xs
xsm
sm
md
lg

ดั่งตายแล้วเกิดใหม่ ด้วยพระกรุณาของสมเด็จพระราชินี “ดนัย ดีนา” ชายกัมพูชาผู้รอดมาจากทุ่งสังหาร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ชายที่อยู่ตรงหน้าคุณผู้อ่านในตอนนี้ ถ้าจะให้บรรยายคร่าวๆ เราอาจจะบรรยายได้ว่า เป็นชายที่อายุราวๆ สี่สิบ แต่งตัวสุภาพเรียบร้อยราวกับนักธุรกิจ มีความเป็นอยู่ที่ดีตามฐานะ และแน่นอน หน้าที่การงานก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

แต่เมื่อสืบค้นลงลึกเข้าไปในรายละเอียดชีวิตของเขาแล้ว แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ชายผู้นี้ เคยเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัยจากสงครามทางการเมืองในประเทศบ้านเกิดเมืองนอน คือประเทศกัมพูชา ในช่วงวิกฤตการณ์ที่เขมรแดงเรืองอำนาจ ในช่วง ค.ศ. 1976-1979 ซึ่งอย่างที่ทราบกันดีโดยทั่วไปว่า สงครามครั้งนี้ พรากชีวิตประชาชนไปประมาณล้านคน ซึ่งช่วงที่ประสบเหตุนั้น เขาผู้นี้มีอายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น

แต่ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่มีต่อเขา เมื่อคราวเสด็จมายังที่ศูนย์ผู้อพยพเขาล้าน ที่จังหวัดตราด และทรงรับอุปการะทางด้านการศึกษาให้กับตัวเขาพร้อมกับเพื่อนๆ เยาวชนในศูนย์ดังกล่าว รวม 195 คน และนั่นถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตสำหรับเขา

จากเด็กน้อยชาวกัมพูชาผู้รอดชีวิตจากสมรภูมิเลือดแห่ง “ทุ่งสังหาร” หรือ Killing Field ปัจจุบันนี้ “ดนัย ดีนา คมคาย เคือน” ผู้ที่เพียบพร้อมแล้วทุกอย่างทั้งทุนทรัพย์และคุณภาพชีวิต ก็ยังซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านอยู่เสมอ และตั้งจิตปณิธาณขอกลับมาตอบแทนคุณประเทศไทย ประเทศที่ให้ความอบอุ่นแก่เขาในคราวประสบเคราะห์ ด้วยโครงการเพื่อผู้ยากไร้ต่างๆ ด้วยความหมายมุ่ง...

‘อยากให้ผู้ยากไร้ในสังคม ได้รับโอกาสที่ดีในสังคม
เหมือนกับตัวผมที่เคยได้รับมาก่อน’

• ทราบมาว่า คุณเกิดมาในช่วงสงครามทางการเมืองที่ประเทศบ้านเกิดเลย อยากให้ช่วยเล่าประวัติในช่วงนั้นหน่อยครับ

ผมเกิดมาในครอบครัวข้าราชการ คุณตาของผมได้ทำงานที่สำนักพระราชวังของประเทศกัมพูชา เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นกลางของที่นั่น และมีความเป็นอยู่ที่ดีประมาณหนึ่งครับ แต่พอเกิดสงครามทางการเมืองขึ้น ทางทหารเขมรแดงก็มายึดเอาบ้านแล้วทุบทิ้ง ตัวผมเองจึงอพยพออกจากหมู่บ้านพร้อมกับแม่ตั้งแต่สองขวบ พ่อของผมก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ส่วนแม่ก็ถูกเกณฑ์ไปทำงาน ส่วนผมอาศัยอยู่กับพี่เลี้ยงตั้งแต่นั้นมาจนอายุสามขวบกว่า จากนั้นจึงหนีภัยสงครามมาโดยตลอด

