เปิดความคิด "question make" ผู้ทำเพลง "ยานแม่" ล้อลัทธิจานบิน อย่างนิ่มนวลกวนโอ๊ย แต่ดูดีมีรสนิยมด้านดนตรี ตลอดจนคำร้องทำนอง และเขาผู้นี้ก็คือคนที่เคยปล่อยเพลงล้อๆ อำๆ อย่าง "ยกมือขึ้น" เมื่อคราวอดีตนายกฯ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ดำรงตำแหน่งช่วงกลางปีที่แล้ว
ในขณะที่เพลงล้อเพลงแปลงรวมไปถึงนานาทัศนคติเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมของสงฆ์วัดหนึ่ง ตกเป็นกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายผู้ที่ไม่เห็นด้วยค่อนไปในทิศทางรุนแรง เขากลับนำเสนออีกแง่มุมที่เมื่อฟังดูแล้วต้องอมยิ้ม ผ่อนคลาย กลายเป็นเพลงเพลงหนึ่งที่ผู้ใหญ่ฟังได้ (สติ) เด็กฟังดี (มีความรู้)
เรามีโอกาสได้พูดคุยร่วมเดินธุดงค์อย่างช้าๆ ถามว่าเขารู้สึกนึกคิดอย่างไร เหตุใดจึงทำเพลงนี้ขึ้นมา ต้องการบอกอะไร และมีเป้าหมายปลายทางอยู่แห่งใด...
• ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เพลง “ยานแม่” ถึงได้ร่อนลงมาจอดยังพื้นโลก
คือความตั้งใจแรกทำเพลงนี้ขึ้นมา กะจะเอาสนุกมากกว่า เราดูข่าว เราเสพสื่อโซเชียล แล้วก็เกิดไอเดียที่จะสะท้อนสังคม จริงๆ ไม่ได้มีเจตนาจะทำลายพระพุทธศาสนา ผมไม่คิดที่จะไปทำให้พุทธศาสนาแย่ลง ผมแค่สะท้อนสิ่งที่เป็นอยู่มากกว่า เพราะเราเป็นคนทำเพลง ก็อยากให้มองเป็นเหมือนมุมคลายเครียด คือเหมือนเราอ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็มีช่องการ์ตูนล้อเลียน ผมก็คิดว่าถ้าหนังสือพิมพ์ยังมีช่องการ์ตูนล้อเลียน เพลงมันก็มีได้เหมือนกัน ก็เลยอยากจะทำตรงนี้ออกมา
• คือเหมือนปฏิกิริยาอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากทีี่ได้เห็นความเป็นไปในสังคม?
ใช่ครับ แต่ก็ไม่ได้ไปต่อต้านรุนแรง ก็อยากให้มันดูขำๆ ฮาๆ ไป ดูไม่ซีเรียส ผมว่าคนสมัยนี้เขาดูเขาก็รู้อยู่แล้ว ผมแค่ใช้สะท้อนเหมือนสมัยก่อนที่วงคาราบาวเขาร้องเพลงด่ารัฐบาลหรือที่เอามุกโน้นมุกนี้มาล้อ มันก็เหมือนที่เขาต้องการสะท้อนออกไปว่าช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้น แต่แค่ว่าวิธีการสะท้อนมันก็เป็นวิธีในรูปแบบของผมเท่านั้นเอง
• ไม่กลัวบาปหรือ
ก็คิดครับ เพราะส่วนตัวก็คิดว่ามันมีอยู่แล้ว บาปบุญ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คือคนในโซเชียลทุกคน อย่างรูปล้อเลียน ผมก็เอามาจากตรงนั้น ถ้าบาปก็คงบาปกันหมด แต่ผมก็เชื่อว่าไอ้สิ่งที่มองไม่เห็นยังไม่ต้องไปคิดถึงมัน เราควรคิดแค่ว่าตอนนี้เราทำดีหรือเปล่าเท่านั้น
