xs
xsm
sm
md
lg

สาส์นจากพี่ “เน วัดดาว” ถึงน้องๆ อาชีวะผู้ริเป็นนักเลง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คล้อยหลังเสียงสั่งของท่านผู้นำ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งประกาศกร้าวว่า จากนี้ไป หากสถาบันไหนทะเลาะวิวาท หรือยกพวกตีกัน จะสั่งปิดคณะหรือชัตดาวน์สถาบันเป็นการชั่วคราวทันที...อดีตขาใหญ่แห่งย่านฝั่งธนฯ ที่หลายคนรู้จักกันกันในนาม “เน วัดดาว” ก็ออกมาบอกกล่าวด้วยถ้อยคำปรารถนาดี แต่ทว่าบาดลึก...

“การทำให้เพื่อนยอมรับแม่งมีหลายอย่าง มันไม่จำเป็นต้องไปต่อยตีกับเขาหรอก แม่งเป็นค่านิยมในทางที่ผิด คือ เวลาที่เราไปต่อยตีกันเนี่ย ไอ้คนที่เราไปต่อยตีด้วยหรือคนที่คิดว่าเป็นคู่อริเรา ถามจริง เรารู้จักเขาเป็นการส่วนตัวหรือเปล่า...ไม่รู้ ไม่รู้แล้วมึงไปตีเขาทำไม มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องที่เราคิดไปเองมากกว่า อยากให้เพื่อนยอมรับ แต่เราติดคุก เราเอาเหรอ ไม่ดีหรอก อย่าไปทำเลย”

เป็นที่รู้กันดีว่า เน วัดดาว ไม่ใช่บุคคลโนเนมในวงการ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวงพวกนักเลง ที่ชื่อชั้นของเขาดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งพระนครและทั่วประเทศ นามของเขาถูกกล่าวถึงพอๆ กับตัวละครในยุคอันธพาลครองเมือง อย่างแดง ไบเล่” “จอร์จ เฮาดี้” ไปจนถึง ปุ๊ ระเบิดขวด และผองเพื่อนวงนักเลงสมัยนั้น

เป็นที่รู้กันดีว่า เน วัดดาว คือต้นขั้วนักเลงยุคสามจี เขาคือรุ่นพี่ของวัฒนธรรมนักเลงในหลายต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการอัดคลิปเกรียนๆ อัปขึ้นออนไลน์ การท้าทายผ่านโลกโซเชียล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำว่า “ไฝว้” ที่เขาก็ทำให้กลายเป็นถ้อยคำแห่งความกล้าในพจนานุกรมของนักเลง

และเป็นที่รู้กันดีว่า จากนักเลงผู้มีชื่อติดแบล็กลิสต์บัญชีดำของทางการ ณ ปัจจุบัน เน วัดดาว เปลี่ยนไปชนิดที่เรียกได้ว่าพลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ขณะที่หนุ่มหน้าเยาว์วัยจำนวนไม่น้อย เรียกขานเขาด้วยถ้อยคำ “เน็ตไอดอล”

เน วัดดาว เล่นหนัง
เน วัดดาว เล่นละคร
เน วัดดาว จัดรายการทีวี
และเน วัดดาว ทำนู่นทำนี่อีกมากมาย ไม่ต่างไปจากดาราคนดัง เพราะแม้กระทั่งตอนที่เรานั่งคุยกับเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะเข้ารายการ “เน วัดดาว ONTV” ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นระยะๆ ไม่ใช่ติดต่อขอซื้อยา แต่ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นงานในวงการบันเทิง

เน วัดดาว กำลังรุ่งมากๆ...เราคงเก็บความจริงข้อนี้ใส่ลิ้นชักแห่งความลับไว้ไม่ได้
เน วัดดาว คิดเห็นอย่างไรกับความเป็นไปนี้ของตัวเอง?
ความเป็นนักเลงในตัวเขามันซบเซาหลับใหลอยู่ในคืนวันอันเก่าก่อนไปแล้วหรือไม่?
ในวันที่ถูกยกให้เป็นไอดอลของผู้คน เขารู้สึกว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไปอีกแบบหรือเปล่า?
และสิ่งใดเล่าคือคุณค่าความหมายของการเป็นนักเลง? ใช่การยกพวกไปรุมทำร้าย หรือแม้แต่สวมใส่ชุดนักศึกษาแล้วไปท้าตีท้าต่อยกับคนอื่นหรือไม่?

