คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“บิ๊กตู่” แย้ม ธรรมนูญชั่วคราวมีไม่เกิน 50 มาตรา เน้นถ่วงดุล ให้ รบ.บริหารประเทศ-คสช.ดูแลความมั่นคง!
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ เรื่องการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าจำเป็นต้องทำ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อนของข้าราชการในแต่ละองค์กร รวมทั้งต้องการให้ข้าราชการทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน พร้อมย้ำว่า “บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ทุกๆ ท่าน ไม่มีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับ คสช.แต่ประการใด เป็นบุคคลที่เติบโตและก้าวหน้ามาในองค์กรนั้นๆ เป็นหลัก”
สำหรับเรื่องธรรมนูญการปกครองชั่วคราวนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า จะมีไม่เกิน 50 มาตรา และจะมีการกำหนดเนื้อหาเพื่อให้รัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในเดือน ก.ย.สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า คงไม่สามารถใช้วิธีการบริหารราชการปกติได้ทุกเรื่องอย่างที่หลายฝ่ายต้องการ อาจต้องมีข้อจำกัดบางอย่างในธรรมนูญดังกล่าว เพื่อให้การทำงานสัมฤทธิ์ผล
ส่วนเรื่องอำนาจของ คสช.กับรัฐบาลนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า จะเป็นในลักษณะตรวจสอบถ่วงดุลกัน “เรื่องอำนาจ คสช.กับรัฐบาล มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันเท่านั้น การบริหารจะเน้นหนักให้รัฐบาลเป็นผู้บริหารราชการ ด้านความมั่นคงจะเน้นหนักให้ คสช.ดูแลรับผิดชอบ สำหรับความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่าย คือการหารือร่วม ประชุมร่วม แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลกัน มีการประชุมเมื่อจำเป็น และเสนอแนะข้อพิจารณาต่างๆ ให้รัฐบาลนำไปสู่การปฏิบัติ ในเรื่องอื่นๆ เป็นไปในลักษณะคำแนะนำที่ คสช.จะมีต่อรัฐบาล”
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามอธิบายให้สังคมเข้าใจคำว่า “ปรองดอง” กับ “การปฏิรูป” โดยย้ำว่า การปรองดองคือการสร้างสภาวะแวดล้อมเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป โดยลดความขัดแย้งลงและให้มีการพบปะพูดคุยกัน หากปรองดองไม่ได้ ก็ปฏิรูปไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นต้องหาทางออกจากความขัดแย้งให้ได้ก่อน
สำหรับการคัดสรรคนเข้าร่วมในสภาปฏิรูปนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญชวนให้ทุกภาคส่วนสมัครเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป โดยแบ่งการรับสมัครเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกรับสมัครจากทั่วไปจำนวน 550 คน แบ่งเป็น 11 กลุ่ม ส่วนที่สอง คัดเลือกจากจังหวัดต่างๆ เพื่อเป็นผู้แทนจังหวัด จังหวัดละ 5 คน รวม 380 คน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือจังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน รวมตัวเลข 2 ส่วน ประมาณ 630 คน “เสร็จแล้วจะคัดเลือกออกมาให้ได้เหลือ 250 คน ใน 250 คนก็จะแบ่งลง 11 กลุ่มให้ได้ ในกลุ่มต่างๆ จะต้องมีทุกภาคส่วนเข้าร่วม ทั้งหมดจะเป็นผลของการปฏิรูปขึ้นมา และนำเสนอสู่ที่ประชุมของสภาปฏิรูปเป็นมติออกมา ก็เสนอมาให้สภานิติบัญญัติส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เสนอไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร”
พล.อ.ประยุทธ์ บอกด้วยว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะรับข้อมูลจากทั้ง 2 ส่วน คือสภาปฏิรูป และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยรวบรวมปัญหาและข้อขัดข้องต่างๆ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข จัดทำ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เพื่อนำไปใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกพวกทุกฝ่าย และเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอีกต่อไปในอนาคต
2.สลด! พนง.รถไฟฆ่าข่มขืนเด็ก ก่อนโยนทิ้งจากโบกี้ ด้าน คสช. สั่งเด้ง “ประภัสร์” พ้นผู้ว่าการ ร.ฟ.ท.!
