xs
xsm
sm
md
lg

ไม้ไผ่สร้างชีวิต “ตั๊บ ธนพัฒน์” เด็กถาปัตย์ผู้สร้างโอกาสจากศูนย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

เป็นเวลากว่า 3 ปีแล้วที่ “ตั๊บ-ธนพัฒน์ บุญสนาน” นักธุรกิจเกี่ยวกับเจ้าของแบรนด์ ธ.ไก่ชน ทำสิ่งที่หลายคนเห็นว่าเป็นไปได้ยาก เพราะมันเหมือนจะสวนกระแสแห่งยุคสมัยที่กำลังรุดหน้าสู่ความไฮเทค เหล็กและคอนกรีต ขณะที่ธุรกิจของเขาเกิดจากความหลงใหลในวัสดุธรรมชาติอย่าง “ไม้ไผ่” แต่คนมีฝันและมีไฟ มักก่อให้เกิดสิ่งที่น่าประหลาดใจได้เสมอ เพราะจนถึงตอนนี้ ต้องยอมรับว่ากิจการของเขา กำลังรุ่งมาก

จากเด็กหนุ่มสถาปัตย์ที่เส้นทางข้างหน้าสามารถจะเติบโตเป็นสถาปนิก กินเงินเดือนสูงแบบผู้เชี่ยวชาญในสายงานของตน ทว่าเขากลับออกมาเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง...การทำธุรกิจส่วนตัว ว่ายากแล้ว ธุรกิจส่วนตัวที่ไม่ค่อยมีใครฮิตเหมือนร้านกาแฟ ร้านเหล้า ยิ่งยากขึ้นหลายเท่าตัว

แต่ก็อย่างว่า คนเราถ้าจะลงมือทำอะไรด้วยใจรักสักอย่างแล้ว ก็ไม่แคล้วจะสำเร็จในสักวัน
แม้ต้องพบ และแม้ต้องผ่าน คืนวันยากๆ ก็ตามที...

• อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณสนใจ “ไผ่”

ความสวยงามครับ ผมมองว่าไผ่เป็นสิ่งสวยงาม เปรียบเทียบง่ายๆ ว่าทำไมคนถึงไปชอบมอเตอร์ไซค์ ไม่ต้องบอกว่ามอเตอร์ไซค์คืออะไร มันไม่ต้องขนาดนั้น ผมคิดว่าคำว่าสวย มันก็ตอบโจทย์มากพอแล้ว หรือเวลาที่คุณไปชอบผู้หญิง ก็จะตอบได้ 2 อย่างว่า สวยและนิสัยดี หรือเหตุผลทั้งสองอย่าง บางคนอาจจะชอบเพราะสวยอย่างเดียวก็ได้ เหมือนกับที่ผมชอบไม้ไผ่ เพราะว่ามันสวย แล้วพอเอามาทำเป็นอาคาร มันก็ยิ่งสวย

• แล้วมาเริ่มสนใจจริงจังจนกระทั่งต่อยอดไปสู่ธุรกิจตอนไหนยังไง

ตั้งแต่ตอนเรียนหรือเรียนจบมาแล้ว ก็ไม่ได้สนใจเรื่องไผ่เลยนะครับ ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันจะมาแวบๆ ช่วงทำงานประจำปีที่ 2 ผมทำงานแล้วเราชอบเอาไผ่ไปใส่ในงานออกแบบ พอเราใส่ไปเยอะๆ ก็นึกสงสัยว่าเราน่าจะชอบ จากนั้นก็ลองเสิร์ชหาจากอินเทอร์เน็ตดูว่าจะซื้อไผ่ได้จากที่ไหน ปรากฏว่าหาไม่ค่อยเจอ ถึงเจอก็หาข้อมูลยาก ก็เลยตัดสินใจออกไปหามัน

