่ปฏิบัติหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเมื่อเราปฏิบัติแบบนั้น เวลาที่เกิดเหตุ เกิดความทุกข์ หรือเกิดความเครียด เรานึกไม่ทัน เพราะเราอยู่แต่กับการสวดมนต์ ภาวนา อ้อนวอน ขอร้อง ไม่ได้ทำด้วยตัวของเราเอง เราไปสถานปฏิบัติธรรมไปวัด ไปค้างทีหนึ่ง 3 วัน 7 วัน หรือ 10 วัน พอออกมา เราก็ยังเป็นอย่างเดิม ยังโมโหอย่างเดิม หงุดหงิดอย่างเดิม แล้วก็บังเอิญได้ไปเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์ธวัชชัย ธัมมทีโป พระอาจารย์ก็สอนให้เราได้ดูจิต การดูจิตของเราก็คือการน้อมจิตกลับมาที่ฐานของจิตบริเวณกลางทรวงอกหรือลิ้นปี่ เวลาที่เราอยู่กับจิตตลอดเวลาแล้ว เราก็จะทิ้งเรื่องราวต่างๆ ที่สมอง คนเราอย่างเวลาปวดหัว เครียด เป็นไมเกรน นอนไม่หลับ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่บนสมองหมดเลย

คือการที่เราดึงเอาอดีตที่เคยเกิดกับเรื่องนั้นๆ หรือว่าคิดไปถึงอนาคต เดี๋ยวคนคนนี้ มันก็ต้องทำอย่างนี้อีก เรื่องนิดเดียวกลับกลายเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะเราให้ความคิดนำไป แล้วเอาจิตที่มีพลังของเราไปใส่กับเรื่องราวนั้น แต่ถ้าเกิดสมมติมีเรื่องนี้เกิดขึ้นปุ๊บ เรารีบสูดลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจมาที่จิตกลางหน้าอกบริเวณลิ้นปี่ แล้วก็น้อมความรู้สึกอยู่ที่นี่ตลอด ลืมแล้วลืมไป นึกได้ทำใหม่ เราก็จะเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันก็แค่นี้เอง เพราะไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่ดับ แต่มันไม่ดับเพราะเราไปดึง เอาตัวเราเองเข้าไปในเรื่องนั้น ดึงไว้ๆ โมโหไอ้คนนี้ เมื่อก่อนเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเหอะตอนนี้เป็นอย่างนี้ อนาคตต้องเป็นอย่างนี้ คือไปแต่งเรื่องในสิ่งที่ผ่านมาแล้วก็แก้ไม่ได้หรือในอนาคตที่ไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่มา

แต่ถ้าเราผ่อนคลายแล้วเราก็ปล่อยลง กลับมาทำความรู้สึกที่จิต ก็เหมือนเรามีบ้านที่ปลอดภัย เราก็มีที่พึ่ง มีเกาะที่ปลอดภัย การที่เราโมโหๆ ไปอยู่กับเรื่องที่โมโหๆ เรื่องนิดเดียว แต่เราโมโหซะแล้ว แล้วเราก็แต่งให้มากขึ้นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเชื่อมโยงมาด้วยกระแสจิต เราให้ตัวเองมีทั้งสติในการที่นึกน้อมระลึก แล้วก็ให้ทั้งตัวเองมีสัมปชัญญะ คือตัวยับยั้งชั่งใจ คนทุกคนมีสติหมด แต่บางทีไม่มีการยับยั้งชั่งใจ การที่เรามีสัมปชัญญะการยับยั้งชั่งใจ มันคือปัญญาที่เรารู้ว่าควรจะทำอะไรหรือไม่ควรจะทำอะไร เพราะฉะนั้นเวลาที่กลับมาอยู่ที่จิตเสมอ มันเปลี่ยนแปลงเราได้ เพราะว่าปัญญาพอมันเกิด มันก็จะแก้จากภายในของเราเอง เวลาที่เราโกรธ เราโมโหคนโน้นคนนี้ ไม่ใช่ว่าเราโกรธ เราโมโหเขา แต่เราไม่ยอมตัวของเราเองต่างหาก เราไม่ยอม เราโกรธอยู่นั้น โมโหอยู่นั้น แต่ถ้าข้างใน เรามีการยับยั้ง มีการคิด มันก็เป็นเช่นนั้นเอง ก็จบเลย แต่มันจบไม่ได้ ถ้าเราไม่ฝึก มันจะไม่มีสิ่งที่คอยระงับยับยั้งเราให้ห่างไกลสิ่งซึ่งมันไม่ดี และอยากจะทำแต่เรื่องดีๆ ตลอดเวลา

