ASTVผู้จัดการ - เผยเจ้าของผลิตภัณฑ์ “OHO” ยาลดความอ้วนชื่อดังในโลกออนไลน์ ที่ถูกเจ้าหน้าที่ทลายโกดังสั่งปิด ปูนิ่ม - ศิรินทรา เส็งสิน สาววัย 27 จากชีวิตรันทดแม่ค้าเร่ตามตลาดนัด-งานวัด จับผลัดจับผลูจับธุรกิจยาลดความอ้วนขายเปิดร้านออนไลน์ รับออร์กระฉูดเดือนละ 30 ล้าน วันนี้รวยอู้ฟู่ แค่รถสปอร์ตก็กว่า 40 ล้าน
จากกรณีเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการ พล.ร.4 จำนวน 50 นาย พร้อม สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก สรรพากรจังหวัดพิษณุโลก เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตำรวจภูธรเมือง บุกยึดโกดังผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “โอ้โห บายปูนิ่ม มายแสลมมี่ รสมิกซ์ ฟรุ้ต” เลขที่ 918/54 หมู่ 7 ต.อรัญญิก อ.เมือง จ.พิษณุโลก ก่อนขนย้ายและยึดสินค้าใส่รถบรรทุกทหาร 2 คัน
ก่อนหน้านี้ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันว่า ให้ยึดสินค้าผลิตภัณฑ์อาหาร “โอ้โห บายปูนิ่ม” และยุติเฟซบุ๊กปูนิ่ม พร้อมแจ้งหน่วยงานสาธารณสุขเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคยุติการบริโภคอาหารเป็นการด่วน นอกจากนี้ ยังสั่งให้ทหารตรวจสอบเฟซบุ๊กตัวแทนจำหน่าย และ ลูกจ้างพนักงานบริษัท 3-4 พันคนทั่วประเทศ เพื่อให้สรรพากรตรวจสอบเส้นทางการเงินด้วย
ทั้งนี้สาธารณสุข พบว่า ผลิตภัณฑ์อาหาร “โอ้โห” มีสารต้องห้าม คือ “ไซบูทรามีน” ซึ่งไม่ได้ใช้กันแล้วทั่วโลกตั้งแต่ปี 53 แต่กลับนำเข้าจากต่างประเทศมาโผล่ในผลิตภัณฑ์ยาลดความอ้วน เสริมความงาม “โอโห้ สลิมพลัส” มีอันตรายต่อสุขภาพ กล่าวคือ ทำให้ความดันโลหิตสูง ใจสั่น คอแห้ง และเตรียมให้เจ้าหน้าที่ชุดสอบสวน สภ.เมือง ตั้งข้อหาและเรียกให้ผู้เกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหา ในเวลาประมาณ 13.00 น. วันเดียวกันนี้
ขณะที่เว็บไซต์ คลับโอ้โหดอทคอม www.cluboho.com ได้ประกาศยุติการขายสินค้า และ จะคืนเงินเต็มจำนวนให้กับลูกค้าที่โอนเงินเข้ามาแล้ว และ ยืนยันว่า บริษัทไม่ได้หลอกลวง หรือ ฉ้อโกงใดๆ
สำหรับ โอ้โห (OHO) เป็นตราสินค้าผลิตภัณฑ์ยาลดความอ้วน ที่มี ปูนิ่ม - ศิรินทรา เส็งสิน สาววัย 27 ปี ชาวจังหวัดพิษณุโลก ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท ภายใต้ชื่อ โอ้โห สลิมพลัส จำกัด ว่ากันว่า มียอดขายสินค้าเดือนละประมาณ 30 ล้านบาท
ปูนิ่ม เคยให้สัมภาษณ์ ASTVผู้จัดการ ว่า “ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจนี้ ปูนิ่มทำมาแล้วหลายอาชีพ เคยหิ้วตะกร้าไปขายพวกเครื่องสำอางตามบ้านมา เคยทำงานโรงงาน ขายของตามตลาดนัด ขายของตามงานวัด ก็ขายมาหมดทุกอย่าง”