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมพลัดพรากจากแม่ไป 3 เดือน เพราะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเด็ก ในตอนนั้น ผมนึกว่าเขาเอาไปเลี้ยงข้าว แต่ที่จริง เขาเอาไปอยู่ในศูนย์ฝึกหัดเป็นทหารเขมรแดง อยู่ที่นั่น 3 เดือน แทบจะไม่มีอะไรกินเลย ผมอยู่รอดได้ด้วยถังขยะที่เขากองไว้เป็นปี ก็กินของจากกองขยะ ซึ่งจากเหตุการณ์นั้น ทำให้ผมรู้สึกถึงรสชาติในการอดมื้อกินมื้อได้เป็นอย่างดีเลย ผมเคยไม่ได้ทานอะไรเลยถึงสองวัน

แต่ในเวลาต่อมา ผมก็หนีออกมาได้ ตอนที่ทหารเวียดนามยกทัพเข้ามา สัญชาตญาณในตอนนั้น ต่างคนก็ต่างหนีเอาชีวิตรอด ตัวผมก็ถูกโยนขึ้นรถไปกับทหารเหล่านั้นแล้วเขาขับรถออกไป จนไปจอดทิ้งไว้ให้ผมลง ผมก็เดินฝ่าเข้าป่าไปในตอนมืด แล้วบังเอิญไปพบแม่พอดี คือก่อนหน้านี้ แม่ผมก็ตามหาผมในป่าเลย แต่ก็หาไม่เจอ จนแม่ผมคิดว่าผมตายไปแล้วเช่นกัน คือทุกคนในตอนนั้นก็คิดอย่างงั้น และผมก็ไม่คิดว่าจะได้เจอแม่เช่นกัน แต่ในที่สุดก็ได้พบกับแม่จนได้

• จากการเผชิญเหตุการณ์เลวร้ายตั้งแต่อายุยังน้อย ความรู้สึกในตอนนั้น เป็นยังไงบ้าง

ความรู้สึกมันเหมือนชาชินแล้วในตอนนั้น เพราะมันเหมือนชีวิตประจำวันน่ะครับ ภาพของการเห็นคนฆ่ากัน หรือการถูกบังคับให้อดอาหาร แทบจะไม่มีน้ำตาและความเสียใจหลงเหลืออยู่เลย และยิ่งเป็นความหวาดกลัวด้วยแล้ว แทบไม่มีเลย คือมีความเคยชินจนมองเห็นว่ามันเป็นสิ่งธรรมดาเลย คนถูกฆ่า ผู้หญิงที่ถูกฆ่าถูกทิ้ง เด็กถูกทิ้ง คืออยู่กันไปวันๆ และแทบไม่ได้คิดถึงอนาคตเลยด้วยซ้ำ คิดแค่ว่า วันนี้จะได้อะไรกิน คืนนี้จะได้อะไรกิน

อย่างไรก็ตาม ตอนนั้นก็ยังมีความหวังแบบเล็กๆ อยู่บ้างตามประสาของมนุษย์ คือ ต้องเอาตัวรอด เพราะผมผ่านการกินเปลือกไม้และขยะเป็นเดือนมาแล้ว คือแค่ตั้งความหวังว่าอยู่รอดก็พอ แต่การประสบพบเจอปัญหาตั้งแต่อายุน้อยๆ มันส่งผลมาในตอนนี้ที่ว่า เวลาทำอะไร ผมจะคิดไตร่ตรองตลอด เพราะจากเหตุการณ์นั้นแหละที่สอนให้เราได้รู้จักคิดว่าจะทำอะไรยังไง