แล้วอีกอย่างหนึ่ง การที่เราจะจบได้ง่ายๆ ก็คืออโหสิกรรม เราอาจจะเคยทำกับเขามาก่อน ขออโหสิกรรม แล้วก็แผ่เมตตา โดยการน้อมความรู้สึกดีๆ แผ่เมตตาๆ ขอส่งกระแสดีๆ ไปให้เขา ขอให้เขามีความสุขๆ แต่ต้องจริงใจ อย่าพูดเฉพาะปาก การพูดเฉพาะปากไม่เกิดอะไรขึ้น หรือเมื่อเรานึกถึงพ่อเราแม่เรา เราก็ขอให้แม่มีความสุขนะ ขอให้พ่อมีความสุขนะ เช่นนั้นไป การดูจิตไม่ใช่แบบว่าเอาตามองดูจิต แต่เราต้องใช้ความรู้สึกสัมผัสกับจิต คำว่าดูจิต คำเต็มคือ ดูแลจิตใจให้มีความสุขอยู่เสมอ เราไม่ชอบความทุกข์ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เวลามีอะไร เราก็หายใจเข้าไปลึกๆ ตัดเรื่องนั้นออก เรื่องนั้นมันจะหยุดทันที ในขณะที่เราหายใจ เพราะเรากำลังตั้งใจที่จะหายใจ เราก็ผ่อนความรู้สึกมา พอเราผ่อนความรู้สึกมา เรื่องมันก็เปลี่ยนแล้ว กระแสมันก็เปลี่ยนแล้ว เพราะเราไม่ไปให้กำลังกับสิ่งนั้น ฉะนั้น โยคะกับการดูจิต มันก็เลยเป็นเรื่องเดียวกันโดยปริยาย

• คนอื่นเล่นจะเหมือนอย่างที่เรารู้สึกและเข้าถึงไหมครับ

รู้สึก...เพราะที่ อกาลิโก โยคะ เราตั้งที่นี่เพราะเราต้องการให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมกลางเมือง โดยมีโยคะเป็นพี่เลี้ยงสถานปฏิบัติธรรม เนื่องจากเป้าหมายใหญ่ต่อจากการเปิดบ้านหลังที่สองเป็นลานปฏิบัติธรรม ก็มีคนบอกว่ามันไกล บางคนเดินทางลำบาก มันก็เลยอยู่ในความคิดเราตลอดเวลาว่า อยากจะมีสถานปฏิบัติธรรมกลางเมือง ก็คิดๆ อยู่ว่าจะอย่างไร เพราะสถานปฏิบัติธรรมก็ต้องมีเงินมาเลี้ยงค่าบำรุง ก็เลย เอ๊ย (ยิ้ม) เราทำโยคะได้นี่ แล้วโยคะเป็นเรื่องสงบทั้งทางร่างกายและจิตใจ เราสามารถที่จะมาประกอบกันได้เลย ก็เลยเปิด อกาลิโก โยคะ เพื่อเป็นที่ปฏิบัติธรรมกลางเมือง ล็อกคิวไว้เลยว่าวันอาทิตย์ช่วงบ่าย จะไม่มีการเรียนการสอน จะเป็นวันที่อาราธนานิมนต์พระอาจารย์ เพื่อที่จะมาให้ธรรมะ

ส่วนวันอื่นๆ ก็เป็นวันเรียนโยคะตามปกติ เราจะต้องสอนนักเรียน คือก่อนฝึกโยคะต้องดูจิตก่อน เรื่องความกังวลเรื่องความเครียด วางไว้ก่อน กลับมาอยู่ที่จิต ให้เป็นที่เกาะที่พึ่งที่ปลอดภัย แล้ววันนี้ฝึกโยคะไปด้วย ทำความรู้สึกไปที่จิตด้วย เพราะจิตก็อยู่ส่วนจิต ความคิดก็อยู่ส่วนความคิด แต่เรามักจะเอาความคิดมาเป็นใหญ่แล้วส่งจิตที่มีพลังมากไปเกาะกับความคิด

• การฝึกต้องเตรียมตัวอะไรอย่างไรก่อนบ้างไหม

ก็ตั้งใจจริง มีวินัย บางคนบอกว่าฝึกโยคะมา 10 ปี แต่ 10 ปี เดือนหนึ่งมากี่ครั้ง บางทีปีนี้ไม่เอาไม่ฝึกดีกว่า ทุกอย่างจะประสบความสำเร็จอยู่ที่ความพยายาม ความต่อเนื่อง และสำคัญมากกว่านั้นคือการมีวินัย ไม่มีวินัยทำอะไรไม่ได้ จะมาเหลาะๆ แหละๆ มันไม่มีทางประสบผลสำเร็จ แล้วเห็นจากผู้ที่มาฝึก การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเห็นอย่างชัดเจน ถ้าเกิดเราฝึกสม่ำเสมอ

