ความเดิมตอนที่แล้ว อ่าน
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟเจอาร์ อินะริ จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
ลมฟ้าอากาศบางทีก็เอาแน่ เอานอนไม่ได้ เหมือนดั่งใจคน ใจผม ใจคุณ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ต่างแต่ใจมนุษย์นั้นหากยังมี วุฒิภาวะ และสติ ก็จะสามารถข่มอารมณ์ที่ขุ่นมัว และช่วยให้มันไม่เลวร้ายลงกว่าเดิมได้ ... (ทำเป็นพูดเท่ๆ)
รถไฟข้ามเมืองจากนาระ ขับเคลื่อนมาถึงสถานีอินะริ ตำบลฟุชิมิ เมืองเกียวโต ใช้เวลาราวๆ ๔๐ นาที ในบรรยากาศท้องฟ้าขมุกขมัวด้วยเมฆหมอก ตัวสถานีนี่บ่งบอกถึงตัวสถานที่สำคัญของพื้นที่มาก เสาค้ำหลังคาถูกทาสีให้คล้ายกับเสาโทริอิประจำศาลเจ้า ถ้าเห็นแบบนี้นั่นก็หมายความว่า มาถึงศาลเทพเจ้าจิ้งจอกแล้ว ... อย่างที่บอกครับว่า งวดนี้เราจะพามาเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยส่วนใหญ่ถ้ามาเที่ยวเกียวโตก็ต้องมาที่นี่ มาทำไม ณ เวลานี้ ผมก็ยังไม่รู้ ฮ่าๆๆ
“ศาลเจ้าฟุชิมิ อินะริ” (Fushimi Inari Taisha) เป็นศาลเจ้าในพุทธศาสนาลัทธิชินโต บ้างก็ว่า แต่เดิมศาลเจ้าอยู่บนภูเขาอินะริยะมะ มาตั้งแต่ พ.ศ.๑๒๕๔ ต่อมาในยุคเฮอัน ได้รับการยกสถานะให้เป็น ศาลเจ้าในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยในปี ๑๕๐๘ สมเด็จพระจักรพรรดิ์ มุระคะมิ (Murakami) ได้มีคำสั่งให้เขียนพระราชสาสน์เหตุการณ์ที่สำคัญเพื่อส่งไปยังเทพเจ้าผู้พิทักษ์ แต่ว่าตัวอาคารหลักๆ เพิ่งถูกสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๐๔๒ เอง
จากสถานีรถไฟเดินข้ามถนนมาก็ถึงศาลเจ้า ถือว่าใกล้มากๆ เราเดินเข้ามาถึงด้านหน้าซุ้มประตูตัววิหารหลัก จะเห็นเสาโทริอิขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนเป็นทางเข้าศาล เรียกว่า โรมง (Romon) เสานี้แต่เดิมได้รับการบริจาคมาจากไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่แห่งโอซาก้า ฮิเดะโยะชิ โตโยะโตะมิ (Toyotomi Hideyoshi) เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๒ เชียวนะ ซึ่งต่อมาพวกพ่อค้า เศรษฐี และผู้ปกครอง ก็ต่างกันมาบริจาค โดยเชื่อกันว่าจะช่วยพาวิญญาณไปสู่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าอินาริหลังเสียชีวิต และที่เห็นเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของที่นี่คงหนีไม่พ้นหมาป่า สัตว์คู่กายของเทพเจ้า เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ในผลิตผลทางการเกษตร
สีของศาลเจ้าดูสดใสจริงๆ ครับ ซุ้มประตูมีเทพเจ้าอยู่ด้านข้างฝั่งละองค์ เป็นทางเข้าสู่ศาลา และวิหารหลัก ล้วนถูกทาด้วยสีแดงส้มสวยไปหมด ในวิหารเราก็สักการะได้เพียงแค่ด้านนอกเท่านั้น ตรงนี้ผมเห็น ๓ สาว ที สเกิร์ต (พูดซะดักแก่เลย) ไม่ใช่ครับ ๓ สาว ในชุดกิโมโน หรือยูกะตะ อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ดูหน้าแล้วน่าจะสัญชาตินิฮงแน่ๆ กำลังยืนไหว้เทพเจ้า ผมก็ไม่พลาดที่จะขอพวกเธอถ่ายรูป ก่อนจะแยกจากกัน รอบนอกก็มีร้านขายวัตถุมงคล และให้เช่าเสาโทริอิต้นน้อยๆ เพื่อเขียนคำขอพรส่งถึงเทพเจ้า รวมทั้งเช่าจิ้งจอกมาวางเพื่อบูชาด้วย
ว่าแต่ไหนล่ะจุดที่มีเสาโทริอิเยอะแยะมากมาย ...
สอบถามได้ความว่า ต้องเดินไปตามทางด้านหลังของวิหาร ผมก็ไม่รอช้าก้าวเท้าต่อ เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ผ่านศาลเจ้าเล็กน้อยรายทางที่ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีเทพเจ้าอะไรบ้างนะ แต่ทรงสวยดี พร้อมต้นไม้ข้างทางที่เปลี่ยนสีเหลือง ส้ม ตามสภาพภูมิอากาศ จนในที่สุดก็เจอครับ ทางเข้าสู่แลนด์มาร์คของศาลจิ้งจอก ดงเสาสีส้มเรียงรายเป็นแถวแนวบังคับให้เดินตามทาง จากต้นใหญ่ ไปสู่สามแยกต้นขนาดกลาง สูงประมาณ ๓ เมตรได้ แต่ละต้นสลักภาษาญี่ปุ่นทิ้งไว้ เห็นเขาว่าเป็นชื่อของผู้บริจาคเสาเหล่านี้
พอเดินมาสุดทางก็เจอศาลาแห่งหนึ่ง มีคนใส่ชุดแบบเจ้าหน้าที่ศาลเจ้ากำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง ตรงนี้ก็มีแผ่นไม้รูปสามเหลี่ยมทรงหน้าจิ้งจอกให้ผู้ศรัทธาได้เขียนคำขอพร แต่ด้วยความเป็นดินแดนแห่งมังงะ เขาก็ทำอีกด้านนึงเป็นสีขาวเพื่อให้ได้โชว์ฝีไม้ลายเส้นวาดรูปหน้าจิ้งจอกตามจินตนาการของตนเอง ภายใต้เงื่อนไขที่ปรากฏคือเส้นคิ้วสีดำ และหูสีส้ม พิมพ์เอาไว้
ยืนชมผลงานศิลปะของชาวบ้านแล้วก็เริ่มคิดว่า เออ ถ้ามีสักวัดบ้านเราเกิดไอเดียกระฉูดให้ทำแบบนี้บนแผ่นกระเบื้องที่ประดับวิหาร ศาลา แทนที่จะเขียนแค่ชื่อ นามสกุล ของตนนี่จะเป็นยังไงบ้างหนอ ... ได้แต่คิดพอครับ ... เดินทางต่อดีกว่า เราต้องขึ้นไปอีกเรื่อย ผ่านเสาต้นแล้วต้นเล่า จนไปถึงทางแยก มีป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ระบุทางที่จะเดิน ผมก็เข้าไปดู แล้วก็พบว่า ... นี่ เราเพิ่งมาถึงแค่ต้นทางเองนะ!! ยังต้องเดินไปอีกหลายกิโลกว่าจะถึงยอดเขา โอ้... ทำไมเราไม่รู้มาก่อนเลยฟะ!! .. ถือว่าเป็นการทำการบ้านมาได้กากมากจริงๆ