ในเบื้องต้น ผมก็หาตามสถาบันการศึกษาก่อน เริ่มต้นแบบเด็กปกติ เสิร์ชหาอินเทอร์เน็ตว่าปริญญาโทที่ไหนมีหลักสูตรเกี่ยวกับไม้ไผ่ พอลงเรียนไปเทอมนึง ปรากฎว่าวิชาไม้ไผ่ก็หมดไปแล้ว เรียนแค่คาบสองคาบเอง จนเราสรุปว่าที่เสิร์ชมา ก็นิดเดียวนี่หว่า จนกระทั่งปิดเทอมก็ออกมาทำงานกับฝรั่งที่ออฟฟิศชื่อ “แบมบูลู” เราก็ตัดสินใจแล้วว่า เวิร์กชอปเราได้เห็นทุกอย่างเลย เพราะเค้าเปิดสไลด์ให้ดู สอนเราทำโครงสร้าง เพราะดูแล้วมันมหัศจรรย์และชอบมาก ก็ตัดสินใจลาออกจากที่เรียน ป.โท เพราะมันไม่เวิร์กแล้ว มันให้เราไม่ได้แน่ๆ

พอเวิร์กชอปเสร็จแล้ว เราก็ไปอยู่กับช่างที่เชียงใหม่เพื่อดูงาน ตอนแรกว่าจะไปสมัครงานที่ออฟฟิศที่ทำไม้ไผ่นั้นก่อน แต่เขาไม่รับเพราะยังไม่ต้องการคน จนเราก็ไปช่วยหยิบๆ จับๆ เขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะเราไปทำฟรีแบบไม่เอาเงินเดือน ซึ่งตอนนั้น มันตรงกับช่วงน้ำท่วมปี 2554 พอดี ผมก็เอาของใส่รถหนีน้ำขึ้นไปอยู่กับญาติที่ขอนแก่น ทีนี้น้ำก็ไม่ลดซักที ก็เลยตัดสินใจไปทำงานกับเขาที่เชียงใหม่ ก็เอาเสื้อผ้าไปอยู่ยาวเลย

• เมื่อไปอยู่ไปคลุกคลีกับไม้ไผ่จริงๆ เรามองเห็นช่องทางอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง

คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับเทรนด์เลยครับ อย่างทุกวันนี้ เขาพูดถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม พอเราไปถามอาจารย์แต่ละท่านและรีเสิร์ชดูข้อมูลเพิ่ม ก็ได้รู้ว่าไผ่เป็นพืชที่เราสามารถปลูกทดแทนได้เร็ว และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องคุณสมบัติของมันที่ใกล้เคียงกับเหล็กมากๆ คุณสมบัติอื่นใกล้เคียงกันน้อยกว่าเหล็กก็จริง แต่เรื่องแรงดึง ไผ่รับแรงดึงได้ดีกว่าเหล็ก ซึ่งมันมหัศจรรย์มากที่พวกวัสดุธรรมชาติทำอะไรได้ดีกว่าเหล็ก เราสามารถปลูกทดแทนได้เร็วตลอดเวลา แต่บอกว่าไผ่ไม่ดีมันไม่มี คือข้อดีมันมีมากมายนะ แต่ข้อเสียมันมีแค่มอดกิน ซึ่งเราแก้ด้วยวิธีการทางเคมีไปแล้ว ทุกอย่างมันน่าจะดีขึ้น