จากตอนที่เราฝึกตอนแรก น้ำหนัก 58 กิโลกรัม แต่ตอนนี้อยู่ที่น้ำหนัก 53 กิโลกรัม แล้วก็ไม่ขึ้นอีกเลย เพราะทำต่อเนื่อง ทำตลอดๆ บางคนก็บอกว่าที่มาฝึกโยคะก็เพราะว่าอยากจะได้รูปร่างที่ดี อยากจะได้หุ่นที่เซี๊ยะ บอกเลยว่าอันนั้นมันเป็นของแถม ของจริงคือสุขภาพดีที่เกิดขึ้น

• เรื่องของจิตเราจะดูหรือรู้อย่างไรว่าเราเล่นแล้วเราเข้าถึงได้ในส่วนของจิตใจด้วย

อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน รู้วิธีแล้วก็ต้องไปทำ โยคะก็ได้แต่ภายนอก ภายในคือสงบในส่วนหนึ่ง แต่ถ้าหากว่าสงบมากกว่านั้นก็ต้องฝึกด้วยตัวเอง มันไม่มีใครไปบอกได้ว่า ตอนนี้เธอไปถึงขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว ตัวเองต้องเป็นคนบอกตัวเอง ป้าก็อยากให้ช่วยเป็นสะพานบุญบอกต่อ เพราะคือเคยมีนักเรียนอยู่คนหนึ่ง เขามาบอกกับเราว่าเขาอยากจะฆ่าตัวตาย เราก็บอกว่าการจะฆ่าตัวตายมันต้องคุยกันยาว เราก็ติดสอน ทิ้งคลาสไม่ได้ ก็บอกว่าฉะนั้นวันนี้อย่าเพิ่งฆ่าตัวตาย เพราะคนเราตายทุกคน วันนี้อย่าฆ่าตัวตาย ถ้านึกจะฆ่าตัวตาย ให้นึกถึงหน้าเราไว้ก่อน แล้วก็เอาหนังสือกับดีวีดีของพระอาจารย์ให้กลับบ้านไป

เชื่อไหมว่าวันรุ่งขึ้น เขามาบอก รู้แล้ว หนูไม่ฆ่าตัวตาย พอได้ไปอ่านหนังสือ ไปดูทบทวนรู้แล้วว่าชีวิตคนเราเกิดมาเพื่ออะไร เราทุกข์เพราะอะไร เราทุกข์เพราะมันเป็นความทุกข์ที่เราวิ่งออกไปเอง ไปเกาะเอง เราเป็นคนไปดึงความทุกข์มาเอง แค่หนังสือเล่มเดียวกับดีวีดีแค่แผ่นเดียวเท่านั้น ทำให้เราช่วยชีวิตคนได้ เพราะฉะนั้น จึงเห็นถึงความสำคัญของการบอกต่อ บอกไปๆ เขาอาจจะกำลังต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจ เพราะฉะนั้น เวลาเราเจอใคร แล้วคนนั้นกำลังมีความทุกข์ กำลังมีความเศร้าอยู่ อย่าทิ้งเขา ต้องบอกว่าเราจะเป็นเพื่อนคู่คิด เขามีอะไรให้พูดคุยกับเรา เขาพูดไม่มีประโยชน์เท่ากับเราพูด เพราะเขาพูด เขาก็คุยแต่เรื่องปัญหาของเขาขึ้นมา แต่ที่เราพูด เราจะบอกเขาว่าการที่เขากลับมาพึ่งจิตของเขา แล้วจิตของเขาเข้มแข็งแข็งแรง เขาสามารถช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร

• โยคะมันนำไปได้ขนาดนั้นเลยหรือครับ

ได้ เพราะพอเลิกฝึก ราก็ได้แล้วในการที่เราฝึกร่างกายของเรา แล้วเราก็ฝึกจิตของเราให้เราสงบปลอดภัย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่างที่บอกก็คือ เราฝึกจิตกับพระอาจารย์ เวลาที่ท่านไปสอนที่ไหน เราก็ทำหน้าที่เป็นวิทยากร เพื่อที่จะได้นำสิ่งที่เราปฏิบัติ สิ่งที่เราทำได้ในชีวิตประจำวันของเรา ไปบอกต่อ พอเราไปบอกต่อแล้วคนอื่นๆ ก็มองเห็นว่าเราสามารถทำได้อย่างไร แล้วพระอาจารย์จะบอกตลอดเวลาเลยว่า ไม่ว่าเราจะไปอะไร อยู่ในอาชีพไหน จะต้องนำธรรมะไปให้ผู้คน ฉะนั้น เวลาที่เราเป็นนักแสดงก็ดี เป็นพิธีกรก็ดี หรือเราเป็นเจ้าของสตูดิโอโยคะ เราก็จะต้องนำธรรมะเข้ามาใช้ร่วมด้วย

