คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ในหลวง” พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ หลังผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบ!
ความคืบหน้าพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์เมื่อวันที่ 3 ต.ค.เนื่องจากทรงมีพระปรอท(ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ซึ่งผลการตรวจพระโลหิตพบว่ามีภาวะติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม หลังจากคณะแพทย์ถวายการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิต พบว่า พระปรอท(ไข้) ลดลง สภาวะทางโภชนาการดีขึ้นเป็นลำดับ
จากนั้นเย็นวันที่ 5 ต.ค.คณะแพทย์ฯ ได้ถวายตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมกับการฉีดสารกัมมันตภาพรังสี (PDG-PET CT) เข้าทางหลอดพระโลหิต เพื่อหาสาเหตุการติดเชื้อ พบว่าพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) อักเสบบวมมาก ซึ่งคณะแพทย์ฯ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ถวายพระโอสถระงับความรู้สึกทั่วพระวรกาย และส่องกล้องเข้าในช่องพระนาภี(ช่องท้อง) เพื่อตัดถุงพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) ออก โดยการผ่าตัดใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที ผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พระอาการหลังผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ
ต่อมา สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ว่า ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาของพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) ที่ตัดออกมาแล้ว พบว่ามีการอักเสบ และไม่พบความผิดปกติของเซลล์ในผนังของพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) แต่อย่างใด
จากนั้น วันที่ 9 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 5 ว่า พระอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ เคลื่อนไหวพระวรกายได้ดีขึ้น เสวยพระกระยาหารได้บ้าง คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถปฏิชีวนะ และสารอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต ผลการตรวจพระโลหิตติดตามปรากฏว่า ภาวะติดเชื้อน้อยลงอีก เป็นที่น่าพอใจของคณะแพทย์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ต.ค. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 6 ว่า อุณหภูมิพระวรกายลดลง จนเกือบเป็นปกติเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อวันที่ 10 ต.ค.อุณหภูมิพระวรกายสูงกว่าปกติในช่วงบ่าย คณะแพทย์ฯ จึงเปลี่ยนชนิดของพระโอสถปฎิชีวนะที่ถวายทางหลอดพระโลหิต อุณหภูมิพระวรกายจึงลดลงเป็นปกติ ทั้งนี้ ลักษณะแผลผ่าตัดเป็นที่พอใจของคณะแพทย์ฯ และไม่ทรงเจ็บแผลผ่าตัดเวลาเคลื่อนไหวพระวรกาย ขณะที่พระชีพจร และความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ คณะแพทย์ยังคงถวายสารอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต
2.“ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ” ตับอ่อนอักเสบ แพทย์ขอทรงงดพระกรณียกิจ 3 เดือน!
ความคืบหน้าพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี หลังเสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธเมื่อวันที่ 4 ก.ย.เนื่องจากพระอามาสัย(กระเพาะอาหาร) อักเสบ และเสด็จออกจากโรงพยาบาลหลังพระอาการดีขึ้นเมื่อวันที่ 13 ก.ย. อย่างไรก็ตาม ทรงมีพระอาการกำเริบระหว่างเสด็จเยือนสาธารณรัฐตุรกี จึงได้เสด็จฯ กลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 ก.ย. และเสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ อีกครั้ง จากนั้น คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจพระอามาสัยด้วยการส่องกล้อง พบติ่งเนื้องอกหลายติ่ง จึงได้ตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจวินิจฉัย ผลการตรวจพบว่าเป็นติ่งเนื้อจากการอักเสบของเซลล์ผิวพระอามาสัย และมีแบคทีเรียในผิวของเยื่อบุพระอามาสัย คณะแพทย์จึงได้ปรับพระโอสถเพื่อรักษาอาการอักเสบ ซึ่งพระอาการดีขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องประทับ ณ โรงพยาบาลต่อไปนั้น
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 5 ว่า คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 5 ต.ค.พบว่า มีต่อมพระบุพโพ(ต่อมน้ำเหลือง) ที่พระนาภี(ท้อง) โต คณะแพทย์จึงถวายการตรวจเพิ่มเติมโดยส่องกล้องด้วยความถี่สูง(Endoscopic Ultrasonography) เมื่อวันที่ 7 ต.ค. พบว่าตับอ่อนอักเสบมาก ซึ่งเกิดจากการแพ้ภูมิต้านทานตัวเอง(SLE) คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถรักษาต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด และกราบทูลขอพระราชทานให้ทรงงดพระกรณียกิจเป็นเวลา 3 เดือน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 6 ว่า คณะแพทย์รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ยังมีพระอาการประชวรอยู่ แต่พระอาการปลอดภัยแล้ว สามารถเสด็จออกจากโรงพยาบาลได้ จึงได้เสด็จไปประทับพักฟื้น ณ พระตำหนักพิมานมาศ ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ในวันเสาร์ที่ 11 ต.ค.
แถลงการณ์สำนักพระราขวัง เผยด้วยว่า ในระหว่างประชวรได้มีเอกอัครราชทูต ข้าราชการ พระภิกษุสงฆ์ และประชาชนทุกหมู่เหล่า แสดงความห่วงใยในพระอาการประชวร ซึ่งความทราบฝ่าพระบาทแล้ว ทรงชื่นชมในความปรารถนาดี และโปรดให้เชิญพระดำรัสขอบใจมาแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน
3.โปรดเกล้าฯ 250 สปช.แล้ว สะพัด “เทียนฉาย” ตัวเต็ง ปธ. ด้าน “บิ๊กตู่” เตรียมดึงคนวืด สปช. อีก 7 พันเข้าร่วมปฏิรูป!
