ชื่อนามสกุลก็ระบุชัดว่าไม่ใช่คนไทย
แต่มีหัวใจเผื่อแผ่แก่เด็กไทย
โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาสในชุมชนแออัดกลางเมืองหลวง
“อากิฮิโระ โทมิคาว่า” ชายผู้มีหัวใจน่ากราบ
จากเด็กชายผู้ลุ่มหลงในปณิธานแบบการ์ตูนไอ้มดแดง
สู่เส้นทางจิตอาสาเพื่ออนาคตของเด็กน้อยในโลกยากไร้
.................................................................................................
"คาเมนไรดา คาเมนไรดา ไรดา ไร่ดา..."
คือคำร้องในเพลงฮิตติดหูสำหรับเด็กๆ ยุคหนึ่งซึ่งเป็นเพลง
มีความฝันใฝ่อยากจะผดุงความยุติธรรมปราบปรามเหล่าร้ายให้สิ้นซาก แม้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นมา จะพลันพบกับความจริงของโลก ที่ว่า “ฮีโร่” ดูจะเป็นคำละเมอเพ้อพกในวัยฝันวันเยาว์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องผดุงความยุติธรรมที่เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ท่ามกลางความเป็นจริงที่โหดร้ายของโลกเสียด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ใช่กับ "อากิฮิโระ โทมิคาว่า" นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของร้านของเล่นวัย 46 ปีผู้นี้...
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหนังหรือซีรีส์จากแดนซามูไร ย่อมจดจำความบันเทิงเรื่องเยี่ยมเปี่ยมสาระอย่าง “ซามูไรพ่อลูกอ่อน” ที่โด่งดังในอดีตได้ และที่เราต้องเอ่ยถึงหนังซีรีส์เรื่องนี้ ก็เพราะว่าครั้งหนึ่งก่อนโน้น “อากิฮิโระ โทมิคาว่า” ก็คือดาราเด็กน้อยที่สวมบทบาทได้น่ารักน่าชัง ด้วยทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์คนนั้น ในชื่อ "ไดโกโร" ที่พ่อ "โองะมิ อิตโตะ" ซามูไรพเนจรวางใส่ตะกร้ารถเข็นตระเวนไปพร้อมด้วยเพลงดาบแม่น้ำร้อยสายปราบเหล่าวายร้าย
จาก “ลูกน้อย” ของซามูไร อากิฮิโระ เติบโตขึ้นโดยมีไอ้มดแดงเป็นไอดอล เขาไม่ได้ตะลอนไปในรถเข็นเหมือนเช่นเป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นที่รู้ทั่วกันดีว่าเขาคือเจ้าของมอเตอร์ไซค์ที่ชื่อว่า “ไซโคลน” ที่สามารถทำความเร็วได้ 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมยังสวมชุดฮีโร่ "คาเมนไรเดอร์ 1" จากการ์ตูนไอ้มดแดงยอดนิยม ออกแจกจ่ายขนม ของเล่น แก่เด็กๆ ในชุมชนสลัมทั่วกรุงเทพฯ
คงคล้ายๆ กับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเหล่าไอ้มดแดง ที่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่การได้ลงมือทำหรือลุกขึ้นสู้ ก็เป็นภารกิจที่มิอาจละทิ้ง สิ่งที่อากิฮิโระกระทำอยู่ เขาเองก็ยอมรับว่ามันเป็นเพียงก้าวแรกๆ ซึ่งย่อมต้องมีคนมาสานต่อทอถัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายก็คงเหมือนเหล่าคาเมนไรเดอร์ที่...
“ถึงแม้วันนี้จะได้รับชัยชนะ แต่อุปสรรคและหนทางแห่งความสงบยังเหลืออีกยาวไกล...สู้ต่อไป ทาเคชิ!”
“เซมารือ ช็อกก่า” สู้ต่อไป...อากิฮิโระ!
• อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณเลือกมาเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเด็กๆ ผู้ยากไร้ในประเทศไทย และเพราะอะไรทำไมถึงเลือกประเทศไทย แทนที่จะเป็นประเทศอื่นๆ
อืมมม...มันก็หลายเหตุผล หลักๆ ก็เพราะรู้สึกประทับใจในน้ำใจของคนไทยที่เคยช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นก่อนใคร ทั้งๆ ที่ในอดีตประวัติศาสตร์ ประเทศญี่ปุ่นเองก็ทำให้บางคนยังรู้สึกว่าเราทำไม่ดี อย่างที่ประเทศจีนและเกาหลียังรู้สึกอยู่ทุกวันนี้ แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว อย่างไปต่างจังหวัด หลงทางก็มีแต่คนช่วยเหลือ (ยิ้ม)
คือถ้าถามจริงๆ ว่าทำไมถึงเลือกที่จะช่วยเหลือคนไทยหรือรักเมืองไทย ก็ตอบไม่ได้ มันเหมือนเวลามีแฟน มันมีหลากหลายเหตุผลที่ทำให้คนรักกัน แต่จริงๆ รักจริงมันก็ไม่มีเหตุผล แค่รัก แค่อยากจะเห็นประเทศนี้ดีขึ้น
• ก่อนจะพูดคำว่ารัก เอาเป็นว่าในสายตาของคุณมองเมืองไทยอย่างไรบ้าง
ผมว่าจำนวนสัดส่วนประชากรที่มีรายได้สูงกับจำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำยังเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก ตัวอย่างง่ายๆ คือเราเห็นรถใหม่ๆ เต็มถนนไปหมด ทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ขณะเดียวกันก็ยังมีคนจร คนจน คนเดินถนนเท้าเปล่าอยู่เยอะในสังคม แล้วก็ยังมีการใช้แรงงานเด็กอยู่ (สีหน้าจริงจัง) มีการนำคนแก่มาทิ้งกลางเกาะกลางถนน มันเป็นภาพที่ผมจำได้ชัดเจนเลยวันนั้น รถบีเอ็มดับบลิว รถเบนซ์ หลายคันผ่านไปผ่านมา แต่ก็ไม่มีใครมาช่วย เราเห็นเราก็สงสาร ก็ลืมไม่ลง ผมก็สัญญากับยายคนนั้นว่า
“จะพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้มันดีขึ้นกว่านี้”
จะได้ไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นอีก
• นี่ก็รวมเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหรือเปล่าที่มุ่งเน้นช่วยเหลือคนทุกข์ยากไร้ในสลัม
ครับ (ยิ้ม) เพราะโดยส่วนตัวผมแล้ว ตอนเด็กๆ ผมก็มีอดีตที่ไม่ต่างจากเด็กๆ เหล่านี้ที่เราเห็น คือตอนผมอายุแปดขวบ ผมอยู่กับพ่อเลี้ยงแล้วก็คุณแม่ คุณแม่ก็สนใจแต่พ่อเลี้ยง ไม่ค่อยได้สนใจผมสักเท่าไหร่ จำได้ว่าตอนนั้นก็น้อยใจถึงขั้นเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่พอนึกถึงไอ้มดแดง นึกถึงอุลตร้าแมน หรือนึกถึงผู้ใหญ่ที่เคยช่วยเหลือ ให้ของกิน ให้เงิน ตอนที่ผมเดินอยู่ข้างถนนที่เมืองโอซากามันก็ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาในชีวิตผม
ผมก็เลยแต่งตัวเป็นไอ้มดแดง แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปช่วยเด็กๆ เขาจะได้เห็นและรู้สึกว่า อย่างน้อยก็ยังมีฮีโร่อยู่ในชีวิตจริง ซึ่งผมก็แค่อยากให้เด็กๆ พวกนั้นรู้สึกหรือระลึกได้สักเสี้ยววินาทีว่ายังมีคนที่คอยห่วงเขาอยู่ ยังมีคนคอยช่วยเหลือ คนคอยหวังดีกับเขาอยู่ ยังมีคนที่เราสามารถจะคิดถึงและทำให้ลุกขึ้นสู้ต่อได้ในเวลาบางครั้งที่ชีวิตย่ำแย่เช่นเดียวกับผม
• รู้สึกอายบ้างไหม อายุอานามก็หลัก 40 แล้ว
ไม่ๆๆ เพราะก่อนที่จะแต่ง ผมเตรียมตัวมาดีครับ (หัวเราะ) ผมศึกษาว่า 'ไรเดอร์' ต้องทำอย่างไร เป็นอย่างไร คือเป็นฮีโร่แล้วก็ต้องทำให้เหมือนฮีโร่จริงๆ ในความรู้สึกทั้งในจอและนอกจอ
• คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันช่วยแก้ปัญหาที่เรามองเห็นได้ตรงจุดหรือเปล่า