หรืออย่างการเปิดบ้านสวนที่นครชัยศรีเป็นสถานปฏิบัติธรรม คนที่ไปเป็นผู้พิพากษาสมทบที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดปทุมธานี เราก็นิมนต์พระอาจารย์ไปสอนเยาวชน ไปที่สถานพินิจ ไปที่ศาล เพราะว่ารีบบอกต่อผู้คน มีผู้คนที่อยู่ในความทุกข์มากมาย

• คิดว่าเพราะอะไร เราถึงอยากทำทั้งหมดนี้ที่ว่ามา

เบื้องบนคงกำหนดมั้ง (หัวเราะ) คือเรารู้สึกว่าเราเป็นคนชอบกิจกรรม แต่ว่ากิจกรรมที่ไปทางเรื่องบันเทิงก็คงไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ เราไม่ชอบไปปาร์ตี้ เราไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า เราไม่เที่ยวกลางคืน เราชอบอยู่เงียบๆ สงบๆ หลังจากเวลาทำงาน เพราะฉะนั้น กิจกรรมแบบนั้น เราก็ไม่ได้ไปทำ ชอปปิ้งก็ไม่ไป ป้าก็ไม่ทำอะไรเลย คือสนใจอยู่แค่นี้ แค่ที่ทำอยู่ (ยิ้ม) นอกนั้นก็มีแต่งาน ใครถามว่าทำอะไร ก็มีแต่ทำงานๆ แต่การทำงานของเรา มันเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์กับตัวเองแล้วก็เกิดประโยชน์กับผู้อื่น อย่างเช่นที่เปิด อกาลิโก โยคะ เราก็บอกตัวเองว่า เรากำลังจ้างตัวเองทำงาน เพราะในวัยเกินอายุ 60 ใครก็ไม่จ้างเราไปทำอะไรแล้ว เพราะฉะนั้น เวลาทำตรงนี้ก็เหมือนกับเราจ้างตัวเองให้มีงานทำ แล้วเงินเราไม่ว่าจะมีมากมายขนาดไหนก็ตาม ตายไปแล้ว เงินมันไม่ตามเราไปใช่ไหม

ฉะนั้นเราก็ควรจะใช้เงินของป้าให้เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ในที่นี้คืออะไรทำให้คนอื่นๆ หรือคนที่เขามาทำงานกับเรา เขาได้มีงานไปด้วย อย่างแม่สาวๆ หน้าเคาน์เตอร์ คุณแม่บ้านที่ดูแลสตูดิโอ คุณครูอีก 8-9 คนก็มีงาน เรื่องราวต่างๆ มันก็หมุนไปจากจุดที่เราตั้งต้น

• คิดว่าทั้งหมดนี้ มันให้อะไรแก่ชีวิตเราบ้าง

ความสงบเหนือความสุข เราชอบที่จะอยู่กับความสงบ แล้วเวลาที่เราจะไปเจอใครหรือว่าแชร์ความรู้สึกอะไรกับใคร เราก็จะได้คนที่เป็นมิตร เป็นมิตรจากกิจกรรมที่เราทำ เพราะพอเวลาที่คนมาเพื่อโยคะ ก็คือคนที่สนใจสุขภาพ เจอกันก็พูดถึงแต่เรื่องสุขภาพ เรื่องการดูแลร่างกาย ดูแลจิตใจ หรือเวลาที่เราทำการปฏิบัติธรรม เราก็จะได้มิตรของเรา ก็จะเจอคนที่สนใจแบบเดียวกัน อยากเจอหนทางชีวิตที่มันดีกว่า อยากจะออกจากความทุกข์ อยากจะดูแลชีวิตของตัวเองให้ดี