ความคืบหน้าการคัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จำนวน 250 คน หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ว่า ได้ทูลเกล้าฯ รายชื่อ สปช.เรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยันว่า รายชื่อ สปช.ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้ง สปช.ลงในราชกิจจานุเบกษาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สปช.จำนวน 250 คนแล้ว ซึ่งรายชื่อส่วนใหญ่เป็นไปตามโผที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้
สำหรับรายชื่อ สปช. ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในสังคม ได้แก่ นายคำนูณ สิทธิสมาน ,นายคุรุจิต นาครทรรพ ,นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ,นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ,นายชัย ชิดชอบ ,นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ,นายดิเรก ถึงฝั่ง ,นายดำรง พิเดช ,นายดุสิต เครืองาม (น้องชายนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช.และรองนายกฯ ด้านกฎหมาย) ,น.ส.ทัศนา บุญทอง ,นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ,พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ,นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ,นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ (ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ คดีจำนำข้าว) ,นายประมนต์ สุธีวงศ์ ,นายประสาร มฤคพิทักษ์ ,นายปราโมทย์ ไม้กลัด ,นายพงศ์โพยม วาศภูติ ,พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป(อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ และนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ,นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ,นายไพบูลย์ นิติตะวัน ,นายมนูญ ศิริวรรณ ,นายมีชัย วีระไวทยะ ,พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา (อดีต รมช.กลาโหมยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกมองว่าเป็นเจ้าของเสียงในคลิปถั่งเช่าที่คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ,น.ส.รสนา โตสิตระกูล ,พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ,นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ,นายวันชัย สอนศิริ ,พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ ,นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ,นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ,น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ,นายเสรี สุวรรณภานนท์ ,นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ,นายอลงกรณ์ พลบุตร ,นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ฯลฯ
ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดให้ สปช.ทั้ง 250 คน เข้ารายงานตัวระหว่างวันที่ 8-15 ต.ค. ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ด้านกฎหมาย บอกว่า หลัง สปช.รายงานตัวเสร็จเรียบร้อย ต้องนัดประชุม สปช.นัดแรก เพื่อเลือกประธานและรองประธาน โดยมีรองประธาน สปช.ไม่เกิน 2 คน คาดว่าการประชุมนัดแรกจะมีขึ้นประมาณกลางเดือน ต.ค. เมื่อเลือกประธานและรองประธาน สปช.ได้แล้ว หัวหน้า คสช.จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า บุคคลที่คาดว่าจะได้รับเลือกให้เป็นประธาน สปช. คือ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ขณะที่รองประธานคนที่ 1 คาดว่าจะเป็นนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ส่วนรองประธานคนที่ 2 คาดว่าจะเป็น น.ส.ทัศนา บุญทอง
สำหรับคนที่พลาดหวัง ไม่ติดเข้าไปใน 250 สปช.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้บุคคลเหล่านี้ได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปด้วย จึงได้ประสานไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ส่งรายชื่อพร้อมประวัติอย่างละเอียดของผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกให้เป็น สปช.จำนวน 7,120 คน มาให้ และว่า ขณะนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กำลังไปดูว่า จะทำอย่างไรให้คนที่ไม่ได้รับการคัดสรรได้มีส่วนร่วม จะได้ไม่มีคำกล่าวว่า นำเฉพาะข้าราชการมา นำเฉพาะทหารมา “ผมไม่มีพวกใครทั้งสิ้น มองประเทศชาติเป็นหลัก แต่การคัดสรรก็เป็นขั้นตอนของเขามาอยู่แล้ว ใครไม่มา แต่พูดข้างนอก นี่ไม่เป็นธรรมกับผม สมัครซิครับ ท่านไม่สมัคร ก็อย่าพูด แต่ถ้าท่านอยากจะช่วยเรา ไปช่วยข้างนอก ผมจะตั้งอีกประมาณ 3-4 เวที ทั้งหมดรวมกันประมาณ 5 เวที เพื่อให้คนทั้ง 6-7 พันคนมีส่วนร่วมทั้ง 5 เวทีนี้”
ด้านนายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.เผยว่า ตนได้ลงนามในหนังสือเพื่อนำส่งรายชื่อและประวัติของผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกเป็น สปช.จำนวน 7,120 คน ถึงประธานคณะกรรมการปรองดองและการปฏิรูปของ คสช.แล้วเมื่อวันที่ 10 ต.ค.
4.ศาล ปค.ไกล่เกลี่ย “กสท.-ช่อง 3” ยอมออกอากาศคู่ขนานแล้ว จบปัญหาจอดำ!
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ศาลปกครองกลางได้นัดไต่สวนคดีที่ผู้บริหารบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด หรือช่อง 3 ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ,คณะกรรมการ กสทช.และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 โดยกล่าวหาว่าเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมขอให้เพิกถอนมติ กสท.เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ห้ามโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมนำช่อง 3 ระบบอนาล็อกมาออกอากาศในโครงข่าย โดยการนัดไต่สวนครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากศาลปกครองได้มีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้มติ กสท.ที่ให้ช่อง 3 อนาล็อกไม่สามารถออกอากาศในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมตั้งวันที่ 30 ก.ย.นี้ ออกไป เพื่อให้ช่อง 3 ไปเจรจาตกลงกับ กสท. โดยระหว่างนี้ให้ช่อง 3 อนาล็อกยังสามารถออกอากาศในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมได้จนถึงวันที่ 11 ต.ค. เวลา 16.30น.
ทั้งนี้ หลังศาลใช้เวลาไต่สวนประมาณ 5 ชั่วโมง น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสท.เผยว่า ศาลได้ให้ทั้ง 2 ฝ่ายชี้แจงผลการเจรจาเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านทีวีระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอลที่ศาลให้เวลาไปตกลงกันเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ซึ่งทั้งสองฝ่ายชี้แจงว่ายังไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะติดปัญหาบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องลิขสิทธิ์ ศาลจึงไกล่เกลี่ยในประเด็นดังกล่าว โดยคู่กรณีตกลงกันได้ว่า เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐและคณะกรรมการ กสท.ในการเปลี่ยนผ่านการออกอากาศโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่ปฏิบัติต่อผู้ประกอบการโทรทัศน์อนาล็อกทุกราย กสท.จึงเห็นด้วยที่จะอนุมัติให้บริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ร่วมกับบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ นำรายการของช่อง 3 อนาล็อกไปออกอากาศแบบคู่ขนาน(simulcast) ในช่อง 33 HD แบบช่อง 7 และช่อง 9 ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จะต้องปฏิบัติตามระเบียบภายในวันที่ 10 ต.ค.เวลา 12.00 น.
น.ส.สุภิญญา ยังได้ขอบคุณศาลด้วยที่ช่วยไกล่เกลี่ยอย่างเป็นธรรม ทำให้ได้ข้อยุติ ทั้งในประเด็นนิติบุคคลและข้อกฎหมาย โดยช่อง 3 ยอมรับในข้อตกลงและมีความใจกว้างในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และยอมที่จะออกอากาศคู่ขนานภายในวันที่ 11 ต.ค. ซึ่งประชาชนยังสามารถดูช่อง 3 ผ่านระบบดาวเทียมและเคเบิลได้ในช่อง 43 ส่วนทีวีดิจิตอลดูได้ที่ช่อง 33 HD และว่า ช่อง 3 ต้องยื่นผังรายการใหม่ในระบบดิจิตอลให้ทาง กสทช.ภายในวันที่ 10 ต.ค. เพื่อจะได้รับค่าส่วนลดจากการประมูลช่องดิจิตอลร้อยละ 4 จากราคาประมูล
ด้านนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ หรือช่อง 3 บอกว่า การที่ช่อง 3 ยอมออกอากาศครั้งนี้ มาจากการที่ กสท.อนุมัติให้ช่อง 3 อนาล็อก ได้ออกอากาศคู่ขนานบนทีวีดิจิตอลแบบเดียวกับช่อง 7 และช่อง 9 ส่งผลให้ช่อง 3 ไม่ติดขัดเรื่องปัญหานิติบุคคลระหว่างบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ กับบริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย “ที่เรายอมเพราะเราเห็นความสำคัญในการช่วยรัฐเปลี่ยนผ่านจากทีวีอนาล็อกไปยังทีวีดิจิตอล ผ่านการออกอากาศคู่ขนานของช่อง 3” ส่วนเรื่องความเสียหายจากการออกอากาศคู่ขนานนั้น บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นการยกโฆษณาที่มีอยู่ในปัจจุบันไปอยู่ช่อง 33 HD ทั้งหมด แต่ในส่วนของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด(มหาชน) ที่บริหารจัดการช่อง 3 บนทีวีดิจิตอล อาจได้รับผลกระทบจากแผนธุรกิจที่เปลี่ยนไป และจากการที่ช่องรายการลดลงจาก 3 ช่อง เหลือ 2 ช่อง โดยมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาท
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 ต.ค. บริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ได้ส่งตัวแทนมายื่นผังรายการเพื่อออกอากาศคู่ขนานของช่อง 3 ทั้งในระบบอนาล็อกและดิจิตอลผ่านทางช่อง 33 HD หลังจากนั้น กสท.ได้ประชุมวาระพิเศษเพื่อพิจารณาผังรายการดังกล่าว ก่อนมีมติอนุมัติผังรายการด้วยเสียงข้างมาก 3 เสียง ประกอบด้วย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ,พล.ท.พีระพงศ์ มานะกิจ และนายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.งดออกเสียง ส่วน พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ งามสง่า ติดภารกิจจึงไม่เข้าประชุม
หลังประชุม น.ส.สุภิญญา เผยว่า ผังรายการของช่อง 3 เข้าข่ายหลักเกณฑ์ที่ กสท.กำหนดทุกประการ เช่น มีรายการข่าวสารและสาระไม่น้อยกว่า 25% ของเวลาออกอากาศ และผังรายการของช่อง 33 HD ที่ยื่นมาก็เป็นผังเดียวกับช่อง 3 อนาล็อก 100% ตามที่ตกลงกันไว้กับ กสท.และศาลปกครองทุกประการ น.ส.สุภิญญา ยังฝากถึงโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมด้วยว่า หลังจากวันที่ 11 ต.ค.เวลา 16.00น. ต้องนำช่อง 3 อนาล็อกออกจากโครงข่าย ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดและถูกปรับวันละ 2 หมื่นบาท เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อกย้ายไปออกอากาศคู่ขนานเป็นช่องทีวีดิจิตอลในช่อง 43 บนทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีแทนแล้ว
ด้านนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ หรือช่อง 3 พูดถึงเรื่องคดีความที่ช่อง 3 ยื่นฟ้อง กสท.ไว้ก่อนหน้านี้ด้วยว่า จะกลับไปพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร หากไม่มีผลกระทบอะไรอีก ก็คงจะถอนฟ้อง
5.ผบ.ตร.ปัดไม่ได้จับแพะคดีเกาะเต่า ขณะที่ “ฌอน” แฉซ้ำ ใครๆ ก็รู้พม่าเป็นแพะ ด้าน “หมอพรทิพย์” ชี้ ดีเอ็นเอ “ผู้ใหญ่วอ” ยันลูกบริสุทธิ์ไม่ได้!