อดีตคนหนุ่มเลือดร้อน พาเราทอดน่องท่องไปในโลกแห่งความคิด ที่กลั่นสกัดออกมาจากชีวิต 24 กะรัต กับทัศนะเชิงอนุสติ ภายหลังตัดขาดจากการสมาทานวิถีนักเลง...

ไม่มี 'นักเลง' ที่จริงแท้
มีแต่ 'ลูกผู้ชาย' ที่แท้จริง

“ใช่!!...” คนหนุ่มผู้เป็นตำนานซึ่งถูกกล่าวขานในฐานะนักเลงใหญ่ย่านฝั่งเจ้าพระยาแถบบริเวณเวิ้ง 'วัดดาว' โพล่งคำตอบแรกขึ้นกลางวงสนทนา
“นิยามคำว่านักเลง ตัวผมเองผมก็ยังไม่รู้ความหมายของมันเลยนะ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน คำว่านักเลงสำหรับผม มันมีความหมายถึงกลุ่มแก๊งเพื่อนพ้อง เป็นเรื่องของใจ ใจที่ยกให้เพื่อน โดยไม่นึกถึงตัวเอง เพราะต่อให้ใจแค่ไหน ไม่เอาพวกเอาพ้องก็อยู่ไม่รอด มีแต่ใจอย่างเดียวก็เท่านั้น”

จากยุค “อันธพาลครองเมือง” พุทธศักราช 2499 ที่ได้เห็นในหนังนักเลงอันธพาลแก๊งสเตอร์ ทำให้หลายต่อหลายคนตีความคำว่าว่านักเลงตามสิ่งที่เห็น เน วัดดาวบอกกับเราแบบนั้น

“โดยแท้จริงแล้ว เราแม่งยังไม่รู้ความหมายของคำว่านักเลงเลยด้วยซ้ำ แม่งกลายเป็นคำคำหนึ่งที่คิดว่าเรานิยามมันขึ้นมาเองหรือเปล่า (หัวเราะ) เราดูหนังดูอะไรแล้วก็คิดว่า เฮ้ย!! อย่างนี้ล่ะ แม่งคือนักเลงว่ะ แต่ผมไม่เคยเห็นมีใครออกมาพูด มีใครมาบอกว่านักเลงมันหมายความว่าอะไร ทำยังไงถึงได้เป็นนักเลง เราไม่รู้กระทั่งว่า ใครแม่งเป็นคนตั้งว่าต้องมีคุณสมบัตินั้น ต้องทำอย่างนี้ ถึงได้ชื่อว่านักเลง ไม่มี" ชายหนุ่มลั่นเสียงหัวเราะไล่หลังคำพูดของตัวเอง

“พอเรามองย้อนกลับไปแล้วขำทุกที คือคิดว่าเราไปบ้าอะไรอยู่วะตอนนั้น จริงๆ เล่นยาก็ไม่มีใครเขารู้หรอก แต่ทำไมต้องเอามาโชว์ให้คนเขาเห็น เล่นในห้องน้ำต้องมีการเดินออกมาพ่นควันใส่หน้าเพื่อนให้มันได้กลิ่นว่ากูสูบยาบ้ามานะ คือเราไปเอาความคิดนี้มาจากไหน เราไปคิดอย่างนั้นว่าเท่ได้อย่างไร ทั้งๆ ที่เขาก็ทิ้งจุดจบไว้ให้เห็นเยอะแยะ ตายระนาววว... แต่เรามันไม่ได้สนใจตรงจุดจบ มันสนใจแต่คำว่า “กูดูแล้วเท่” เพราะฉะนั้น ถ้ากูเป็นอย่างนี้ คนอื่นก็ต้องมองว่ากูเท่”