อย่างเวลาที่เรามาสอน เราก็จะบอกนักเรียนว่าต้องดูแลตัวเองให้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีครอบครัว เราตัวคนเดียว บิดา มารดา เสียชีวิตหมดแล้ว สมรสก็ไม่ได้สมรส ลูกก็ไม่มี ทุกข์ที่สุดคือตอนที่แม่เสีย ก็ไม่มีทุกข์อะไรที่มากไปกว่านี้แล้ว หมดทุกข์แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็จะบอกนักเรียน จะถาม ลูกกี่คน สมมติลูก 3 คน คุณพ่อคุณแม่อยู่รวมเป็นอีก 2 คน สามีอีก เป็นทั้งหมด 6 คน เธอก็จะมีความทุกข์หรือมีความสุขอย่างมาก 6 ครั้ง คือเกิดพ่อแม่เสีย ทุกข์แล้วอีก 2 ครั้ง ลูกเป็นอะไรทุกข์อีก 3 ครั้ง สามีด้วยอีก 1 คน แต่เราไม่มีแล้ว ต้นทุนความทุกข์ของเราที่จะเกิดจากคนใกล้ตัวไม่มีแล้ว ดังนั้น เราก็จะบอกว่าต้องดูแลจิตใจให้ดี ให้เข้มแข็ง สุขภาพให้แข็งแรง เพราะถ้าไม่ดูแลจิตใจให้ดี วันหนึ่งมันมีอะไรเกิดขึ้น เธอมีลูกมีพ่อแม่ ที่จะต้องดูแล เราจะเป็นภาระ

• การที่เราอยู่โดยไม่มีทุกข์กับคนรอบตัว มันดีหรือไม่ดี อยากให้ช่วยขยายความหน่อยครับ

มันก็ดี คือเราชอบความทุกข์หรือเปล่า (ยิ้ม) แต่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวใช่ไหม เราก็ไม่ได้อยู่คนเดียว แต่เราไม่ได้เอาคนทั้งหมดนี้เป็นคนของเรา คนพวกนี้เป็นคนที่ยิ่งกว่าคนของเรา ถ้าเป็นคนของเราเฉาพะตัว จะเป็นสามี เป็นลูกเต้า เวลาเรามีกิจกรรมอะไรขึ้นมา เราจะต้องนึกถึงคนข้างตัวของเราก่อน ทำอะไรก็จะเก็บสะสมไว้ให้ ครอบครัวของฉัน แต่ถ้าเราไม่มีใคร แต่เรามีเงิน เราจะใช้อะไรที่มันจะเกิดประโยชน์ เราก็ทำไป

คือถ้าเรามานึกว่า ฉันมีเงินเยอะเลย วันหนึ่ง ฉันตายไปคนก็มาเอาเงินของฉัน แล้วก็บอกว่าจะสร้างที่ปฏิบัติธรรมให้ฉัน แผ่เมตตาส่งบุญกุศลไปให้ แล้วทำไมฉันไม่ทำเองล่ะ เงินก็เงินของเรา แล้วมันก็เป็นสิ่งที่เราอยากทำ ก็เลยคิดว่ามีอะไรเราก็ทำด้วยตัวของเราเอง แล้วก็เห็นประโยชน์เลยในทันที ได้สร้างบุญบารมีตลอดเวลา ไม่ใช้เงินฟุ่มเฟือย ไม่ต้องไปแต่งตัวมาก เพราะเราไม่ได้ไปอวดใคร กินอยู่ก็กินแค่พออิ่ม เราไม่ได้ต้องไปแสวงหาของกินที่แพงม๊ากกก (เน้นเสียง)

เราถือว่าเป็นการคืนกำไรให้คนอื่น ด้วยเงินของเรา เงินของเราทำให้คนมีความสุข เงินของเราช่วยให้ผู้คนพ้นทุกข์ได้ แม้แต่เพียงนิดเดียวก็ยังดี อย่างเช่น เราทำเรื่องทุนการศึกษา ทำตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ทั้งหมดก็ 22 ปีแล้ว นี่ก็เช่นกัน ตอนแรกที่ป้าเอาเงินทุนให้ทุนการศึกษา เรารู้สึกดีจังเลย คือเหมือนเราได้ช่วยเด็ก แต่จริงๆ แล้ว พระอาจารย์ท่านสอนว่าเด็กต่างหากมที่ช่วยเรา ช่วยเราทำไม ช่วยเพราะเขาช่วยให้เราได้เสียสละความตระหนี่

ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด คือจะห่วงข้าวของเงินทอง ทำไมไม่เอามาบำรุงบำเรอความสุขหรือคืนกำไรให้กับตัวเอง แต่เรามองเห็นเด็ก เราช่วยเด็กได้ เงินไม่ต้องเยอะ เพียงแต่ความรู้สึกมันเยอะ ความรู้สึกมันมาก เรารู้สึกเวลาที่เด็กมาบ้านเรา มาหาเรา แล้วเด็กๆ มีความสุข จิตใจเราก็ดี เมื่อปีที่แล้ว เด็กที่ไปบ้านมีทั้งหมดประมาณ 1,800 คน เพื่อที่จะไปรับทุนการศึกษา ให้พระอาจารย์เป็นผู้แจกให้กับเด็ก อย่างน้อยวันนี้ เด็กได้เห็นพระ แล้วพระอาจารย์บอกไปปุ๊บ ลูกศิษย์ก็เอาจักรยานมาถวายปีที่แล้ว 13 โรงเรียนได้ไป หรือนักเรียนที่เรียนมาช่วยเรื่องซุ้มอาหาร เพราะทำอาหารแจกฟรี ก็มาทำกิจกรรมร่วมกัน มันก็ดี มันก็สนุก ไม่รู้เราชอบกิจกรรมแบบนี้ สนุกกับกิจกรรมที่เราได้มาเจอผู้คน