ความคืบหน้าคดีข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอร์ริตจ์ และนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเช้ามืดวันที่ 15 ก.ย.หลังตำรวจจับกุม 3 แรงงานต่างด้าวชาวพม่า ที่ตำรวจระบุว่า นั่งเล่นกีตาร์อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ พร้อมเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ก่อนระบุว่า ดีเอ็นเอของนายวิน หรือเวพิว อายุ 21 ปี และนายซอ หรือซอริน หรือโซเรน อายุ 21 ปี ตรงกับดีเอ็นเอที่บุหรี่ซึ่งพบใกล้ที่เกิดเหตุ และตรงกับอสุจิที่ช่องคลอดและทวารหนักของ น.ส.ฮันนาห์ ส่วนนายเมา ไม่รู้เห็นเหตุการณ์ จึงกันไว้เป็นพยาน ก่อนนำตัว 2 ผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตของสื่อต่างประเทศว่า ฝูงชนหลายร้อยคนที่มุงดูการทำแผนฯ ดูไม่ค่อยเชื่อมั่นวิธีการของตำรวจไทย ขณะที่ผู้ต้องหาเหมือนทำตามคำสั่งของตำรวจมากกว่า
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ตำรวจได้นำตัวนายวินและนายซอ 2 ผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลจังหวัดเกาะสมุยเป็นเวลา 12 วัน จากนั้นวันที่ 7 ต.ค. ตำรวจได้นำสำนวนคดีที่มีความหนาเกือบ 900 หน้า ส่งให้ อธิบดีอัยการภาค 8 เพื่อสั่งฟ้องต่อไป
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(7 ต.ค.) นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะ ได้เข้าเยี่ยมนายวินและนายซอ 2 ผู้ต้องหาที่เรือนจำอำเภอเกาะสมุย หลังเข้าเยี่ยม นายปริญญา บอกว่า จากการพูดคุยกับ 2 ผู้ต้องหามีสีหน้าปลงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และว่า ทั้ง 2 คนยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยวันเกิดเหตุดื่มเบียร์จนมึนเมา
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวสวนทางกับรายงานของสื่อต่างประเทศ โดยเฟซบุ๊กบีบีซีไทย รายงานโดยอ้างเว็บไซต์บีบีซีพม่าว่าเมื่อวันที่ 7 ต.ค. นายอ่าว เมียง ตั๊ก ที่ปรึกษาด้านกฎหมายแก่แรงงานพม่าในไทย พร้อมด้วยนายอู วิน หม่อง เอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมนายวินและนายซอ ที่เรือนจำเกาะสมุย ก่อนจะออกมาเผยว่า ลูกความยืนยันว่าถูกซ้อม และบอกไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ แต่มีข้อสังเกตว่าคนทั้งสองมีท่าทีหวาดกลัว
ขณะที่เดอะการ์เดียน อ้างรายงานจากหนังสือพิมพ์ 7Day ของพม่าเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตพม่า อ่อง เมียว ตันท์ ซึ่งทำหน้าที่ทนายความให้ 2 ผู้ต้องหา ได้แถลงถอนคำรับสารภาพของนายซอ และนายวิน อย่างเป็นทางการ รวมทั้งได้รายงานความกังวลต่างๆ ให้สถานทูตพม่าทราบแล้ว อ่อง เมียว ตันท์ ยังอ้างคำพูดของผู้ต้องหาทั้ง 2 คนด้วยว่า “พวกเขาบอกกับผมว่า ในคืนนั้นอยู่ที่ชายหาด ทั้งดื่มและร้องเพลง พวกเขาบอกว่าไม่ได้ทำ และตำรวจไทยทำร้ายพวกเขาจนกระทั่งต้องยอมรับสารภาพในสิ่งที่ไม่ได้ทำ พวกเขาร้องขอรัฐบาลพม่าเข้าตรวจสอบคดีนี้และค้นหาความจริง พวกเขาดูแล้วน่าเวทนามาก ร่างกายถลอกปอกเปิกไปหมด” อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ฝ่ายไทยยืนยันว่า ยังไม่มีการกลับคำรับสารภาพของผู้ต้องหาแต่อย่างใด
ด้าน อู ตุน ตุน แต๊ก บิดาของนายวิน ซอทูน 1 ในผู้ต้องหาคดีนี้ ก็ไม่เชื่อว่า ลูกของตนฆ่าคนตาย โดยพูดถึงอุปนิสัยของนายวินว่า “ลูกตนเป็นคนเอื้อเฟื้อและเป็นมิตร ถ้าใครเอ่ยปากขอเสื้อเขา เขาก็จะถอดให้ใส่ แล้วเดินกลับบ้านมาแบบไม่ใส่เสื้อ เขาไม่ใช่คนเถื่อน แม่เขากลัวเขาโดนหลอกตอนไปต่างประเทศ แต่ผมไม่ได้กังวลมากนักเพราะเขาโตแล้ว” ทั้งนี้ อู ตุน ตุน แต๊ก ยังหวังว่าลูกจะได้รับการปล่อยตัวถ้ามีการสืบสวนคดีอย่างเป็นธรรมและเป็นระบบ
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้นำทีมตำรวจหลายหน่วยที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ยืนยันว่า ตำรวจไม่ได้จับแพะ และไม่ได้มีการซ้อมให้ผู้ต้องหารับสารภาพ และว่า การจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ มีหลักฐานสำคัญ 5 ประเด็น คือ 1.พยานบุคคล คือนายเมา เมา และนายเล เล 2.การพิสูจน์ทราบดีเอ็นเอ ซึ่งตำรวจไม่ได้ดำเนินการเพียงหน่วยงานเดียว แต่มีการส่งตัวอย่างให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ช่วยตรวจพิสูจน์ 3.ภาพจากกล้องวงจรปิด 4.โทรศัพท์ของนายเดวิด และ 5.คำรับสารภาพของผู้ต้องหาต่อหน้าทนายความ ซึ่งตำรวจมั่นใจว่า ทั้ง 5 ประเด็น เพียงพอที่จะทำให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสงสัยที่ว่า เหตุใดตำรวจจึงไม่ตรวจดีเอ็นเอนายวรท ตู้วิเชียร อายุ 22 ปี ลูกชายนายวรพันธ์ ตู้วิเชียร หรือผู้ใหญ่วอ ผู้ใหญ่บ้าน ต.เกาะเต่า ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับคดีนี้ พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า หลังเกิดเหตุตำรวจได้ตรวจดีเอ็นเอของนายวรพันธ์แล้ว พบว่าไม่ตรงกับดีเอ็นเอที่พบในวัตถุพยาน จึงไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอนายวรทอีก เพราะพ่อลูกกันให้ผลดีเอ็นเอที่เหมือนกัน
