ถึงแม้ทางบ้านจะไม่สนับสนุนให้เรียนศิลปะการต่อสู้อย่างเทควันโดในตอนแรก เพราะคาดหวังให้เธอเอาดีทางด้านดนตรี แต่ความรักในกีฬาประเภทนี้ก็นำพาเธอไปให้คลุกคลีอยู่กับมัน กระทั่งได้คัดตัวติดทีมชาติตั้งแต่อายุ 17 ปี จนถึงตอนนี้ เธอแข่งมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็นซีเกมส์ 4 ครั้ง ชิงแชมป์โลก 2 ครั้ง และชิงแชมป์เอเชียอีก 2 ครั้ง สำหรับคนดูกีฬา อาจคุ้นหูคุ้นตาชื่อเสียงเรียงนามของ “ฝ้าย พิชชาภา” กันมาบ้าง เธอคือนักกีฬาชาวไทยที่ไปสร้างชื่อให้ประเทศมาแล้วหลายสนาม กับการเล่นเทควันโดแบบใหม่ที่มีชื่อว่า “พุมเซ่” (ท่ารำ) “ฝ้าย-พิชชาภา ธนกิจเจริญพัฒน์” กับชีวิตปัจจุบันอีกด้านหนึ่ง คือนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ แห่งรั้วจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกทั้งยังเป็นครูพิเศษสอนเปียโนและเทควันโดพุมเซ่ ซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนราชินี กับหน้าที่หลายบทบาท เธอบอกเราในบางประโยคว่า “คำว่าชาติต้องมาก่อน” ดังนั้น จึงไม่แปลก หากบางทีหลายคนจะเห็นเธอตะลอนๆ ไปบนถนนการแข่งขันในนามของประเทศซึ่งเป็นเรื่องส่วนรวม แล้วค่อยกลับมาคร่ำเคร่งกับการเรียนอันเป็นเรื่องส่วนตัว และครั้งนี้ก็เช่นกัน เราคุยกับฝ้ายในวันที่เธอพร้อมทีมกำลังจะเดินทางไปแข่งอีกครั้งที่กวางจู ประเทศเกาหลี ในรายการ World University ระหว่างวันที่ 3-15 กรกฎาคมนี้ และเราสัมผัสได้ถึงพลังของหญิงสาวคนนี้... |
• จุดเริ่มต้นของการเป็นนักกีฬาเทควันโดทีมชาติ เริ่มมาจากจุดไหนคะ
เริ่มมาจากหนูเรียนเปียโนมาก่อนค่ะ (ยิ้ม) ซึ่งโรงเรียนเปียโนก็จะมีโรงเรียนเทควันโดจะอยู่ใกล้ๆ แล้วที่บ้านจริงๆ ไม่มีใครสนับสนุนเลยค่ะ ทั้งคุณปู่ คุณย่า ตอนที่คุณแม่กับคุณพ่ออนุญาตให้ไปเรียน เขาก็บ่นๆ อยู่ว่าจะให้ลูกไปเรียนทำไม แล้วก็ไม่มีใครคิดเลยว่าจะมาติดทีมชาติ จนอาจารย์ที่สอนเขาเห็นแวว ก็เลยให้มาคัดตัวดู ตอนนั้นเป็นซีเกมส์ที่ประเทศลาว (ปี 2009) หนูอายุประมาณ 17 ปี เป็นครั้งแรกที่คัดตัว แล้วก็ติดด้วย หลังจากนั้นก็ติดทีมชาติมาตลอดเลยค่ะ
• ทำไมตอนแรกครอบครัวไม่เห็นด้วยที่จะเล่นกีฬาเทควันโดคะ