• แล้วจุดเริ่มต้นจริงๆ ที่ทำให้ “ไผ่” กลายเป็นเงินเป็นทองขึ้นมานั้นช่วงไหน

ก็เป็นช่วงหลังจาก 3 เดือนที่ผมไปอยู่เชียงใหม่ครับ แล้วมันมีโปรเจกต์เข้ามา จุดเริ่มก็คือคุณน้าของเพื่อนผมที่เชียงใหม่ เห็นแล้วก็ปิ๊ง แบบว่า เฮ้ย นั่งขลุกๆ อยู่แบบนี้ ทำโรงแรมไม่ไผ่สักหลังสิ ซึ่งก็กลายเป็นที่มาของโรงแรมชื่อ คูลดาวน์ รีสอร์ต (อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่) ซึ่งถือว่าเป็นโปรเจกต์แรกและสร้างชื่อมาก ขณะที่โปรเจกต์อื่นอาจจะด้อยกว่า จนวันนี้ยังสู้โปรเจกต์แรกไม่ได้เลย เพราะมีความพยายามสูงมาก ความอดทนความมุมานะ ผมว่า อีก 3 ปี หรือ 5 ปี ผมทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว มันเป็นพลังวัยรุ่นจริงๆ ผมจำได้ว่าเหนื่อยมาก คือตัวผมเองกับสถาบันอาศรมศีล ที่มาช่วยในเรื่องการทำโรงงาน ในการทรีตเมนต์ ต้องขอบคุณข้อมูลของเขาที่ทำวิจัยมา 3 ปี ก่อนที่จะมาเจอผมพอดี ซึ่งเขาก็ช่วยเหลือ เจอเด็กคนหนึ่งที่ทำงานไม้ไผ่จริงๆ จังๆ บวกกับเขาทำวิจัยอยู่ เขาก็มาวิจัยงานผมแล้วไปสร้างหอศิลป์ไม้ไผ่ที่อาศรมศีล และความโชคดีอีกอย่างก็คือ ได้เจออาจารย์ของอาศรมศีลที่ไปด้วย ก็ชวนมาเปิดโรงงาน

• ฟังว่าโรงงานนี้เริ่มมาจากศูนย์เลย ใช่ไหม

ใช่ครับ (ตอบทันที) ผมเอาที่ดินพ่อมาทำโรงงาน ซึ่งไม่รู้เลยนะว่าจะขายใคร คือถ้าเป็นเรื่องทางธุรกิจ มันเป็นทฤษฎีที่ล้มเหลวทุกอย่าง ตั้งแต่การตั้งชื่อบริษัท ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย ตอนนั้นผมไปเข้าแคมป์ SME ของธนาคารแห่งหนึ่ง ทุกอย่างมันผิดหมด ตั้งแต่โลโก้บริษัทที่มันซับซ้อนจนเกินไป ซึ่งปกติมันต้องดูง่าย แต่มันผิดหมด ชื่อบริษัทก็ไม่สื่อ คุณต้องไปเปลี่ยนชื่อบริษัทก่อนเลย ถ้าคุณคิดว่าคุณจะดังได้ เราก็คิดในใจนะ ทีบริษัทแอปเปิล มันยังไม่ขายแอปเปิลเลย (หัวเราะ)

สุดท้ายผมก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรนะ เพราะคิดว่า ก่อนจะทำงานขึ้นมา ผมไม่ได้ทำงานเพื่อใคร ผมทำงานเพื่อตัวผมเอง ผมพยายามสร้างสิ่งที่สวยงามขึ้นมา เพื่อตัวผม ผมไม่ได้คิดว่าพอทำโรงงานขึ้นมา ผมไปกู้ ธ.ก.ส. เป็นหนี้ แล้วไม้ไผ่ผมจะขายให้ใคร ผมไม่รู้เลยนะ ไม่รู้ว่าใครจะซื้อผม มันไม่มีหุ้น เพราะเหตุนี้แหละ ทุกวันนี้ ธ.ไก่ชน ไม่มีหุ้นเลย ไม่มีหุ้นส่วน แต่ว่าใช้แม่เป็นหุ้น แล้วแม่ก็ไม่ได้มาทำด้วย ให้พ่อให้แม่เป็นหุ้น เพราะเขาไม่ได้มายุ่งอะไร เพราะพ่อแม่เป็นข้าราชการหมด ไม่มีใครให้คำปรึกษาทางธุรกิจด้วย แต่เขาก็บอกได้อย่างเดียวว่าให้ซื่อสัตย์ และเป็นคนดีอย่างเดียว ง่ายมากเลย แล้วไม่ได้บอกว่า จะขายยังไง ไม่รู้เรื่องบัญชี ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พ่อก็เป็นครูสอนศิลปะ แม่สอนวิชาสังคม แต่พ่อปลูกต้นไม้เพราะเป็นชาวสวนมาก่อน หน้าที่พ่อก็ปลูกต้นไม้ในโรงงาน ส่วนแม่ก็อยู่บ้านทำกับข้าว เพราะฉะนั้น มันเกิดขึ้นจากผมคนเดียว ที่ทำโดยไม่คิด ซึ่งถ้าผมไปหาข้อมูลมากๆ และคิดมากๆ ว่า ไม่คุ้มทุนว่ะ มันก็คงไม่เกิดงานขึ้นมาสักที