แล้วจริงๆ สมัยก่อน คนเตือนป้าตั้งแต่ตอนที่เรียนจบใหม่ๆ ว่าทำไมไม่ไปหางานทำเป็นงานบริษัทที่มั่นคง สิ้นเดือนก็จะได้มีเงินเดือนออก แต่เราไม่เคยเลย ก็เพราะว่าพอป้ามาทำเป็นฟรีแลนซ์ รับแสดงละคร รับงานพิธีกร งานมันก็ต่องานๆ มันไม่เคยมีปีไหนเลย ตั้งแต่ป้าเริ่มต้นทำงานที่หน้าเราจะไม่แปะจอ เกี่ยวจอไว้ มันก็คงไปเรื่อยๆ คือถ้าเราหยุดอยู่นิ่ง คราวนี้ เราก็หายไปเลย คือบางทีมีเงินเยอะ แต่กิจกรรมชีวิตไม่มี ก็เคยเจอคนที่รวยมาก พวกเพื่อนนักแสดง แต่เหงาจังเลย คิวขาวหมดเลย เปิดคิวมาไม่มีอะไรเลย เพราะบางทีก็มีฐานะมากแล้ว จนกระทั่งไม่ได้ไปแสดง มันไม่มีอะไรให้ทำ เช้ายันเย็นไม่รู้จะทำอะไร เราเลยแนะก็ลุกขึ้นมาสิ ไปออกกำลังกาย ไม่อย่างนั้นก็ไปหาอะไรที่เป็นประโยชน์ทำ ไปสิ สภากาชาดไทยหรือว่าไปตามโรงพยาบาล ไปนั่งช่วยเขาปั้นสำลี ไปนั่งช่วยเขากรอกแบบฟอร์ม เวลาคนที่เป็นคนไข้มาเขียนหนังสือไม่เป็น มันทำอะไรได้อีกหลายอย่าง เยอะแยะมากเลย

• แล้วส่วนตัวถ้าเราหายไปจากวงการ เราจะกลัวแฟนๆ ลืมเราบ้างไหม

ลืมไม่ลืมหรอก เพราะงานบันเทิงเราก็ยังทำอยู่ เรื่องที่เพิ่งจบไปก็ของช่องทรู (LOL ชีวิตคิดบวก) แล้วก็ยังมีงานพิธีกรอย่างต่อเนื่อง เลดี้ทรีเจนส์ (Lady3Gens) พิธีกรคู่กับคุณนุ้ย สุจิรา แล้วก็ ฮารุ สุประกอบ เพราะฉะนั้น งานก็ยังทำอยู่ แต่ส่วนใหญ่ เวลาเรารับงานเราก็ต้องดูด้วยว่างานนั้นมันเหมาะกับเราหรือเปล่า ละครในเรื่องที่เสนอมาเหมาะกับเราไหม แล้วส่วนใหญ่ก็จะดูว่าเรารู้จักกับคณะที่จัดหรือเปล่า เพราะเวลาที่ไปแสดงละครบางที เราต้องยืดหยุ่นกับคิวของเรา เราจะตกลงการทำงานกับคนให้เรียบร้อย ไม่ใช่ว่าพอมีอะไรมาปุ๊บ รับๆ เลย เพราะอยากได้เงิน เงินไม่สำคัญเท่ากับความรับผิดชอบ รับงานเขามาแล้วต้องทำงานให้เขาได้เต็มที่ แล้วก็ต้องรับผิดชอบเต็มที่ด้วย