• ในช่วงสงครามนั้น เคยมีประสบการณ์ในลักษณะแบบ “เฉียดตาย” ไหมครับ

มีครับ ตอนที่เริ่มอพยพมาถึงใกล้เขตชายแดนไทยแล้ว วันหนึ่ง เสบียงอาหารหมด ไม่มีอะไรกินเลย เริ่มมีคนกินหญ้า กินไม้ เพื่อให้อยู่รอด จนไปเจอเห็ดในป่า ตอนนั้นคนรอบข้างก็คงสงสารผม เลยให้ผมกับแม่กินมากกว่าเพื่อน กินไปปรากฏว่าเห็ดเป็นพิษ กินจนเมาเห็ดจนสลบไสลไป คล้ายๆ ว่ากำลังจะตายแล้ว เพื่อนๆ เห็นท่าไม่ค่อยดี เลยนำร่างแม่กับผมไปไว้พุ่มไม้ เพราะคิดว่าเราสองแม่ลูกตายแล้ว ต่างคนก็เอาเสื้อผ้าที่มีอยู่เอาไปเลย ก็ปล่อยร่างผมกับแม่ไว้ใต้พุ่มไม้

แต่บังเอิญ มีคุณอาท่านหนึ่งซึ่งเป็นหมอมาเห็นแล้วตรวจ ปรากฏว่ายังไม่ตาย ก็อุ้มผมกับแม่วิ่งลงจากภูเขามาที่เขตชายแดน ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง จากตอนเที่ยงวัน ตอนนั้นสลบเลย พอมาถึงที่ถนนแบ่งเขตชายแดน ก็ให้ทหารไทยมาช่วยอุ้มผมกับแม่ขึ้นรถ ตอนนั้นคิดว่าไม่รอดแล้ว แล้วก็พามาส่งที่ศูนย์สภากาชาดไทยเขาล้าน (ศูนย์ราชการุณย์สภากาชาดไทย เขาล้าน ในปัจจุบัน) จังหวัดตราด ผมนอนรักษาตัวจนรู้สึกตัวตอนตีสามของวันถัดมา พอตื่นมา ทางทหารไทยก็ดูแลอย่างดีเลยครับ ต่อมา แม่ของผมก็ฟื้นขึ้นมา และทางศูนย์ก็ดูแลเป็นอย่างดี

• ฟังมาว่าคุณได้มีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีด้วย ช่วยเล่าถึงตรงนี้หน่อยครับ

ตอนผมอยู่ในศูนย์พักพิงเรียบร้อยแล้ว คืออยู่ในเต็นท์ที่พัก ซึ่งเวลาต่อมา (วันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ.2522) สมเด็จพระราชินีเสด็จไปเยี่ยมพวกเราประชาชนชาวกัมพูชาที่ศูนย์ฯ ซึ่งสภาพผมในตอนนั้น อยู่ในขั้นหนังหุ้มกระดูก พระองค์ท่านก็จับผมเอาวิตามินและนมมาป้อน หลังจากนั้นก็อาการดีขึ้น พระองค์ทรงค้างที่นั่น 3 คืน ท่านลงไปสอนวิชาชีพให้กับคนในศูนย์อพยพ และก็สอนวิธีการชงนมให้กับเด็ก และนั่นคือความประทับใจแรกที่มีต่อพระองค์

ถึงตอนนี้ เมื่อคิดย้อนกลับไปเห็นในสภาพนั้น พระองค์เอาใจใส่มากเลย ไปสัมผัส ไปดูแลอย่างใกล้ชิดเลย เหมือนกับแพทย์น่ะครับ ไปดูผู้ป่วย คือ ณ ตอนนั้น ผู้ป่วยแทบจะไม่ได้อาบน้ำเป็นปีเลย เพราะว่าสบู่ไม่มี แล้วแผลก็เน่าเป็นเดือนมีหนอนด้วย เพราะฉะนั้น มันทั้งเน่าทั้งเหม็น ทุกอย่างเดินเข้าใกล้ไม่ได้ แต่พระองค์เสด็จไปแตะไปจับแบบไม่กลัวเลย ท่านไม่ทรงรังเกียจเลย แล้วตอนนั้น ระเบิดก็ลงบ่อยๆ ด้วย ผมคิดว่า ถ้าเป็นคนทั่วไป หากต้องไปในสถานการณ์ตอนนั้น ก็คงไม่มีใครคิดอยากจะไป เพราะเสี่ยงมากกับระเบิดที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