ผมก็ไม่แน่ใจ...คือก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสิ่งของที่มอบให้เด็กๆ มันก็เป็นเพียงวัตถุภายนอก แล้วผมเห็นพวกเขาแค่ตอนที่ไปช่วยเหลือ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้น ชีวิตเขาจะเป็นกันอย่างไร แต่ที่เลือกแจกสิ่งของ เพราะเหมือนกับว่าช่วงแรกๆ ถ้าเราเข้าไป แล้วไปสอนเขาเลย คนข้างในเขาคงไม่รับฟัง (หัวเราะ) เราเป็นคนญี่ปุ่นเป็นคนต่างชาติด้วย ก็ต้องทำความคุ้นเคย สร้างความเชื่อใจให้เขารู้จักเราก่อน
• แสดงว่าตอนนี้กำลังเริ่มที่จะแก้ให้ตรงจุดแล้ว
คิดไว้แล้ว (พยักหน้า) เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่การแก้ปัญหาตรงจุด การแก้ปัญหาที่ตรงจุดคือการให้การศึกษากับคนข้างในชุมชน คือเด็กๆ จะได้เรียนรู้ ถามว่าทำไมต้องเน้นที่เด็กเป็นอันดับแรก ก็เพราะเมื่อสองปีก่อน เด็กๆ บางคนยังขอขนมขอของเล่นอยู่เลย แต่พอกลับมาเมื่อประมาณต้นปี-กลางปี พวกเขามีลูกมีเต้า มีการใช้ยาเสพติด หรือบางคนพ่อแม่ก็ให้ไปเป็นขอทาน ไม่ได้เรียนหนังสือ เราก็เลยอยากจะพาครูเข้าไปสอนเด็กๆ ข้างใน แล้วก็อาจจะมีนิมนต์พระไปคุยกับเด็ก ให้เขาเข้าใจหลักการใช้ชีวิตที่ดี ตอนนี้ก็คิดหาวิธีที่จะสร้างโรงเรียนในชุมชนทุกแห่งถ้าเป็นไปได้ จะได้ให้การศึกษากับเด็กๆ เหล่านี้
• อันนี้คือก้าวต่อไปที่วางไว้ หลังจากสร้างความเชื่อใจ 5-6 ปี
ครับ (ยิ้ม) แต่จริงๆ ก็เริ่มทำไปบ้างแล้ว คืออย่างคราวที่แล้ว หลังจากแจกสิ่งของให้เด็กๆ ผมก็จะเล่าเรื่องของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับการวางเฉย ไม่ตอบโต้ว่ากล่าวคำติฉินนินทาให้พวกเขาฟัง เป็นการสอดแทรกการสอนไปในตัว
• รู้สึกเหนื่อยบ้างไหม เพราะยิ่งได้ฟังโครงการช่วยเหลือที่จะเพิ่มมากขึ้นทั้งเงินทุนและแรงกายอย่างที่ว่า
ถึงเหนื่อยอย่างไร แต่มันต้องมีคนทำ (ตอบเร็ว) มันต้องมีใครสักคนหนึ่งที่ทำแล้วก็พิสูจน์ให้ได้ว่ามันทำได้จริงๆ มันเป็นไปได้จริงๆ
คือหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ คิดว่าต้องมีฐานะร่ำรวยก่อนแล้วจึงค่อยไปช่วยเหลือคนอื่นได้ แต่จริงๆ ยิ่งเราจน เรายิ่งต้องรู้จักแบ่งปั่นคนอื่น เหมือนกับสมัยพุทธกาลที่พุทธเจ้าท่านเลือกเดินไปรับบริจาคจากหมู่บ้านคนจน เพราะเหมือนกับว่า คนยิ่งจน ยิ่งควรรู้จักคุณค่าของการแบ่งปันซึ่งกันและกัน
อีกอย่าง ผมไม่อยากรู้สึกสงสารตัวเอง อยากคิดถึงคนอื่นมากกว่า เพราะถ้าสมมติว่าเรามัวเสียเวลา รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร สู้เอาความคิดตรงนั้นไปช่วยคนอื่นดีกว่า
• ที่ญี่ปุ่น มีคนรู้ไหมว่าคุณมาเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเมืองไทย
ก็มีคนญี่ปุ่นที่รู้บ้าง (นิ่งคิด) แต่จริงๆ ก็ไม่อยากเป็นคนดังหรือเป็นที่รู้จัก เพราะว่าครั้งแรกที่เริ่มทำ ก็ไม่ได้เปิดเผยตัวจริง ไม่ได้เปิดหน้า บอกชื่อบอกตัวตน
• แล้วเขารู้ได้อย่างไร หรือว่าข่าวที่ลงดังไกลข้ามฟากไปถึงที่โน่นเลย
(หัวเราะ) คือหลังๆ ผมเปิดรับบริจาคช่วยเหลือ ก็ต้องโชว์ตัวตน บอกสิ่งที่เราทำ เพื่อความน่าเชื่อถือ เพราะส่วนตัวไม่ได้รวยมาก เป็นแค่เจ้าของกิจการร้านของเล่นกลางๆ ถ้ามีเงินตัวเอง ก็คงไม่ต้องรับบริจาค ก็คงไม่เปิดเผยตัว (ยิ้ม)
• ตอนไประดมทุน เปิดรับบริจาค ที่โน่นเราร้องเพลงหรือแต่งชุดไอ้มดแดงหรือเปล่า
ไม่ๆ (ยิ้ม) ก็ได้จากเพื่อนๆ คนใกล้ชิด แต่ผมโชคดีตรงที่มีคนรู้จักพอสมควร เพราะเคยเป็นนักแสดงเก่ามาก่อน เคยดูไหม เรื่องซามูไรพ่อลูกอ่อน (หัวเราะ) ผมเล่นเป็นเด็กเลยตอนนั้นประมาณปี 1970-1971 เห็นจะได้
• สิ่งที่เราได้จากการให้ที่ทำอยู่ทั้งหมดมีอะไรบ้าง