เพราะครอบครัวอยากให้เราไปทางเปียโนค่ะ ซึ่งครูสอนเปียโนเองก็ไม่เห็นด้วยเพราะเขากลัวว่าเราจะไปเตะไปต่อยแล้วนิ้วจะหัก แต่โชคดีที่ว่าตอนนั้นมันมีประเภทใหม่ขึ้นมาก็คือประเภทท่ารำ (พุมเซ่) เป็นประเภทที่เราไม่ต้องไปสู้อะไรกับใคร
• ประเภทพุมเซ่ต่างกับประเภทต่อสู้ยังไงบ้างคะ
ประเภทต่อสู้คือจะสู้กัน ใช้คน 2 คนมายืนสู้กัน แต่ว่าประเภทท่ารำ (พุมเซ่) จะมีท่าชุดที่เป็นการจำลองการต่อสู้ มีเตะ มีชก มีท่าบล็อก คล้ายๆ ยิมนาสติกค่ะ ไม่ต้องมีคู่ต่อสู้เลย เราแข่งกับตัวเราเอง การให้คะแนนของเราจะเป็นเต็ม 10 แล้วก็ตัดไปเรื่อยๆ สุดท้ายนำคะแนนมาเรียงกัน
• เพราะอะไร เราถึงสนใจและเลือกประเภทนี้ และต้องฝึกอย่างไรบ้าง
ที่เลือกประเภทนี้เพราะฝ้ายตัวเล็กค่ะ สมัยเด็กๆ ดื้ออยู่เหมือนกัน อยากจะเล่นการต่อสู้ แต่ตอนหลังก็คือเห็นแล้วว่ามันไม่รุ่งแน่ๆ ก็เลยเปลี่ยนมาเป็นท่ารำ ส่วนเวลาฝึก ทางแคมป์จะมีตารางให้
อย่างช่วงเก็บตัว จะซ้อมเช้ากับเย็น ถ้าเป็นช่วงเปิดเทอม จะซ้อมตั้งแต่ 6 โมงเช้าแต่ไม่เกิน 8 โมง ครูก็จะปล่อยให้เราไปเรียน เลิกเรียนกลับมาก็ต้องให้ทัน 5 โมง เพราะ 5 โมงคือเริ่มซ้อม กว่าจะซ้อมเสร็จก็ 2 ทุ่ม 3 ทุ่มบ้าง แต่ถ้าช่วงใกล้แข่งก็คือจะตัดเรียนออกไปก่อน จะไม่ไปเรียนเลย จะซ้อมเช้า กลางวัน เย็น แล้วแต่เขาจะนัดซ้อม ถ้าซ้อมกับโค้ชไทย จะอยู่ที่ประมาณ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน แต่ถ้าเมื่อไหร่โค้ชเกาหลีมา ก็จะซ้อมเกือบ 10 ชั่วโมงต่อวันค่ะ
• ซ้อมหนักขนาดนี้ น่าจะเหนื่อยเหมือนกันนะ
เหนื่อยค่ะ แต่สู้มากกว่า แล้วเราก็สนุกกับการทำตรงนี้ด้วย มันก็เลยทำให้เราเหมือนสู้ต่อไปได้ อีกอย่างคุณพ่อก็เป็นนักกีฬาเก่า คุณแม่ก็เป็นนักกีฬาเก่าเหมือนกัน ก็เลยอาจจะได้ตรงนี้มาด้วย แล้วทั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ปลูกฝังให้เราสู้ในแบบที่ว่า ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ให้เราลงไปทำให้ถึงที่สุดก่อน อย่าเพิ่งยอมแพ้ง่ายๆ เพราะมีนักกีฬาหลายคนเหมือนกันที่เลิกเล่น เพราะ 1.สอบมหาวิทยาลัยติดแล้วก็เลิกเล่นเลย 2.บางคนไม่เรียนเลย เล่นกีฬาอย่างเดียว แต่ที่บ้านฝ้ายเขาไม่สนับสนุนแบบนั้น เรามองว่าถ้าต้องทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราก็รักมันทั้งคู่ ก็ไม่อยากจะทิ้งเลยสักอย่าง คุณพ่อกับคุณแม่ก็เลยบอกให้เราสู้เลย อัดเต็มที่เลย บุกเลยค่ะ