ส่วนข้อสงสัยเรื่องถุงยางอนามัยใช้แล้วที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งพบดีเอ็นเอของ น.ส.ฮันนาห์อยู่ด้านนอก แต่ด้านในตรวจไม่พบดีเอ็นเอของใครนั้น ตำรวจยอมรับว่า ถุงยางอนามัยในคดีนี้เป็นวัตถุพยานที่ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่คาดว่าอาจเกิดจากการปนเปื้อนเนื่องจากการเหยียบย่ำที่เกิดเหตุก่อนเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะไปถึงก็เป็นได้
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้ให้ข้อมูลในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตำรวจพูด โดยยืนยันว่า การตรวจดีเอ็นเอนายวรพันธ์ ตู้วิเชียร หรือผู้ใหญ่วอ ไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของนายวรท บุตรชายได้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ยังชี้ด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้คดีเกาะเต่ามีข้อกังขาทางโซเชียลมีเดีย เนื่องจากไม่มีขั้นตอนการจำลองเหตุการณ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนทางนิติวิทยาศาสตร์ มีเพียงการทำแผนประกอบคำรับสารภาพเท่านั้น และว่า คดีลักษณะนี้ต้องใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์เป็นตัวนำ หรือเข้าไปดูส่วนที่ยังไม่มีความชัดเจน ก่อนสรุปสำนวนส่งฟ้อง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ยังบอกด้วยว่า หากมีโอกาสร่วมทำคดีนี้ จะไม่ให้มีข้อกังขาแน่นอน
ทั้งนี้ ได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์และจับพิรุธคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่าว่า 2 แรงงานต่างด้าวชาวพม่าอาจเป็นแพะ รวมทั้งข้อกังขาเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลบนเกาะเต่าที่นายฌอน แม็คแอนนา เพื่อนนายเดวิด ผู้เสียชีวิต เคยออกมาโพสต์บนเฟซบุ๊กแฉว่า ตนเห็น น.ส.ฮันนาห์ถูกชายไทยพยายามลวนลามในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ก่อนที่นายเดวิดจะเข้าไปช่วยออกมา นอกจากนี้นายฌอนยังโพสต์ภาพบุคคลผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ 2 คน ซึ่งบุคคลในภาพเป็นน้องชายของผู้กว้างขวางคนหนึ่งกับตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งเป็นเพื่อนกัน นอกจากนั้นในภาพยังมีกล่องบุหรี่ยี่ห้อแอลเอ็มวางอยู่ด้วย ซึ่งเป็นบุหรี่ยี่ห้อเดียวกับที่ตกอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่ น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิดถูกทำร้ายเสียชีวิต ไม่เท่านั้นนายฌอน ยังแฉด้วยว่า ตนถูกขู่ฆ่าโดยบุคคลบางกลุ่มที่น่าจะรู้เห็นการฆ่า น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ต.ค.เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ได้เผยแพร่ข้อความที่นายฌอนระบุว่า ตนไม่เคยพูดว่ารู้ว่าใครเป็นฆาตกร พูดเพียงว่าถ้าตนตายในคืนนั้น คนจากอินทัช รีสอร์ท เป็นคนทำ แม้คนที่มีสมองแค่ครึ่งก็คงรู้ว่าพม่าเป็นแพะ ตนเสียใจมากสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ และเสียใจที่สื่อโกหก เชื่อตนเถิดพวกเขาโกหกหลายอย่างและปั้นเรื่องราวขึ้นมา
เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสในโซเชียลมีเดีย นอกจากจะเชื่อว่า 2 แรงงานต่างด้าวชาวพม่าเป็นแพะในคดีนี้แล้ว ยังมีการจับพิรุธภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดที่นายวรท ตู้วิเชียร ลูกผู้ใหญ่วอ นำมาเป็นหลักฐานยืนยันว่า ตนไม่ได้อยู่ที่เกาะเต่าในวันเกิดเหตุด้วย เนื่องจากตัวเลขวันที่-เดือน-ปี-เวลาในภาพดังกล่าว ไม่เป็นสีเดียวกัน โดยมีทั้งสีดำและสีขาว ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ พร้อมท้านายวรทว่า กล้านำภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดมายืนยันหรือไม่ และกล้าตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษหรือไม่
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ขอร้องให้สื่อหยุดวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจในคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ เพราะจะเป็นการทำลายประเทศ และว่า ผู้ต้องหาจะใช่ตัวจริงหรือไม่ใช่ตัวจริง เดี๋ยวผลการสอบสวนก็จะออกมา ก็ค่อยว่ากันทีหลัง อย่างนี้มาดิสเครดิตกันเอง ตนว่าไม่ถูกต้อง ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางโซเชียลมีเดียนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแล้ว กำลังติดตามในทุกๆ สื่อและความเคลื่อนไหว
ขณะที่ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ของพม่า ได้กล่าวระหว่างหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เดินทางเยือนพม่าอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ต.ค. โดยขอให้ฝ่ายไทยสืบสวนคดีที่ 2 แรงงานชาวพม่าตกเป็นผู้ต้องหาด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม “หากพบว่าพวกเขามีความผิด มาตรการต่างๆ ควรดำเนินการตามกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม การสืบสวนจำเป็นที่จะต้องโปร่งใสและยุติธรรม”
1.“ในหลวง” พระอาการดีขึ้นเป็นลำดับ หลังผ่าตัดถุงน้ำดีอักเสบ!