“แม่ง-โคตร-เหี้ย...”
สำหรับ เน วัดดาว ในวันนี้ สามคำนี้คือนิยามชีวิตในวันนั้น
ซึ่งไม่ว่าจะ “เหี้ย” อย่างที่พูดหรือไม่ แต่ก็พอมีหลักฐานพิสูจน์แบบปฏิเสธไม่ได้ว่า วิถีนักเลงคล้ายมีมนต์ขลังบางประการที่ยวนใจให้เด็กผู้ชายคนแล้วคนเล่ากระโจนเข้าไปในวังวนของมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า คำว่านักเลงในบางความหมาย ก็เปรียบได้ดั่งศัพท์คำเชยชม ดังนั้น ต่อให้มีความกลัว ก็ต้องสลัดออกไปให้พ้นหัว

“เวลานั้น มันมีใครกลัวอะไรที่ไหน...ฮัดเช้ย!!” พูดไปได้หน่อย เสียงจามของเขาก็ดังขึ้นในจังหวะสนทนา นักเลงหนุ่มผู้เป็นที่โจษขาน อดีตสมาชิกแก๊งโอรสที่สยายปีกด้วยอิทธิพลอันดับต้นๆ ของมหานครกรุงเทพ ก็เป็นหวัดได้เหมือนกัน
"หวัดมันไม่เข้าใครออกใคร เรื่องความป่วยไข้หรือต่อให้เป็นเรื่องอื่น...” อดีตนักเลงวัดดาวเว้นวรรคเล็กน้อย แซมรอยยิ้มบางๆ กลางใบหน้า

“ผมพูดได้เลยว่า โลกใบนี้ไม่มีใครกลัวใครเพียงเพราะแค่ได้ยินได้ฟังมา เพียงแต่ว่าจังหวะนั้นมันอะไรก็ได้ แต่เอาเข้าจริงๆ ความกลัวมันก็มีอยู่ทุกคน โดนปืนจ่อก็ต้องวิ่ง ใครจะอยากตาย ไอ้พวกที่บอกตายก็ตาย พวกนี้แม่งสเลด ต้องพูดอย่างนั้น ใครก็กลัวตาย ถึงเวลาเอาเข้าจริงๆ ทุกคนกลัวหมดแหละ

“อย่างที่ผู้ใหญ่เขาชอบพูด “เดี๋ยวมึงก็รู้เอง” “สักวันหนึ่งมึงโต มึงก็จะรู้” ทุกวันนี้ คำนี้ก็เป็นคำที่ผมพูดกับพวกเด็กๆ เออ สักวันหนึ่งพอมึงได้รับบทเรียน เดี๋ยวมึงก็รู้ เดี๋ยวมึงก็รู้เอง ไม่มีใครบอกมึงได้ แม้จะสอนได้พูดได้เตือนได้ แต่มึงไม่ฟังแน่นอน ถ้ามึงไม่เจอเข้ากับตัว

“ทุกวันนี้ พอผมมองเห็นเด็กๆ ทั่วไป หรือจากในคลิปต่างๆ ที่เจอ ผมนั่งมองย้อนตัวเองแล้ว...โห่ มิน่าสมัยก่อน ผู้ใหญ่เขาถึงมองกูไม่โต เพราะแบบนี้นี่เอง เราใส่ความรู้สึกเดียวกันที่เห็นแวบแรก เห็นไอ้เด็กพวกนี้ เราก็มองว่ามันยังไม่โต”

หลังจบประโยค ใบหน้าอดีตนักเลงดังดูจริงจังขึ้นทันตา เหมือนกำลังนึกย้อนเวลาที่ต้องแลกมาด้วยผิวหนังที่เต็มไปด้วยรอยสัก อนาคต และความเสียใจของตัวเอง ถึงจะรู้ความหมายแห่งถ้อยคำของผู้ใหญ่ที่บอกกับเขาในวันเก่าๆ เหล่านั้น