• แล้วถ้าอยู่ในช่วงเปิดเทอม ถ้าต้องซ้อมหรือเก็บตัว ต้องหยุดเรียนเลยใช่ไหมคะ
สมัยที่อยู่โรงเรียนทางโรงเรียนให้หยุดนะ เพราะเราเป็นคนแรกของโรงเรียนเลยที่ติดทีมชาติ แล้วทางโรงเรียนเขาก็สนับสนุนมาก ต้องขอบคุณโรงเรียนราชินีเลยค่ะ เพราะเขาสนับสนุนมาก ช่วยทุกอย่าง แม้กระทั่งเรานั่งหลับในห้องเรียน เพื่อนล้อกัน เพื่อนแกล้ง ครูยังหันมาแบบ...จุ๊จุ๊ เพื่อนเหนื่อย ครูยังเข้าใจเราขนาดนี้เลย ซึ่งจริงๆ แล้วสมัยก่อน โรงเรียนราชินีจะเน้นทางวิชาการ มารยาท ด้านกีฬานี้ไม่ค่อยเน้น แล้วฝ้ายเป็นคนแรกที่บุกเบิกด้านกีฬาค่ะ ตอนที่รู้ว่าหนูติดทีมชาติ ตอนนั้นอยู่ ม.5 พอรู้ว่าตัวเองติดทีมชาติ ดีใจมากๆ หนูก็บอกเพื่อน บอกคุณครู ทุกคนเขาดีใจกับเราด้วย หนูภูมิใจมากตอนนั้น แล้วทางโรงเรียนทำป้ายไวนิลแผ่นโตๆ หน้าโรงเรียนเลย
• จากครั้งแรกที่ติดทีมชาติจนถึงตอนนี้แข่งมาแล้วกี่ครั้งคะ ได้เหรียญอะไรมาบ้าง
แข่งซีเกมส์มา 4 ครั้งแล้วค่ะ มีชิงแชมป์โลก 2 ครั้ง ชิงแชมป์เอเชียอีก 2 ครั้ง แล้วแมตช์เล็กแมตช์น้อยทั่วไป ส่วนเรื่องเหรียญ เอาแบบว่าที่เหรียญใหญ่ๆ เลยนะคะ ก็คือ เหรียญทองแดงชิงแชมป์โลก ได้ที่ 3 ของโลก ได้มา 2 ครั้งแล้วค่ะ แล้วก็พวกซีเกมส์ก็จะเป็นเหรียญเงิน เหรียญทองแดง รอบนี้ก็เกือบได้เหรียญทองแล้วค่ะ แต่ว่าโดนประท้วง ก็เลยได้เหรียญเงิน
• เพราะอะไรถึงโดนประท้วงคะ
ตอนนั้นกรรมการเขายกมือประท้วงค่ะ เขาบอกว่าเขาให้คะแนนผิด คือพวกหนูลงไปกราบกับพื้นแล้ว ถ่ายรูปมาเสร็จสวยงาม ลงไม่ถึง 5 นาทีค่ะ เขาก็มาบอกว่าเดี๋ยวเราต้องไปแข่งใหม่นะ แล้วพอแข่งใหม่ปุ๊บ ก็แพ้
• รู้สึกยังไงตอนนั้น
เสียใจมากค่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดกับแย่ที่สุดในวันเดียวกันเลย ห่างกันแค่ไม่ถึง 5 นาที ที่เสียใจมากเพราะว่าถ้าเราได้เหรียญทอง มันจะเป็นเหรียญประวัติศาสตร์เพราะกีฬาประเภทนี้ยังไม่เคยได้เหรียญทองมาก่อน แล้วตอนนั้นมันเป็นเรื่องภายในด้วย เนื่องจากว่าเหรียญทองเรากับสิงคโปร์เจ้าภาพ เหรียญรวมมันเท่ากันอยู่ แล้วถ้าเราได้ตอนนั้นมันจะพลิกขึ้นมาเป็นว่าเราชนะไป มันก็หลายอย่างค่ะ ถามว่าเสียใจมั้ย บอกได้เลยว่าสุดๆ ค่ะ
• แล้วมีความฝันกับเส้นทางตรงนี้ไว้ยังไงบ้างคะ