ภายหลังปู่นิ่มกับสามีนายวรกร เส็งสิน กลับมาอยู่บ้านเกิดที่ จ.พิษณุโลก ความที่อยากหารายได้ช่วยสามีที่ทำงานเป็นเซลล์ขายปุ๋ย เธอจึงเอาเสื้อผ้ามือสองของเธอไปขายในอินเทอร์เน็ต ก่อนที่จะเห็นลู่ทางในการขายยาลดความอ้วน
“เริ่มการขายโดยการขายเสื้อผ้าพรีออเดอร์ แต่ไม่มีคนซื้อ เพราะต้องรอเสื้อผ้าประมาณ 7-14 วัน ไม่มีคนซื้อ ก็ขายไม่ได้ เราเลยคิดว่าทำอย่างไรถึงจะได้เงิน เลยเอาเสื้อผ้าของนิ่มที่ใส่แล้วปัจจุบันมาถ่ายรูป และขายมือสอง ตัวละ 100-150 ปรากฏว่าขายได้ จำได้ว่าลูกค้าคนแรกโอนเงินมา 200 ยิ้มดีใจแบบบ้านจะแตก จากนั้นก็คือเริ่มเอาเสื้อผ้าตัวเองขายอีก เสื้อผ้าตัวเองหมดก็เริ่มไปซื้อเสื้อผ้าของเพื่อนๆ เสื้อผ้าตามตลาดนัด ถ่ายรูปขาย ขายอยู่ประมาณเกือบ 2 เดือน ลูกค้าบอกว่า เสื้อผ้าพี่สวยนะคะ แต่ใส่ไม่ได้เพราะตัวเองอ้วน เราก็เลยบอกว่า พี่เคยอ้วนนะ เราก็เลยอัปรูปไปว่าเราเคยอ้วน
“ ลูกค้าถามว่า พี่ทำอย่างไรถึงผอมคะ เราบอกว่าพี่กินยาตัวหนึ่ง ยาตัวนี้พอกินแล้วมันลดน้ำหนักได้ เขาบอกขายอย่างไร เราก็เลยคิดในใจว่า เอ๊ะขายได้ เราก็เลยโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวที่เราขายของว่า จะเปิดรับออเดอร์ตัวยาลดน้ำหนักที่เรากิน พอเริ่มขายดีก็คุยกับ โรงงาน มีทีมวิจัยเป็นของเราเอง จ้างวิจัยเลย เราก็เลยทำผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นมา โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่าโอ้โห “ ปูนิ่มเล่าเส้นทางในการทำธุรกิจ
แต่กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างนี้ เธอเล่าว่าผ่านชีวิตที่ยากลำบากมาแล้ว เนื่องจากเพื่อนฝูงและคนรอบข้างไม่เข้าใจวิธีการทำธุรกิจของเธอ
“ปูนิ่มจะใช้วิธีขายบนเฟซบุ๊ก ก็จะแท็กเพื่อนๆไป แต่เพื่อนฝูงขายไม่เคยได้ คนก็ด่าว่าแท็กทำไม ที่รู้สึกแย่ที่สุดคือเพื่อนที่เราสนิทด้วย เขาส่งข้อความมาหาบอกว่า “มึงจะแท็กมาทำไมนักหนา เต็มหน้ากระดานเฟซไปหมดแล้ว กูขอลบเพื่อนนะ รำคาญแท็กมึง “ เขาขอลบเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กเรา จนวันนี้เขากลับมาขอเราแอดอีก แต่ปู่นิ่มบอกไปว่า “ขอโทษนะ เพื่อนเราเต็มไม่รับแอดแล้ว”
• เน้นขายออนไลน์ไม่มีหน้าร้าน
ปูนิ่มเล่าว่าวิธีการทำธุรกิจของเธอ เน้นขายออนไลน์อย่างเดียว โดยขายบนเฟซบุ๊ก ไม่มีจำหน่ายหน้าร้าน