"คือเราตีความหมายผิด “เกิดเป็นลูกผู้ชายต้องสู้” “ต้องเข้มแข็ง” ไอ้คำว่าต้องสู้ อาจหมายถึงสู้ชีวิต อาจหมายถึงอะไรทำนองนี้ ไม่ใช่ต่อยตี ผู้ชายต้องสู้โว้ย ต้องชกกัน ถ้าเป็นความคิดตอนนั้นก็เหมือนที่คนอื่นๆ ที่ยังคิดไม่ได้คิดกัน

"แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ไอ้คำว่าต้องสู้ ต้องเข้มแข็ง มันหมายความว่าให้เราสู้ชีวิต เพราะผู้ชายถูกกำหนดมาให้เป็นผู้นำในครอบครัว เราต้องเป็นคนทำมาหาเงิน เราต้องเป็นคนคอยดูแลครอบครัว ดูแลคนที่เรารัก อย่างตอนนี้ผมทำงาน ถามว่าได้เงินเยอะกว่าตอนขายยามั้ย ไม่นะ บางทีเงินขัดสนไม่พอด้วยซ้ำ
แต่ไอ้คำว่าต้องสู้ ผมเอามาใช้กับตรงนี้ คือถ้าคิดหวนกลับไปขายอีก แสดงว่าเราไม่สู้นะ แต่ถ้าทำงานสุจริตแลกเงิน แม้เหนื่อยหน่อย แต่แปลว่า “กูสู้” นั่นจึงถือเป็นคำว่า “ลูกผู้ชาย” ที่แท้จริงสำหรับผม
คำว่านักเลง มลายหายไปจากพจนานุกรมชีวิตของเขา นับแต่นั้นเป็นต้นมา...

นักเลงกลับ (ใจ)
(ใจ) กับนักเลง

ภายหลังหลุดพ้นจากรั้วเรือนจำ และคุกขังชีวิตในนามของ 'นักเลง' นักเลงหนุ่มแห่งวัดดาวกล่าวว่าเขาไม่ต้องการชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว เพราะไม่อยากจะเป็นเช่นสหายเหล่านั้นที่เพียงพ้นคุกไม่กี่วัน ก็ต้องมีอันถอยกลับเข้าไปในดินแดนหลังกรอบกรงพวกนั้นอีก

"บางคนออกไปได้ไม่กี่วัน โดนจับมาอีกละ ทำไมไวจัง เราก็คิดว่าถ้าเราออกไปขายอีกแม่งก็ไม่พ้นอีกนี่หว่า แต่ตอนแรกออกมาก็ยังขายอยู่ แต่ขายฉลาดขึ้น แต่มันก็ยังพลาด ก็เลยรู้สึกเบื่อ จริงอยู่ที่เราใช้ชีวิตไม่ลำบากในคุก แต่ใครล่ะจะอยากใช้ชีวิตในนั้น
"ทีนี้ พอยิ่งมีปัญหาในกลุ่มกันเอง มันเลยเป็นแรงผลักดันให้ตัวผมอยากก้าวหนีมันยิ่งขึ้น ก็เลยเลิกแม่งหมดเลย" อดีตนักเลงหนุ่มเผยรอยยิ้มจางๆ ผ่านวงหน้าครุ่นคิด

"เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าอยู่อย่างนั้น สักวันคงโดนยิงตาย แต่ก่อนเราเคยอยู่กันแบบ ไปไหนไปกัน คำว่า 'เพื่อน' ใครก็ทั้งนั้นแหละ เพื่อนโดนทำร้าย เพื่อนโทรมาบอกว่ามีเรื่อง ไปๆ ออกเลย ต้องไป" เนเหลือบชำเลืองมองโทรศัพท์ซึ่งส่งเสียงเรียกสาย เขาเล่าว่าทุกวันนี้ก็ยังมีประปรายที่สหายเก่าๆ เรียกเข้ามาหา ทั้งชวนเที่ยวหรือโทรมาบอกว่ามีปัญหา กระทั่งขอคอนเน็กชั่นเรื่องยาเสพติด แต่เขาก็ให้การปฏิเสธกลับไป