ว่าแล้วก็ตัดสินใจกลับดีกว่า หากเราจะยังเดินต่อ ก็คงไม่ได้ไปเที่ยวที่อื่นแน่ๆ ... ขณะที่ลงมาก็ยังมีนักท่องเที่ยวขึ้นสวนไปอย่างต่อเนื่อง แม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเย็นแต่บรรยากาศก็ไม่ได้คึกคักลดลงนัก บริเวณรอบศาลก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกทั้งแมวนางกวัก ตัวดารุมะ รวมทั้งร้านอาหารมากมาย ที่เห็นแล้วอยากจะเสียค่าใช้จ่ายก็คือพวกปลาไหลย่าง กลิ่นนี่โอ้ยยยยยย ได้แต่กลืนน้ำลาย ฮ่าๆๆๆ ที่ขาดไม่ได้คือร้านขนมของฝาก ที่เขาแนะนำคือข้าวเกรียบเซมเบ้รูปจิ้งจอก บนถนนที่เดินไปสู่สถานีรถไฟเคย์ฮัง ฟุชิมิ อินะริ นี่มีเจ้าดังอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้ซื้อแหะ ไปหลงกินโมจิย่างแทนครับ เขาปั้นเป็นลูกกลมๆ ย่างในเตาทำทาโกยากิ มีไส้ด้วย ก็คือไส้ถั่วแดงบด กับไส้โชยุหวาน ผมก็ซื้อมา ๓ ลูก ๒๕๙ เยน ลองชิมไปคำแรก อื้ม... แก้หิววะ
ผมตาม ๓ สาวกิโมโนมาจนถึงสถานีรถไฟ เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว ... ผมต้องมาขึ้นที่สถานีนี้อยู่แล้วต่างหาก แอบรู้สึกว่า ชานชาลานี้สวยกว่าของเจอาร์แหะ และเหตุที่ต้องใช้รถไฟเส้นนี้เพราะผมจะต้องไปลงสถานีเคย์ฮัง คิโยะมิซุ โกโจ เพื่อเดินต่อไปยังอีกจุดหมายที่สำคัญของเมือง รถไฟของยี่ห้อนี้ดูไม่ค่อยใหม่นัก ที่นั่งเป็นแถวยาวติดกับหน้าต่าง หันหน้าเข้าหากัน เผอิญตอนเข้าไปนั่งได้เจอ ๖ สาวในชุดกิโมโนด้วย เลยได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก (อีกแล้ว)
ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดเทียบชานชาลา ผมลงจากรถมาแล้วก็เดิน เดิน เดิน ต่อ ตามถนนโกโจ ไปเรื่อยๆ พลางดูแผนที่ไปด้วย เพราะกลัวจะหลงทาง จากตรงนี้ไปประมาณเกือบ ๒ กิโลเมตรก็จะถึงวัดสำคัญ ซึ่งมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวเข้าซอยแล้วไปเรื่อยๆ ระหว่างทางนี้เจอชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งใส่ชุดประจำชาติเดินอยู่ ก็พลางนึกในใจว่า ถ้าคนในชาติเราสวมแบบนี้อย่างไม่เคอะเขินเวลาไปศาสนสถานก็คงจะดีไม่น้อย
ผมลัดเลาะมาจนถึงส่วนด้านข้างทางเข้า “วัดคิโยะมิซุ” (Kiyomizu-dera) พอขึ้นบันไดมาก็เจอกับฝูงชนที่หลั่งไหลกันเข้ามายังภายในวัดจนเต็มไปหมด ทางด้านหน้านี้จะมีซุ้มประตูสีส้มอยู่ด้วย เขาเรียกว่า ซุ้มประตูเทวา พอขึ้นมาแล้วมองหันหลังกลับไปก็จะเห็นร้านค้ามากมายเรียงรายขายของอยู่ในตรอก บนเนินเขาที่มีฉากหลังเป็นอาคารสูงและบ้านเรือนในกรุงเกียวโต มันก็แปลกตาดี ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็น หอระฆัง ขวามือมีเจดีย์ ๓ ชั้นที่ถูกปิดซ่อมบำรุงอยู่ เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะพบกับศาลาซุยงุ (Zuigu) ดูลักษณะเหมือนน่าจะเป็นที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ไหว้นะ ติดกันมีอาคารสีส้มชื่อหอไคซาน (Kaizan) พอผ่านตรงนี้มาก็จะพบกับวิหารหลัก
วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศบูรพาของกรุงเกียวโต บนทางขึ้นภูเขาโอโตะวะ สร้างเมื่อ พ.ศ.๑๓๒๑ แต่ต่อมาก็ถูกไฟไหม้หลายครั้งเหลือเกิน จนกระทั่งในยุคของโชกุน อิเอะมิตสึ โทคุงะวะ (Tokugawa Iemitsu) จึงได้มีบัญชาให้สร้างขึ้นจนเป็นอย่างที่เห็นนี้ในราวปี ๒๑๗๔ - ๒๑๗๖ จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ก็คือตัววิหารแห่งนี้ ที่น่าอัศจรรย์คือเขาได้ใช้ไม้ฮิโนะกิ หรือไซปรัสญี่ปุ่น กว่า ๔๑๐ แผ่นสร้างนั่งร้านต่อเติมตัววิหารที่อยู่บนเชิงเขาให้มีระเบียงออกมาซึ่งมีความสูงกว่า ๑๒ เมตร โดยไม่ได้ใช้ตะปู จนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้ชัดเจน และวัดคิโยะมิซุนี้ก็ได้ถูกจัดเป็น ๑ ในอุทยานประวัติศาสตร์กรุงเกียวโต ของยูเนสโก เช่นกัน
เคยมีตำนานความเชื่อในสมัยเอโดะว่า ใครสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วรอดชีวิตได้ สิ่งใดที่ปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผล จนเป็นที่มาของวลี "กระโดดจากระเบียงวัดคิโยะมิซุ" ซึ่งหมายความว่า "ตัดสินใจกะทันหัน" โดยพบมีการบันทึกจำนวนผู้มากระโดดรวม ๒๓๔ คน และรอดชีวิตไปได้ร้อยละ ๘๕.๔ ซึ่งสันนิษฐานว่า ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่อาจกระโดดในช่วงที่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่มากก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ได้มีบันทึกไว้นะว่า หลังจากรอดชีวิตแล้วคำปรารถนาสัมฤทธิ์ผลจริงหรือไม่ ในปัจจุบันทางวัดได้ห้ามไม่ให้กระโดดแล้ว .. ถึงไม่ห้าม ผมก็ไม่กระโดดหรอกนะ ฮ่าๆๆๆ
เมื่อมาถึงจุดนี้เราต้องเสียค่าผ่านประตูเป็นเงิน ๓๐๐ เยน เพื่อเดินเข้าไปสู่ภายใน ตัวอาคารไม้ดูขลังดีที่เดียวครับ ไม่ได้ทาสีอะไรเพิ่ม มีจุดน่าตื่นตาตื่นใจอันแรกคือ ท่อนเสาเหล็กที่ตรงยอดถูกดัดให้โค้งคล้ายดอกบัวพร้อมห่วงเหล็ก เหมือนที่เคยเห็นในหนังเวลาที่พวกเจ้าอาวาสใช้กัน กับรองเท้าเกี๊ยะเหล็กโบราณ ให้ได้ลองยกขึ้นเล่นๆ กัน ผมก็ไปลองครับ ตัวท่อนเสานี่เลิกคุยเลยครับ หนักบรรลัยโลก ส่วนเกี๊ยะนี่ก็ยกขึ้นแต่น่าจะหลายสิบกิโลอยู่ นี่ถ้าสมัยก่อนเขาใช้กันจริงก็ต้องยกนิ้วโป้งให้เลย โอ้โห ...