ผมซาบซึ้งน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ทรงดูแลโดยไม่นับว่าเป็นเชื้อชาติไหน สถานะใด คือท่านดูแลทั้งหมด พระองค์ท่านรับสั่งด้วยว่าจำเป็นต้องยกธงสภากาชาดไทยขึ้น เพื่อแทนสัญลักษณ์ว่า ถ้ามีธงแบบนี้อยู่ที่ไหนจุดใด ให้ถือเป็นจุดห้ามรบ เป็นที่ที่ปลอดภัย เป็นที่สำหรับดูแลรักษา

คือประทับใจพระองค์ท่าน ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

ใช่ครับ เป็นแบบฮีโร่ที่หาไม่ได้ในตอนนั้น คือเป็นเหมือนมารดาบังเกิดเกล้า ต่อจากแม่ที่แท้จริงของผมเลย เพราะแม่ของผมปกป้องทุกวิถีทาง ทั้งป้องกันกระสุน หลบระเบิด และหาอาหารให้ และยิ่งมาพบกับสมเด็จพระราชินี เป็นแม่คนที่สอง ที่ช่วยจากระเบิดและอาหารการกิน คือหลังจากนั้น ผมพูดได้เลยว่า เรารอดตายแล้ว มีความหวังว่าจะไม่ถูกฆ่าอีกแล้ว

หลังจากเหตุการณ์สงบ ผมก็ยังอยู่ที่ศูนย์เขาล้าน ก็มีเจ้าหน้าที่จากทางสำนักพระราชวังมาดูแลอย่างดี อาหารการกิน การเรียน ครู ผู้ดูแล แพทย์ มีพร้อม รวมถึงครูด้านการเกษตร ครูด้านภาษาอังกฤษ ก็มีพร้อมอย่างดี และต่อมา หลังจากศูนย์พักพิงที่เขาล้านได้ปิดตัวลง พระองค์ได้ส่งผมและชาวกัมพูชารวม 195 คน ให้ไปศึกษาที่ต่างประเทศ ให้มีโอกาสไปเรียนรู้ศึกษาและแสวงหาชีวิตที่ดีที่เมืองนอกน่ะครับ ซึ่งก่อนไป พระองค์ท่านมีรับสั่งอย่างเดียว คือขอให้ย้อนกลับมาหาท่านแล้วบอกว่าอยู่ที่นั่นแล้วชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง เป็นคำที่พระองค์ทรงรับสั่งกับผม ฉะนั้น ชาวกัมพูชา 195 คนที่พระองค์ส่งไป ยังจำคำนี้ได้ คือพระองค์ทรงบอกว่าไม่ได้ให้มาพัฒนาประเทศไทย แต่ให้กลับไปพัฒนาประเทศตัวเอง พระองค์ทรงช่วยโดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน คือท่านทรงหมายถึงคำนั้นจริงๆ

• ทราบมาว่าคุณมีโครงการเทิดพระเกียรติด้วย อยากให้ช่วยอธิบายถึงโครงการทั้งหมดหน่อยครับ

ตอนนี้ผมกำลังวางแผนโครงการสวนสมุนไพรเพื่อถวายให้กับพระองค์ท่าน คือตั้งใจทำมาตั้งแต่ 2 ปีก่อน ได้เข้าเฝ้าแล้วทูลกับพระองค์ว่าจะทำโครงการถวาย แล้วจะให้พระองค์ทรงรับโครงการนี้ครับ พระองค์ และก็ไปทำงานกับท่าน พระอาจารย์ ว.วชิรเมธี ซึ่งท่านก็อยากจะมาเข้าร่วมในงานนี้ ท่านก็ให้ที่ดินมาประมาณ 10 ไร่