หนูอยากขึ้นไปร้องเพลงชาติบนแท่นรับเหรียญค่ะ อยากได้แชมป์โลก แต่มันก็ยากนะคะ เพราะว่ามันให้คะแนนด้วยสายตา แล้วเกาหลีเขาก็เก่งมาก มันเป็นประเทศต้นตำรับของกีฬาประเภทนี้ มันเหมือนกับเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แต่เราก็ไม่ยอมแพ้นะ เราก็สู้ไปเรื่อยๆ อย่างครั้งนี้ที่จะไปก็คือ กีฬามหาวิทยาลัยโลก อันนี้ก็โลกเหมือนกันเราก็สู้ค่ะ ตอนนี้ทีมหญิงของเราบี้กับแชมป์โลกมาแล้ว บี้กันมาเลยคือเวียดนาม ซึ่งปีนี้ที่ซีเกมส์ที่เราชนะเขา แต่ว่าเราโดนประท้วง เราก็แพ้เขา ครั้งนี้ไป น่าจะมีอะไรดีๆ กลับมา
• ตั้งแต่แข่งเทควันโดประเภทพุมเซ่ มีอุปสรรคบ้างหรือเปล่า
ส่วนใหญ่มันจะเป็นอุปสรรคเรื่องภายในมากกว่าค่ะ ตั้งแต่ก่อนจะเป็นทีมชาติเพราะว่ามันเป็นกีฬาประเภทที่ให้คะแนนด้วยสายตา มันจะไม่เหมือนพวกต่อสู้ ขนาดต่อสู้ยังโกงกันได้เลย แล้วประเภทนี้ล่ะให้คะแนนล้วนๆ ด้วยกรรมการ 4-5 คน เหนื่อยเหมือนกันกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ แต่เราก็สู้ค่ะ
• ฝ้ายคิดว่าเสน่ห์ของพุมเซ่อยู่ตรงไหน ยากกว่าประเภทต่อสู้ไหม
เสน่ห์ของมันอยู่ที่ว่า นำความอ่อนโยนผสมกับความแข็งแกร่งค่ะ คือมันคล้ายๆ ยิมนาสติกตรงที่เราต้องฉีกขา มีเตะสูง ขึ้นไป 180 เกิน 180 ได้ยิ่งดี แต่มันเอามาผสมผสานกับความเข้มแข็งที่มีการบล็อก คือเรายกขาขึ้นไปก็จริง สูงก็จริง แต่เราต้องออกแรงด้วยค่ะ เราต้องแสดงออกมาให้เขาเห็นว่าเหมือนเราต่อสู้อยู่ ถามว่ายากกว่าประเภทต่อสู้มั้ย ฝ้ายว่ายากคนละแบบค่ะ หลายคนชอบพูดว่า พุมเซ่สบาย ไม่เจ็บตัว ความจริงคือมันยากคนละแบบ พุ่มเซ่มันจะเหนื่อยข้างใน เพราะว่าเราต้องมีสมาธิมาก บางทีต้องยืนขาเดียว บางที เราเตะทีนึงเสร็จ เราต้องหันมาให้ขาอีกข้างหนึ่งเตะอีก ถ้าสมาธิเราหลุดเนี่ย มันจะยาวเลย
• เห็นฝ้ายบอกว่าเรียนนิติศาสตร์ จุฬาฯ ฝ้ายแบ่งเวลายังไง
ฝ้ายใช้วิธีเร่งเน้นตอนใกล้สอบค่ะ คือเราไม่ได้มีเวลา แล้วเราก็ไม่มีความอดทนมากพอที่จะมานั่ง คณะนิติ จุฬาฯ เขาจะมีเทศกาลเข้าเดือน คือหนึ่งเดือนก่อนสอบจะอ่านหนังสือกัน ทุกคนจะเป็นซอมบี้มากช่วงนั้น แต่คือหนูไม่ใช่เด็กขยันเรียนอะไรขนาดนั้นนะ เราก็เลยใช้วิธีอัด อัดเอา 2 อาทิตย์บ้าง อาทิตย์เดียวก่อนสอบอย่างนี้ค่ะ แล้วก็เรื่องเข้าเรียน ถ้าเข้าเรียน เราก็จะเรียนเต็มที่ แต่ถ้าไม่ได้เข้า เราก็จะนั่งอ่านเอง คือเราโชคดีตรงที่ว่ามันเป็นคณะที่มีหนังสือด้วย และส่วนตัวน่าจะเป็นคนที่ความจำค่อนข้างดีด้วยค่ะ ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่ (ยิ้ม)
