สมุทรสาคร - นักข่าวมหาชัย ฮือร้อง ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร จี้เตือนพนักงานสอบสวนใช้วาจาไม่สุภาพ แถมเกียร์ว่างปล่อยให้หนุ่มขี้เมาทำร้ายนักข่าวถึงบนโรงพักโดยไม่ระงับเหตุ หนำซ้ำไม่รับแจ้งความหลังพระสูงอายุพร้อมหลานร้องตำรวจถูกขู่ฆ่า แต่ให้กลับบ้าน
วันนี้ (13 มี.ค.) ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ตัวแทนกลุ่มผู้สื่อข่าวจังหวัดสมุทรสาครกว่า 30 คน นำโดย นายณัฐวุฒิ เอกจิโรภาส ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย และหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ พร้อมด้วย นายบุญเลิศ โกมลหิรัญ ผู้สื่อข่าวไทยทีวีสีช่อง 3 ได้เข้ายื่นหนังสือถึงผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร เพื่อขอให้ตักเตือนการใช้กิริยา วาจา ในการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร โดยมี พ.ต.อ.ประเสริฐ ศิริพรรณาภิรัตน์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร เป็นผู้รับมอบหนังสือ
สืบเนื่องจากเมื่อเวลา 15.00 น. ของวันที่ 11 มี.ค. นายบุญเลิศ พร้อมด้วย นายชูชาติ แดงพยนต์ และ น.ส.ชุติมา วัชวงศ์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 8 ดิจิตอลทีวี ได้รับทราบว่า มีพระภิกษุเข้าแจ้งความที่ สภ.เมืองสมุทรสาคร เนื่องจากถูกบุตรชายใช้อาวุธปืนข่มขู่ ซึ่งเป็นประเด็นข่าวที่น่าสนใจ จึงได้ขึ้นไปติดตามสถานการณ์ที่ห้องสอบสวน และได้พบกับ พระสุรพล เขมวโร อายุ 66 ปี พร้อมกับ นายอาณัติ จีวะสังข์ อายุ 24 ปี และ น.ส.กิตติยา จีวะสังข์ อายุ 21 ปี หลานชายและหลานสาวของพระสุรพล อยูบ้านเลขที่ 20/1 หมู่ 7 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร นั่งรอแจ้งความต่อ ร.ต.ท.สันติ มณีรัตน์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรสาคร
พร้อมกันนี้ ยังมีผู้มารอแจ้งความ คือ นายรังสรรค์ เจียรนัย นายกเทศมนตรีตำบลท่าจีน แต่ นายรังสรรค์ เห็นว่า เรื่องของพระสุรพลเป็นเรื่องสำคัญกว่า จึงได้ให้พระสุรพลแจ้งความก่อน แต่ปรากฏว่า ร.ต.ท.สันติ กลับมีท่าทีไม่สนใจ เมื่อนายบุญเลิศ สอบถามว่าไม่รับแจ้งความก่อนเหรอ ได้รับคำตอบกลับมาอย่างมีอารมณ์ว่า “ผมมีแค่สองมือนะ ผมไม่สามารถที่จะทำให้ได้อย่างใจหรอก” ซึ่งเป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม เพราะการทำหน้าที่พนักงานสอบสวนควรใช้คำพูดสุภาพเรียบร้อย แม้ว่าจะมีภารกิจมากแค่ไหนน่าจะพูดกับพระภิกษุสงฆ์ดีๆ ว่าให้นั่งรอสักครู่ ตนขอทำงานตรงนี้ก่อน
ในเวลาต่อมา นายปิยะชัย เผ่าทอง อายุ 36 ปี บุตรชายของพระสุรพล และน้านายชายของนายอาณัติ และ น.ส.กิตติยา ซึ่งเป็นผู้กล่าวหาได้เดินทางมายังสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรสาคร ในอาการคล้ายเมาสุรา มีกลิ่นเหล้าเหม็นคละคลุ้ง อยู่ในอาการฉุนเฉียว และมีการตะโกนหน้าสถานีตำรวจว่า “คืนนี้กลับไปจะจัดให้สวยเลย” เมื่อเข้าพบ ร.ต.ท.สันติ กลับเพียงจดชื่อ หมายเลขโทรศัพท์ และบอกให้ทั้งสองฝ่ายกลับบ้านไปก่อน จะเรียกตัวมาสอบปากคำใหม่ ทั้งๆ ที่มีพฤติการณ์ข่มขู่บุพการีและครอบครัวให้เกิดความหวาดกลัว ทำให้ญาติพี่น้องไม่กล้ากลับเข้าบ้าน ขณะนั้นนายณัฐวุฒิได้เข้ามาทำข่าวในภายหลัง นายปิยะชัย ได้เข้ามาทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บอีกด้วย โดยที่ตำรวจทั้งหมดที่อยู่ในห้องไม่เข้ามาระงับเหตุ ปล่อยให้นายปิยะชัยทำร้ายร่างกายกระทั่งออกมานอกห้องแจ้งความ จึงเรียกร้องให้ดำเนินการตรวจสอบการปฏิบัติงานของ ร.ต.ท.สันติ และขอให้มีการว่ากล่าวตักเตือนด้วย
ด้าน พ.ต.อ.ประเสริฐ กล่าวภายหลังรับหนังสือ ว่า ตนมารับหนังสือแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร เนื่องจากติดประชุมราชการ ตนต้องขอขอบคุณสื่อมวลชนทุกคนที่เข้ามาให้คำแนะนำ รวมทั้งเล่าประสบการณ์ต่างๆ ปกติสื่อมวลชนกับตำรวจทำงานด้วยกันมาตลอด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยส่วนตัวตนไม่พอใจและไม่สบายใจที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึนบนโรงพัก ไม่ว่าจะเป็นผู้สื่อข่าวหรือชาวบ้าน ถูกมาทุบตีบนโรงพักก็ไม่สบายใจ สถานีตำรวจควรจะเป็นสถานที่ปลอดภัย ให้คู่กรณีมาดีกันตรงนี้ พนักงานสอบสวนต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ต้องหาวิธีการแยกคุยหรือระงับยับยั้ง ใช้ดุลพินิจว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร พนักงานสอบสวนที่ดีต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ถูกต้อง ให้ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา และทุกฝ่ายพอใจ กรณีนี้ตนไม่สบายใจที่ผู้ใต้บังคับบัญชาทำเช่นนี้ เป็นความผิดพลาด ซึ่งจะดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง และดำเนินการ ว่า ตำรวจได้ทำตามกรอบกฎหมายหรือไม่อย่างไร และปล่อยให้เกิดการทำร้ายผู้สื่อข่าวและชาวบ้านบนโรงพักเป็นเรื่องสมควรหรือไม่ต่อไป