และอีกโครงการหนึ่งก็เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติ 83 พรรษา ในเดือนสิงหาคมนี้ ทางโครงการของผมและผู้บริหารสถาบันสอนภาษาจากสหรัฐอเมริกา อยากจะเดินเฉลิมพระเกียรติ 3 จังหวัด เพื่อถวายพระพร ซึ่งคาดว่าจะจัดกัน 3 จังหวัด คือ จังหวัดตราด เชียงราย และกรุงเทพฯ ครับ

• เพราะเหตุใดจึงคิดทำสวนสมุนไพร

ผมคิดว่าประเทศไทยมีสมุนไพรซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และคนไทยก็นำสมุนไพรเหล่านี้มาเป็นประโยชน์เป็นร้อยปีแล้ว แต่อย่างประเทศตะวันตกเขาเพิ่งเริ่มใช้สูตรสมุนไพร มาเป็นแบบสตรีตฟู้ด แล้วก็ผมได้เชิญผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องสมุนไพร มาบำรุงสุขภาพของ beach body ซึ่งเดี๋ยวนี้ดังมาก เขาก็ได้ลงมาที่ประเทศไทย ซึ่งเขาก็สนใจในส่วนของสมุนไพรเช่นกัน แล้วเราคิดว่า ถ้าเราสามารถจัดตั้งสวนสมุนไพรอย่างดีที่สุด อย่างเช่น ไม่มีสารเคมีร้อยเปอร์เซ็นต์ บริสุทธิ์ปลอดสารพิษและมีคุณภาพสูง ทางเมืองนอกก็จะรับซื้อ เขาก็สนใจที่จะให้คนไทยได้ปลูกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูง เพื่อจะได้ส่งออกไปขายในต่างประเทศ

แต่โครงการนี้ไม่ใช่แค่สวนสมุนไพรอย่างเดียว มันเกี่ยวข้องกับชาวนาชาวไร่ทั่วทั้งประเทศเลย คืออยากให้ทุกคนมาร่วมมือกัน เราจะมีแบบแผนการปลูกเบื้องต้น การดูแลรักษา และการตลาดด้วย คือเราจะเป็นแหล่งโดยตรงเลย จากชาวนาชาวไร่ แล้วจะมีการทำสัญญา จะไม่มีพ่อค้าคนกลาง ซึ่งแตกต่างจากปัจจุบันที่ยังต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง แต่เราจะประสานงานโดยตรง ซึ่งให้ชาวนามาทำงานกับเรา เราก็มาช่วยในการปลูกการขายพืชผลเศรษฐกิจของเขา ถ้าเขาไม่มีทุน ทางเราจะสามารถจัดทุนว่าจะเอาอะไร เช่น รถไถ หรืองานต่างๆ และจะสอนเขาขยายในเศรษฐกิจเขาด้วย แล้วก็มีทีมงานที่เชี่ยวชาญในด้านเศรษฐกิจนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราจึงมาช่วยกันทำงานในงานนี้ถวายพระองค์

• อะไรคือความมุ่งหมายตั้งใจในการทำสิ่งดังกล่าวนี้

คือเดี๋ยวนี้เหมือนกับว่า ต่างคนก็ต่างมุ่งมาหางานที่ในเมือง แต่พอมาดูในไร่ตามชนบท จะไม่มีอะไรมากกว่าจะทำนาหรือไร่สวนธรรมดา แต่โครงการนี้จะทำให้คนไทยมีโอกาสเพิ่มขึ้น เริ่มต้นด้วยสมุนไพรก่อน แบบอย่างเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เพราะมันมีผลประโยชน์มากเลย บางคนมีสวนมะม่วง พื้นดินข้างล่าง เราก็สามารถที่จะปลูกได้อีก และในการดูแล จะมีเทคโนโลยีและนักวิทยาศาสตร์มาร่วมช่วยอีกแรง คือไม่ใช่จะปลูกแบบดั้งเดิมอย่างเดียว มีการผสมผสาน