ก็ได้อะไรหลายๆ อย่าง มีเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้ชีวิต ได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตมากขึ้น ได้ความรู้สึกดีๆ เวลาเห็นรอยยิ้มเด็กๆ ที่รับของจากมือ อย่างที่วัยนั้นผมไม่ได้ หรือภาพจากในอดีตที่ถูกพ่อเลี้ยงตีจนทำให้นอนผวาที่ยังติดในหัวผมก็หายไป นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าผมได้กลับมา ไม่ใช่ความดัง เดินไปที่ไหนคนก็รู้จัก
• อย่างนี้สามารถเรียกได้ไหมว่า “ความสุข” ของเราคือการให้
ใช่ครับ อืมมม...มันเป็นธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นที่ต้องตอบแทนบุญคุณ แต่นอกจากการให้ของเล่นหรือขนมแล้ว ความสุขอีกอย่างคือเห็นเขาได้รับการศึกษา เพราะแค่ให้สิ่งของอย่างเดียว ผมว่ามันไม่ใช่ เพราะอย่างบางคนเขาก็จะบอก “ของฉันล่ะๆ” มันก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ดี ผมจึงมีความคิดว่า ไม่ใช่แค่ให้ปลาแก่เขา แต่ต้องสอนวิธีตกปลาให้เขาด้วย นั่นจึงเป็นการให้ที่สมบูรณ์แบบ
• มีวันที่คิดว่าจะวางมือจากเรื่องพวกนี้หรือเปล่า
ตัวผมก็คงทำได้อีกไม่นาน เพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น เวลาเดินเหินไปไหนมาไหนมากๆ ก็ไม่ไหว ก็อยากให้มีคนมาสานต่อ เป็นรุ่นต่อไป คือถ้าสมมติมีคนมาทำต่อแล้วสามารถทำต่อได้ด้วยตัวเองต่อไป วันนั้นผมก็คงจะหยุด แต่ทุกวันนี้ก็พยายามหาคนมาช่วยทำต่อ อะไรอย่างนี้ แต่ยังไม่มี ก็อยากให้คนเขาเข้าใจเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้กันเยอะๆ
• ไม่ใช่คนไทยแต่กลับยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพร้อมทั้งเล็งเห็นปัญหาที่ฝังรากลึกมานานเพียงไม่กี่ปี ถึงจุดนี้อยากจะบอกอะไรถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของไทยบ้างไหม
อาโน (หัวเราะ) อืมมม...ผมว่าเขาควรจะลงจากรถบีเอ็มดับบลิว ลงจากรถเบนซ์ แล้วก็เดินเข้าไปดูปัญหาเหล่านี้บ้าง เพราะผมเชื่อในตัวคนไทย แล้วก็คิดว่ามันต้องมีใครสักคนที่ทำเรื่องนี้ให้มันเป็นจริงได้
• จากการที่ได้ช่วยเหลือเด็กๆ มาตลอด รู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ความเป็นฮีโร่บ้างเหมือนไอดอล “ไอ้มดแดง” บ้างหรือเปล่า
ไม่ครับ (ยิ้ม) คือคนอื่นอาจจะยกให้ผมเป็นฮีโร่ แต่ตัวผมเองไม่คิดว่าผมเป็นฮีโร่ ผมคิดแค่ว่าผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีในตัวเองเท่านั้น
• สุดท้ายในฐานะที่ช่วยเหลือเด็กไทยมาตลอด หรืออยากจะฝากหรือพูดถึงเด็กๆ ที่จะเติบโตขึ้นในวันข้างหน้าเหล่านั้นบ้างไหม
ก็ขอให้รักตัวเอง (น้ำเสียงสั่นๆ) เราต้องเริ่มจากรักตัวเองก่อน อย่าไปใช้ยาเสพติด นั่นคือไม่ได้รักตัวเอง แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร แล้วก็เชื่อในตัวเอง เชื่อว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งหมดนี้ ผมก็เลยต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า ขนาดตัวผมที่ไม่ได้เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ยังสามารถเปลี่ยนแปลงชุมชนเล็กๆ ในเมืองได้ เพราะมีแต่คนบอกว่าทำไม่ได้ๆ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีแรงจูงใจของตัวเอง มีสิ่งที่ตัวเองเชื่อ และเชื่อว่าทุกคนทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล, วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา
**ขอบคุณ Cosplay Aid Thailand ในการประสานงานและเป็นล่ามแปลภาษาญี่ปุ่น**
แต่มีหัวใจเผื่อแผ่แก่เด็กไทย
โดยเฉพาะเด็กด้อยโอกาสในชุมชนแออัดกลางเมืองหลวง
“อากิฮิโระ โทมิคาว่า” ชายผู้มีหัวใจน่ากราบ
จากเด็กชายผู้ลุ่มหลงในปณิธานแบบการ์ตูนไอ้มดแดง
สู่เส้นทางจิตอาสาเพื่ออนาคตของเด็กน้อยในโลกยากไร้
.................................................................................................