อย่างที่ดินนี่ ถ้าผมเก็บตังค์มา แล้วซื้อที่ก่อนไปเปิดโรงงานเนี่ย ถามว่าเมื่อไหร่ ผมแก่แล้วเก็บตังค์ได้ 2 ล้าน ตอนอายุ 40-50 อันนี้ต้องกราบขอบพระคุณพ่อแม่อย่างสุดซึ้ง จริงๆ พ่อแม่ผมไม่มีเงินเยอะเลยนะ มีแค่ที่ดินผืนหนึ่งให้ผม บวกกับความที่ใจเขาเปิดด้วย เขาเชื่อมั่นในความคิดผม ไม่ห้ามผมเลยนะที่มาทำโรงงานไม้ไผ่ ครอบครัวไม่เคยที่จะรับทราบเลยว่า ไอ้ธุรกิจนี้คืออะไร พ่อแม่ผมไม่เคยเห็นอาคารไม้ไผ่ผมด้วยซ้ำว่าหน้าตามันเป็นยังไง ผมไม่ค่อยชอบเอางานให้พ่อแม่ดู ผมเขิน เวลาแม่เห็นผมได้ลงตามนิตยสารอะไรต่างๆ แม่จะหยิบมาให้ดูแล้วบอกผมว่า เนี่ย ทำไมไม่บอกแม่ คือผมไม่อยากโชว์อ่ะ แต่ผมก็โพสต์ในเฟซบุ๊กนะงานผม ผมโชว์ในจุดนั้น

• ให้ตัวผลงานเป็นตัวแสดงและบอกเอง

ใช่ๆ พองานมันออกมาแล้ว มันเหมือนอนุสาวรีย์ที่แสดงตัวเราเอง คืออย่างแรก มึงเป็นคนยังไง มึงทำงานเลตหรือเปล่า หรือมึงเป็นคนขี้โกงหรือเปล่า หรือถ้าจะมีคนเดินเข้ามาแบบ เนี่ย คนทำงานไม้ไผ่เนี่ย งานก็ไม่ดี มาทิ้งงาน สุดท้ายแล้ว อนุสาวรีย์ของผมคืองานที่มันเสร็จ คือผมไม่ต้องการคำชมมาก แต่แค่เขาไม่ด่าผมก็พอแล้ว เหมือนเห็นว่า ตั๊บทำนะ เอานามบัตรไปดิ ลูกค้าผมส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ชอบงานไม้ไผ่อยู่แล้ว แล้วต้องการจะใช้งานผม นี่คือสิ่งที่จะบอกในตอนแรก ผมไม่ได้เป็นคนที่มีมาตรฐานการทำงานสูงเหมือนออฟฟิศสถาปนิกทั่วไป งานผมจะเป็นสเกตช์ๆ แบบมาตรฐานการเขียนแบบที่ต่ำ เพราะเราไม่ตั้งใจเรียน แต่มีคนที่เขาอยากได้งานของผมจริงๆ ซึ่งผมพยายามเต็มที่ให้งานทุกชิ้นของผมออกมาดี แล้วก็ไม่พลาด

• ในแง่ความเป็นคนรุ่นใหม่ของคุณ แน่นอนว่า คนร่วมรุ่นเรา พอมีเงินเก็บก็แห่กันไปเปิดร้านกาแฟ หรือผับ ในขณะที่ตัวคุณมาทำธุรกิจแบบนี้ คิดว่าเราเป็นเด็กดื้อในรุ่นราวคราวเดียวกันมั้ย