เมื่อคืนวันที่ 5 ก.ค.ต่อเนื่องวันที่ 6 ก.ค.ได้เกิดเหตุน้องแก้ม อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีนนทบุรี หายตัวไปจากรถไฟตู้นอน ชั้น 2 ของรถไฟขบวนรถเร็ว 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร เหตุเกิดหลังน้องแก้มโดยสารรถไฟตู้นอนดังกล่าวจาก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมญาติพี่น้อง
หลังเกิดเหตุ พี่สาวน้อมแก้ม เล่าว่า ได้ออกจากบ้านพักย่าน จ.นนทบุรี ไปหาญาติที่ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานีตั้งแต่เย็นวันที่ 3 ก.ค. โดยมีน้อมแก้มและน้องสาวคนเล็ก รวมทั้งเพื่อนชายของตนเดินทางไปด้วย ซึ่งขาไปโดยสารรถไฟตู้นอนธรรมดา และเดินทางกลับด้วยรถไฟตู้นอนชั้น 2 ขบวนที่ 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร ตู้ที่ 3 จากสถานีพุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อคืนวันที่ 5 ก.ค. โดยตนนอนเตียงล่าง เพื่อนชายนอนเตียงบนเหนือตน ส่วนน้องแก้มนอนเตียงล่าง และน้องสาวคนเล็กนอนเตียงบน ซึ่งตนหลับไปเวลาประมาณ 02.00น.วันที่ 6 ก.ค.ช่วงสถานีรถไฟหัวหิน มารู้สึกตัวอีกทีเวลาประมาณ 04.30น.ช่วงสถานีนครปฐม จึงไปปลุกน้องแก้ม แต่ไม่พบตัว ขณะที่สภาพที่นอนถูกรื้อค้น ผ้าปูที่นอนพร้อมเป้หายไป จึงแจ้งพนักงานในตู้ให้ทราบและตามหา แต่ไม่พบ เมื่อรถไฟมาถึงสถานีบางซื่อ จึงเข้าแจ้งความที่ สน.นพวงศ์
ด้านนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ได้ประชุมร่วมกับตำรวจรถไฟในวันต่อมา(7 ก.ค.) เพื่อสืบสวนคลี่คลายคดีน้องแก้มหายตัว พร้อมยืนยันว่า ร.ฟ.ท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ และว่า ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องสงสัยเป็นลูกจ้างของบริษัทที่ ร.ฟ.ท.จ้างมาทำความสะอาดบนขบวนรถไฟมาสอบปากคำและนำตัวไปตรวจร่างกายที่กองพิสูจน์หลักฐาน 4 ราย เนื่องจากพบร่องรอยบาดแผลขีดข่วนกับผู้ต้องสงสัยบางคน ส่วนการตามหาตัวน้องแก้ม ตำรวจรถไฟและ ร.ฟ.ท.จะลงพื้นที่ที่คาดว่าน้องแก้มจะหายตัวไป นายประภัสร์ ยังยืนยันด้วยว่า จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีผ้าปูที่นอนหายไป ทั้งนี้ ร.ฟ.ท.ได้ตั้งเงินรางวัล 5 หมื่นบาทสำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนพบตัวน้องแก้ม
ขณะที่นายทนงศักดิ์ พงษ์ประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ ร.ฟ.ท.บอกว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.ยังไม่พบน้องแก้ม ไม่ว่าจะเป็นสองข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่าน และกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ในสถานีใหญ่ ก็ไม่พบการขึ้นลงของน้องแก้มแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ช่วงเย็นวันเดียวกัน(7 ก.ค.) ได้มีการพบเสื้อและกางเกงของน้องแก้มที่ใส่วันสุดท้ายซึ่งเปื้อนคราบเลือด รวมทั้งพบผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเปื้อนเลือด โดยจุดที่พบอยู่บริเวณริมทางรถไฟช่วงบ้านหนองแกไปยังบ้านเขาเต่า อ.หัวหิน
จากนั้นช่วงดึกคืนเดียวกัน มีรายงานว่า นายวันชัย แสงขาว หรือเกม อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียง การรถไฟแห่งประเทศไทย 1 ใน 4 พนักงานประจำโบกี้รถไฟสายดังกล่าว ที่ถูกคุมตัวไว้สอบปากคำ ได้รับสารภาพว่า เห็นเด็กหลับอยู่จึงเข้าไปทำร้ายร่างกาย จากนั้นได้ยกร่างทิ้งออกจากหน้าต่างรถไฟ