เดินมาจนถึงภายในใจกลางวิหาร คนก็แห่ไปถ่ายรูปตรงระเบียงกันยกใหญ่ เพราะวิวตอนนี้กำลังสวยนัก พระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ท่ามกลางสายฝนปรอยๆ นี่ถือเป็นครั้งแรกของผมที่ได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ญี่ปุ่นด้วย พอถ่ายรูปเสร็จ เราก็มองเข้าไปในตัววิหาร เห็นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในนั้น แต่ไม่ยักกะมีใครเข้าไปเลย .. เอ๊ะ หรือว่าเขาจะไม่ให้เข้า พยายามเพ่งเข้าไปเห็นมีคนธรรมดาเข้าไปได้นิ ว่าแล้วผมก็ไม่รอช้า ถอดรองเท้ารีบเดินตรงไปด้านในที่ดูมืดๆ เหมืองมีเพียงแสงเทียนเท่านั้นที่ส่องให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวมนุษย์ ยิ่งเข้าใกล้ก็ได้เห็นรูปสลักของบรรดาเทพต่างๆ ตามความเชื่อของชาวนิฮง อยู่รายล้อมรูปปั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ โบราณวัตถุสำคัญ ให้ความรู้สึกตอนนี้ที่ดูสงบ เยือกเย็น และดุดัน มันบรรยายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ผมรู้เพียงแค่ว่า ผมโชคดีที่ได้เข้ามาจริงๆ
เสมือนจิตใจได้ผ่อนคลายลงไปชั่วครู่เลยทีเดียว ...
ผมค่อยๆ ออกมาจากวิหาร ด้านนอกเห็นมีคนยืนเสี่ยงเซียมซีกัน ไอ้เราก็อยากลองดูบ้าง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยครับ ปกติผมจะไม่ค่อยชอบดูดวงสักเท่าไหร่นัก เซียมซีของเขาอยู่ในกล่องไม้ให้เราเขย่าๆ จนกว่าไม้ทรงกลมที่คล้ายตะเกียบจะหล่นออกมา ผมก็ลองเขย่าๆ จนมีไม้แท่งหนึ่งร่วงหล่น เสร็จสรรพก็หยิบให้เจ้าหน้าที่ พี่แกตรวจดูแล้วจึงรีบนำใบเซียมซีมาให้อ่าน แต่... เป็นภาษาญี่ปุ่น ... แล้วยังไงดี ... คิดในใจ เก็บไว้เอาไปให้น้องที่รู้จักช่วยแปลให้ดีกว่า แต่จู่ๆ ก็นึกยังไงไม่รู้ให้กลับไปถามเขาว่า มันแปลว่าอะไร? ลุงแกหยิบแผ่นกระดาษคล้ายชาร์ตระบุภาษาอังกฤษมาให้แล้วแกก็ไล่ไปจากบนลงล่าง แน่นอนด้านบนสุดมันคือคุณโชคดีมากๆ แกก็เอานิ้วไล่มาเรื่อยๆ ผมก็ลุ้นๆๆ จนมาหยุดที่อันท้ายสุด ... ซึ่งแปลว่า ซวยโคตรๆ ...
โอ้ มิน่าล่ะ ทั้งทริปที่ผ่านมานี่เจอแต่อะไรก็ไม่รู้.............
ความคิดที่จะเอากลับมาแปลที่ไทยเลิกล้มไปทันใด แล้วถามลุงแกว่า พอจะมีทางใดแก้เคล็ดได้บ้าง แกก็บอกให้เอาใบเซียมซีไปอธิษฐานขอพรให้ร้ายเป็นดีแล้วไปผูกไว้ตรงราวเหล็กที่เขาผูกๆ กันตรงด้านนอก ผมนี่รนเลยครับ ทำไมแม่นอย่างนี้... พอเสร็จพิธี ก็ยังรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่ เลยตัดสินใจซื้อเครื่องรางของที่วัดมาด้วยอีกหนึ่งชิ้น ทั้งๆ ที่ไปวัดหรือศาลเจ้าไหนก็ไม่ได้สนใจเลย ปฏิกิริยาตอบโต้นี้รุนแรงจริงๆ
ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เหมือนกับเวลาที่กำลังจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ผมเดินไปตามทางไปสู่เขาอีกด้านที่มองเห็นตัววิหารอย่างชัดแจ้ง แล้วก็บ่นในใจว่า ทำไมตอนพระอาทิตย์ตกดินไม่มายืนอยู่ตรงนี้วะ!! แล้วก็เดินลงมาสู่ด้านล่างจะพบกับซุ้มที่มีน้ำไหลออกมาจากรางน้ำบนหลังคา ๓ ราง ตรงนี้ล่ะคือจุดกำเนิดของชื่ออย่างเป็นไทยๆ ว่า “วัดน้ำใส” เพราะแต่ก่อนวัดนี้สร้างกันตรงที่มีน้ำตกลงมา เขาก็เลยเรียกว่า วัดวารีบริสุทธิ์ ถ้าใครได้ดื่มแล้วจะมีสุขภาพดี แหม่ มาถึงที่นี่แล้วก็ต้องลองกันสักหน่อย แต่พอเห็นคิวที่บรรดาเด็กนักเรียน ม.ปลาย ยืนต่อแถวกันแล้วถึงกับถอดใจ จะยาวไปไหน แถมฝนก็ตกหนักขึ้น เลยขออำลาดีกว่า ...
จริงๆ วัดนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างเช่น สวนโจจุอิน (Joju-in) หรือ สวนพระจันทร์ ,หินสลักเทพผู้ปกป้องเด็กๆ และที่ถือว่าพลาดสุดๆ ก็คือ ศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) แห่งเทพโอะคุนินุชิ (Okuninushi) เทพแห่งความรักและเนื้อคู่ เขามีธรรมเนียมว่า หากสามารถหลับตาเดินจากก้อนหินแห่งความรักก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งที่ห่างกัน ๑๘ เมตรได้ จะสมปรารถนาในความรัก
ผมลงมาตรงด้านหน้าทางเข้าเห็นคนยืนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อที่จะรอให้เจ้าหน้าที่ปล่อยให้เข้าไปภายในวัด ในรอบกลางคืน ที่ปีนึงจะเปิดให้เข้าชมแค่ไม่กี่ครั้ง โดยจะมีการประดับไฟแสงสีให้เข้ากับบรรยากาศ ส่วนทางของผมยังต้องเดินกันต่อไปไปบนถนนที่เขาขายของกันหน้าวัด นั่นคือซอยมัตสึบะระ ถ้าเราเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะไปออกถนนใหญ่ได้ แต่นั่นก็จะไม่ได้พบกับอีกไฮไลต์สำคัญของที่นี่ นั่นคือ “ตรอกนิเนน ซาคะ และซังเนน ซะคะ” (Ninen-zaka & Sannen-zaka) คะเนเอาได้ว่า จากหน้าวัดเดินไปเจอสามแยก จะเห็นซอกเล็กๆ ด้านขวามือมีทางลงไป นั่นล่ะครับคือตรอกโบราณที่ว่า เพราะนอกจากจะคงไว้ซึ่งบ้านเรือนแบบยุคสมัยก่อนแล้วยังมีร้านค้าทั้งของที่ระลึก และอาหารอร่อยมากมายด้วย