ก็มีผู้จัดมาทาบทาม แต่ว่าพอมาคุยเรื่องคิวแล้วไม่ลงตัว เราก็เลยบอกว่าอย่าดีกว่า เดี๋ยวเวลาที่เรารับละครไปแล้ว เกิดคิวมันต้องไปยื้อไปดึงกับคนอื่น เราก็เลยไม่รับ ก็เสียดายเงินตั้งหลายแสน รายการพิธีกรออกทุกเช้า แต่เราต้องบอกว่าคงไม่สะดวก เพราะว่าตอนนี้งานธรรมะของเราเป็นงานที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าเกิดคิวงานธรรมะมา แล้วเราจะทำได้อย่างไรกับคิวทุกเช้า เราก็ต้องดูด้วยถึงความพร้อม ว่าเราสามารถจะยืดหยุ่นคิวเราได้ไหม เราจะให้คิวเขาได้ไหม ความสำคัญในการยังชีพเราก็คงจะลดลงไประดับหนึ่ง ที่เราจะต้องรีบหาเงินมาเลี้ยงชีพ มันมีงานเข้ามา มีเงินเข้ามามันจะดีมากเลย เพราะเราใช้เงินที่ได้มาอย่างมีประโยชน์ เอาไปช่วยเหลือคน เอาไปใช้จ่ายให้ทุนการศึกษาให้โน่นให้นี่ แต่ถ้าหากมันจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน คิวมันยุ่งมันวุ่นวายอย่าเลย อย่ารีบรับๆ ได้ ค่ะๆ อยากเล่นละคร ไม่มีปัญหาค่ะ งานพิธีกรให้มา ได้ค่ะๆ ชอบค่ะ งานพิธีกร แต่เดี๋ยวเกิดปัญหาทีหลังอย่าเลย

ส่วนถ้าคนจะลืมไม่ลืม ไม่เป็นไรหรอก คนเรามันก็เหมือนคลื่น คลื่นลูกใหม่มา คลื่นลูกเก่าก็มีอาชีพอันอื่นต่อไป แล้วสิ่งที่เราทำมันมาถึงช่วงอายุหนึ่ง เราก็ควรถึงที่ที่จะคืนอะไรให้กับคนที่ลำบากและก็เดือดร้อนมากกว่าเรา แล้วแนวทางชีวิตเราคงน่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่อยากจะมีแนวทางชีวิติอย่างนี้ เราถึงได้รู้ว่าคนที่มาร่วมเป็นแนวร่วมกับเรามีมากมาย อย่างเราให้ทุนการศึกษาอย่างนี้ มีคนช่วยมาเพียบเลย เงินหลั่งไหลมาโดยไม่ได้ฉงนด้วยซ้ำไปว่าเราจะเอาเงินไปใช้เพื่ออะไร แต่กระนั้น เรามีหมด เพราะเวลาเราจะเอาเงินไปมอบให้หรือไปทำประโยชน์ต่างๆ มันจะต้องมีว่าเงินนี้ไปบริจาคอะไร คนรับชื่ออะไร คนให้ชื่ออะไร โรงเรียนต้องออกใบรับเงิน หรือใบอนุโมทนาบัตรมาส่งคืน ไม่มีคนไหนเลยที่ส่งเงินมาให้แล้วจะไม่ได้รับใบเสร็จเพื่อยืนยันการเดินทางของการเงิน เพราะบาปกรรมมันจะเกิดเยอะ หากเอาเงินเข้าไปใช้ผิดประเภท จะกลัวมากเรื่องพวกนี้

• ต้องสละงานหลักการแสดงหรือพิธีกรในบางครั้ง ลึกๆ ส่วนตัวเราคิดถึงจอหนังจอละครมากน้อยแค่ไหน หรือทุกสิ่งอย่างที่เราทำ มีบ้างไหมที่เรารู้สึกเหนื่อย

ไม่เหนื่อย ความเหนื่อยของคนเรา พอกลับไปบ้าน นอนหลับ ตื่นมาก็หายเหนื่อยแล้ว มันเหนื่อยเพราะเราไปบอกตัวเองว่าเหนื่อยๆ มันไม่ใช่ร่างกายเหนื่อย แต่ความคิดของเรามันเหนื่อย มันก็เลยไม่อยากจะทำอะไร

ชีวิตคือละคร เราเล่นละครอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ในขณะที่เรามีชีวิต มันเพียงแต่ไม่ใช่มีคนมากำหนดบทบาทให้เรา เรากำหนดบทบาทละครชีวิตของเราเอง

• ละครชีวิตที่บอกเรากำหนดบทบาทตัวเราเอง อีกภาคเราเป็นอารมณ์ดี ร่าเริง ส่วนอีกภาคสงบเสงี่ยม ธรรมะ มันรวมกันได้หรือ

ธรรมะคือชีวิต ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิต แต่เป็นทั้งหมดของชีวิต หน้าที่และบทบาทที่เราจะต้องทำในการดำเนินชีวิต เราก็ต้องทำไปให้เรียบร้อย แต่ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตให้เรียบร้อย เราก็มีธรรมะกำกับอยู่ ถ้าเราไม่มีธรรมะกำกับอยู่ เราอาจจะเป็นคนขี้โรค อาจจะเป็นคนอยากได้ของคนอื่น อาจจะเป็นคนขี้ปด เป็นคนดื่มสุรา อาจจะเป็นคนผิดลูกผิดเมีย เราอาจจะเป็นคนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