• การเป็นนักกีฬาทีมชาติทำให้เกรดการเรียนตกลงไปบ้างไหมคะ
ไม่ตกค่ะ ไม่มีส่วนเลย มันอยู่ที่ว่าเราจะบริหารเวลาดีหรือเปล่า แล้วก็อยู่ที่ความขยันของเราด้วย หนูว่าส่วนหนึ่งเลยนะคะ หนูเรียนไม่เคยติดเอฟ หนูไม่ได้อวดนะคะ แต่คือหนูก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมบางคนเรียนแล้ว บ่นว่าแบบเล่นกีฬาไม่ไหวแล้ว ติดเอฟเพียบเลย แล้วหนูก็ไม่เข้าใจว่าคุณแบ่งเวลายังไง คุณขยันหรือเปล่า ใกล้สอบมันต้องเหนื่อยกว่าเขาสองเท่าสามเท่าเลย คุณก็ต้องยอมนะ
• เหนื่อยเป็น 2 เท่าของคนอื่น รู้สึกว่าหนักเกินไปไหมคะ
ไม่ค่ะ น่าจะเป็นเพราะไลฟ์สไตล์เราเป็นอย่างนี้ด้วย เราชอบทางกีฬา เราอาจไม่มีเวลาเล่นกับเพื่อนก็จริง แต่เราแฮปปี้อยู่ตรงนี้ เดินพบปะพี่ๆ นักกีฬาด้วยกัน วันนี้เจอคนนี้ พี่คนนี้เพิ่งได้แชมป์มา เรารู้สึกดีใจที่เราได้เจอเขาค่ะ บางทีเราดีใจ ตื่นเต้นกว่าเราได้เจอดาราอีก มันก็เป็นอีกมุมหนึ่งนะคะ
• รู้สึกว่าช่วงเวลาชีวิตวัยรุ่นของเราหายไปไหม
ฝ้ายมองว่าทุกอย่างคุ้มมาก เพราะว่า 24 ชั่วโมงของเรา มันไม่เท่ากับของคนอื่นเขา ถ้าเทียบแล้วมันสั้นมาก 24 ชั่วโมง ในการที่เราจะทำอะไรเยอะแยะขนาดนี้ ส่วนเรื่องชีวิตวัยรุ่น ไม่หายไปนะคะ คือเราอาจจะไม่ได้อยู่กับเพื่อนที่อยู่มหาวิทยาลัย แต่เราก็มีพี่ๆ น้องๆ กลุ่มตรงนี้
• เรื่องดนตรีของฝ้ายนี้ไปถึงระดับไหนคะ เห็นว่าตอนนี้เป็นครูสอนเปียโนไปแล้วด้วย
ชอบค่ะ อยู่กับเด็กๆ แล้วสบายใจ แล้วเรื่องเป็นคุณครูสอนเปียโน คือจริงๆ เป็นครูสอนเปียโนมาตั้งแต่ก่อนติดทีมชาติ ตั้งแต่ฝ้ายเรียน ม.4 ก็เป็นครูพิเศษน่ะค่ะ เพราะว่าเราเรียนมาจากสยามกลการ เราสอบผ่านเกรดครู เขาเห็นแวว เขาก็เรียกเราไปสอน จากนั้นพอติดทีมชาติเทควันโด ผู้จัดการโรงเรียนเขารู้ ก็เปิดคลาสให้เรา เปิดห้องเลย ทั้งๆ ที่เขาไม่มีห้องด้วยนะคะ ใช้ห้องบัลเลต์นั่นล่ะ เวลาเราจะเรียน เราก็ลากฟลอร์มาปู พอเรียนเสร็จ เราก็เก็บให้เขา
• ถามถึงเรื่องเทควันโด ให้อะไรกับเราบ้าง ตั้งแต่ที่เราได้เล่นมา