แต่ฟ้ามืดอย่างนี้หลายร้านเลยเริ่มปิดเป็นธรรมดา แถมฝนยังตกด้วย ผมว่าจะหาของกินเลยไม่ได้มีโอกาส ยังดีที่เส้นทางผ่านร้านโคร๊อกเก้ต์ที่วางแผนว่าจะกินยังเดอยู่ เลยได้สอยมา ๑ ชิ้น ก่อนรีบจ้ำอ้าวฝ่าสายฝน และบรรยากาศที่เงียบสงัด ถ้าไม่มีแสงจากเสาไฟนี่คงนึกว่าเราหลุดเข้ามาอยู่ในอีกยุคนึงของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกระมัง เดินดุ่ยๆๆ จนถึงถนนใหญ่ ฮิงะชิ โอจิ ยืนงงอยู่สักพัก นี่เราอยู่ที่ไหนหว่า ก่อนเทียบพื้นที่กับแผนที่ตัวเอง โอเค แม้ออกจากซอยมาผิด แต่โผล่มาถนนที่ถูก สามารถเดินทางต่อได้ ก็ถือว่าไม่หลงแล้ว
คราวนี้ผมก็เดินไป ดูรูปภาพปากซอยทางเข้าสถานที่สุดท้ายของทริปที่ปริ้นท์มาในแผนที่เป็นระยะๆ จนมาเจอทางเข้าจนได้ ผมกำลังจะไปย่าน “กิอง” (Gion) แหล่งเกอิชา อันเก่าแก่ของเมือง พูดถึงเกอิชา ก็ต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่าพวกเธอมีหน้าที่ให้ความบันเทิงแสดงศิลปะญี่ปุ่น ทั้งร้องและรำ และอื่นๆ แต่ไม่ใช่การค้าบริการทางเพศแบบที่เคยเข้าใจกันนะ ไม่ใช่เลยล่ะ ซึ่งที่นี่เขาจะเรียกว่า เกอิโกะ ส่วนที่เป็นเด็กน้อยเพิ่งเริ่มงานจะเรียกว่า ไมโกะ และซอยที่ผมเดินมากำลังจะพาไปสู่แหล่งที่ถือเป็นย่านร้านน้ำชาโอจายะ ที่ชื่อถนนฮานะมิ โคะจิ (Hanami-koji) และแน่นอนว่า ร้านที่มีเกอิโกะ โชว์นั้น ราคาคงไม่เหมาะกับทรัพย์ในกระเป๋าตังค์ผม จึงหวังไว้ว่าจะขอแค่ได้ถ่ายรูปพวกเธอขณะเดินอยู่บนถนนก็ยังดี
แต่ทว่า ... ด้วยเส้นทางที่มืดและมึนงง ทำให้ผมเลี้ยวเข้าผิดซอยครับ!! เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนโผล่เกือบถึงทางเข้าของถนนสายนี้ เพิ่งมารู้ความจริงก็เมื่อมาถึงปากซอยแล้วหันหลังกลับไปมอง โอ้ พระเจ้า นี่ชั้นทำอะไรลงไปเนี่ยยยย ฝนก็ตกอยู่นั่นแหละ ให้ตายเถอะจอร์จ
เริ่มเกิดอาการเซ็ง เลยเดินไปหาอะไรกินดีกว่า ตามแผนที่ของผมระบุว่า แถวนี้มีร้านชาเขียวดังๆ อยู่ เลยต้องสำรวจเสียหน่อย เดินไม่นานนักก็เจอจนได้ ร้านนี้มีชื่อว่า “กิอง สึจิริ”(Gion Tsujiri) ที่ว่าเริ่มขายชากันมาตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๐๓ เลยทีเดียว ส่วนเมนูที่ผมจะกินก็คือ ไอติมชาเขียว ราดด้วยน้ำชาเขียวนม โรยแผ่นแป้งอบกรอบรสชาเขียว พอได้ชิมนี่ลืมเหนื่อยเลย รสชาติมันถึงใจถึงอารมณ์มาก ชาเขียวแท้ๆ แม้ไม่ทาอะไร ยากที่จะบรรยายจริงๆ
ได้พักตรงนี้สักนิดนึงก็ถึงเวลาลุยกันต่อกับย่านเกอิโกะอีกจุดหนึ่ง อยู่อีกฝั่งถนน นั่นคือโซนแถวคลองชิระคะวะ ที่นี่ก็ช่างเงียบสงัดเสียเหลือเกิน จนดูเหมือนเป็นบ้านเรือนธรรมดาไม่ใช่ร้านอาหาร และมันจะโรแมนติคมากถ้าฝนไม่ตกลงมาด้วย ... น่าเสียดายจริงๆ จึงได้แต่เดินวนเล่นสักรอบแล้วไปซื้อของฝากกันครับ เขาว่ามากรุงเก่าก็ต้องกินของดั่งเดิม ก็เลยไปแวะร้าน “อิซัตสึ ยัตสึฮะชิ ฮงโปะ” (Izutsu Yatsuhashi Honpo) ร้านของฝากเก่าแก่ที่เริ่มกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ เลยทีเดียว ส่วนใหญ่ก็จะมีอะไรดูแปลกๆ ตา เช่น ขนมแผ่นสีไม้คล้ายกระเบื้อง พอกินแล้วเป็นรสอบเชย ,ขนมโดรายากิ ,ขนมแผ่นสามเหลี่ยมดูเหนียวๆ คล้ายไดฟุกุ มีไส้ด้วย , ขนมคล้ายอาลัวร์บ้านเรา อันนี้คือสิ่งที่สอยกลับมา ราคาก็สูงใช่เล่นเลยครับ
ออกมาจากร้านของฝากก็มุ่งหน้าสู่ย่านของกินที่ชื่อ “ปงโตะ โจ” (Ponto Cho) เป็นตรอกเล็กๆ อยู่ติดแม่น้ำคาโมะ เขาว่าที่นี่มีเกอิชาด้วยแต่ผมไม่ยักกะเห็นเลยแหะ เดินสำรวจร้านรวงต่างๆ นี่ถึงกับอึ้งไปเลย ราคามหาโหดไม่เหมาะกับผมอีกแล้ว... เลยได้แต่มองแล้วหันกลับหลัง กลับไปลุยเอาดาบหน้าแถวที่พักเราดีกว่า ...
พูดถึงก็เสียดายเหมือนกัน เวลาแค่วันครึ่งสำหรับผมแล้วคงไม่สามารถสำรวจเกียวโตได้ครบ เพราะที่นี่มีอีกหลายแห่งที่น่าค้นหา น่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับมันให้นานกว่าที่เป็น ในความรู้สึกซึ่งสัมผัสได้ว่า คงต้องมีอะไรให้เราค้นหาแน่ๆ ไม่ใช่แค่ตัวเมือง แต่รอบนอกเองก็มีอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ... น่าเสียดายจริงๆ
ว่าแล้วก็บึ่งไปขึ้นรถไฟที่สถานีฮันคิว คาวะระมะจิ นั่งยาวๆ ชิลล์ๆ ไปจนถึงปลายทาง ... ที่ที่เราจะใช้ซุกหัวนอนและต้องอยู่ผจญภัยในอีกไม่กี่วันสุดท้าย ... กับที่นี่ ... จังหวัดโอซาก้า
อ่านต่อฉบับหน้า ...
ที่มาบางส่วน: http://www.japan-guide.com/e/e3915.html , http://www.kiyomizudera.or.jp/lang/01.html, http://www.japan-guide.com/e/e3902.html ,http://gion-east.jp/en/gion-east/ , http://www.giontsujiri.co.jp/gion/about/ ,http://www.yatsuhashi.co.jp/company/history.html ,วิกิพีเดีย
Alone in Tokyo ๑.๐: สู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย
Alone in Tokyo ๑.๑: ฟูจิซังไกลลิบๆ ที่ภูเขาทะคะโอะ
Alone in Tokyo ๑.๒ : สึคึจิ ตลาดปลา ใครเขาก็มากัน
Alone in Tokyo ๑.๓ : ยังกับหลุดไปในยุคเอโดะ!!
Alone in Tokyo ๑.๔ : ในความงามนั้นมีความเศร้า
Alone in Tokyo (จบภาค ๑): กรุงเทพน่าจะมีป่าแบบนี้บ้างเนอะ!!