คือถ้าเป็นพระที่ผมเชื่อถือ เป็นพระที่ผมเชื่อว่าเป็นพระ ผมก็คงไม่กล้าทำ (หัวเราะ) ผมก็คงไม่กล้ามาแต่งเพลงล้อเลียน เพราะผมก็บวชเรียน ผมบวชวัดป่าด้วย แล้วผมก็นับถือศาสนาพุทธ วัดก็เข้า แต่ในมุมมองความรู้สึกของผม สิ่งที่เขาทำๆ กันอยู่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยเรียนรู้หรือยึดถือปฏิบัติมา
• ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่เกิดขึ้นเพราะเราไม่นับถือศรัทธาในศาสนา
เราก็นับถือ เราไหว้ผ้าเหลือง ผมก็ศรัทธาในพระพุทธเจ้า แต่อาจจะต้องดูนิดหนึ่ง อย่างเวลาทำบุญ ผมจะไม่เลือกทำวัดรวยเลย เพราะว่าในมุมมองผมคือเขารวยอยู่แล้ว ผมมองว่าผมไปวัดป่าดีกว่า ผมจะชอบไปวัดป่าในต่างจังหวัด แล้วก็ดูว่าวัดไหนที่ไม่ค่อยมีคนไปทำบุญ ผมก็จะเลือกทำวัดอย่างนั้น เพราะผมถือว่าโอกาสเข้าน้อยกว่าวัดที่อยู่ตรงนี้
• จากมุมมองส่วนตัว เรามองสังคมศาสนาตอนนี้เป็นไปในทิศทางอย่างไร
แย่ครับ...แต่คือจริงๆ แล้วตอนที่ผมทำเพลงเสร็จ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะไปขนาดนี้ อันนี้ผมย้ำเลยเพราะอีกมุมหนึ่งก็กลัวว่าจะทำให้คนมองศาสนาพุทธในแง่ไม่ดี เพราะว่ามันแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ก็เหมือนที่ทุกสังคมจะมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ก็อยากให้แบ่งแยก ดีๆ ก็มีเยอะ แต่สิ่งที่ผมพูดถึงมันแค่เป็นสิ่งไม่ดี ไม่ใช่ทั้งหมด
• ทั้งในฐานะคนทำเพลงนี้ขึ้นมาและในฐานนะที่เป็นพุทธศาสนิกชน คิดว่าเราควรจะวางตัวอย่างไรในเรื่องศาสนาทุกวันนี้
ฮืม...ก็จริงๆ แล้วผมก็เคยสงสัย ก็เคยถามแม่ผมว่าเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าทำบุญให้พระรูปนี้แล้ว พระท่านจะไม่ไปซื้อดีวีดี จะไม่ไปซื้อยาบ้าหรือไปกินเหล้าซื้อหนังโป๊ (หัวเราะ) มันคือการลังเลที่จะทำบุญ แม่ผมท่านก็เลยบอกว่า ถ้าทำไปแล้วก็อย่าได้ลังเล เพราะถ้าเราตั้งใจจะทำมันได้กับตัวเราอยู่แล้ว ส่วนคนที่รับไป เขาไปทำอะไรนั้น ผลก็จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง คือถ้าคิดจะทำบุญก็ทำไป เพราะว่าผมไม่อยากให้คนมากลัวศาสนาหรือว่าไม่กล้าเข้าวัดทำบุญ ศาสนาจะยิ่งแย่ลงไป
• แต่ดูเหมือนคำว่า “สิ่งเทียมพระ” ที่เราคิดขึ้นมาจะพาให้เป็นอย่างนั้น
(หัวเราะ) จริงๆ ไม่ใช่อะไรเลยครับ มันมาจากช่วงก่อนที่ตอนนั้นการเมืองมีเดินขบวน กปปส. เขาก็จะได้ยินวลีสิ่งเทียมโน้น สิ่งเทียมนี้ ผมก็เอามาโยงเฉยๆ เพราะคำมันฟังง่าย ติดหู แถมจำกัดความได้สั้นๆ ง่ายๆ เข้าใจง่าย
• ทราบมาว่าก่อนหน้านั้นเราเคยมีผลงานอื่นมาก่อนที่ทำออกมาแนวๆ นี้ ส่วนตัวเวลาเราเลือกประเด็น เรามีวิธีการคัดเลือกอย่างไร