ระเบียบวินัย ความอดทน ความขยัน ตรงต่อเวลาด้วย เพราะเวลาซ้อม เราก็ต้องตรงต่อเวลา ต้องมีระเบียบ ถ้าเราไปซ้อมเล่นๆ เราก็โดนหนัก 1.เราก็โดนทำโทษหนัก 2. โทษก็อยู่ที่ตัวเราด้วย เพราะเวลาไปแข่งเราก็แพ้ เรื่องความอดทน ก็อย่างที่บอก เรียนด้วย สอนด้วย ซ้อมด้วย แข่งด้วย แข่งตรงกับสอบอีก ต้องมาไล่สอบทีหลัง เพื่อนเขาสอบจบกันไปแล้ว หนูก็ไล่ตามเพื่อนเขามา แต่รับปริญญา เดี๋ยวก็รับพร้อมกัน (ยิ้ม)
• ถ้าให้เลือก ระหว่างเรียนกับซ้อมเทควันโด ฝ้ายเลือกอะไรก่อน
มันมีคำว่า ประเทศชาติต้องมาก่อนค่ะ คือเราไปแข่ง เราไม่ได้ไปในนามของเราเอง เราไปในนามของประเทศไทย มีธงชาติติดที่หน้าอก คนข้างหลัง อ่านแล้วรู้ว่านี่คือไทยแลนด์ ถ้าเราลงไปแข่ง มันไม่ได้เรียกว่าเราแพ้ แต่เราทำไม่เต็มที่ เราไปพลาดในสนาม มันไม่ใช่ว่าเราอายคนเดียว แต่คือเราแบกหน้าประเทศไปด้วย ไปทั้งประเทศ คือหนูชอบคำหนึ่ง คำพูดของผู้ใหญ่หลายๆ ท่านนะคะ เขาบอกว่า ในอดีต แต่ละประเทศเขาก็รบกัน จับขวาน หยิบดาบ ถือปืน รบกัน แต่พอถึงยุคเปลี่ยน มันพัฒนาแล้ว เป็นปัญญาชนขึ้นมาแล้ว เขาก็ทิ้งดาบทิ้งปืนแล้วสู้กันด้วยกีฬา มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เหมือนหนูว่าเป็นนักรบของประเทศ ไปทำเพื่อประเทศชาติค่ะ
• ฝ้ายคิดว่าฝ้ายประสบความสำเร็จกับเส้นทางสายนี้ไหมคะ
ประสบความสำเร็จค่ะ แต่ยังไม่ที่สุด อย่างที่ว่านะ เป้าหมายของเราคือเหรียญทองชิงแชมป์โลก เพราะว่าโอลิมปิกมันยากมากค่ะ ไม่น่าจะมีในช่วงรุ่นของเรา เพราะว่าขนาดเอเชียนเกมส์ ยังยากเลย
• ฝ้ายจะไม่ทิ้งความฝันตรงนี้แน่นอนใช่ไหม
ไม่ทิ้งค่ะ แต่ว่ามันก็ต้องดูหลายๆ อย่างนะ ถ้าเกิดว่าเรายังพอที่จะเล่นอยู่ สภาพร่างกายเรายังเต็มร้อยที่จะเล่น เราก็พร้อมที่จะสู้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราไม่ไหว เราก็พร้อมที่จะหลีกให้น้องๆ เพราะว่าถ้าเราถูลู่ถูกัง ยังอยู่อย่างนี้ มันก็ไม่ดีต่อทีมชาติด้วย เราควรจะเปิดโอกาสให้คนที่พร้อมไปแทนเรามากกว่า
• วางแพลนไว้ไหมว่า จะหยุดเล่นทีมชาติตอนอายุเท่าไหร่
ยังค่ะ แต่คือเอางี้ดีกว่า เรื่องยิมที่เปิดเนี่ยมันลงตัวแล้ว ก็คงจะไป เพราะว่ามันก็คงจะต้องถึงเวลา ต้องมีสักวันหนึ่งที่เราจะถึงเวลาต้องไปประสบพบเจอโลกแห่งความจริง โลกที่คนอื่นเค้าเจอกันแล้ว เรียนจบเค้ามีการมีงานทำแล้ว แต่หนูก็ยังอยู่ตรงนี้อยู่ เราก็ยังรักตรงนี้อยู่ค่ะ (ยิ้ม)
เรื่อง : วรัญญา งามขำ, ปาณิสรา บุญม่วง
ภาพ : พลภัทร วรรณดี