Alone in Kyoto ๑.๐ : ฝ่าดงไผ่ นั่งรถไฟ ชมใบไม้เปลี่ยนสี
Alone in Kyoto ๑.๑ : กว่าจะถึงวัดศาลาทอง (คินคะคุจิ)
Alone in Nara : เขาสวนกวางในวันฝนพร่ำ
๑ ธันวาคม ๒๕๕๗ : สถานีรถไฟเจอาร์ อินะริ จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น
ลมฟ้าอากาศบางทีก็เอาแน่ เอานอนไม่ได้ เหมือนดั่งใจคน ใจผม ใจคุณ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ต่างแต่ใจมนุษย์นั้นหากยังมี วุฒิภาวะ และสติ ก็จะสามารถข่มอารมณ์ที่ขุ่นมัว และช่วยให้มันไม่เลวร้ายลงกว่าเดิมได้ ... (ทำเป็นพูดเท่ๆ)
รถไฟข้ามเมืองจากนาระ ขับเคลื่อนมาถึงสถานีอินะริ ตำบลฟุชิมิ เมืองเกียวโต ใช้เวลาราวๆ ๔๐ นาที ในบรรยากาศท้องฟ้าขมุกขมัวด้วยเมฆหมอก ตัวสถานีนี่บ่งบอกถึงตัวสถานที่สำคัญของพื้นที่มาก เสาค้ำหลังคาถูกทาสีให้คล้ายกับเสาโทริอิประจำศาลเจ้า ถ้าเห็นแบบนี้นั่นก็หมายความว่า มาถึงศาลเทพเจ้าจิ้งจอกแล้ว ... อย่างที่บอกครับว่า งวดนี้เราจะพามาเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่คนไทยส่วนใหญ่ถ้ามาเที่ยวเกียวโตก็ต้องมาที่นี่ มาทำไม ณ เวลานี้ ผมก็ยังไม่รู้ ฮ่าๆๆ
“ศาลเจ้าฟุชิมิ อินะริ” (Fushimi Inari Taisha) เป็นศาลเจ้าในพุทธศาสนาลัทธิชินโต บ้างก็ว่า แต่เดิมศาลเจ้าอยู่บนภูเขาอินะริยะมะ มาตั้งแต่ พ.ศ.๑๒๕๔ ต่อมาในยุคเฮอัน ได้รับการยกสถานะให้เป็น ศาลเจ้าในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยในปี ๑๕๐๘ สมเด็จพระจักรพรรดิ์ มุระคะมิ (Murakami) ได้มีคำสั่งให้เขียนพระราชสาสน์เหตุการณ์ที่สำคัญเพื่อส่งไปยังเทพเจ้าผู้พิทักษ์ แต่ว่าตัวอาคารหลักๆ เพิ่งถูกสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๐๔๒ เอง
จากสถานีรถไฟเดินข้ามถนนมาก็ถึงศาลเจ้า ถือว่าใกล้มากๆ เราเดินเข้ามาถึงด้านหน้าซุ้มประตูตัววิหารหลัก จะเห็นเสาโทริอิขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนเป็นทางเข้าศาล เรียกว่า โรมง (Romon) เสานี้แต่เดิมได้รับการบริจาคมาจากไดเมียวผู้ยิ่งใหญ่แห่งโอซาก้า ฮิเดะโยะชิ โตโยะโตะมิ (Toyotomi Hideyoshi) เมื่อ พ.ศ. ๒๑๓๒ เชียวนะ ซึ่งต่อมาพวกพ่อค้า เศรษฐี และผู้ปกครอง ก็ต่างกันมาบริจาค โดยเชื่อกันว่าจะช่วยพาวิญญาณไปสู่ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้าอินาริหลังเสียชีวิต และที่เห็นเป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของที่นี่คงหนีไม่พ้นหมาป่า สัตว์คู่กายของเทพเจ้า เป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ในผลิตผลทางการเกษตร
สีของศาลเจ้าดูสดใสจริงๆ ครับ ซุ้มประตูมีเทพเจ้าอยู่ด้านข้างฝั่งละองค์ เป็นทางเข้าสู่ศาลา และวิหารหลัก ล้วนถูกทาด้วยสีแดงส้มสวยไปหมด ในวิหารเราก็สักการะได้เพียงแค่ด้านนอกเท่านั้น ตรงนี้ผมเห็น ๓ สาว ที สเกิร์ต (พูดซะดักแก่เลย) ไม่ใช่ครับ ๓ สาว ในชุดกิโมโน หรือยูกะตะ อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ดูหน้าแล้วน่าจะสัญชาตินิฮงแน่ๆ กำลังยืนไหว้เทพเจ้า ผมก็ไม่พลาดที่จะขอพวกเธอถ่ายรูป ก่อนจะแยกจากกัน รอบนอกก็มีร้านขายวัตถุมงคล และให้เช่าเสาโทริอิต้นน้อยๆ เพื่อเขียนคำขอพรส่งถึงเทพเจ้า รวมทั้งเช่าจิ้งจอกมาวางเพื่อบูชาด้วย
ว่าแต่ไหนล่ะจุดที่มีเสาโทริอิเยอะแยะมากมาย ...
สอบถามได้ความว่า ต้องเดินไปตามทางด้านหลังของวิหาร ผมก็ไม่รอช้าก้าวเท้าต่อ เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ ผ่านศาลเจ้าเล็กน้อยรายทางที่ผมเองก็ไม่ทราบว่ามีเทพเจ้าอะไรบ้างนะ แต่ทรงสวยดี พร้อมต้นไม้ข้างทางที่เปลี่ยนสีเหลือง ส้ม ตามสภาพภูมิอากาศ จนในที่สุดก็เจอครับ ทางเข้าสู่แลนด์มาร์คของศาลจิ้งจอก ดงเสาสีส้มเรียงรายเป็นแถวแนวบังคับให้เดินตามทาง จากต้นใหญ่ ไปสู่สามแยกต้นขนาดกลาง สูงประมาณ ๓ เมตรได้ แต่ละต้นสลักภาษาญี่ปุ่นทิ้งไว้ เห็นเขาว่าเป็นชื่อของผู้บริจาคเสาเหล่านี้
พอเดินมาสุดทางก็เจอศาลาแห่งหนึ่ง มีคนใส่ชุดแบบเจ้าหน้าที่ศาลเจ้ากำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง ตรงนี้ก็มีแผ่นไม้รูปสามเหลี่ยมทรงหน้าจิ้งจอกให้ผู้ศรัทธาได้เขียนคำขอพร แต่ด้วยความเป็นดินแดนแห่งมังงะ เขาก็ทำอีกด้านนึงเป็นสีขาวเพื่อให้ได้โชว์ฝีไม้ลายเส้นวาดรูปหน้าจิ้งจอกตามจินตนาการของตนเอง ภายใต้เงื่อนไขที่ปรากฏคือเส้นคิ้วสีดำ และหูสีส้ม พิมพ์เอาไว้
ยืนชมผลงานศิลปะของชาวบ้านแล้วก็เริ่มคิดว่า เออ ถ้ามีสักวัดบ้านเราเกิดไอเดียกระฉูดให้ทำแบบนี้บนแผ่นกระเบื้องที่ประดับวิหาร ศาลา แทนที่จะเขียนแค่ชื่อ นามสกุล ของตนนี่จะเป็นยังไงบ้างหนอ ... ได้แต่คิดพอครับ ... เดินทางต่อดีกว่า เราต้องขึ้นไปอีกเรื่อย ผ่านเสาต้นแล้วต้นเล่า จนไปถึงทางแยก มีป้ายแผนที่ขนาดใหญ่ระบุทางที่จะเดิน ผมก็เข้าไปดู แล้วก็พบว่า ... นี่ เราเพิ่งมาถึงแค่ต้นทางเองนะ!! ยังต้องเดินไปอีกหลายกิโลกว่าจะถึงยอดเขา โอ้... ทำไมเราไม่รู้มาก่อนเลยฟะ!! .. ถือว่าเป็นการทำการบ้านมาได้กากมากจริงๆ