เรื่องไหนที่มันเป็นปรากฏการณ์ที่มันเครียด อย่างตอนนั้นทำเพลง “ยกมือขึ้น” ก็เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่แนวเพลงที่แต่งโหดๆ ด่าก็ด่าแบบแรงๆ เราก็มีหยายคายบ้าง แต่ผมก็ไม่อยากให้เพิ่มความหยาบคาย ก็เลยเล่าในมู้ดแอนด์โทนที่มันสื่ออารมณ์ไปในทางที่ตลกแทน เพราะผมมองว่า สถานการณ์มันก็เครียดกันอยู่แล้ว ถ้าเราไปทำอย่างนั้นอีก มันก็ยิ่งจะเครียดกันไปใหญ่ แล้วเราจะไปทำให้มันเครียดขึ้นอีกทำไม (หัวเราะ) เราก็ไม่รู้จะไปทำให้มันเพิ่มความแย่ลงทำไม ก็เลยเหมือนกับเลือกวิธีที่แตกต่าง ยิ่งเราเพิ่มไฟ เพิ่มความเครียด เพิ่มบรรยากาศให้มันไม่ดี มันก็ไม่ช่วยอะไร เอาอย่างนี้ดีกว่า ฮาๆ กันไป คนฟังก็...แทนที่จะรุนแรงด่าทอกัน ก็กลายเป็นเพลงนี้กวนตีน ฮาดี
• อันนี้คือจุดประสงค์แนวทางของการทำเพลงแปลงของเราทั้งหมด เรามองว่ามันช่วยลดความรุนแรง
ใช่ๆ ผมก็เห็นมีแต่คอมเมนต์เอาฮาๆ กัน ไม่รุนแรง แต่ก็จะมีคนที่ไม่ฮาด้วย คือคนที่ไม่ได้อยู่กับเรา อยู่คนละฝ่ายกับเรา ส่วนนี้เขาก็จะไม่ขำด้วย แต่ว่าคนที่คิดเหมือนเรา มีทัศนคติเหมือนเรา เขาก็จะชอบ เขาก็ถามบ่อยๆ ว่าเมื่อไหร่จะทำอีกๆ คือด้วยนิสัยปกติ ผมก็เป็นคนตลกกวนๆ มันก็เป็นเหมือนวิธีการทำงานของเรามากกว่า จะได้ไม่เครียดไม่กดดัน
• คาดหวังอะไรบ้างจากการทำเพลงแนวๆ นี้
ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดังหรือไม่ดัง คิดแค่ว่าคนฟังแล้วชอบหรือเปล่า คืออย่างเพลงนี้ฝั่งที่ชอบพวกเขาก็เยอะ ก็เสียวๆ อยู่เหมือนกัน คือถ้าดังแล้วแบบ..ขอโทษนะ...ถ้าดังแล้วมันโดนตีน ใครจะทำเพื่อแค่อยากดัง
• เอาล่ะ สุดท้าย คิดว่าสิ่งใดที่ควรเติมลงไปในการนับถือศาสนาสำหรับคนทุกวันนี้
อยากให้แยกแยะ จริงๆ เดี๋ยวนี้ก็แยกแยะกันได้เยอะ (หัวเราะ) แต่ก็คืออยากให้มองดีๆ เพราะว่าความงมงายมันก็มีเยอะ ความเชื่อก็มาก คืออยากให้ดูจากแก่นของคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ มากกว่า
มากกว่าพวกสิ่งเทียมพระมาพูด มาหลอกทำให้เราเชื่อ เพราะพวกนี้ถูกแปลงมาแล้ว ถูกคิดเป็นกระบวนการที่มีผลรองรับ แล้วมันก็บิดเบือนไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเละเทะ อันนี้มุมมองผมนะ
ในขณะที่เพลงล้อเพลงแปลงรวมไปถึงนานาทัศนคติเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมของสงฆ์วัดหนึ่ง ตกเป็นกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ของฝ่ายผู้ที่ไม่เห็นด้วยค่อนไปในทิศทางรุนแรง เขากลับนำเสนออีกแง่มุมที่เมื่อฟังดูแล้วต้องอมยิ้ม ผ่อนคลาย กลายเป็นเพลงเพลงหนึ่งที่ผู้ใหญ่ฟังได้ (สติ) เด็กฟังดี (มีความรู้)
เรามีโอกาสได้พูดคุยร่วมเดินธุดงค์อย่างช้าๆ ถามว่าเขารู้สึกนึกคิดอย่างไร เหตุใดจึงทำเพลงนี้ขึ้นมา ต้องการบอกอะไร และมีเป้าหมายปลายทางอยู่แห่งใด...
• ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร เพลง “ยานแม่” ถึงได้ร่อนลงมาจอดยังพื้นโลก
คือความตั้งใจแรกทำเพลงนี้ขึ้นมา กะจะเอาสนุกมากกว่า เราดูข่าว เราเสพสื่อโซเชียล แล้วก็เกิดไอเดียที่จะสะท้อนสังคม จริงๆ ไม่ได้มีเจตนาจะทำลายพระพุทธศาสนา ผมไม่คิดที่จะไปทำให้พุทธศาสนาแย่ลง ผมแค่สะท้อนสิ่งที่เป็นอยู่มากกว่า เพราะเราเป็นคนทำเพลง ก็อยากให้มองเป็นเหมือนมุมคลายเครียด คือเหมือนเราอ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็มีช่องการ์ตูนล้อเลียน ผมก็คิดว่าถ้าหนังสือพิมพ์ยังมีช่องการ์ตูนล้อเลียน เพลงมันก็มีได้เหมือนกัน ก็เลยอยากจะทำตรงนี้ออกมา
• คือเหมือนปฏิกิริยาอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากทีี่ได้เห็นความเป็นไปในสังคม?
ใช่ครับ แต่ก็ไม่ได้ไปต่อต้านรุนแรง ก็อยากให้มันดูขำๆ ฮาๆ ไป ดูไม่ซีเรียส ผมว่าคนสมัยนี้เขาดูเขาก็รู้อยู่แล้ว ผมแค่ใช้สะท้อนเหมือนสมัยก่อนที่วงคาราบาวเขาร้องเพลงด่ารัฐบาลหรือที่เอามุกโน้นมุกนี้มาล้อ มันก็เหมือนที่เขาต้องการสะท้อนออกไปว่าช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้น แต่แค่ว่าวิธีการสะท้อนมันก็เป็นวิธีในรูปแบบของผมเท่านั้นเอง
• ไม่กลัวบาปหรือ
ก็คิดครับ เพราะส่วนตัวก็คิดว่ามันมีอยู่แล้ว บาปบุญ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คือคนในโซเชียลทุกคน อย่างรูปล้อเลียน ผมก็เอามาจากตรงนั้น ถ้าบาปก็คงบาปกันหมด แต่ผมก็เชื่อว่าไอ้สิ่งที่มองไม่เห็นยังไม่ต้องไปคิดถึงมัน เราควรคิดแค่ว่าตอนนี้เราทำดีหรือเปล่าเท่านั้น
คือถ้าเป็นพระที่ผมเชื่อถือ เป็นพระที่ผมเชื่อว่าเป็นพระ ผมก็คงไม่กล้าทำ (หัวเราะ) ผมก็คงไม่กล้ามาแต่งเพลงล้อเลียน เพราะผมก็บวชเรียน ผมบวชวัดป่าด้วย แล้วผมก็นับถือศาสนาพุทธ วัดก็เข้า แต่ในมุมมองความรู้สึกของผม สิ่งที่เขาทำๆ กันอยู่มันไม่ใช่ มันไม่ใช่สิ่งที่ผมเคยเรียนรู้หรือยึดถือปฏิบัติมา
• ไม่ใช่ว่าสิ่งที่เราทำอยู่เกิดขึ้นเพราะเราไม่นับถือศรัทธาในศาสนา