ทั้งนี้ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างแผ่ไพศาลธรรมสถานได้พบศพน้องแก้มในช่วงเช้ามืดวันต่อมา(8 ก.ค.) โดยจุดที่พบอยู่ใกล้สถานีวังพงก์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด้านตำรวจได้คุมตัวนายวันชัย ผู้ต้องหา ไปสอบปากคำเพิ่มเติม ก่อนเปิดแถลงข่าวที่ สภ.ปราณบุรี ซึ่งเบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ขณะที่นายวันชัย ผู้ต้องหา สารภาพว่า ก่อนก่อเหตุ ได้เสพยาบ้าไป 3 เม็ด ก่อนขึ้นไปทำหน้าที่บนรถไฟ หลังจากนั้นได้นั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนจนมึนเมา ก่อนไปเปิดโบกี้ที่น้องแก้มนอนอยู่ แล้วปิดไฟในโบกี้ดังกล่าว ก่อนมุดเข้าไปหาน้องแก้มที่หลับอยู่ แล้วบีบคอพร้อมกับใช้หมอนปิดปาก และทุบท้องจนน้องแก้มไม่ได้สติ ก่อนลงมือข่มขืน 2 ครั้ง จากนั้นนายวันชัยกลัวความผิด จึงทำลายหลักฐานด้วยการโยนเสื้อผ้าน้องแก้มทิ้งทางหน้าต่าง ก่อนโยนร่างน้องแก้มตามออกไประหว่างที่รถไฟกำลังวิ่งผ่านสถานีวังก์พง อ.ปราณบุรี จากนั้นได้ค้นกระเป๋าน้องแก้ม และเอาโทรศัพท์มือถือไอโฟน 5 เอสไปขาย ส่วนของที่เหลือในกระเป๋า รวมทั้งผ้าปูที่นอน ได้โยนทิ้งทางหน้าต่าง ก่อนออกมาจากห้องโดยสารเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายวันชัย ยังสารภาพด้วยว่า เคยก่อเหตุข่มขืนพนักงานรถไฟมาแล้ว 2 ราย แต่เหยื่อไม่ได้แจ้งความ เพราะอาย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายวันชัยอ้างว่า ก่อนโยนน้องแก้มออกจากหน้าต่างรถไฟ เด็กยังมี
ลมหายใจอยู่ แต่ทาง พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวช เผยผลชันสูตรศพน้องแก้มว่า สาเหตุที่น้องแก้มเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจก่อนจะถูกโยนลงจากรถไฟ โดยพบว่าเล็บมือเล็บเท้ามีลักษณะเขียวคล้ำจากการขาดอากาศ นอกจากนี้ยังพบบาดแผลฟกช้ำตามร่างกายหลายจุด คาดว่าเกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัว พร้อมพบร่องรอยการถูกข่มขืนทั้งทางอวัยวะเพศและทวารหนัก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ตำรวจ สภ.ปราณบุรี ได้นำตัวนายวันชัย ผู้ต้องหาคดีฆ่าข่มขืนกระทำชำเรา อำพรางซ่อนเร้นศพ คดีเสพยาเสพติด และคดีลักทรัพย์ ไปขอศาลฝากขังผลัดแรก 12 วัน โดยไม่มีญาติหรือทนายมาติดต่อขอประกันตัวแต่อย่างใด ก่อนนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หลังเกิดเหตุฆ่าข่มขืนเด็กบนรถไฟ ปรากฎว่า ได้เกิดกระแสเรียกร้อง 2 อย่าง 1. เรียกร้องให้นายประภัสร์ จงสงวน รับผิดชอบด้วยการลาออกจากผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งนายประภัสร์ ยืนยันไม่ลาออก เพราะไม่มีประโยชน์ และว่า ตนควรอยู่เพื่อแก้ปัญหามากกว่า และ 2.กระแสเรียกร้องให้มีการเพิ่มโทษคดีข่มขืน ให้ประหารชีวิตสถานเดียว
ขณะที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า นายวันชัย ผู้ต้องหาคดีนี้เข้ามาทำงานใน ร.ฟ.ท. ได้อย่างไร ซึ่งนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟฯ บอกว่า ทราบจากตำรวจที่ทำคดีนี้ว่า นายวันชัยเป็นญาติกับผู้บริหาร ร.ฟ.ท.ระดับต้น ที่มีอำนาจในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยที่รู้อยู่แล้วว่านายวันชัยมีประวัติอาชญากร จึงได้กระทำการบางอย่างเพื่อไม่ให้ปรากฏว่ามีข้อมูลอาชญากรรม จึงอยากให้ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร
นายประภัสร์ ยังพูดถึงกรณีที่เคยเกิดเหตุข่มขืนบนรถไฟเมื่อปี 2544 ด้วยว่า ตนเพิ่งเข้ามาทำงานแค่ปีเศษ ทำให้ไม่ทราบข้อมูลที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ส่วนการข่มขืนพนักงานสาวตู้เสบียง 2 รายเมื่อต้นปี 2557 ทราบว่าตำรวจกำลังสืบหาผู้เสียหาย เบื้องต้นทราบว่ารายหนึ่งเป็นการสมยอม ส่วนอีกรายถูกข่มขืนจริง จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป นายประภัสร์ ยังยอมรับด้วยว่า ในฐานะคนเป็นพ่อ เมื่อเกิดเหตุการณ์กรณีน้องแก้ม ตนก็ไม่กล้าให้ลูกสาวขึ้นรถไฟเช่นกัน
ด้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้มีคำสั่งให้นายประภัสร์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การปฏิบัติงานของการรถไฟฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมมีคำสั่งแต่งตั้งนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นประธานบอร์ด ร.ฟ.ท.เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและหาคนรับผิดชอบกรณีฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ
ส่วนที่ญาติเชื่อว่าผู้ร่วมก่อเหตุฆ่าข่มขืนน้องแก้มอาจไม่ได้มีแค่นายวันชัยคนเดียวนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ตำรวจได้สอบปากคำนายณัฐกร ชำนาญ หรือหนึ่ง อายุ 19 ปี พนักงานทำความสะอาดบนรถไฟ ซึ่งร่วมดื่มเบียร์กับนายวันชัยในคืนเกิดเหตุ โดยนายณัฐกรสารภาพว่า เป็นคนดูต้นทางเพื่อให้นายวันชัยข่มขืนน้องแก้ม ตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี และให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานสอบสวน และช่วยให้ผู้อื่นกระทำผิดโดยไม่ต้องได้รับโทษ พร้อมนำตัวนายณัฐกรไปขอศาลฝากขัง ก่อนส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยขังรวมกับนายวันชัยและผู้ต้องหาสูงอายุคดียาเสพติดรายใหญ่อีก 4 ราย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุฆ่าข่มขืนเด็กบนรถไฟ หลายฝ่ายพยายามเสนอแนวทางป้องกันปัญหา เช่น การรถไฟฯ จะเพิ่มจำนวนตำรวจรถไฟ จะจัดให้มีรถนอนชั้น 2 เฉพาะสุภาพสตรี(เลดี้คาร์) อย่างน้อยขบวนละ 1 คัน ในเส้นทางเดินรถกลางคืน ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอกฎหมายห้ามขายและห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟและสถานีรถไฟ โดยจะเสนอ คสช.ในเร็วๆ นี้
3.ตร.รวบมือยิง “สุทิน ธราทิน” แล้ว พร้อมรวบการ์ด นปช.ยิงเอ็ม 79 ถล่ม กปปส.-ป.ป.ช. จ่อรวบอีกไม่ต่ำกว่า 6 คน!
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ปฏิบัติราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้แถลงผลการจับกุมอาวุธสงครามจำนวนมาก ประกอบด้วย เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี-2 จำนวน 1 กระบอก ,ลูกจรวดอาร์พีจี-2 พร้อมดินส่งจำนวน 3 ลูก ,ลูกระเบิดสังหารชนิด RGD-5 จำนวน 13 ลูก พร้อมชุดเรือนชนวนจำนวน 15 ชุด ,อาวุธปืนเอเค 47 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนจำนวน 3 ซอง ,ลูกกระสุนขนาด 40 มม.(เอ็ม 79) จำนวน 11 ลูก ,เครื่องกระสุนปืนขนาด 7.62 มม.จำนวน 127 นัด ,กระสุนปืนขนาด 11 มม.จำนวน 18 นัด และเสื้อเกราะกันกระสุน 1 ตัว โดยตรวจยึดได้ที่ห้องเช่า ภายในอาคารศรีไทยคอนโด เขตทุ่งครุ กทม.