ว่าแล้วก็ตัดสินใจกลับดีกว่า หากเราจะยังเดินต่อ ก็คงไม่ได้ไปเที่ยวที่อื่นแน่ๆ ... ขณะที่ลงมาก็ยังมีนักท่องเที่ยวขึ้นสวนไปอย่างต่อเนื่อง แม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงเย็นแต่บรรยากาศก็ไม่ได้คึกคักลดลงนัก บริเวณรอบศาลก็มีร้านค้าขายของที่ระลึกทั้งแมวนางกวัก ตัวดารุมะ รวมทั้งร้านอาหารมากมาย ที่เห็นแล้วอยากจะเสียค่าใช้จ่ายก็คือพวกปลาไหลย่าง กลิ่นนี่โอ้ยยยยยย ได้แต่กลืนน้ำลาย ฮ่าๆๆๆ ที่ขาดไม่ได้คือร้านขนมของฝาก ที่เขาแนะนำคือข้าวเกรียบเซมเบ้รูปจิ้งจอก บนถนนที่เดินไปสู่สถานีรถไฟเคย์ฮัง ฟุชิมิ อินะริ นี่มีเจ้าดังอยู่ด้วย แต่ผมไม่ได้ซื้อแหะ ไปหลงกินโมจิย่างแทนครับ เขาปั้นเป็นลูกกลมๆ ย่างในเตาทำทาโกยากิ มีไส้ด้วย ก็คือไส้ถั่วแดงบด กับไส้โชยุหวาน ผมก็ซื้อมา ๓ ลูก ๒๕๙ เยน ลองชิมไปคำแรก อื้ม... แก้หิววะ
ผมตาม ๓ สาวกิโมโนมาจนถึงสถานีรถไฟ เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว ... ผมต้องมาขึ้นที่สถานีนี้อยู่แล้วต่างหาก แอบรู้สึกว่า ชานชาลานี้สวยกว่าของเจอาร์แหะ และเหตุที่ต้องใช้รถไฟเส้นนี้เพราะผมจะต้องไปลงสถานีเคย์ฮัง คิโยะมิซุ โกโจ เพื่อเดินต่อไปยังอีกจุดหมายที่สำคัญของเมือง รถไฟของยี่ห้อนี้ดูไม่ค่อยใหม่นัก ที่นั่งเป็นแถวยาวติดกับหน้าต่าง หันหน้าเข้าหากัน เผอิญตอนเข้าไปนั่งได้เจอ ๖ สาวในชุดกิโมโนด้วย เลยได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก (อีกแล้ว)
ใช้เวลาไม่นานก็มาจอดเทียบชานชาลา ผมลงจากรถมาแล้วก็เดิน เดิน เดิน ต่อ ตามถนนโกโจ ไปเรื่อยๆ พลางดูแผนที่ไปด้วย เพราะกลัวจะหลงทาง จากตรงนี้ไปประมาณเกือบ ๒ กิโลเมตรก็จะถึงวัดสำคัญ ซึ่งมีป้ายบอกทางให้เลี้ยวเข้าซอยแล้วไปเรื่อยๆ ระหว่างทางนี้เจอชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งใส่ชุดประจำชาติเดินอยู่ ก็พลางนึกในใจว่า ถ้าคนในชาติเราสวมแบบนี้อย่างไม่เคอะเขินเวลาไปศาสนสถานก็คงจะดีไม่น้อย
ผมลัดเลาะมาจนถึงส่วนด้านข้างทางเข้า “วัดคิโยะมิซุ” (Kiyomizu-dera) พอขึ้นบันไดมาก็เจอกับฝูงชนที่หลั่งไหลกันเข้ามายังภายในวัดจนเต็มไปหมด ทางด้านหน้านี้จะมีซุ้มประตูสีส้มอยู่ด้วย เขาเรียกว่า ซุ้มประตูเทวา พอขึ้นมาแล้วมองหันหลังกลับไปก็จะเห็นร้านค้ามากมายเรียงรายขายของอยู่ในตรอก บนเนินเขาที่มีฉากหลังเป็นอาคารสูงและบ้านเรือนในกรุงเกียวโต มันก็แปลกตาดี ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็น หอระฆัง ขวามือมีเจดีย์ ๓ ชั้นที่ถูกปิดซ่อมบำรุงอยู่ เมื่อเดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะพบกับศาลาซุยงุ (Zuigu) ดูลักษณะเหมือนน่าจะเป็นที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ไหว้นะ ติดกันมีอาคารสีส้มชื่อหอไคซาน (Kaizan) พอผ่านตรงนี้มาก็จะพบกับวิหารหลัก
วัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศบูรพาของกรุงเกียวโต บนทางขึ้นภูเขาโอโตะวะ สร้างเมื่อ พ.ศ.๑๓๒๑ แต่ต่อมาก็ถูกไฟไหม้หลายครั้งเหลือเกิน จนกระทั่งในยุคของโชกุน อิเอะมิตสึ โทคุงะวะ (Tokugawa Iemitsu) จึงได้มีบัญชาให้สร้างขึ้นจนเป็นอย่างที่เห็นนี้ในราวปี ๒๑๗๔ - ๒๑๗๖ จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ก็คือตัววิหารแห่งนี้ ที่น่าอัศจรรย์คือเขาได้ใช้ไม้ฮิโนะกิ หรือไซปรัสญี่ปุ่น กว่า ๔๑๐ แผ่นสร้างนั่งร้านต่อเติมตัววิหารที่อยู่บนเชิงเขาให้มีระเบียงออกมาซึ่งมีความสูงกว่า ๑๒ เมตร โดยไม่ได้ใช้ตะปู จนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเมืองได้ชัดเจน และวัดคิโยะมิซุนี้ก็ได้ถูกจัดเป็น ๑ ในอุทยานประวัติศาสตร์กรุงเกียวโต ของยูเนสโก เช่นกัน
เคยมีตำนานความเชื่อในสมัยเอโดะว่า ใครสามารถกระโดดจากระเบียงวัดแล้วรอดชีวิตได้ สิ่งใดที่ปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผล จนเป็นที่มาของวลี "กระโดดจากระเบียงวัดคิโยะมิซุ" ซึ่งหมายความว่า "ตัดสินใจกะทันหัน" โดยพบมีการบันทึกจำนวนผู้มากระโดดรวม ๒๓๔ คน และรอดชีวิตไปได้ร้อยละ ๘๕.๔ ซึ่งสันนิษฐานว่า ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่อาจกระโดดในช่วงที่มีต้นไม้ปกคลุมอยู่มากก็เป็นได้ แต่ก็ไม่ได้มีบันทึกไว้นะว่า หลังจากรอดชีวิตแล้วคำปรารถนาสัมฤทธิ์ผลจริงหรือไม่ ในปัจจุบันทางวัดได้ห้ามไม่ให้กระโดดแล้ว .. ถึงไม่ห้าม ผมก็ไม่กระโดดหรอกนะ ฮ่าๆๆๆ
เมื่อมาถึงจุดนี้เราต้องเสียค่าผ่านประตูเป็นเงิน ๓๐๐ เยน เพื่อเดินเข้าไปสู่ภายใน ตัวอาคารไม้ดูขลังดีที่เดียวครับ ไม่ได้ทาสีอะไรเพิ่ม มีจุดน่าตื่นตาตื่นใจอันแรกคือ ท่อนเสาเหล็กที่ตรงยอดถูกดัดให้โค้งคล้ายดอกบัวพร้อมห่วงเหล็ก เหมือนที่เคยเห็นในหนังเวลาที่พวกเจ้าอาวาสใช้กัน กับรองเท้าเกี๊ยะเหล็กโบราณ ให้ได้ลองยกขึ้นเล่นๆ กัน ผมก็ไปลองครับ ตัวท่อนเสานี่เลิกคุยเลยครับ หนักบรรลัยโลก ส่วนเกี๊ยะนี่ก็ยกขึ้นแต่น่าจะหลายสิบกิโลอยู่ นี่ถ้าสมัยก่อนเขาใช้กันจริงก็ต้องยกนิ้วโป้งให้เลย โอ้โห ...