เราก็นับถือ เราไหว้ผ้าเหลือง ผมก็ศรัทธาในพระพุทธเจ้า แต่อาจจะต้องดูนิดหนึ่ง อย่างเวลาทำบุญ ผมจะไม่เลือกทำวัดรวยเลย เพราะว่าในมุมมองผมคือเขารวยอยู่แล้ว ผมมองว่าผมไปวัดป่าดีกว่า ผมจะชอบไปวัดป่าในต่างจังหวัด แล้วก็ดูว่าวัดไหนที่ไม่ค่อยมีคนไปทำบุญ ผมก็จะเลือกทำวัดอย่างนั้น เพราะผมถือว่าโอกาสเข้าน้อยกว่าวัดที่อยู่ตรงนี้
• จากมุมมองส่วนตัว เรามองสังคมศาสนาตอนนี้เป็นไปในทิศทางอย่างไร
แย่ครับ...แต่คือจริงๆ แล้วตอนที่ผมทำเพลงเสร็จ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะไปขนาดนี้ อันนี้ผมย้ำเลยเพราะอีกมุมหนึ่งก็กลัวว่าจะทำให้คนมองศาสนาพุทธในแง่ไม่ดี เพราะว่ามันแค่กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ก็เหมือนที่ทุกสังคมจะมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ก็อยากให้แบ่งแยก ดีๆ ก็มีเยอะ แต่สิ่งที่ผมพูดถึงมันแค่เป็นสิ่งไม่ดี ไม่ใช่ทั้งหมด
• ทั้งในฐานะคนทำเพลงนี้ขึ้นมาและในฐานนะที่เป็นพุทธศาสนิกชน คิดว่าเราควรจะวางตัวอย่างไรในเรื่องศาสนาทุกวันนี้
ฮืม...ก็จริงๆ แล้วผมก็เคยสงสัย ก็เคยถามแม่ผมว่าเราจะไปรู้ได้อย่างไรว่าทำบุญให้พระรูปนี้แล้ว พระท่านจะไม่ไปซื้อดีวีดี จะไม่ไปซื้อยาบ้าหรือไปกินเหล้าซื้อหนังโป๊ (หัวเราะ) มันคือการลังเลที่จะทำบุญ แม่ผมท่านก็เลยบอกว่า ถ้าทำไปแล้วก็อย่าได้ลังเล เพราะถ้าเราตั้งใจจะทำมันได้กับตัวเราอยู่แล้ว ส่วนคนที่รับไป เขาไปทำอะไรนั้น ผลก็จะเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง คือถ้าคิดจะทำบุญก็ทำไป เพราะว่าผมไม่อยากให้คนมากลัวศาสนาหรือว่าไม่กล้าเข้าวัดทำบุญ ศาสนาจะยิ่งแย่ลงไป
• แต่ดูเหมือนคำว่า “สิ่งเทียมพระ” ที่เราคิดขึ้นมาจะพาให้เป็นอย่างนั้น
(หัวเราะ) จริงๆ ไม่ใช่อะไรเลยครับ มันมาจากช่วงก่อนที่ตอนนั้นการเมืองมีเดินขบวน กปปส. เขาก็จะได้ยินวลีสิ่งเทียมโน้น สิ่งเทียมนี้ ผมก็เอามาโยงเฉยๆ เพราะคำมันฟังง่าย ติดหู แถมจำกัดความได้สั้นๆ ง่ายๆ เข้าใจง่าย
• ทราบมาว่าก่อนหน้านั้นเราเคยมีผลงานอื่นมาก่อนที่ทำออกมาแนวๆ นี้ ส่วนตัวเวลาเราเลือกประเด็น เรามีวิธีการคัดเลือกอย่างไร