"อะไรที่เสี่ยง ผมปฏิเสธหมด อย่างไปเที่ยวก็เลี่ยง เพราะมันเสี่ยงต่อการมีเรื่อง หรือเพื่อนโทรมาบอกว่ามีเรื่อง ผมก็พยายามบอกใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ ถามก่อนว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร จะเอายังไง ชี้ผลที่จะได้รับตอนท้าย แต่ถ้ายังยืนกรานว่าจะให้ช่วย ก็เอา" สิ้นเสียงอดีตโก๋นักเลงหนุ่มกล่าวติดตลกอย่างไร้มาดว่า ถ้ายืนยันจะให้ได้ขึ้นชื่อว่า 'เพื่อนพ้อง' ก็ต้องไปขออนุญาตจากศรีภรรยาดูก่อนว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร

"มันไม่ได้แปลว่าผมทิ้งเพื่อนนะ วันนั้นยังรักยังไง ทุกวันนี้ก็ยังรักอยู่อย่างนั้น เราเคยร่วมทุกข์ร่วมสุขอย่างไร คลุกคลีกันอย่างไร วันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น เพราะมันคือเพื่อนผม เพียงแต่ว่าตอนนี้มีช่องว่างให้นิดหนึ่งตรงคำว่าเรามีครอบครัวแล้ว กูมีลูกแล้วนะ เท่านั้น เราก็ต้องคิดหน้าคิดหลังมากขึ้น"

นับเป็นโชคหรือชะตาฟ้าก็มิอาจมีผู้ใดล่วงรู้ จากนักเลงอันธพาลสุดแต่ใครจะเรียก 'เน วัดดาว' ผ่านพ้นคืนวันร้อนหนาวด้วยบทเรียนชีวิตราคาแพง วันเก่าก่อนไม่ได้สนุกหรือระทึกกว่าทุกวันนี้ อำนาจบารมีศักดิ์ศรีไม่ได้มีประดับคอ แต่มันกลับรู้สึกดีชนิดที่เขากล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ

"รู้สึกดีมาก (เน้นเสียง) ถ้าพูดถึงชีวิตผมตอนนี้ คำว่าว่าฟลุ๊คคำว่าโชคดี ผมไม่รู้จะใช้คำอะไรมาอธิบาย คิดดูสิ ใครจะคิดว่าผมจะมาได้ขนาดนี้ จากไอ้คนติดยาคนค้ายา นักเลงหัวไม้ อันธพาล อยู่ๆ จะได้มาเป็นพิธีกร มาเป็นพรีเซนเตอร์ ถ่ายเอ็มวี มันเกิดคาดที่จะเป็นไปได้ มันเป็นสิ่งที่เกินคาดตั้งแต่ที่ผมเกิดมา

"ผมจึงต้องรักษามันไว้ ฉะนั้น เรื่องใครจะคิดกับผมยังไงหลังวางมือ ก็แล้วแต่คนจะคิด ผมก็ไม่สามารถไปล่วงรู้ความคิดใครได้ พูดได้อย่างเดียว 'เฮ้ย...วันข้างหน้ามึงก็รู้' ทิ้งให้มันคิด กูต้องรู้อะไรวะ (หัวเราะ)
"เพราะผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว ผมก็บอกตั้งแต่อัดคลิปแล้วว่าไม่ขอยุ่งเรื่องผิดกฎหมายเรื่องต่อยตีพวกนี้อีก ผมเอาจุดนั้นมาเป็นบทเรียน เอามาใช้ในการดำเนินชีวิต"

และบทเรียนของนักเลงวัดดาวนั้นก็แสนสั้นฟังดูง่ายดาย ทว่าคมในฝักเฉกเช่นลายนักเลงที่หลับใหลอยู่ในกาย
"บทเรียนที่ได้จากชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลาน มันไม่ใช่สอนให้เรารู้ว่า ล้มแล้วเราต้องทำแผลอย่างไรถึงจะหาย แต่มันสอนให้เราคิดว่าเราต้องทำอย่างไรให้มันไม่ล้ม