ผมค่อนข้างที่จะดื้อพอสมควร กับครูบาอาจารย์ กับพ่อแม่ คือดื้อแต่ไม่เกเร แต่ในเรื่องธุรกิจ ผมทำสิ่งที่ชอบไปแล้ว คือคนที่เปิดร้านกาแฟหรือร้านเหล้า โอเค ผมก็ชอบกินเหล้าอะไรพวกนี้เหมือนกัน แต่ผมไม่คิดจะเปิดเลย เพราะว่าคนทำมันเยอะแล้ว ผมอยากให้คำแนะนำว่า จริงๆ คุณทำกาแฟหรือร้านเหล้าก็ได้ แต่คุณต้องทำสิ่งนั้นให้มันเก่งกว่าคนอื่น คุณจะทำยังไงให้ร้านเหล้าคนอื่นสู้คุณไม่ได้ เช่นคุณไม่ต้องไปพัฒนา product ก็ได้ เพราะเหล้ามันก็เหมือนๆ กันหมด คุณจะทำไงล่ะ สมมติ คุณจะเปิดร้านเหล้า คุณก็ทำตัวเองให้เป็นคนที่ทำค็อกเทลหรือเหล้าให้มันอร่อยกว่าคนอื่นมาก เหล้าแบบของร้านตัวเอง หรือเปิดร้านกาแฟ กาแฟก็เป็นเมล็ดอยู่อย่างงั้น ร้านก็อาจจะจ้างสถาปนิกออกแบบให้มันสวยๆ หน่อย แต่สุดท้ายแล้ว คุณต้องชงด้วยมือตัวเอง ให้มันอร่อยให้ได้ ให้อร่อยกว่าคนอื่นเขา คือขอให้มันดีก่อนจะออกไปข้างนอก ก่อนที่จะไปขายคนอื่นได้

คือร้านทำไม้ไผ่ จริงๆ มันก็มีเยอะแยะมากมายนะครับ แต่ถามว่าทำไมเขามาซื้อ ธ.ไก่ชน เพราะร้านผมเป็นของมันอยู่อย่างงี้ แล้วผมรักมันจริงๆ ไม่ได้บอกว่า ทำปีสองปีไม่ได้เงินเลย เลิกดีกว่า แสดงว่าผมสนใจตัวเงิน แต่ครึ่งหนึ่งมันคือความสุขในการทำงานของผม

• แสดงว่าคุณก็เคยผ่านวิกฤตของการทำธุรกิจด้วยสิ

ที่ทำมา ไม่ใช่ไม่มีเลย ผมก็เคยจะเลิกอยู่หลายครั้งเหมือนกัน โดยเฉพาะช่วงปีแรกๆ ในการทำธุรกิจ วันหนึ่งที่ผมไม่มีเงินเลย เงินในธนาคารเหลือแค่หลักพันบาท เคยมีมาแล้ว คือเคยคิดว่าจะเลิกแล้ว ตอนนั้นคิดว่าไม่ไหวว่ะ ทำไมต้องมากู้หนี้ยืมสิน แล้วมันเหนื่อยขนาดนี้วะ ตอนนั้นคือหลุมดำเลย แบบไม่มีงานเลย ต้องไปทำงานฟรี หรือ ช่วยเหลือนักเรียน ไปทำศาลาให้นักเรียน คือตอนนี้อยากจะเลิก ไม่ไหวแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่มันเห็นก็คือชื่อ ธ.ไก่ชน มีคนรู้จักแล้วเนี่ย มันจะเป็นอนุสาวรีย์ว่า เด็กรุ่นใหม่ที่อยากทำงานธรรมชาติเนี่ย แม่งเจ๊ง มันจะกลายเป็นว่าไม่มีทางเกิดขึ้นได้ แบบเด็กคนหนึ่งที่ทำงานเกี่ยวกับวัสดุธรรมชาติเป็นไม้อะไรก็ได้ ทำขึ้นมาแล้วเจ๊ง ผมจะไม่อยากให้เกิดคำคำนั้นขึ้นมา

คือมองว่าผมเจ๊งน่ะได้ แต่ผมไม่อยากให้วงการไม้ไผ่เจ๊งน่ะ ว่ามันจะต้องเป็นฝรั่งหรือเป็นนายทุนเท่านั้นที่จะเป็นเจ้าของออฟฟิศ เพราะถ้าผมทำแล้วมันอยู่ได้ แล้วแม่งรวย อย่างแรกผมต้องรวยแล้วให้คนอื่นมันเห็นก่อน อย่างสาหร่ายเถ้าแก่น้อย คุณขายสาหร่ายแล้วรวยก่อน ทุกวันนี้ สาหร่ายเต็มร้านสะดวกซื้อเลย ไม่รู้กี่ยี่ห้อ คือผมมองว่าโอเค ถ้าผมรวยแล้วให้คนอื่นเห็น ก็จะมีคนมาทำงานไม้ไผ่เพิ่มขึ้น