เพราะฉะนั้น ในการที่เรามีธรรมะกำกับชีวิตเรา เอาแค่ศีล 5 ธรรมะก็อยู่ในชีวิตของเราอยู่แล้ว จะไปตลกไปอะไรก็แล้วแต่บทบาท ก็ได้ ใครจะมาบังคับว่าไม่ได้ เราแยกไง อย่างเช่น เราสอนโยคะ เวลาแต่งเนื้อแต่งตัว คนก็เห็นบอกโห่ แล้วปฏิบัติธรรมก็ไม่ได้ฟิกซ์ต้องชุดขาวเท่านั้น เพราะเรากำลังปฏิบัติจิต เราไม่ได้ปฏิบัติเสื้อผ้า เราไม่ได้ปฏิบัติร่างกาย เราไม่ต้องทำเสงี่ยมหงิม แต่เรารู้ในขณะที่เรากำลังทำ...ใช่ไหม คือสีของเสื้อผ้าจะทำให้ธรรมะของเธอเจริญขึ้นได้อย่างไร ถ้าเกิดเธอไม่ได้เจริญจริงๆ จากจิตภายใน

• สำหรับคนที่อยากจะเริ่มพบ "ความสุขที่แท้จริงอย่างเรา" ควรเริ่มจากตรงจุดไหน

ก็ทำซิ ความสุขก็คือการที่ได้เห็นคนอื่นมีความสุขไปกับเราด้วย แล้วคือความสงบภายในของเรา ที่เรามีความสงบ พอเรามีความสงบ มันก็ไม่มีเรื่องวุ่นวาย ก็ไม่มีเรื่องยุ่งยาก ที่เข้ามาหาเรา และในเวลาเดียวกัน ถ้าเผื่อเรามีความสุขกับการให้ การให้ไม่จำเป็นที่เราต้องเอาข้าวของไปให้เขา เอาเงินทองไปให้เขาแพงๆ แต่การให้ของเรา คือให้ความรู้สึกที่ดี เพราะทั้งหมดมันเป็นกระแสเชื่อมโยงกัน ถ้าเผื่อเรามีกระแสที่ดี เราขอให้เขามีความสุขนะ เขาก็จะมีความสุข แต่ถ้าสมมติว่าเราเครียด เรากังวล เราคิดเอาแต่ได้ เรารวยแล้วเรายังรวยไม่พอ อันนั้นก็จะทำให้เราไม่มีความสุข กระแสไม่มีความสุขของเราก็จะแผ่ไปถึงคนอื่นๆ

• ต่อให้เจอคนที่เราให้แล้วคิดย้อนทำร้ายเราอย่างนั้นหรือ

เราก็อย่าไปใส่ข้อมูลนั้น เราอย่าไปใส่ข้อมูลนั้นให้กับตัว ถ้าเผื่อเราใส่ข้อมูลอะไรให้กับตัวเอง เราจะดึงอันนั้นเข้ามา เราให้แล้วเราก็ให้ขาด คือถ้าเขาจะย้อนมาทำอะไรไม่ดี ก็คิดว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง บางเรื่องมันก็มาตามเหตุอดีตชาติที่เราไม่รู้ เราอาจจะเคยทำอะไรเขาหรือเปล่า อันนั้นก็ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าอะไรเกิดขึ้นก็ตามแล้วเราขออโหสิกรรม

อโหสิกรรมก็คือการไม่เก็บกรรมเอาไว้กับตัว ก็คือการที่เราให้อภัย ให้อภัย เราก็เป็นผู้ไม่มีภัย เราก็ปลดเรื่องนั้น ซึ่งถ้าคิดกลับกัน ลองนึกดู ถ้าเขามีความสุข เขาก็จะไม่ย้อนมาวุ่นวายกับเรา ถูกไหม (ยิ้ม) เพราะเขาอิ่มเอมกับความสุข ฟังดู อาจจะพูดเหมือนมันง่าย ต้องทำ มันพูดอย่างเดียวไม่ได้ ค่อยๆ ฝึกไป ทีละนิดมันถึงจะทำได้
____________________________
ขอบคุณสถานที่: อกาลิโก โยคะ เลขที่ 131/1 โครงการเดอะ ช็อปปส์ แกรนด์ พระราม 9 แอท เบ็ล ชั้น 1 ห้องเลขที่ BS010-BS013, BS044-BS047
ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310
โทร. 0-2168-1297-9 แฟกซ์ 0-2168-1296
e-mail : agaligoyoga@gmail.com
facebook Fanpage : Agaligo Yoga








เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์

กำลังโหลดความคิดเห็น