"เพราะถ้ามัวแต่คิดว่าล้มแล้วเดี๋ยวทำแผล ชีวิตมันก็ยังล้มอยู่วันยังค่ำ แต่ถ้าเปลี่ยนความคิดเป็นว่า วันนี้ล้มลุกขึ้นมาแล้วเราต้องเดินอย่างไรไม่ให้ล้ม เดินแบบเก่าไม่ได้ เราก็ต้องหาเดินทางใหม่"

ไฝว้ทิ้งท้ายไว้ลายความดี
คืนวันที่เหลือไฝว้เพื่อลูก

"เราอย่าให้คนอื่นเขาวัด เราวัดตัวเราเองดีกว่า เราวัดตัวเราเองอย่างเป็นกลางว่าวันนี้มึงทำอะไรให้ใครเดือดร้อนไหม มีคนเดือดร้อนจากการกระทำของมึงอีกไหม สิ่งที่ทำ มึงเห็นแก่ตัวหรือเปล่า เรื่องบางเรื่องมันช่วยเหลือกันได้ มึงเคยคิดจะช่วยเหลือใครไหม
“ถ้าวันนี้สิ่งที่มึงทำไม่มีใครเดือดร้อน ไม่มีใครทุกข์ ทุกคนแฮปปี้ในสิ่งที่มึงทำ โอเค มึงไม่ใช่คนเลว แต่มึงจะเป็นคนดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ถ้าสิ่งที่มึงทำ ทำให้คนโน้นคนนี้เดือดร้อน แน่นอนมึงไม่ใช่คนดี แต่มึงจะเลวแค่ไหนเท่านั้นเอง"

นั่นคือทัศนะในเรื่อง 'คนดี' 'คนเลว' วัดกันอย่างไร ของอดีตนักเลงหนุ่มที่เราลองเลียบเคียงให้แสดงมุมองตามกระแสข่าวที่มีออกมาว่า เขาด่าไปทั่วมั่วไปเรื่อย เขาเอาสิทธิ์อะไรไปวิจารณ์คนอื่น

“ผมก็ใช้สิทธิ์เดียวกับที่คุณด่าผมอยู่นี่ไง คุณบอกว่าผมมีสิทธิ์อะไรไปด่าเขา ผมก็เหี้ยเหมือนกัน แล้วถ้าผมย้อนถามกลับมั่งล่ะ คุณมีสิทธิ์อะไรมาด่าผม ก็สิทธิ์อย่างนี้แหละ เพราะสิทธิ์มันมีกันทุกคน เพียงแต่ว่าเราเข้าใจในสิทธิ์ของคนอื่นแค่ไหน แล้วสังเกตดีๆ เวลาผมออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผมจะเน้นตลก เอาฮา มีคำหยาบบ้างก็จริง แต่น้ำเสียงสีหน้ามันไม่ใช่ความโกรธแค้น เป็นตลก เล่นๆ กันในโลกโซเชียล”

เน วัดดาว ส่งสาส์นท้าดวล โฮฟาทูร่า
เน วัดดาว พูดถึงน้องกรีน
เน วัดดาว ฝากถึงอั้ม เนโกะ
เน วัดดาว ฝากถึงเด็กอาชีวะ
และอีกหลายๆ “ฝาก” ในนามของการ “ไฝว้” ที่ชายหนุ่มคนนี้มีคลิปออกมา
และถ้าจะว่ากันตามความเป็นจริง เขานี่คือแบบฉบับรุ่นพี่แห่งการปล่อยคลิปตัวจริง ก่อนหน้าตัวเกรียนทั้งหลาย คลิปท้าทายตำรวจย่านบางนา ถือว่ามาทีหลังเขานานมาก...