"คาเมนไรดา คาเมนไรดา ไรดา ไร่ดา..."
คือคำร้องในเพลงฮิตติดหูสำหรับเด็กๆ ยุคหนึ่งซึ่งเป็นเพลง
มีความฝันใฝ่อยากจะผดุงความยุติธรรมปราบปรามเหล่าร้ายให้สิ้นซาก แม้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นมา จะพลันพบกับความจริงของโลก ที่ว่า “ฮีโร่” ดูจะเป็นคำละเมอเพ้อพกในวัยฝันวันเยาว์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องผดุงความยุติธรรมที่เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ ท่ามกลางความเป็นจริงที่โหดร้ายของโลกเสียด้วยซ้ำ
แต่นั่นไม่ใช่กับ "อากิฮิโระ โทมิคาว่า" นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของร้านของเล่นวัย 46 ปีผู้นี้...
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหนังหรือซีรีส์จากแดนซามูไร ย่อมจดจำความบันเทิงเรื่องเยี่ยมเปี่ยมสาระอย่าง “ซามูไรพ่อลูกอ่อน” ที่โด่งดังในอดีตได้ และที่เราต้องเอ่ยถึงหนังซีรีส์เรื่องนี้ ก็เพราะว่าครั้งหนึ่งก่อนโน้น “อากิฮิโระ โทมิคาว่า” ก็คือดาราเด็กน้อยที่สวมบทบาทได้น่ารักน่าชัง ด้วยทรงผมที่เป็นเอกลักษณ์คนนั้น ในชื่อ "ไดโกโร" ที่พ่อ "โองะมิ อิตโตะ" ซามูไรพเนจรวางใส่ตะกร้ารถเข็นตระเวนไปพร้อมด้วยเพลงดาบแม่น้ำร้อยสายปราบเหล่าวายร้าย
จาก “ลูกน้อย” ของซามูไร อากิฮิโระ เติบโตขึ้นโดยมีไอ้มดแดงเป็นไอดอล เขาไม่ได้ตะลอนไปในรถเข็นเหมือนเช่นเป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นที่รู้ทั่วกันดีว่าเขาคือเจ้าของมอเตอร์ไซค์ที่ชื่อว่า “ไซโคลน” ที่สามารถทำความเร็วได้ 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แถมยังสวมชุดฮีโร่ "คาเมนไรเดอร์ 1" จากการ์ตูนไอ้มดแดงยอดนิยม ออกแจกจ่ายขนม ของเล่น แก่เด็กๆ ในชุมชนสลัมทั่วกรุงเทพฯ
คงคล้ายๆ กับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเหล่าไอ้มดแดง ที่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร แต่การได้ลงมือทำหรือลุกขึ้นสู้ ก็เป็นภารกิจที่มิอาจละทิ้ง สิ่งที่อากิฮิโระกระทำอยู่ เขาเองก็ยอมรับว่ามันเป็นเพียงก้าวแรกๆ ซึ่งย่อมต้องมีคนมาสานต่อทอถัก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายก็คงเหมือนเหล่าคาเมนไรเดอร์ที่...
“ถึงแม้วันนี้จะได้รับชัยชนะ แต่อุปสรรคและหนทางแห่งความสงบยังเหลืออีกยาวไกล...สู้ต่อไป ทาเคชิ!”
“เซมารือ ช็อกก่า” สู้ต่อไป...อากิฮิโระ!
• อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณเลือกมาเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเด็กๆ ผู้ยากไร้ในประเทศไทย และเพราะอะไรทำไมถึงเลือกประเทศไทย แทนที่จะเป็นประเทศอื่นๆ
อืมมม...มันก็หลายเหตุผล หลักๆ ก็เพราะรู้สึกประทับใจในน้ำใจของคนไทยที่เคยช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นก่อนใคร ทั้งๆ ที่ในอดีตประวัติศาสตร์ ประเทศญี่ปุ่นเองก็ทำให้บางคนยังรู้สึกว่าเราทำไม่ดี อย่างที่ประเทศจีนและเกาหลียังรู้สึกอยู่ทุกวันนี้ แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่คิดอย่างนั้นแล้ว อย่างไปต่างจังหวัด หลงทางก็มีแต่คนช่วยเหลือ (ยิ้ม)
คือถ้าถามจริงๆ ว่าทำไมถึงเลือกที่จะช่วยเหลือคนไทยหรือรักเมืองไทย ก็ตอบไม่ได้ มันเหมือนเวลามีแฟน มันมีหลากหลายเหตุผลที่ทำให้คนรักกัน แต่จริงๆ รักจริงมันก็ไม่มีเหตุผล แค่รัก แค่อยากจะเห็นประเทศนี้ดีขึ้น
• ก่อนจะพูดคำว่ารัก เอาเป็นว่าในสายตาของคุณมองเมืองไทยอย่างไรบ้าง
ผมว่าจำนวนสัดส่วนประชากรที่มีรายได้สูงกับจำนวนประชากรที่มีรายได้ต่ำยังเหลื่อมล้ำกันอยู่มาก ตัวอย่างง่ายๆ คือเราเห็นรถใหม่ๆ เต็มถนนไปหมด ทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ ขณะเดียวกันก็ยังมีคนจร คนจน คนเดินถนนเท้าเปล่าอยู่เยอะในสังคม แล้วก็ยังมีการใช้แรงงานเด็กอยู่ (สีหน้าจริงจัง) มีการนำคนแก่มาทิ้งกลางเกาะกลางถนน มันเป็นภาพที่ผมจำได้ชัดเจนเลยวันนั้น รถบีเอ็มดับบลิว รถเบนซ์ หลายคันผ่านไปผ่านมา แต่ก็ไม่มีใครมาช่วย เราเห็นเราก็สงสาร ก็ลืมไม่ลง ผมก็สัญญากับยายคนนั้นว่า
“จะพยายามเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้มันดีขึ้นกว่านี้”
จะได้ไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้นเกิดขึ้นอีก
• นี่ก็รวมเป็นอีกหนึ่งเหตุผลหรือเปล่าที่มุ่งเน้นช่วยเหลือคนทุกข์ยากไร้ในสลัม
ครับ (ยิ้ม) เพราะโดยส่วนตัวผมแล้ว ตอนเด็กๆ ผมก็มีอดีตที่ไม่ต่างจากเด็กๆ เหล่านี้ที่เราเห็น คือตอนผมอายุแปดขวบ ผมอยู่กับพ่อเลี้ยงแล้วก็คุณแม่ คุณแม่ก็สนใจแต่พ่อเลี้ยง ไม่ค่อยได้สนใจผมสักเท่าไหร่ จำได้ว่าตอนนั้นก็น้อยใจถึงขั้นเคยคิดฆ่าตัวตาย แต่พอนึกถึงไอ้มดแดง นึกถึงอุลตร้าแมน หรือนึกถึงผู้ใหญ่ที่เคยช่วยเหลือ ให้ของกิน ให้เงิน ตอนที่ผมเดินอยู่ข้างถนนที่เมืองโอซากามันก็ทำให้เกิดความหวังขึ้นมาในชีวิตผม
ผมก็เลยแต่งตัวเป็นไอ้มดแดง แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปช่วยเด็กๆ เขาจะได้เห็นและรู้สึกว่า อย่างน้อยก็ยังมีฮีโร่อยู่ในชีวิตจริง ซึ่งผมก็แค่อยากให้เด็กๆ พวกนั้นรู้สึกหรือระลึกได้สักเสี้ยววินาทีว่ายังมีคนที่คอยห่วงเขาอยู่ ยังมีคนคอยช่วยเหลือ คนคอยหวังดีกับเขาอยู่ ยังมีคนที่เราสามารถจะคิดถึงและทำให้ลุกขึ้นสู้ต่อได้ในเวลาบางครั้งที่ชีวิตย่ำแย่เช่นเดียวกับผม
• รู้สึกอายบ้างไหม อายุอานามก็หลัก 40 แล้ว
ไม่ๆๆ เพราะก่อนที่จะแต่ง ผมเตรียมตัวมาดีครับ (หัวเราะ) ผมศึกษาว่า 'ไรเดอร์' ต้องทำอย่างไร เป็นอย่างไร คือเป็นฮีโร่แล้วก็ต้องทำให้เหมือนฮีโร่จริงๆ ในความรู้สึกทั้งในจอและนอกจอ
• คิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้มันช่วยแก้ปัญหาที่เรามองเห็นได้ตรงจุดหรือเปล่า
