ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาทรงตรวจพระวรกาย ณ โรงพยาบาลศิริราช ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา ตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2557ที่ผ่านมา รวมเวลาที่ประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช 41 วัน ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 15 กันยายน
ต่อมาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2557 เวลา 21.07 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ ประทับรถตู้พระที่นั่ง จากที่ประทับ ณ วังไกลกังวล กลับเข้าสู่โรงพยาบาลศิริราช อีกครั้ง โดยถึงประตู 8 โรงพยาบาลศิริราช เวลา 23.00 น. ท่ามกลางพสกนิกรที่ทราบข่าวมาเฝ้ารับเสด็จฯ ชื่นชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด
จากนั้นวันที่ 4 ตุลาคม 2547 สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์เรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช ฉบับที่ 1 ความว่า “คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานพระอาการว่า เมื่อเย็นวันที่ 3 ตุลาคม พุทธศักราช 2557 ทรงมีพระปรอท (ไข้) สูง 38.2 องศาเซลเซียส ผลการตรวจพระโลหิตแสดงว่ามีภาวะติดเชื้อ มีการเปลี่ยนแปลงความดันในพระโลหิต และอัตราการเต้นของพระหทัยเร็วขึ้น จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนิน ไปประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษ ถวายการตรวจพระโลหิตด้วยวิธีพิเศษเพิ่มเติม และถวายการรักษาต่อไป เมื่อเช้าวันนี้ คณะแพทย์ฯ ได้รายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากถวายการรักษาด้วยพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิต ความดันพระโลหิตคงที่ พระปรอท (ไข้) ลดลง สภาวะทางโภชนาการดีขึ้นเป็นลำดับ คณะแพทย์ฯ จะได้ถวายการตรวจด้วยเครื่องมือพิเศษเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุของการติดเชื้อและถวายการรักษาต่อไป”
ต่อมา วันที่ 6 ตุลาคม 2557 สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ความว่า “คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานว่า อัตราการเต้นของพระหทัยเร็วในบางช่วงเวลา ความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ อุณหภูมิพระวรกายในรอบ 24 ชั่วโมง (จากช่วงเย็นวันที่ 4 ตุลาคม ถึงวันที่ 4 ตุลาคม ) ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 37 องศาเซลเซียส แต่มีพระปรอทสูงถึง 38.5 องศาเซลเซียส ครั้งหนึ่ง เย็นวานนี้ (วันที่ 5 ตุลาคม 2557) คณะแพทย์ได้ขอพระราชทานงดพระกระยาหาร ถวายน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิต และได้ถวายตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ร่วมกับการฉีดสารกัมมันตภาพรังสี (FDG-PEY CT) เข้าทางหลอดพระโลหิต พบว่า ถุงพระปิตตะ (ถุงน้ำดี) อักเสบบวมมาก เมื่อคืนเวลา 21.45 น. คณะแพทย์ได้รับพระบรมราชานุญาตให้ถวายพระโอสถระงับความรู้สึกทั่วพระวรกาย และส่องกล้องเข้าไปในช่องพระนาภี (ช่องท้อง) ตัดเอาถุงพระปิตตะ (ถุงน้ำดี) ออก การผ่าตัดใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที การผ่าตัดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย พระอาการหลังผ่าตัดเป็นที่น่าพอใจ ให้เสด็จพระราชดำเนินกลับห้องที่ประทับ เวลา 00.20 น. ของวันที่ 6 ตุลาคม 2557 เช้าวันนี้พระอาการทั่วไปดีขึ้น อัตราการเต้นของพระหทัยลดลง ความดันพระโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติ พระปรอทต่ำลง คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ และยังคงถวายน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิตต่อไป”
จากนั้น วันที่ 7 ตุลาคม 2557 สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 3 ความว่า “วันนี้ คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาได้รายงานพระอาการทั่วไปหลังผ่าตัดว่า รู้พระองค์ดี หายพระทัยได้ดี ยังคงมีพระปรอท (ไข้) บางช่วงเวลา การเต้นของพระหทัยลดลงใกล้เคียงปรกติ การตรวจพระหทัยด้วยคลื่นไฟฟ้าเป็นระยะติดต่อกันไม่ปรากฏว่า มีการเปลี่ยนแปลง ยังมีพระอาการเจ็บบริเวณแผลที่ส่องกล้องตัดถุงพระปิตตะ (ถุงน้ำดี) คณะแพทย์ฯ ได้ถวายการดูแลอย่างใกล้ชิด และยังคงถวายน้ำเกลือ พระโอสถปฏิชีวนะ กับสารอาหารทางหลอดพระโลหิตต่อไป ผลการตรวจทางพยาธิวิทยาของพระปิตตะ (ถุงน้ำดี) ที่ตัดออกมาแล้ว พบว่ามีการอักเสบ และไม่พบความผิดปรกติของเซลล์ในผนังของพระปิตตะ (ถุงน้ำดี)”
ต่อมา เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2557 สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ความว่า “คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รายงานว่า พระอาการทั่วไปดีขึ้น อุณหภูมิพระวรกายลดลงเกือบเป็นปกติ การเต้นของพระหทัยเป็นปกติ พระอาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัดบรรเทาลง เริ่มเสวยพระกระยาหารได้ คณะแพทย์ได้ลดพระโอสถระงับอาการเจ็บลง และงดถวายน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิต แต่ยังคงถวายสารอาหาร และพระโอสถปฏิชีวนะทางหลอดพระโลหิต กับเฝ้าดูแลพระอาการอย่างใกล้ชิดต่อไป”
สำหรับบรรยากาศ ณ ศาลาศิริราช 100 ปี ซึ่งสำนักพระราชวังได้เปิดให้ลงนามถวายพระพร ในทุกๆ วันมีพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าเดินทางมาลงนามถวายพระพรอย่างไม่ขาดสาย และแน่นอน ทุกคนมาด้วยความจงรักภักดี โดยต้องการเห็นพระผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติหายจากพระอาการประชวรในเร็ววัน
...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