ผมมองว่า มีคนทำการเกษตรแบบทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง แต่ยังไม่มากพอ เช่นเดียวกับเทคโนโลยี เหมือนว่าเราก็ยังทำกันไปตามประสาชาวบ้าน แต่ทางนี้ จะมีเรื่องโครงการให้ผลิตผลที่ดีขึ้น โดยใช้ธรรมชาติที่มีเทคโนโลยีเข้ามา เพื่อส่งเสริมและช่วยทฤษฎีดังกล่าวนี้ให้ดียิ่งขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น คือให้ชาวนาของเราสามารถมาเข้าร่วมกับสมาคมเราได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีที่ดินก็ตามที เราจะจัดให้ช่วยเหลือกัน หรือหากใครมีไอเดียในด้านเศรษฐกิจที่อยากจะขยายตัว หรือเช่าซื้อที่ดินก็แล้วแต่เขา แต่ต่างคนก็ต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน

อีกส่วนหนึ่ง สิ่งที่จะได้จากโครงการนี้ คือภาษาอังกฤษ ซึ่งมันเกิดจากว่า สมัยโน้น สมเด็จพระราชินีท่านทรงให้ผมได้เรียนรู้ภาษานี้ตั้งแต่ 4 ขวบ ใช้เวลาตั้งแต่ช่วงอายุนี้ จนถึงอายุ 16 ต่อมาก็ทรงส่งผมไปเรียนต่อที่อเมริกา กว่า 10 ปีในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษในตอนแรก ซึ่งปรากฏว่า ใช้ไม่ได้เลย การสอนดีมากนะ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเราเป็นเด็ก เราก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ในการเรียน ซึ่งผมเสียดายในภายหลังว่าควรจะเรียนให้มากขึ้น แต่ว่าผมได้ทำหน้าที่ของตัวเองแล้ว ได้เรียนรู้ภาษา แต่ว่าเอาไปใช้งานไม่ได้ คือตอนไปอเมริกาใหม่ๆ ภาษาผมแย่มากเลย ต้องไปฝึกฝนใหม่เลย ทีนี้ ถ้าเราเอาภาษาอังกฤษมาช่วยประเทศไทย ในการเรียนรู้ภาษา มันจะดีมั้ย เพราะว่าผมได้เรียนมา 10 กว่าปี แต่พูดไม่ได้ คือรู้ศัพท์ เข้าใจที่เขาพูด เขียนได้คล่อง แต่พูดไม่ได้ มันต้องมีอะไรแล้ว ก็คือการสอน

คือเราจะสอนแต่ละบุคคล เจาะจงไปที่นักธุรกิจ โรงแรม พนักงานบริการ คือมันจะมีคำศัพท์ของเขา เพราะฉะนั้น เราจะสอนคำศัพท์ที่จำเป็นต้องใช้ประจำวันทุกวัน เราอยากให้คนไทยพูดภาษาอังกฤษให้คล่อง ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้

• คาดหวังกับโครงการนี้ไว้อย่างไรบ้าง

ก็อยากจะทำให้สุดความสามารถ ไม่ว่าจะพบปัญหาอุปสรรคยังไงก็ตาม ผมจะแสวงหาหนทางที่จะทำโครงการนี้ให้ได้ เพราะนี่ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง แต่สำหรับคนทั่วไป ชาวนาชาวไร่ คนยากจน เด็กที่ไม่มีโอกาส การเรียนรู้ สุขภาพ ทั้งบิดามารดาก็ตาม หรือครอบครัว ผมอยากไปสัมผัสคนเหล่านั้น ไปช่วยเหลือ คือผมเคยผ่านมาแล้วกับชีวิตแบบนั้น เคยสัมผัสความลำบาก เพราะฉะนั้น ผมอยากจะไปช่วย แล้วก็จะพยายามสุดความสามารถ






เรื่อง : สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม

กำลังโหลดความคิดเห็น