• ถึงแม้จะทำวัสดุธรรมชาติอย่างไม้ไผ่ แล้วปฏิเสธอะไรที่ไม่ใช่ธรรมชาติไหม

ไม่ครับ ผมเป็นคนที่ทำงานไม้ไผ่แล้วไม่ปฎิเสธวัสดุสมัยใหม่ที่จะมาช่วยมันแข็งแกร่งขึ้น คือไม่ได้มองว่าใช้ไม้ไผ่กับดินกับจาก แล้วใช้อย่างอื่นไม่ได้เลย มันผิด ไม่ใช่ ผมพยายามพัฒนาข้อต่อเหล็ก ผมพร้อมที่จะพัฒนาไปพร้อมกับสถาบันการศึกษาหรือกับคนอื่น ธ.ไก่ชนไม่ใช่โรงงานที่ปิด ผมพร้อมจะแบ่งปันสิ่งที่ผมได้รับมากับนักเรียน นักศึกษาทุกคน ไม่ได้บอกว่า เฮ้ย ผมทำอันนี้มาได้ว่ะ ผมเห็นเทคนิคนี้ว่ะ ผมเก็บไว้คนเดียวดีกว่า หรือว่าวันหนึ่ง ผมอยากจะวิจัยให้น้ำยามันไม่เหม็น หรือปัจจุบันใช้สารประกอบโบรอนที่มันเป็นเคมีอยู่ แต่ว่ามันไม่ toxic แต่ถ้าวันหนึ่ง ผมสามารถทำน้ำยาที่มันเป็นออแกนิกได้ ทำจากพืชได้ ผมพร้อมที่จะให้สูตรไปเลย แจกไปทำให้หมดเลย

อย่างที่บอก ไม่ได้หมายความว่า ผมทำคนเดียวแล้วมันจะดี มีผมทำแล้วมันจะดี ทุกคนเปิดบริษัทแบบผมเลย จังหวัดละที่ไปเลย ให้งานไม้ไผ่มันบูม ให้งานมันประสบความสำเร็จขึ้น ให้มันมีความต้องการใช้ไม้ไผ่มากขึ้น ก็ปลูกไม้ไผ่เพิ่มขึ้น เมื่อปลูกเพิ่มขึ้น ก็ลดการใช้ไม้เนื้อแข็ง ลดการใช้คอนกรีต มันเป็นลูกโซ่ไปหมด แต่ถ้ามีผมแค่คนเดียว มันก็อาจไม่เกิดแรงกระเพื่อม ไม่เกิดอะไรกับคนอื่นเลย ผมมองว่าถ้ามีออฟฟิศแบบผมเยอะๆ เป็นสิ่งดี เพราะฉะนั้น ผมจะไม่ปิดบังอะไรทั้งสิ้น ผมจะบอกหมดทุกอย่าง ขอให้มาถามผม ผมไม่ได้มองว่าจะมาแย่งลูกค้า

• ความคาดหวังต่อสิ่งที่เรียกว่าไผ่ ในอนาคตข้างหน้า คิดว่าเป็นยังไง

ข้อนี้ไม่ชัดเจนเลยนะ คือคาดหวังให้ตัวเองไปรอดก่อนแหละ อันนั้นคาดหวังที่สุดแล้ว แต่คนอื่นเขาจะทำไง เราก็สนับสนุนเขาไปละกัน อย่างเช่นข้อต่อเหล็ก มีพี่ปริญญาโทที่ฮอลแลนด์อยากทำ ทำไปเลย ผมสนับสนุนเต็มที่ ผมซื้อทุกข้อต่อเลย ผมให้คำแนะนำว่าไม้ไผ่ควรจะเป็นอย่างงี้ๆ คือไปทำ ให้ทุกคนไปพัฒนามา แล้วสุดท้ายก็กลับมาให้ข้อมูลผมคืนด้วยละกัน เมื่อเสร็จแล้ว แต่จะคาดหวังให้วงการไม้ไผ่เป็นยังไงเนี่ย ไม่มีความคาดหวังชัดเจนมาก คือคาดหวังให้ตัวผมอยู่รอดก่อน และก็อย่างที่พูดอ่ะ ทำให้ทุกคนเห็นก่อนว่ามันเป็นไปได้