ความคืบหน้าพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์เมื่อวันที่ 3 ต.ค.เนื่องจากทรงมีพระปรอท(ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ซึ่งผลการตรวจพระโลหิตพบว่ามีภาวะติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม หลังจากคณะแพทย์ถวายการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิต พบว่า พระปรอท(ไข้) ลดลง สภาวะทางโภชนาการดีขึ้นเป็นลำดับ
จากนั้นเย็นวันที่ 5 ต.ค.คณะแพทย์ฯ ได้ถวายตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมกับการฉีดสารกัมมันตภาพรังสี (PDG-PET CT) เข้าทางหลอดพระโลหิต เพื่อหาสาเหตุการติดเชื้อ พบว่าพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) อักเสบบวมมาก ซึ่งคณะแพทย์ฯ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ถวายพระโอสถระงับความรู้สึกทั่วพระวรกาย และส่องกล้องเข้าในช่องพระนาภี(ช่องท้อง) เพื่อตัดถุงพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) ออก โดยการผ่าตัดใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที ผลการผ่าตัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พระอาการหลังผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ
ต่อมา สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 8 ต.ค.ว่า ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาของพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) ที่ตัดออกมาแล้ว พบว่ามีการอักเสบ และไม่พบความผิดปกติของเซลล์ในผนังของพระปิตตะ(ถุงน้ำดี) แต่อย่างใด
จากนั้น วันที่ 9 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 5 ว่า พระอาการทั่วไปดีขึ้นตามลำดับ เคลื่อนไหวพระวรกายได้ดีขึ้น เสวยพระกระยาหารได้บ้าง คณะแพทย์ยังคงถวายพระโอสถปฏิชีวนะ และสารอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต ผลการตรวจพระโลหิตติดตามปรากฏว่า ภาวะติดเชื้อน้อยลงอีก เป็นที่น่าพอใจของคณะแพทย์
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ต.ค. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 6 ว่า อุณหภูมิพระวรกายลดลง จนเกือบเป็นปกติเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อวันที่ 10 ต.ค.อุณหภูมิพระวรกายสูงกว่าปกติในช่วงบ่าย คณะแพทย์ฯ จึงเปลี่ยนชนิดของพระโอสถปฎิชีวนะที่ถวายทางหลอดพระโลหิต อุณหภูมิพระวรกายจึงลดลงเป็นปกติ ทั้งนี้ ลักษณะแผลผ่าตัดเป็นที่พอใจของคณะแพทย์ฯ และไม่ทรงเจ็บแผลผ่าตัดเวลาเคลื่อนไหวพระวรกาย ขณะที่พระชีพจร และความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ คณะแพทย์ยังคงถวายสารอาหารเสริมทางหลอดพระโลหิต
2.“ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ” ตับอ่อนอักเสบ แพทย์ขอทรงงดพระกรณียกิจ 3 เดือน!
ความคืบหน้าพระอาการประชวรของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี หลังเสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธเมื่อวันที่ 4 ก.ย.เนื่องจากพระอามาสัย(กระเพาะอาหาร) อักเสบ และเสด็จออกจากโรงพยาบาลหลังพระอาการดีขึ้นเมื่อวันที่ 13 ก.ย. อย่างไรก็ตาม ทรงมีพระอาการกำเริบระหว่างเสด็จเยือนสาธารณรัฐตุรกี จึงได้เสด็จฯ กลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 ก.ย. และเสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ อีกครั้ง จากนั้น คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจพระอามาสัยด้วยการส่องกล้อง พบติ่งเนื้องอกหลายติ่ง จึงได้ตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจวินิจฉัย ผลการตรวจพบว่าเป็นติ่งเนื้อจากการอักเสบของเซลล์ผิวพระอามาสัย และมีแบคทีเรียในผิวของเยื่อบุพระอามาสัย คณะแพทย์จึงได้ปรับพระโอสถเพื่อรักษาอาการอักเสบ ซึ่งพระอาการดีขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องประทับ ณ โรงพยาบาลต่อไปนั้น
เมื่อวันที่ 9 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 5 ว่า คณะแพทย์ได้ถวายการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เมื่อวันที่ 5 ต.ค.พบว่า มีต่อมพระบุพโพ(ต่อมน้ำเหลือง) ที่พระนาภี(ท้อง) โต คณะแพทย์จึงถวายการตรวจเพิ่มเติมโดยส่องกล้องด้วยความถี่สูง(Endoscopic Ultrasonography) เมื่อวันที่ 7 ต.ค. พบว่าตับอ่อนอักเสบมาก ซึ่งเกิดจากการแพ้ภูมิต้านทานตัวเอง(SLE) คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถรักษาต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด และกราบทูลขอพระราชทานให้ทรงงดพระกรณียกิจเป็นเวลา 3 เดือน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ต.ค. สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 6 ว่า คณะแพทย์รายงานว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ยังมีพระอาการประชวรอยู่ แต่พระอาการปลอดภัยแล้ว สามารถเสด็จออกจากโรงพยาบาลได้ จึงได้เสด็จไปประทับพักฟื้น ณ พระตำหนักพิมานมาศ ฐานทัพเรือสัตหีบ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ในวันเสาร์ที่ 11 ต.ค.
แถลงการณ์สำนักพระราขวัง เผยด้วยว่า ในระหว่างประชวรได้มีเอกอัครราชทูต ข้าราชการ พระภิกษุสงฆ์ และประชาชนทุกหมู่เหล่า แสดงความห่วงใยในพระอาการประชวร ซึ่งความทราบฝ่าพระบาทแล้ว ทรงชื่นชมในความปรารถนาดี และโปรดให้เชิญพระดำรัสขอบใจมาแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน
3.โปรดเกล้าฯ 250 สปช.แล้ว สะพัด “เทียนฉาย” ตัวเต็ง ปธ. ด้าน “บิ๊กตู่” เตรียมดึงคนวืด สปช. อีก 7 พันเข้าร่วมปฏิรูป!
ความคืบหน้าการคัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จำนวน 250 คน หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เผยเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ว่า ได้ทูลเกล้าฯ รายชื่อ สปช.เรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยันว่า รายชื่อ สปช.ที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 ต.ค. สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้ง สปช.ลงในราชกิจจานุเบกษาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง สปช.จำนวน 250 คนแล้ว ซึ่งรายชื่อส่วนใหญ่เป็นไปตามโผที่หลุดออกมาก่อนหน้านี้
สำหรับรายชื่อ สปช. ซึ่งมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในสังคม ได้แก่ นายคำนูณ สิทธิสมาน ,นายคุรุจิต นาครทรรพ ,นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ,นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ,นายชัย ชิดชอบ ,นายชัยอนันต์ สมุทวณิช ,นายดิเรก ถึงฝั่ง ,นายดำรง พิเดช ,นายดุสิต เครืองาม (น้องชายนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช.และรองนายกฯ ด้านกฎหมาย) ,น.ส.ทัศนา บุญทอง ,นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ,พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร ,นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ,นายบัญชา ปรมีศณาภรณ์ (ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ คดีจำนำข้าว) ,นายประมนต์ สุธีวงศ์ ,นายประสาร มฤคพิทักษ์ ,นายปราโมทย์ ไม้กลัด ,นายพงศ์โพยม วาศภูติ ,พล.ร.อ.พะจุณณ์ ตามประทีป(อดีตหัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษ และนายทหารคนสนิท พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์) ,นายพิสิฐ ลี้อาธรรม ,นายไพบูลย์ นิติตะวัน ,นายมนูญ ศิริวรรณ ,นายมีชัย วีระไวทยะ ,พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา (อดีต รมช.กลาโหมยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกมองว่าเป็นเจ้าของเสียงในคลิปถั่งเช่าที่คุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ,น.ส.รสนา โตสิตระกูล ,พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช ,นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ,นายวันชัย สอนศิริ ,พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ ,นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ,นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ,น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ,นายเสรี สุวรรณภานนท์ ,นายอมรวิชช์ นาครทรรพ ,นายอลงกรณ์ พลบุตร ,นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ฯลฯ