เดินมาจนถึงภายในใจกลางวิหาร คนก็แห่ไปถ่ายรูปตรงระเบียงกันยกใหญ่ เพราะวิวตอนนี้กำลังสวยนัก พระอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ท่ามกลางสายฝนปรอยๆ นี่ถือเป็นครั้งแรกของผมที่ได้เห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ญี่ปุ่นด้วย พอถ่ายรูปเสร็จ เราก็มองเข้าไปในตัววิหาร เห็นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในนั้น แต่ไม่ยักกะมีใครเข้าไปเลย .. เอ๊ะ หรือว่าเขาจะไม่ให้เข้า พยายามเพ่งเข้าไปเห็นมีคนธรรมดาเข้าไปได้นิ ว่าแล้วผมก็ไม่รอช้า ถอดรองเท้ารีบเดินตรงไปด้านในที่ดูมืดๆ เหมืองมีเพียงแสงเทียนเท่านั้นที่ส่องให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวมนุษย์ ยิ่งเข้าใกล้ก็ได้เห็นรูปสลักของบรรดาเทพต่างๆ ตามความเชื่อของชาวนิฮง อยู่รายล้อมรูปปั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ โบราณวัตถุสำคัญ ให้ความรู้สึกตอนนี้ที่ดูสงบ เยือกเย็น และดุดัน มันบรรยายไม่ถูกเหมือนกัน แต่ผมรู้เพียงแค่ว่า ผมโชคดีที่ได้เข้ามาจริงๆ
เสมือนจิตใจได้ผ่อนคลายลงไปชั่วครู่เลยทีเดียว ...
ผมค่อยๆ ออกมาจากวิหาร ด้านนอกเห็นมีคนยืนเสี่ยงเซียมซีกัน ไอ้เราก็อยากลองดูบ้าง นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยครับ ปกติผมจะไม่ค่อยชอบดูดวงสักเท่าไหร่นัก เซียมซีของเขาอยู่ในกล่องไม้ให้เราเขย่าๆ จนกว่าไม้ทรงกลมที่คล้ายตะเกียบจะหล่นออกมา ผมก็ลองเขย่าๆ จนมีไม้แท่งหนึ่งร่วงหล่น เสร็จสรรพก็หยิบให้เจ้าหน้าที่ พี่แกตรวจดูแล้วจึงรีบนำใบเซียมซีมาให้อ่าน แต่... เป็นภาษาญี่ปุ่น ... แล้วยังไงดี ... คิดในใจ เก็บไว้เอาไปให้น้องที่รู้จักช่วยแปลให้ดีกว่า แต่จู่ๆ ก็นึกยังไงไม่รู้ให้กลับไปถามเขาว่า มันแปลว่าอะไร? ลุงแกหยิบแผ่นกระดาษคล้ายชาร์ตระบุภาษาอังกฤษมาให้แล้วแกก็ไล่ไปจากบนลงล่าง แน่นอนด้านบนสุดมันคือคุณโชคดีมากๆ แกก็เอานิ้วไล่มาเรื่อยๆ ผมก็ลุ้นๆๆ จนมาหยุดที่อันท้ายสุด ... ซึ่งแปลว่า ซวยโคตรๆ ...
โอ้ มิน่าล่ะ ทั้งทริปที่ผ่านมานี่เจอแต่อะไรก็ไม่รู้.............
ความคิดที่จะเอากลับมาแปลที่ไทยเลิกล้มไปทันใด แล้วถามลุงแกว่า พอจะมีทางใดแก้เคล็ดได้บ้าง แกก็บอกให้เอาใบเซียมซีไปอธิษฐานขอพรให้ร้ายเป็นดีแล้วไปผูกไว้ตรงราวเหล็กที่เขาผูกๆ กันตรงด้านนอก ผมนี่รนเลยครับ ทำไมแม่นอย่างนี้... พอเสร็จพิธี ก็ยังรู้สึกใจคอไม่ดีอยู่ เลยตัดสินใจซื้อเครื่องรางของที่วัดมาด้วยอีกหนึ่งชิ้น ทั้งๆ ที่ไปวัดหรือศาลเจ้าไหนก็ไม่ได้สนใจเลย ปฏิกิริยาตอบโต้นี้รุนแรงจริงๆ
ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เหมือนกับเวลาที่กำลังจะหมดไปอย่างรวดเร็ว ผมเดินไปตามทางไปสู่เขาอีกด้านที่มองเห็นตัววิหารอย่างชัดแจ้ง แล้วก็บ่นในใจว่า ทำไมตอนพระอาทิตย์ตกดินไม่มายืนอยู่ตรงนี้วะ!! แล้วก็เดินลงมาสู่ด้านล่างจะพบกับซุ้มที่มีน้ำไหลออกมาจากรางน้ำบนหลังคา ๓ ราง ตรงนี้ล่ะคือจุดกำเนิดของชื่ออย่างเป็นไทยๆ ว่า “วัดน้ำใส” เพราะแต่ก่อนวัดนี้สร้างกันตรงที่มีน้ำตกลงมา เขาก็เลยเรียกว่า วัดวารีบริสุทธิ์ ถ้าใครได้ดื่มแล้วจะมีสุขภาพดี แหม่ มาถึงที่นี่แล้วก็ต้องลองกันสักหน่อย แต่พอเห็นคิวที่บรรดาเด็กนักเรียน ม.ปลาย ยืนต่อแถวกันแล้วถึงกับถอดใจ จะยาวไปไหน แถมฝนก็ตกหนักขึ้น เลยขออำลาดีกว่า ...