• จากงานที่ทำมา คุณอยากให้เป็นที่ยอมรับในนานาชาติมั้ย

ใช่ เรื่องนานาชาติ ฝรั่งผมไม่พูดถึงเท่าไหร่ ผมไม่อยากไปแข่งอะไร เพราะก็ชาตินิยมพอสมควร แต่ที่ผมคิดถึงจริงๆ ก็เรื่องอาเซียน ภายใน 10 ชาติเนี่ย เรายังตามหลังอินโดนีเซียและเวียดนามอยู่นะ ในเรื่องไม้ไผ่ คือไม่ต้องไปพูดถึงทวีปอื่น เอาอาเซียนให้มันรอดก่อน อย่างฟุตบอล เราเบอร์ 1 อยู่แล้วไง ซึ่งผมอยากให้เรื่องอื่นๆ ของประเทศไทยเป็นเบอร์ 1 บ้าง เราอยากจะคิดว่าเราเป็นประธานหรือผู้นำ คือไม่ต้องไปบ่นว่า ทำไมคราวนี้ไม่ได้เจ้าเหรียญทอง หรือว่าทำไมประเทศไทยยังตามอยู่ ทำไมน้ำมันยังไม่มีหรือราคาถูกกว่า คุณอยู่ในตำแหน่งไหน เอาที่คุณทำอยู่ให้ดีกว่าคนอื่นในอาเซียนดิ ผมมีหน้าที่ทำงานไม้ไผ่ให้เป็นผู้นำในอาเซียน แค่นั้น ไม่ต้องไปบ่นว่า ทำไมบอลไทย 2 ปีตกรอบแรกแล้ว คุณไม่ต้องไปเตะ คุณแค่เอาใจช่วยพอ แต่ว่าสิ่งที่คุณทำอยู่คืออะไร คุณเป็นใคร ถ้าคุณเป็นคนขายกับข้าว คุณทำให้มันอร่อยเหนือกว่าทุกชาติในอาเซียน ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ทำอะไรอยู่ก็ทำไป ให้มันดี ไม่ต้องไปบ่นคนอื่นมาก เดี๋ยวสักวันก็มีคนเห็นเอง

อย่างผมก็มีหน้าที่ทำไม้ไผ่ ผมมองว่าในช่วงชีวิตผมนะ ผมเอาชนะอินโดนีเซียไม่ได้แน่ๆ คนในรุ่นต่อๆ ไป ที่ผมไปเวิร์กชอปให้ ก็ฝากไว้ละกันว่า ไปเอาชนะให้ได้ คือทางโน้นเขามีเฮดเป็นฝรั่ง แล้วช่างเป็นฝรั่งที่มีเงินทุน แล้วมาจับมือกับช่างท้องถิ่นที่มีฝีมือ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ลงตัว ฝรั่งเขามีความรู้ด้านเอนจิเนียร์ มารวมกับคนที่เข้าใจในท้องถิ่น มันก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นมาได้ในอาเซียน

ส่วนเมืองไทย ผมไม่มีเงินทุนไม่เป็นไร แต่สักวันหนึ่งมันอาจจะมีก็ได้ แต่ของมันมีเหมือนกัน ต้นไผ่ชนิดเดียวกัน ห่างแค่เส้นศูนย์สูตร ห่างกันไม่เท่าไหร่ ของมันมีเหมือนกันแล้ว การที่เอาชนะกัน มันก็เป็นเรื่องง่าย ผมคิดว่า สถาปนิกในเมืองไทย ก็มีชื่อดังออกในอาเซียน ทำงานไม่แพ้มาเลย์หรือสิงคโปร์ เพราะฉะนั้น การที่จะทำงานไม้ไผ่ให้เหนือกว่าทุกชาติในอาเซียนเป็นไปได้ แต่คงไม่ใช่รุ่นผมแน่ๆ ต้องใช้เวลา ต้องดูกันต่อไป


เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : วชิร สายจำปา

กำลังโหลดความคิดเห็น