ด้านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้เปิดให้ สปช.ทั้ง 250 คน เข้ารายงานตัวระหว่างวันที่ 8-15 ต.ค. ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ด้านกฎหมาย บอกว่า หลัง สปช.รายงานตัวเสร็จเรียบร้อย ต้องนัดประชุม สปช.นัดแรก เพื่อเลือกประธานและรองประธาน โดยมีรองประธาน สปช.ไม่เกิน 2 คน คาดว่าการประชุมนัดแรกจะมีขึ้นประมาณกลางเดือน ต.ค. เมื่อเลือกประธานและรองประธาน สปช.ได้แล้ว หัวหน้า คสช.จะนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ
ทั้งนี้ มีรายงานว่า บุคคลที่คาดว่าจะได้รับเลือกให้เป็นประธาน สปช. คือ นายเทียนฉาย กีระนันทน์ ขณะที่รองประธานคนที่ 1 คาดว่าจะเป็นนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ส่วนรองประธานคนที่ 2 คาดว่าจะเป็น น.ส.ทัศนา บุญทอง
สำหรับคนที่พลาดหวัง ไม่ติดเข้าไปใน 250 สปช.นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องการให้บุคคลเหล่านี้ได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปด้วย จึงได้ประสานไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ส่งรายชื่อพร้อมประวัติอย่างละเอียดของผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกให้เป็น สปช.จำนวน 7,120 คน มาให้ และว่า ขณะนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กำลังไปดูว่า จะทำอย่างไรให้คนที่ไม่ได้รับการคัดสรรได้มีส่วนร่วม จะได้ไม่มีคำกล่าวว่า นำเฉพาะข้าราชการมา นำเฉพาะทหารมา “ผมไม่มีพวกใครทั้งสิ้น มองประเทศชาติเป็นหลัก แต่การคัดสรรก็เป็นขั้นตอนของเขามาอยู่แล้ว ใครไม่มา แต่พูดข้างนอก นี่ไม่เป็นธรรมกับผม สมัครซิครับ ท่านไม่สมัคร ก็อย่าพูด แต่ถ้าท่านอยากจะช่วยเรา ไปช่วยข้างนอก ผมจะตั้งอีกประมาณ 3-4 เวที ทั้งหมดรวมกันประมาณ 5 เวที เพื่อให้คนทั้ง 6-7 พันคนมีส่วนร่วมทั้ง 5 เวทีนี้”
ด้านนายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.เผยว่า ตนได้ลงนามในหนังสือเพื่อนำส่งรายชื่อและประวัติของผู้ที่ไม่ได้รับคัดเลือกเป็น สปช.จำนวน 7,120 คน ถึงประธานคณะกรรมการปรองดองและการปฏิรูปของ คสช.แล้วเมื่อวันที่ 10 ต.ค.
4.ศาล ปค.ไกล่เกลี่ย “กสท.-ช่อง 3” ยอมออกอากาศคู่ขนานแล้ว จบปัญหาจอดำ!
เมื่อวันที่ 8 ต.ค. ศาลปกครองกลางได้นัดไต่สวนคดีที่ผู้บริหารบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด หรือช่อง 3 ยื่นฟ้องสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ,คณะกรรมการ กสทช.และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-3 โดยกล่าวหาว่าเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมขอให้เพิกถอนมติ กสท.เมื่อวันที่ 8 ก.ย.ที่ห้ามโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมนำช่อง 3 ระบบอนาล็อกมาออกอากาศในโครงข่าย โดยการนัดไต่สวนครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากศาลปกครองได้มีคำสั่งทุเลาการบังคับใช้มติ กสท.ที่ให้ช่อง 3 อนาล็อกไม่สามารถออกอากาศในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมตั้งวันที่ 30 ก.ย.นี้ ออกไป เพื่อให้ช่อง 3 ไปเจรจาตกลงกับ กสท. โดยระหว่างนี้ให้ช่อง 3 อนาล็อกยังสามารถออกอากาศในโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมได้จนถึงวันที่ 11 ต.ค. เวลา 16.30น.
ทั้งนี้ หลังศาลใช้เวลาไต่สวนประมาณ 5 ชั่วโมง น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสท.เผยว่า ศาลได้ให้ทั้ง 2 ฝ่ายชี้แจงผลการเจรจาเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านทีวีระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอลที่ศาลให้เวลาไปตกลงกันเมื่อวันที่ 26 ก.ย. ซึ่งทั้งสองฝ่ายชี้แจงว่ายังไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะติดปัญหาบางประเด็น โดยเฉพาะเรื่องลิขสิทธิ์ ศาลจึงไกล่เกลี่ยในประเด็นดังกล่าว โดยคู่กรณีตกลงกันได้ว่า เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐและคณะกรรมการ กสท.ในการเปลี่ยนผ่านการออกอากาศโทรทัศน์จากระบบอนาล็อกไปสู่ระบบดิจิตอล เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางที่ปฏิบัติต่อผู้ประกอบการโทรทัศน์อนาล็อกทุกราย กสท.จึงเห็นด้วยที่จะอนุมัติให้บริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ร่วมกับบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ นำรายการของช่อง 3 อนาล็อกไปออกอากาศแบบคู่ขนาน(simulcast) ในช่อง 33 HD แบบช่อง 7 และช่อง 9 ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จะต้องปฏิบัติตามระเบียบภายในวันที่ 10 ต.ค.เวลา 12.00 น.
น.ส.สุภิญญา ยังได้ขอบคุณศาลด้วยที่ช่วยไกล่เกลี่ยอย่างเป็นธรรม ทำให้ได้ข้อยุติ ทั้งในประเด็นนิติบุคคลและข้อกฎหมาย โดยช่อง 3 ยอมรับในข้อตกลงและมีความใจกว้างในการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และยอมที่จะออกอากาศคู่ขนานภายในวันที่ 11 ต.ค. ซึ่งประชาชนยังสามารถดูช่อง 3 ผ่านระบบดาวเทียมและเคเบิลได้ในช่อง 43 ส่วนทีวีดิจิตอลดูได้ที่ช่อง 33 HD และว่า ช่อง 3 ต้องยื่นผังรายการใหม่ในระบบดิจิตอลให้ทาง กสทช.ภายในวันที่ 10 ต.ค. เพื่อจะได้รับค่าส่วนลดจากการประมูลช่องดิจิตอลร้อยละ 4 จากราคาประมูล
ด้านนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ หรือช่อง 3 บอกว่า การที่ช่อง 3 ยอมออกอากาศครั้งนี้ มาจากการที่ กสท.อนุมัติให้ช่อง 3 อนาล็อก ได้ออกอากาศคู่ขนานบนทีวีดิจิตอลแบบเดียวกับช่อง 7 และช่อง 9 ส่งผลให้ช่อง 3 ไม่ติดขัดเรื่องปัญหานิติบุคคลระหว่างบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ กับบริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย “ที่เรายอมเพราะเราเห็นความสำคัญในการช่วยรัฐเปลี่ยนผ่านจากทีวีอนาล็อกไปยังทีวีดิจิตอล ผ่านการออกอากาศคู่ขนานของช่อง 3” ส่วนเรื่องความเสียหายจากการออกอากาศคู่ขนานนั้น บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นการยกโฆษณาที่มีอยู่ในปัจจุบันไปอยู่ช่อง 33 HD ทั้งหมด แต่ในส่วนของบริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด(มหาชน) ที่บริหารจัดการช่อง 3 บนทีวีดิจิตอล อาจได้รับผลกระทบจากแผนธุรกิจที่เปลี่ยนไป และจากการที่ช่องรายการลดลงจาก 3 ช่อง เหลือ 2 ช่อง โดยมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านบาท
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 ต.ค. บริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ได้ส่งตัวแทนมายื่นผังรายการเพื่อออกอากาศคู่ขนานของช่อง 3 ทั้งในระบบอนาล็อกและดิจิตอลผ่านทางช่อง 33 HD หลังจากนั้น กสท.ได้ประชุมวาระพิเศษเพื่อพิจารณาผังรายการดังกล่าว ก่อนมีมติอนุมัติผังรายการด้วยเสียงข้างมาก 3 เสียง ประกอบด้วย น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ,พล.ท.พีระพงศ์ มานะกิจ และนายธวัชชัย จิตรภาษ์นันท์ ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.งดออกเสียง ส่วน พ.ต.ท.ทวีศักดิ์ งามสง่า ติดภารกิจจึงไม่เข้าประชุม
หลังประชุม น.ส.สุภิญญา เผยว่า ผังรายการของช่อง 3 เข้าข่ายหลักเกณฑ์ที่ กสท.กำหนดทุกประการ เช่น มีรายการข่าวสารและสาระไม่น้อยกว่า 25% ของเวลาออกอากาศ และผังรายการของช่อง 33 HD ที่ยื่นมาก็เป็นผังเดียวกับช่อง 3 อนาล็อก 100% ตามที่ตกลงกันไว้กับ กสท.และศาลปกครองทุกประการ น.ส.สุภิญญา ยังฝากถึงโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมด้วยว่า หลังจากวันที่ 11 ต.ค.เวลา 16.00น. ต้องนำช่อง 3 อนาล็อกออกจากโครงข่าย ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดและถูกปรับวันละ 2 หมื่นบาท เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อกย้ายไปออกอากาศคู่ขนานเป็นช่องทีวีดิจิตอลในช่อง 43 บนทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีแทนแล้ว
ด้านนายสุรินทร์ กฤตยาพงศ์พันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ หรือช่อง 3 พูดถึงเรื่องคดีความที่ช่อง 3 ยื่นฟ้อง กสท.ไว้ก่อนหน้านี้ด้วยว่า จะกลับไปพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร หากไม่มีผลกระทบอะไรอีก ก็คงจะถอนฟ้อง
5.ผบ.ตร.ปัดไม่ได้จับแพะคดีเกาะเต่า ขณะที่ “ฌอน” แฉซ้ำ ใครๆ ก็รู้พม่าเป็นแพะ ด้าน “หมอพรทิพย์” ชี้ ดีเอ็นเอ “ผู้ใหญ่วอ” ยันลูกบริสุทธิ์ไม่ได้!