ผมก็ไม่แน่ใจ...คือก็ไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสิ่งของที่มอบให้เด็กๆ มันก็เป็นเพียงวัตถุภายนอก แล้วผมเห็นพวกเขาแค่ตอนที่ไปช่วยเหลือ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้น ชีวิตเขาจะเป็นกันอย่างไร แต่ที่เลือกแจกสิ่งของ เพราะเหมือนกับว่าช่วงแรกๆ ถ้าเราเข้าไป แล้วไปสอนเขาเลย คนข้างในเขาคงไม่รับฟัง (หัวเราะ) เราเป็นคนญี่ปุ่นเป็นคนต่างชาติด้วย ก็ต้องทำความคุ้นเคย สร้างความเชื่อใจให้เขารู้จักเราก่อน
• แสดงว่าตอนนี้กำลังเริ่มที่จะแก้ให้ตรงจุดแล้ว
คิดไว้แล้ว (พยักหน้า) เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่การแก้ปัญหาตรงจุด การแก้ปัญหาที่ตรงจุดคือการให้การศึกษากับคนข้างในชุมชน คือเด็กๆ จะได้เรียนรู้ ถามว่าทำไมต้องเน้นที่เด็กเป็นอันดับแรก ก็เพราะเมื่อสองปีก่อน เด็กๆ บางคนยังขอขนมขอของเล่นอยู่เลย แต่พอกลับมาเมื่อประมาณต้นปี-กลางปี พวกเขามีลูกมีเต้า มีการใช้ยาเสพติด หรือบางคนพ่อแม่ก็ให้ไปเป็นขอทาน ไม่ได้เรียนหนังสือ เราก็เลยอยากจะพาครูเข้าไปสอนเด็กๆ ข้างใน แล้วก็อาจจะมีนิมนต์พระไปคุยกับเด็ก ให้เขาเข้าใจหลักการใช้ชีวิตที่ดี ตอนนี้ก็คิดหาวิธีที่จะสร้างโรงเรียนในชุมชนทุกแห่งถ้าเป็นไปได้ จะได้ให้การศึกษากับเด็กๆ เหล่านี้
• อันนี้คือก้าวต่อไปที่วางไว้ หลังจากสร้างความเชื่อใจ 5-6 ปี
ครับ (ยิ้ม) แต่จริงๆ ก็เริ่มทำไปบ้างแล้ว คืออย่างคราวที่แล้ว หลังจากแจกสิ่งของให้เด็กๆ ผมก็จะเล่าเรื่องของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับการวางเฉย ไม่ตอบโต้ว่ากล่าวคำติฉินนินทาให้พวกเขาฟัง เป็นการสอดแทรกการสอนไปในตัว
• รู้สึกเหนื่อยบ้างไหม เพราะยิ่งได้ฟังโครงการช่วยเหลือที่จะเพิ่มมากขึ้นทั้งเงินทุนและแรงกายอย่างที่ว่า
ถึงเหนื่อยอย่างไร แต่มันต้องมีคนทำ (ตอบเร็ว) มันต้องมีใครสักคนหนึ่งที่ทำแล้วก็พิสูจน์ให้ได้ว่ามันทำได้จริงๆ มันเป็นไปได้จริงๆ
คือหลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจ คิดว่าต้องมีฐานะร่ำรวยก่อนแล้วจึงค่อยไปช่วยเหลือคนอื่นได้ แต่จริงๆ ยิ่งเราจน เรายิ่งต้องรู้จักแบ่งปั่นคนอื่น เหมือนกับสมัยพุทธกาลที่พุทธเจ้าท่านเลือกเดินไปรับบริจาคจากหมู่บ้านคนจน เพราะเหมือนกับว่า คนยิ่งจน ยิ่งควรรู้จักคุณค่าของการแบ่งปันซึ่งกันและกัน
อีกอย่าง ผมไม่อยากรู้สึกสงสารตัวเอง อยากคิดถึงคนอื่นมากกว่า เพราะถ้าสมมติว่าเรามัวเสียเวลา รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร สู้เอาความคิดตรงนั้นไปช่วยคนอื่นดีกว่า
• ที่ญี่ปุ่น มีคนรู้ไหมว่าคุณมาเป็นจิตอาสาช่วยเหลือเมืองไทย
ก็มีคนญี่ปุ่นที่รู้บ้าง (นิ่งคิด) แต่จริงๆ ก็ไม่อยากเป็นคนดังหรือเป็นที่รู้จัก เพราะว่าครั้งแรกที่เริ่มทำ ก็ไม่ได้เปิดเผยตัวจริง ไม่ได้เปิดหน้า บอกชื่อบอกตัวตน
• แล้วเขารู้ได้อย่างไร หรือว่าข่าวที่ลงดังไกลข้ามฟากไปถึงที่โน่นเลย
(หัวเราะ) คือหลังๆ ผมเปิดรับบริจาคช่วยเหลือ ก็ต้องโชว์ตัวตน บอกสิ่งที่เราทำ เพื่อความน่าเชื่อถือ เพราะส่วนตัวไม่ได้รวยมาก เป็นแค่เจ้าของกิจการร้านของเล่นกลางๆ ถ้ามีเงินตัวเอง ก็คงไม่ต้องรับบริจาค ก็คงไม่เปิดเผยตัว (ยิ้ม)
• ตอนไประดมทุน เปิดรับบริจาค ที่โน่นเราร้องเพลงหรือแต่งชุดไอ้มดแดงหรือเปล่า
ไม่ๆ (ยิ้ม) ก็ได้จากเพื่อนๆ คนใกล้ชิด แต่ผมโชคดีตรงที่มีคนรู้จักพอสมควร เพราะเคยเป็นนักแสดงเก่ามาก่อน เคยดูไหม เรื่องซามูไรพ่อลูกอ่อน (หัวเราะ) ผมเล่นเป็นเด็กเลยตอนนั้นประมาณปี 1970-1971 เห็นจะได้