จริงๆ วัดนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างเช่น สวนโจจุอิน (Joju-in) หรือ สวนพระจันทร์ ,หินสลักเทพผู้ปกป้องเด็กๆ และที่ถือว่าพลาดสุดๆ ก็คือ ศาลเจ้าจิชู (Jishu-jinja) แห่งเทพโอะคุนินุชิ (Okuninushi) เทพแห่งความรักและเนื้อคู่ เขามีธรรมเนียมว่า หากสามารถหลับตาเดินจากก้อนหินแห่งความรักก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งที่ห่างกัน ๑๘ เมตรได้ จะสมปรารถนาในความรัก
ผมลงมาตรงด้านหน้าทางเข้าเห็นคนยืนต่อแถวยาวเหยียดเพื่อที่จะรอให้เจ้าหน้าที่ปล่อยให้เข้าไปภายในวัด ในรอบกลางคืน ที่ปีนึงจะเปิดให้เข้าชมแค่ไม่กี่ครั้ง โดยจะมีการประดับไฟแสงสีให้เข้ากับบรรยากาศ ส่วนทางของผมยังต้องเดินกันต่อไปไปบนถนนที่เขาขายของกันหน้าวัด นั่นคือซอยมัตสึบะระ ถ้าเราเดินตรงไปเรื่อยๆ ก็จะไปออกถนนใหญ่ได้ แต่นั่นก็จะไม่ได้พบกับอีกไฮไลต์สำคัญของที่นี่ นั่นคือ “ตรอกนิเนน ซาคะ และซังเนน ซะคะ” (Ninen-zaka & Sannen-zaka) คะเนเอาได้ว่า จากหน้าวัดเดินไปเจอสามแยก จะเห็นซอกเล็กๆ ด้านขวามือมีทางลงไป นั่นล่ะครับคือตรอกโบราณที่ว่า เพราะนอกจากจะคงไว้ซึ่งบ้านเรือนแบบยุคสมัยก่อนแล้วยังมีร้านค้าทั้งของที่ระลึก และอาหารอร่อยมากมายด้วย
แต่ฟ้ามืดอย่างนี้หลายร้านเลยเริ่มปิดเป็นธรรมดา แถมฝนยังตกด้วย ผมว่าจะหาของกินเลยไม่ได้มีโอกาส ยังดีที่เส้นทางผ่านร้านโคร๊อกเก้ต์ที่วางแผนว่าจะกินยังเดอยู่ เลยได้สอยมา ๑ ชิ้น ก่อนรีบจ้ำอ้าวฝ่าสายฝน และบรรยากาศที่เงียบสงัด ถ้าไม่มีแสงจากเสาไฟนี่คงนึกว่าเราหลุดเข้ามาอยู่ในอีกยุคนึงของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นกระมัง เดินดุ่ยๆๆ จนถึงถนนใหญ่ ฮิงะชิ โอจิ ยืนงงอยู่สักพัก นี่เราอยู่ที่ไหนหว่า ก่อนเทียบพื้นที่กับแผนที่ตัวเอง โอเค แม้ออกจากซอยมาผิด แต่โผล่มาถนนที่ถูก สามารถเดินทางต่อได้ ก็ถือว่าไม่หลงแล้ว
คราวนี้ผมก็เดินไป ดูรูปภาพปากซอยทางเข้าสถานที่สุดท้ายของทริปที่ปริ้นท์มาในแผนที่เป็นระยะๆ จนมาเจอทางเข้าจนได้ ผมกำลังจะไปย่าน “กิอง” (Gion) แหล่งเกอิชา อันเก่าแก่ของเมือง พูดถึงเกอิชา ก็ต้องเข้าใจก่อนนะครับ ว่าพวกเธอมีหน้าที่ให้ความบันเทิงแสดงศิลปะญี่ปุ่น ทั้งร้องและรำ และอื่นๆ แต่ไม่ใช่การค้าบริการทางเพศแบบที่เคยเข้าใจกันนะ ไม่ใช่เลยล่ะ ซึ่งที่นี่เขาจะเรียกว่า เกอิโกะ ส่วนที่เป็นเด็กน้อยเพิ่งเริ่มงานจะเรียกว่า ไมโกะ และซอยที่ผมเดินมากำลังจะพาไปสู่แหล่งที่ถือเป็นย่านร้านน้ำชาโอจายะ ที่ชื่อถนนฮานะมิ โคะจิ (Hanami-koji) และแน่นอนว่า ร้านที่มีเกอิโกะ โชว์นั้น ราคาคงไม่เหมาะกับทรัพย์ในกระเป๋าตังค์ผม จึงหวังไว้ว่าจะขอแค่ได้ถ่ายรูปพวกเธอขณะเดินอยู่บนถนนก็ยังดี
แต่ทว่า ... ด้วยเส้นทางที่มืดและมึนงง ทำให้ผมเลี้ยวเข้าผิดซอยครับ!! เดินลัดเลาะมาเรื่อยๆ จนโผล่เกือบถึงทางเข้าของถนนสายนี้ เพิ่งมารู้ความจริงก็เมื่อมาถึงปากซอยแล้วหันหลังกลับไปมอง โอ้ พระเจ้า นี่ชั้นทำอะไรลงไปเนี่ยยยย ฝนก็ตกอยู่นั่นแหละ ให้ตายเถอะจอร์จ
เริ่มเกิดอาการเซ็ง เลยเดินไปหาอะไรกินดีกว่า ตามแผนที่ของผมระบุว่า แถวนี้มีร้านชาเขียวดังๆ อยู่ เลยต้องสำรวจเสียหน่อย เดินไม่นานนักก็เจอจนได้ ร้านนี้มีชื่อว่า “กิอง สึจิริ”(Gion Tsujiri) ที่ว่าเริ่มขายชากันมาตั้งแต่พ.ศ. ๒๔๐๓ เลยทีเดียว ส่วนเมนูที่ผมจะกินก็คือ ไอติมชาเขียว ราดด้วยน้ำชาเขียวนม โรยแผ่นแป้งอบกรอบรสชาเขียว พอได้ชิมนี่ลืมเหนื่อยเลย รสชาติมันถึงใจถึงอารมณ์มาก ชาเขียวแท้ๆ แม้ไม่ทาอะไร ยากที่จะบรรยายจริงๆ
ได้พักตรงนี้สักนิดนึงก็ถึงเวลาลุยกันต่อกับย่านเกอิโกะอีกจุดหนึ่ง อยู่อีกฝั่งถนน นั่นคือโซนแถวคลองชิระคะวะ ที่นี่ก็ช่างเงียบสงัดเสียเหลือเกิน จนดูเหมือนเป็นบ้านเรือนธรรมดาไม่ใช่ร้านอาหาร และมันจะโรแมนติคมากถ้าฝนไม่ตกลงมาด้วย ... น่าเสียดายจริงๆ จึงได้แต่เดินวนเล่นสักรอบแล้วไปซื้อของฝากกันครับ เขาว่ามากรุงเก่าก็ต้องกินของดั่งเดิม ก็เลยไปแวะร้าน “อิซัตสึ ยัตสึฮะชิ ฮงโปะ” (Izutsu Yatsuhashi Honpo) ร้านของฝากเก่าแก่ที่เริ่มกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ เลยทีเดียว ส่วนใหญ่ก็จะมีอะไรดูแปลกๆ ตา เช่น ขนมแผ่นสีไม้คล้ายกระเบื้อง พอกินแล้วเป็นรสอบเชย ,ขนมโดรายากิ ,ขนมแผ่นสามเหลี่ยมดูเหนียวๆ คล้ายไดฟุกุ มีไส้ด้วย , ขนมคล้ายอาลัวร์บ้านเรา อันนี้คือสิ่งที่สอยกลับมา ราคาก็สูงใช่เล่นเลยครับ
ออกมาจากร้านของฝากก็มุ่งหน้าสู่ย่านของกินที่ชื่อ “ปงโตะ โจ” (Ponto Cho) เป็นตรอกเล็กๆ อยู่ติดแม่น้ำคาโมะ เขาว่าที่นี่มีเกอิชาด้วยแต่ผมไม่ยักกะเห็นเลยแหะ เดินสำรวจร้านรวงต่างๆ นี่ถึงกับอึ้งไปเลย ราคามหาโหดไม่เหมาะกับผมอีกแล้ว... เลยได้แต่มองแล้วหันกลับหลัง กลับไปลุยเอาดาบหน้าแถวที่พักเราดีกว่า ...
พูดถึงก็เสียดายเหมือนกัน เวลาแค่วันครึ่งสำหรับผมแล้วคงไม่สามารถสำรวจเกียวโตได้ครบ เพราะที่นี่มีอีกหลายแห่งที่น่าค้นหา น่าจะได้ใช้เวลาอยู่กับมันให้นานกว่าที่เป็น ในความรู้สึกซึ่งสัมผัสได้ว่า คงต้องมีอะไรให้เราค้นหาแน่ๆ ไม่ใช่แค่ตัวเมือง แต่รอบนอกเองก็มีอะไรที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ... น่าเสียดายจริงๆ
ว่าแล้วก็บึ่งไปขึ้นรถไฟที่สถานีฮันคิว คาวะระมะจิ นั่งยาวๆ ชิลล์ๆ ไปจนถึงปลายทาง ... ที่ที่เราจะใช้ซุกหัวนอนและต้องอยู่ผจญภัยในอีกไม่กี่วันสุดท้าย ... กับที่นี่ ... จังหวัดโอซาก้า
อ่านต่อฉบับหน้า ...
ที่มาบางส่วน: http://www.japan-guide.com/e/e3915.html , http://www.kiyomizudera.or.jp/lang/01.html, http://www.japan-guide.com/e/e3902.html ,http://gion-east.jp/en/gion-east/ , http://www.giontsujiri.co.jp/gion/about/ ,http://www.yatsuhashi.co.jp/company/history.html ,วิกิพีเดีย