“ปูนิ่มใช้แต่เฟซบุ๊กอย่างเดียวค่ะ ตลอดเวลาที่ทำแบรนด์โอ้โหขึ้นมา ไม่มีการจ้างพรีเซ็นเตอร์ดารา สาเหตุที่เราไม่จ้าง คือ ตอนนั้นเราไม่มีเงินด้วย เราก็เลยใช้ตัวเรา และลูกค้าของเราเป็นพรีเซ็นเตอร์ทั้งหมดเลย และอธิบาย คือเราเน้นในการอธิบายการใช้สินค้าให้เกิดผลมากที่สุด เหมือนการดูแลลูกค้า พอปีหนึ่งผ่านไปเราเห็นว่า ประมาณเดือนที่ 8 ที่ 9 นี่ก็มียอดขายแตะหลักล้านแล้ว
“ยอดของเรามันแปลกตรงที่ว่าจะโตเกือบเท่าตัวแทบทุกเดือน อาจจะเป็นเพราะว่าเราเข้าใจในธุรกิจของเราด้วยว่าทำมาเพื่ออะไร และกลุ่มลูกค้าของเราคือใคร เราพยายามอธิบาย และสื่อให้ลูกค้าเห็น อีกอย่างหนึ่งคือเรามีช่องทางโฆษณาเยอะ มีคนตามฟอลโลมากมาย จากเพจเล็กๆ ธรรมดาเริ่มจะเป็นแสน ตอนนี้มีคนฟอลโลตามเป็นล้านแล้ว บางเพจล้านกว่า ถ้าหลายเพจรวมกันก็ประมาณ 3 ล้านได้ค่ะ “
พอถามว่าเคล็ดลับการทำธุรกิจคืออะไร ปูนิ่มนิ่งคิดก่อนจะตอบว่า “น่าจะเกิดจากนิ่มให้คำปรึกษาลูกค้าตลอดค่ะ คือทุก 7 วัน ทุก 10 วัน ก็จะให้เขาคุยกับเราตลอดว่าเป็นอย่างไร พอคนหนึ่งผอม คนอื่นก็จะถามว่าไปทำอะไรมา เพื่อนบอกใช้ของปูนิ่มอยู่ เขาก็เลยตามเรามา จาก 1 เป็น 10 จาก 10 เป็น 100 ก็เพิ่มทวีคูณไปเรื่อยๆ คือเราเน้นการดูแลเป็นพิเศษ อีกอย่างเวลาเราโพสต์ข้อความอะไรก็ตาม เขาจะรู้สึกว่าเราโพสต์ความเป็นจริงมากกว่า คนเลยตามเราเยอะ คิดว่าลูกค้าไม่ชอบการสร้างภาพค่ะ อย่างบางแบรนด์ที่ใช้พวกดาราเป็นพรีเซ็นเตอร์ ลูกค้าก็รู้ว่าใครก็สามารถถือกล่องผลิตภัณฑ์ได้ แต่ของเราไม่มี เราก็พูดเลยว่า ของเราไม่มีนะ เราใช้จากคนจริงๆ คุณไปดูจากคนที่แบบว่าป้าๆ แล้วอยู่ๆ มาสวยดีกว่า เป็นเพราะคำแบบนี้ค่ะ
“เราไม่มีขายสินค้าตามร้านค่ะ มีคนอยากเอาสินค้าเราไปขายหน้าร้านเหมือนกัน แต่ปู่นิ่มไม่เอาด้วย เราเน้นขายออนไลน์และขายผ่านตัวแทนของเราอย่างเดียว ซึ่งอาจจะต่างจากตำราเรียนที่เขาสอนว่า ถ้าอยากขายให้ได้มาก เราต้องเพิ่มจำนวนคนขาย แต่จริงๆ ไม่ใช่ นิ่มได้เรียนรู้ว่ายิ่งเราเป็นหนึ่งเดียว เราก็จะยิ่งขายได้เยอะ กำไรจะอยู่กับเราเยอะ ลูกค้าจะติดเราเยอะ ดังนั้นถ้าปูนิ่มขายคนเดียว 100 ล้าน เท่ากับปูนิ่มผูกขาดลูกค้าไว้คนเดียวเลย ลูกค้าเขาก็ไม่ไปไหน อาจจะใช้เวลาช้านิดหนึ่ง แต่พอเวลามันโตมันก้าวกระโดดเลย” ปูนิ่มเผยเคล็ดลับ
หลังจากทำธุรกิจมา 3 ปี ทุกวันนี้ปูนิ่ม บอกว่า เธอ ประสบความสำเร็จกับการทำธุรกิจทำรายได้กว่า 500 ล้านบาท จนใครๆ ต้องอิจฉา จากวันที่ไม่มีอะไร มาวันนี้เธอมีรถสปอร์ตครอบครองหลายคัน แค่เฉพาะรถก็รวมมูลค่ารวมกว่า 40 ล้าน ยังไม่นับรวมกับกระเป๋าแบรนด์เนมอีกที่เธอซื้อ นับคร่าวๆ ก็รวม10 กว่าล้านบาทแล้ว