“ผมคิดว่า ถ้าคุณกล้าทำคลิปออกมา คุณก็ต้องกล้ารับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ในทำนองเดียวกัน ผมอัดคลิปวิจารณ์เขา ผมก็ต้องพร้อมจะรับกระแสคอมเมนต์ที่ตีกลับมา ส่วนเรื่องที่คนคิดว่า ผมจะวางตัวเป็นผู้รู้ ผู้สอน ไม่ใช่เลย ผมไม่ได้คิดไม่ได้วางตัวเองให้เป็นแบบนั้น

“อย่างบางครั้ง ไปออกรายการ พิธีกรเขาบอกว่า วันนี้ เราจะมาพบกับเน็ตไอดอล เรายังบอกว่าพี่ๆ ผมไม่อยากใช้คำนี้ เพราะผมมีเหี้ยอะไรให้เป็นไอดอล รอยสักเหรอ ความเป็นนักเลงเหรอ เจริญล่ะมึง ฉิบหาย อยากบอกจริงๆ แต่เขาอยากให้ผมช่วยสอนน้อง สอนก็สอน ก็สอนตามที่ถูกสอนมา ผมก็ตึ้บเหมือนกันนะ ไม่รู้จะพูดยังไง เพราะเรารู้อยู่แล้ว ขนาดพ่อแม่มันยังไม่ฟังเลย แล้วผมเป็นใคร มันจะมาฟังผม”

ไล่เรียงให้ดี แม้จำนวนผู้ติดตามกว่าหกแสนคนในโลกออนไลน์จะเทียบไม่ได้กับผู้คนทั้งหมดที่อาจไม่ฟังเสียงเขา กระนั้น เขาก็เชื่อว่ากระบอกเสียงเล็กๆ ของตนเองจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย เช่นเดียวกับถ้อยคำที่ฝากถึงเด็กนักศึกษาอาชีวะที่เขากล่าวไว้ในตอนต้น

“มันถือเป็นสิ่งดีๆ ที่เราทำได้” อดีตจิ๊กโก๋นักเลงวัดดาว เผยรอยยิ้มที่มุมปากหลังคำตอบ ก่อนจะเล่าต้นตออันเป็นความภูมิใจลึกๆ ที่หวังว่าเด็กในซอยจะไม่เจริญเติบโตเป็นศิษย์วัดดาวแบบเขา ที่ไกลห่างแสงสว่างของดวงดาวเสียเหลือเกิน

“เวลาผมสอนเด็กๆ น้องๆ แถวบ้าน ผมไม่ได้พูดอย่างเดียว เด็กเหี้ยๆ พูดไม่ฟังเนี่ย ผมตบเลยนะ ไม่เชื่อถามพวกผู้ใหญ่แถวนั้นดูได้เลย เพราะว่าผมมีระบบการปกครอง ผมก็มีกฎของพวกผมเหมือนกัน ไม่ใช่อยู่กันอย่างไร้กฎไร้เกณฑ์ ผมมีเด็กมาอยู่ด้วยเยอะทั้งในซอยและที่อื่น ทีนี้จะทำอย่างไรให้มันอยู่กันได้ เราเป็นหัวหน้าก็ต้องตั้งกฎเกณฑ์ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ อย่างกัญชาและกาวนี่ไม่ได้เลย หรือเวลาอยู่กันกลางคืนดึกดื่น มันเสียงดังได้แค่ไหน ที่นั่งติดบ้านคนติดกุฏิพระหรือเปล่า เดี๋ยวเสียงมันจะดังสร้างความเดือดร้อน เราก็ต้องบอก อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป ไม่บังคับ

“ที่ผมทำอย่างนี้ก็เพื่อเป็นเกราะคุ้มกันให้พวกมัน แล้วก็ดูแลให้คนแถวบ้านอยู่กันได้ด้วย คือถ้าพวกมันทำตัวดี ผู้ใหญ่แถวบ้านเขาก็รัก แม้มึงจะเกกมะเหรกเกเรบ้าง แอบเล่นกัญชาแล้วผมไม่รู้บ้าง ผู้ใหญ่แถวบ้านเขาเห็นก็อาจจะไม่แจ้งความ แต่จะสอน และเวลามีเรื่องมีราว เขาก็จะออกมาช่วย อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย ถ้าฟังถ้าเชื่อ”

'มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน' วลีนี้คงอธิบายความรู้สึกที่มีอยู่ของลูกพี่วัดดาวผู้นี้ได้อย่างไม่ต้องกังขา เพราะบ่อยครั้งบ่อยครา เขาก็เข้าช่วย ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเงินทอง
“มันอดใจไม่ได้ บางทีพูดแบบประชดกับพวกมัน 'ไงพวกมึง พอหรือยัง เดี๋ยวถ้ามีรอบหน้า กูไม่ดู' แต่มีรอบต่อไปก็ต้องไปดูพวกมันอีก แม่งอดใจไม่ไหว บอกว่าจะไม่ช่วยๆ ก็ต้องช่วย เพราะเมื่อก่อนมันเป็นเด็กดี แต่พอผมออกมาจากคุกสองปี ไม่รู้ผีห่าอะไรเข้าสิงมัน จากหน้ามือเป็นหลังมือ ไปตีเขาบ้างฟันเขาบ้าง ผมก็เคลียร์กับเจ้าทุกข์ เสียตังค์ เสียค่าพยาบาล บางทีๆ เงินจะกินจะใช้ต้องเอามาทุ่มให้แม่งหมด

“ล่าสุดก็หลานผม ผมก็บอกที่บ้านว่าปล่อย(ทำเสียงสูง) ปล่อย สุดท้ายผมก็ต้องไปโรงพักเอง คือพอเห็นพวกมันก็ทำให้นึกย้อนถึงตัวเองในวัยนั้น เราก็กลัวว่าสักวันหนึ่งภายภาคหน้ามันจะเป็นแบบเราไง เพราะถ้าไม่ยื่นมือเข้าไป ปล่อยให้สังคมเป็นผู้สอน ผมพูดเลยสังคมนี่แหล่ะ ยิ่งทำให้เด็กเตลิด ยิ่งซ้ำเด็ก น้อยคนที่จะมาบอกว่า 'อย่าทำแบบนี้นะครับ แบบนั้นนะครับมันไม่ดี' ส่วนใหญ่จะมาด่า ไอ้ขี้ยา ไอ้เลวไอ้ชั่ว ซะมากกว่า แต่ถ้ายังไม่หยุดพฤติกรรมแบบนี้ คงต้องมีสักวันแหละที่ต้องปล่อย เพียงแต่ตอนนี้คิดว่ามันยังไม่พร้อม อายุเพิ่งจะ 17-18 กันเอง”

ถึงตรงนี้ แม้ว่า 'เน วัดดาว' จะทิ้งชื่อนักเลงไว้เบื้องหลัง พร้อมประกาศว่าขอยุติการท้าตีท้าต่อยกับเหล่านักเลงอันธพาลทั่วสารทิศและสิ่งผิดกฎหมายทุกรูปแบบ และถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผู้ชายวัยยี่สิบสี่ยังคงต่อยตีและไฝว้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็คืออนาคตของเด็กน้อยผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุล 'พุ่มสะอาด'

สิ่งที่ต้องทำต้องสู้วันนี้ ไม่ใช่การไปสู้รบปรบมือกับใคร แต่สู้กับการหาเงิน สู้กับสิ่งที่ต้องทำเพื่อลูก เพราะเราไม่รู้ว่ากระแสเราจะหายไปตอนไหน เราอยู่ได้เพราะกระแส เรายังมีคนที่ยังคอยให้กำลังใจ ยังมีคนที่คอยช่วยเหลือ สักวันหนึ่งถ้ามันหมดไปล่ะ มันจะเป็นยังไง ผมก็คิดไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง

และที่สำคัญ ชีวิตเราแม่งก็เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย เราไม่รู้ว่ามีใครหมั่นไส้เราบ้าง บางทีเดินเจอกันบนทางเปลี่ยว มันอาจจะยิงเราเปรี้ยงก็ได้ ใครจะไปรู้


คลิปจากรายการ "เน วัดดาว ONTV" ทางช่องซูเปอร์บันเทิง






เรื่อง : รัชพล ธนศุทธิสกุล, สรวัจน์ ศิลปโรจนพาณิช
ภาพ : ปวริศร์ แพงราช
ขอบคุณรายการ “เน วัดดาว ONTV” ช่องซูเปอร์บันเทิง สำหรับการเอื้อเฟื้อเวลาและสถานที่
กำลังโหลดความคิดเห็น