ความคืบหน้าคดีข่มขืนและฆ่า น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอร์ริตจ์ และนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเช้ามืดวันที่ 15 ก.ย.หลังตำรวจจับกุม 3 แรงงานต่างด้าวชาวพม่า ที่ตำรวจระบุว่า นั่งเล่นกีตาร์อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ พร้อมเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ ก่อนระบุว่า ดีเอ็นเอของนายวิน หรือเวพิว อายุ 21 ปี และนายซอ หรือซอริน หรือโซเรน อายุ 21 ปี ตรงกับดีเอ็นเอที่บุหรี่ซึ่งพบใกล้ที่เกิดเหตุ และตรงกับอสุจิที่ช่องคลอดและทวารหนักของ น.ส.ฮันนาห์ ส่วนนายเมา ไม่รู้เห็นเหตุการณ์ จึงกันไว้เป็นพยาน ก่อนนำตัว 2 ผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพเมื่อวันที่ 3 ต.ค. ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตของสื่อต่างประเทศว่า ฝูงชนหลายร้อยคนที่มุงดูการทำแผนฯ ดูไม่ค่อยเชื่อมั่นวิธีการของตำรวจไทย ขณะที่ผู้ต้องหาเหมือนทำตามคำสั่งของตำรวจมากกว่า
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. ตำรวจได้นำตัวนายวินและนายซอ 2 ผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลจังหวัดเกาะสมุยเป็นเวลา 12 วัน จากนั้นวันที่ 7 ต.ค. ตำรวจได้นำสำนวนคดีที่มีความหนาเกือบ 900 หน้า ส่งให้ อธิบดีอัยการภาค 8 เพื่อสั่งฟ้องต่อไป
ทั้งนี้ วันเดียวกัน(7 ต.ค.) นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะ ได้เข้าเยี่ยมนายวินและนายซอ 2 ผู้ต้องหาที่เรือนจำอำเภอเกาะสมุย หลังเข้าเยี่ยม นายปริญญา บอกว่า จากการพูดคุยกับ 2 ผู้ต้องหามีสีหน้าปลงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และว่า ทั้ง 2 คนยอมรับว่าเป็นผู้ก่อเหตุจริง โดยวันเกิดเหตุดื่มเบียร์จนมึนเมา
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวสวนทางกับรายงานของสื่อต่างประเทศ โดยเฟซบุ๊กบีบีซีไทย รายงานโดยอ้างเว็บไซต์บีบีซีพม่าว่าเมื่อวันที่ 7 ต.ค. นายอ่าว เมียง ตั๊ก ที่ปรึกษาด้านกฎหมายแก่แรงงานพม่าในไทย พร้อมด้วยนายอู วิน หม่อง เอกอัครราชทูตพม่าประจำประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมนายวินและนายซอ ที่เรือนจำเกาะสมุย ก่อนจะออกมาเผยว่า ลูกความยืนยันว่าถูกซ้อม และบอกไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ แต่มีข้อสังเกตว่าคนทั้งสองมีท่าทีหวาดกลัว
ขณะที่เดอะการ์เดียน อ้างรายงานจากหนังสือพิมพ์ 7Day ของพม่าเมื่อวันที่ 9 ต.ค.ว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตพม่า อ่อง เมียว ตันท์ ซึ่งทำหน้าที่ทนายความให้ 2 ผู้ต้องหา ได้แถลงถอนคำรับสารภาพของนายซอ และนายวิน อย่างเป็นทางการ รวมทั้งได้รายงานความกังวลต่างๆ ให้สถานทูตพม่าทราบแล้ว อ่อง เมียว ตันท์ ยังอ้างคำพูดของผู้ต้องหาทั้ง 2 คนด้วยว่า “พวกเขาบอกกับผมว่า ในคืนนั้นอยู่ที่ชายหาด ทั้งดื่มและร้องเพลง พวกเขาบอกว่าไม่ได้ทำ และตำรวจไทยทำร้ายพวกเขาจนกระทั่งต้องยอมรับสารภาพในสิ่งที่ไม่ได้ทำ พวกเขาร้องขอรัฐบาลพม่าเข้าตรวจสอบคดีนี้และค้นหาความจริง พวกเขาดูแล้วน่าเวทนามาก ร่างกายถลอกปอกเปิกไปหมด” อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ฝ่ายไทยยืนยันว่า ยังไม่มีการกลับคำรับสารภาพของผู้ต้องหาแต่อย่างใด
ด้าน อู ตุน ตุน แต๊ก บิดาของนายวิน ซอทูน 1 ในผู้ต้องหาคดีนี้ ก็ไม่เชื่อว่า ลูกของตนฆ่าคนตาย โดยพูดถึงอุปนิสัยของนายวินว่า “ลูกตนเป็นคนเอื้อเฟื้อและเป็นมิตร ถ้าใครเอ่ยปากขอเสื้อเขา เขาก็จะถอดให้ใส่ แล้วเดินกลับบ้านมาแบบไม่ใส่เสื้อ เขาไม่ใช่คนเถื่อน แม่เขากลัวเขาโดนหลอกตอนไปต่างประเทศ แต่ผมไม่ได้กังวลมากนักเพราะเขาโตแล้ว” ทั้งนี้ อู ตุน ตุน แต๊ก ยังหวังว่าลูกจะได้รับการปล่อยตัวถ้ามีการสืบสวนคดีอย่างเป็นธรรมและเป็นระบบ
ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้นำทีมตำรวจหลายหน่วยที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ เปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 7 ต.ค. ยืนยันว่า ตำรวจไม่ได้จับแพะ และไม่ได้มีการซ้อมให้ผู้ต้องหารับสารภาพ และว่า การจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ มีหลักฐานสำคัญ 5 ประเด็น คือ 1.พยานบุคคล คือนายเมา เมา และนายเล เล 2.การพิสูจน์ทราบดีเอ็นเอ ซึ่งตำรวจไม่ได้ดำเนินการเพียงหน่วยงานเดียว แต่มีการส่งตัวอย่างให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ช่วยตรวจพิสูจน์ 3.ภาพจากกล้องวงจรปิด 4.โทรศัพท์ของนายเดวิด และ 5.คำรับสารภาพของผู้ต้องหาต่อหน้าทนายความ ซึ่งตำรวจมั่นใจว่า ทั้ง 5 ประเด็น เพียงพอที่จะทำให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดได้
ผู้สื่อข่าวถามถึงข้อสงสัยที่ว่า เหตุใดตำรวจจึงไม่ตรวจดีเอ็นเอนายวรท ตู้วิเชียร อายุ 22 ปี ลูกชายนายวรพันธ์ ตู้วิเชียร หรือผู้ใหญ่วอ ผู้ใหญ่บ้าน ต.เกาะเต่า ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจเกี่ยวข้องกับคดีนี้ พล.ต.อ.สมยศ บอกว่า หลังเกิดเหตุตำรวจได้ตรวจดีเอ็นเอของนายวรพันธ์แล้ว พบว่าไม่ตรงกับดีเอ็นเอที่พบในวัตถุพยาน จึงไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอนายวรทอีก เพราะพ่อลูกกันให้ผลดีเอ็นเอที่เหมือนกัน