เรื่องไหนที่มันเป็นปรากฏการณ์ที่มันเครียด อย่างตอนนั้นทำเพลง “ยกมือขึ้น” ก็เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่แนวเพลงที่แต่งโหดๆ ด่าก็ด่าแบบแรงๆ เราก็มีหยายคายบ้าง แต่ผมก็ไม่อยากให้เพิ่มความหยาบคาย ก็เลยเล่าในมู้ดแอนด์โทนที่มันสื่ออารมณ์ไปในทางที่ตลกแทน เพราะผมมองว่า สถานการณ์มันก็เครียดกันอยู่แล้ว ถ้าเราไปทำอย่างนั้นอีก มันก็ยิ่งจะเครียดกันไปใหญ่ แล้วเราจะไปทำให้มันเครียดขึ้นอีกทำไม (หัวเราะ) เราก็ไม่รู้จะไปทำให้มันเพิ่มความแย่ลงทำไม ก็เลยเหมือนกับเลือกวิธีที่แตกต่าง ยิ่งเราเพิ่มไฟ เพิ่มความเครียด เพิ่มบรรยากาศให้มันไม่ดี มันก็ไม่ช่วยอะไร เอาอย่างนี้ดีกว่า ฮาๆ กันไป คนฟังก็...แทนที่จะรุนแรงด่าทอกัน ก็กลายเป็นเพลงนี้กวนตีน ฮาดี
• อันนี้คือจุดประสงค์แนวทางของการทำเพลงแปลงของเราทั้งหมด เรามองว่ามันช่วยลดความรุนแรง
ใช่ๆ ผมก็เห็นมีแต่คอมเมนต์เอาฮาๆ กัน ไม่รุนแรง แต่ก็จะมีคนที่ไม่ฮาด้วย คือคนที่ไม่ได้อยู่กับเรา อยู่คนละฝ่ายกับเรา ส่วนนี้เขาก็จะไม่ขำด้วย แต่ว่าคนที่คิดเหมือนเรา มีทัศนคติเหมือนเรา เขาก็จะชอบ เขาก็ถามบ่อยๆ ว่าเมื่อไหร่จะทำอีกๆ คือด้วยนิสัยปกติ ผมก็เป็นคนตลกกวนๆ มันก็เป็นเหมือนวิธีการทำงานของเรามากกว่า จะได้ไม่เครียดไม่กดดัน
• คาดหวังอะไรบ้างจากการทำเพลงแนวๆ นี้
ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะดังหรือไม่ดัง คิดแค่ว่าคนฟังแล้วชอบหรือเปล่า คืออย่างเพลงนี้ฝั่งที่ชอบพวกเขาก็เยอะ ก็เสียวๆ อยู่เหมือนกัน คือถ้าดังแล้วแบบ..ขอโทษนะ...ถ้าดังแล้วมันโดนตีน ใครจะทำเพื่อแค่อยากดัง
• เอาล่ะ สุดท้าย คิดว่าสิ่งใดที่ควรเติมลงไปในการนับถือศาสนาสำหรับคนทุกวันนี้
อยากให้แยกแยะ จริงๆ เดี๋ยวนี้ก็แยกแยะกันได้เยอะ (หัวเราะ) แต่ก็คืออยากให้มองดีๆ เพราะว่าความงมงายมันก็มีเยอะ ความเชื่อก็มาก คืออยากให้ดูจากแก่นของคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ มากกว่า
มากกว่าพวกสิ่งเทียมพระมาพูด มาหลอกทำให้เราเชื่อ เพราะพวกนี้ถูกแปลงมาแล้ว ถูกคิดเป็นกระบวนการที่มีผลรองรับ แล้วมันก็บิดเบือนไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งเละเทะ อันนี้มุมมองผมนะ