• สิ่งที่เราได้จากการให้ที่ทำอยู่ทั้งหมดมีอะไรบ้าง
ก็ได้อะไรหลายๆ อย่าง มีเพื่อนใหม่ๆ ได้รู้ชีวิต ได้เรียนเรื่องเกี่ยวกับชีวิตมากขึ้น ได้ความรู้สึกดีๆ เวลาเห็นรอยยิ้มเด็กๆ ที่รับของจากมือ อย่างที่วัยนั้นผมไม่ได้ หรือภาพจากในอดีตที่ถูกพ่อเลี้ยงตีจนทำให้นอนผวาที่ยังติดในหัวผมก็หายไป นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าผมได้กลับมา ไม่ใช่ความดัง เดินไปที่ไหนคนก็รู้จัก
• อย่างนี้สามารถเรียกได้ไหมว่า “ความสุข” ของเราคือการให้
ใช่ครับ อืมมม...มันเป็นธรรมเนียมของคนญี่ปุ่นที่ต้องตอบแทนบุญคุณ แต่นอกจากการให้ของเล่นหรือขนมแล้ว ความสุขอีกอย่างคือเห็นเขาได้รับการศึกษา เพราะแค่ให้สิ่งของอย่างเดียว ผมว่ามันไม่ใช่ เพราะอย่างบางคนเขาก็จะบอก “ของฉันล่ะๆ” มันก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ดี ผมจึงมีความคิดว่า ไม่ใช่แค่ให้ปลาแก่เขา แต่ต้องสอนวิธีตกปลาให้เขาด้วย นั่นจึงเป็นการให้ที่สมบูรณ์แบบ
• มีวันที่คิดว่าจะวางมือจากเรื่องพวกนี้หรือเปล่า
ตัวผมก็คงทำได้อีกไม่นาน เพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น เวลาเดินเหินไปไหนมาไหนมากๆ ก็ไม่ไหว ก็อยากให้มีคนมาสานต่อ เป็นรุ่นต่อไป คือถ้าสมมติมีคนมาทำต่อแล้วสามารถทำต่อได้ด้วยตัวเองต่อไป วันนั้นผมก็คงจะหยุด แต่ทุกวันนี้ก็พยายามหาคนมาช่วยทำต่อ อะไรอย่างนี้ แต่ยังไม่มี ก็อยากให้คนเขาเข้าใจเห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้กันเยอะๆ
• ไม่ใช่คนไทยแต่กลับยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพร้อมทั้งเล็งเห็นปัญหาที่ฝังรากลึกมานานเพียงไม่กี่ปี ถึงจุดนี้อยากจะบอกอะไรถึงผู้หลักผู้ใหญ่ของไทยบ้างไหม
อาโน (หัวเราะ) อืมมม...ผมว่าเขาควรจะลงจากรถบีเอ็มดับบลิว ลงจากรถเบนซ์ แล้วก็เดินเข้าไปดูปัญหาเหล่านี้บ้าง เพราะผมเชื่อในตัวคนไทย แล้วก็คิดว่ามันต้องมีใครสักคนที่ทำเรื่องนี้ให้มันเป็นจริงได้
• จากการที่ได้ช่วยเหลือเด็กๆ มาตลอด รู้สึกว่าตัวเองเข้าใกล้ความเป็นฮีโร่บ้างเหมือนไอดอล “ไอ้มดแดง” บ้างหรือเปล่า
ไม่ครับ (ยิ้ม) คือคนอื่นอาจจะยกให้ผมเป็นฮีโร่ แต่ตัวผมเองไม่คิดว่าผมเป็นฮีโร่ ผมคิดแค่ว่าผมก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งซึ่งมีทั้งเรื่องดีและไม่ดีในตัวเองเท่านั้น
• สุดท้ายในฐานะที่ช่วยเหลือเด็กไทยมาตลอด หรืออยากจะฝากหรือพูดถึงเด็กๆ ที่จะเติบโตขึ้นในวันข้างหน้าเหล่านั้นบ้างไหม
ก็ขอให้รักตัวเอง (น้ำเสียงสั่นๆ) เราต้องเริ่มจากรักตัวเองก่อน อย่าไปใช้ยาเสพติด นั่นคือไม่ได้รักตัวเอง แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร แล้วก็เชื่อในตัวเอง เชื่อว่าจะต้องเปลี่ยนแปลงได้
ทั้งหมดนี้ ผมก็เลยต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า ขนาดตัวผมที่ไม่ได้เป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ยังสามารถเปลี่ยนแปลงชุมชนเล็กๆ ในเมืองได้ เพราะมีแต่คนบอกว่าทำไม่ได้ๆ แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่าทุกคนล้วนมีแรงจูงใจของตัวเอง มีสิ่งที่ตัวเองเชื่อ และเชื่อว่าทุกคนทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ที่ว่าจะทำหรือไม่ทำเท่านั้นเอง
เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล, วรัญญา งามขำ
ภาพ : วชิร สายจำปา
**ขอบคุณ Cosplay Aid Thailand ในการประสานงานและเป็นล่ามแปลภาษาญี่ปุ่น**