ส่วนข้อสงสัยเรื่องถุงยางอนามัยใช้แล้วที่พบในที่เกิดเหตุ ซึ่งพบดีเอ็นเอของ น.ส.ฮันนาห์อยู่ด้านนอก แต่ด้านในตรวจไม่พบดีเอ็นเอของใครนั้น ตำรวจยอมรับว่า ถุงยางอนามัยในคดีนี้เป็นวัตถุพยานที่ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่คาดว่าอาจเกิดจากการปนเปื้อนเนื่องจากการเหยียบย่ำที่เกิดเหตุก่อนเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะไปถึงก็เป็นได้
ด้าน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้ให้ข้อมูลในสิ่งที่ตรงข้ามกับที่ตำรวจพูด โดยยืนยันว่า การตรวจดีเอ็นเอนายวรพันธ์ ตู้วิเชียร หรือผู้ใหญ่วอ ไม่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของนายวรท บุตรชายได้ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ยังชี้ด้วยว่า สาเหตุที่ทำให้คดีเกาะเต่ามีข้อกังขาทางโซเชียลมีเดีย เนื่องจากไม่มีขั้นตอนการจำลองเหตุการณ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนทางนิติวิทยาศาสตร์ มีเพียงการทำแผนประกอบคำรับสารภาพเท่านั้น และว่า คดีลักษณะนี้ต้องใช้หลักนิติวิทยาศาสตร์เป็นตัวนำ หรือเข้าไปดูส่วนที่ยังไม่มีความชัดเจน ก่อนสรุปสำนวนส่งฟ้อง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ยังบอกด้วยว่า หากมีโอกาสร่วมทำคดีนี้ จะไม่ให้มีข้อกังขาแน่นอน
ทั้งนี้ ได้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์และจับพิรุธคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่าว่า 2 แรงงานต่างด้าวชาวพม่าอาจเป็นแพะ รวมทั้งข้อกังขาเกี่ยวกับผู้มีอิทธิพลบนเกาะเต่าที่นายฌอน แม็คแอนนา เพื่อนนายเดวิด ผู้เสียชีวิต เคยออกมาโพสต์บนเฟซบุ๊กแฉว่า ตนเห็น น.ส.ฮันนาห์ถูกชายไทยพยายามลวนลามในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ก่อนที่นายเดวิดจะเข้าไปช่วยออกมา นอกจากนี้นายฌอนยังโพสต์ภาพบุคคลผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ 2 คน ซึ่งบุคคลในภาพเป็นน้องชายของผู้กว้างขวางคนหนึ่งกับตำรวจภูธรภาค 8 ซึ่งเป็นเพื่อนกัน นอกจากนั้นในภาพยังมีกล่องบุหรี่ยี่ห้อแอลเอ็มวางอยู่ด้วย ซึ่งเป็นบุหรี่ยี่ห้อเดียวกับที่ตกอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุที่ น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิดถูกทำร้ายเสียชีวิต ไม่เท่านั้นนายฌอน ยังแฉด้วยว่า ตนถูกขู่ฆ่าโดยบุคคลบางกลุ่มที่น่าจะรู้เห็นการฆ่า น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิด
ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ต.ค.เฟซบุ๊กเพจ CSI LA ได้เผยแพร่ข้อความที่นายฌอนระบุว่า ตนไม่เคยพูดว่ารู้ว่าใครเป็นฆาตกร พูดเพียงว่าถ้าตนตายในคืนนั้น คนจากอินทัช รีสอร์ท เป็นคนทำ แม้คนที่มีสมองแค่ครึ่งก็คงรู้ว่าพม่าเป็นแพะ ตนเสียใจมากสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ และเสียใจที่สื่อโกหก เชื่อตนเถิดพวกเขาโกหกหลายอย่างและปั้นเรื่องราวขึ้นมา
เป็นที่น่าสังเกตว่า กระแสในโซเชียลมีเดีย นอกจากจะเชื่อว่า 2 แรงงานต่างด้าวชาวพม่าเป็นแพะในคดีนี้แล้ว ยังมีการจับพิรุธภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดที่นายวรท ตู้วิเชียร ลูกผู้ใหญ่วอ นำมาเป็นหลักฐานยืนยันว่า ตนไม่ได้อยู่ที่เกาะเต่าในวันเกิดเหตุด้วย เนื่องจากตัวเลขวันที่-เดือน-ปี-เวลาในภาพดังกล่าว ไม่เป็นสีเดียวกัน โดยมีทั้งสีดำและสีขาว ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติ พร้อมท้านายวรทว่า กล้านำภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดมายืนยันหรือไม่ และกล้าตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษหรือไม่
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ขอร้องให้สื่อหยุดวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจในคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ เพราะจะเป็นการทำลายประเทศ และว่า ผู้ต้องหาจะใช่ตัวจริงหรือไม่ใช่ตัวจริง เดี๋ยวผลการสอบสวนก็จะออกมา ก็ค่อยว่ากันทีหลัง อย่างนี้มาดิสเครดิตกันเอง ตนว่าไม่ถูกต้อง ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทางโซเชียลมีเดียนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาดูแล้ว กำลังติดตามในทุกๆ สื่อและความเคลื่อนไหว
ขณะที่ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ของพม่า ได้กล่าวระหว่างหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เดินทางเยือนพม่าอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ต.ค. โดยขอให้ฝ่ายไทยสืบสวนคดีที่ 2 แรงงานชาวพม่าตกเป็นผู้ต้องหาด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม “หากพบว่าพวกเขามีความผิด มาตรการต่างๆ ควรดำเนินการตามกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม การสืบสวนจำเป็นที่จะต้องโปร่งใสและยุติธรรม”