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบห้องเช่าดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 ก.ค. พบว่านางธนัยนันท์ เติมจิตต์เจริญ เป็นเจ้าของห้อง แต่ให้ผู้อื่นเช่า ทราบตัวผู้นำอาวุธมาซุกซ่อนแล้ว เตรียมขอศาลออกหมายจับ พล.ต.อ.สมยศ เผยด้วยว่า อาวุธสงครามทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับเหตุความรุนแรงช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ซึ่งทราบขบวนการนี้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังพบหลักฐานที่สาวไปถึงตัวคนร้ายที่ก่อเหตุต่างๆ ได้ โดยเฉพาะเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ที่หน้าห้างบิ๊กซีราชดำริใกล้เวที กปปส.ราชประสงค์ ทำให้มีเด็กเสียชีวิต 2 คน รวมทั้งเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ในพื้นที่ต่างๆ และว่า ภายใน 2-3 วันนี้จะมีข่าวดี คาดว่าจะจับผู้ก่อเหตุได้ไม่ต่ำกว่า 6 คน
พล.ต.อ.สมยศ ยังแถลงผลการจับกุมนายณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม หรือตุ้ย อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลทหาร กรณีไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. โดยจับกุมได้ที่ห้องเช่า อาคารสุขสบายอพาร์ตเมนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี
ทั้งนี้ นายณรงค์ศักดิ์รับสารภาพว่า เคยก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่ต่างๆ ช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. 3 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 7 มี.ค.2557 ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่กลุ่ม กปปส.ที่หน้าตึกชินวัตร 3 ถ.วิภาวดีรังสิต ครั้งที่สอง วันที่ 27 มี.ค. ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และครั้งที่สาม วันที่ 29 มี.ค. ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่กลุ่ม กปปส.ที่ ถ.สวรรคโลก โดยใช้รถจักรยานยนต์ตระเวนก่อเหตุเพียงคนเดียว
จากการสืบสวนพบด้วยว่า นายณรงค์ศักดิ์เคยร่วมชุมนุมและเป็นการ์ดให้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยไปรับอาวุธสงครามที่ห้างอิมพิเรียล ลาดพร้าว และนำไปก่อเหตุในพื้นที่ต่างๆ ได้รับค่าจ้างในการก่อเหตุครั้งละ 3,000-4,000 บาท ทั้งนี้ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ได้เกิดเหตุระเบิดประมาณ 40 ครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจคลี่คลายได้เกือบ 10 คดี โดยเฉพาะกรณีนายณรงค์ศักดิ์ ที่ก่อเหตุคนเดียวถึง 3 ครั้ง ขณะนี้ตำรวจเตรียมขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการต่อไป
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่ พล.ท.มนัส เปาริก หรือ “เสธ.หยอย” อายุ 65 ปี อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ถูกออกหมายจับข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามฯ โดยฝ่าฝืนกฎหมายนั้น เมื่อวันที่ 8 ก.ค. พล.ท.มนัส ได้เข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนได้รับการประกันตัวใน 2 วันต่อมา(10 ก.ค.) โดย พล.ต.อ.สมยศ ให้เหตุผลที่ให้ประกันตัวว่า เนื่องจาก พล.ท.มนัสมีปัญหาเรื่องสุขภาพและมีใบรับรองแพทย์ยืนยัน อีกทั้ง พล.ท.มนัสรับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐานในคดี จึงอนุญาตให้ประกันตัวได้ แต่ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และให้มาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งวันที่ 23 ก.ค.เวลา 13.00น.
นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าคดียิงนายสุทิน ธราทิน แกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย(กคป.) เสียชีวิตขณะอยู่บนรถปราศรัยที่หน้าวัดศรีเอี่ยม จ.สมุทรปราการ ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว หลังขอศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 ก.ค.คือ นายสุรกริช ชัยมงคล โดยจับกุมได้ที่บ้านพักใน อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ทั้งนี้ จากพยานหลักฐาน ตำรวจเชื่อว่า นายสุรกริชเป็นมือปืนที่ยิงนายสุทิน แต่ผู้ต้องหายังให้การภาคเสธ โดยรับเป็นเจ้าของอาวุธปืน แต่ไม่รับว่าเป็นคนยิง ขณะนี้ควบคุมตัวไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ท.ชัยยง กีรติขจร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า การออกหมายจับนายสุรกริช เนื่องจากชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ รวมทั้งนำภาพวงจรปิด และภาพถ่ายที่มี มาดูซ้ำ ตนดูประมาณ 20 รอบ พบว่าวิถีการยิงจากข้างล่างขึ้นบน กระสุนเข้าทางใต้ราวนมขวาเฉียงขึ้นทะลุศีรษะเป็นรูใหญ่ ตรวจสอบพบเป็นอาวุธปืนขนาด 11 มม. ยิงระยะใกล้ไม่เกิน 20 เมตร จึงจำกัดวงคนร้ายต้องอยู่ในระยะ 20 เมตรรอบตัวนายสุทิน จึงนำไปตรวจเปรียบเทียบกับอาวุธปืนที่เคยใช้ก่อเหตุในระบบของตำรวจ พบว่าตรงกับปืนกระบอกหนึ่ง ซึ่งมีนายสุรกริชเป็นผู้ครอบครองและเคยถูกจับกุมข้อหาครอบครองอาวุธปืนก่อนหน้านี้ จากนั้นได้ตรวจสอบจากประจักษ์พยาน ซึ่งเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์เดียวกับนายสุทิน ยืนยันภาพในที่เกิดเหตุว่า เห็นนายสุรกริชอยู่ในจุดเกิดเหตุในระยะ 3 เมตร จึงนำไปสู่การออกหมายจับและจับกุมได้ในที่สุด ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบด้วยว่า นายสุรกริชเป็นกลุ่มแนวร่วมฝ่ายตรงข้ามนายสุทิน
4.คสช.จี้ กสทช.เร่งพิจารณากรณีวิทยุขอออกอากาศ แต่ยังไร้วี่แววไฟเขียวทีวีดาวเทียม ด้าน พนง.ASTV ขายสินค้าฝ่าวิกฤต!
เมื่อวันที่ 9 ก.ค. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกประกาศเรื่อง เงื่อนไขในการออกอากาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ โดยระบุว่า ตามที่ คสช.ได้ประกาศให้สถานีวิทยุที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ สามารถออกอากาศต่อไปได้ตามปกติเมื่อได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วนั้น เพื่อความชัดเจน และไม่ให้เกิดการบิดเบือนหรือเกิดความแตกแยก อันจะส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย คสช.จึงออกประกาศเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการวิทยุที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้สามารถออกอากาศได้
1.ผู้ได้รับอนุญาตให้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ที่ใช้เครื่องส่งที่ผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคตามประกาศ กสทช.ให้ออกอากาศได้ตามปกติ 2.ผู้ได้รับอนุญาตให้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ที่ใช้เครื่องส่งที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ ให้ออกอากาศได้เมื่อเครื่องส่งผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคตามประกาศ กสทช. 3.ผู้ที่ได้ยื่นคำขออนุญาตประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงไว้ตามประกาศ กสทช.และคำขออยู่ระหว่างการพิจารณา ให้ออกอากาศได้เมื่อได้รับอนุญาตและเครื่องส่งได้ผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคตามประกาศ กสทช.
ทั้งนี้ คสช.กำหนดด้วยว่า การออกอากาศของผู้ได้รับอนุญาตให้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงดังกล่าว จะต้องใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ไม่รบกวนวิทยุการบิน หรือกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม กิจการวิทยุคมนาคม หรือการสื่อสารอื่นภายในประเทศหรือของประเทศเพื่อนบ้าน และต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลที่มีเนื้อหาขัดต่อกฎหมายและประกาศ คสช.และต้องปฏิบัติตามประกาศของ กสทช.อย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืน ให้เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์สั่งระงับการกระทำนั้นภายในเวลาที่กำหนด หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้เพิกถอนการอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและให้ยุติการออกอากาศทันที
นอกจากนี้ผู้ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงที่ได้ออกอากาศแล้ว จะต้องมายื่นคำขอรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคมภายในเวลาที่ กสทช.จะได้กำหนดต่อไป และให้ กสทช.เร่งพิจารณาคำขออนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และจัดให้มีหน่วยงานรับตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคของเครื่องส่งอย่างเพียงพอและทั่วถึง
ส่วนสถานีวิทยุที่ทดลองประกอบกิจการและถูกระงับออกอากาศ เนื่องจากฝ่าฝืนประกาศ คสช.ฉบับที่ 18 เรื่อง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ระงับการออกอากาศไว้จนกว่าเหตุแห่งการระงับจะสิ้นสุดลงหรือคดีถึงที่สุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีความคืบหน้าจาก คสช.กรณีที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนับสิบสถานียังไม่ได้ออกอากาศ เพราะติดล็อกประกาศ คสช. ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ,สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย ,สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชียอัพเดท ฯลฯ ซึ่งที่ประชุม กสทช.เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.อ้างว่า ต้องหารือ คสช.อีกครั้ง เพราะอำนาจอยู่ที่ คสช. ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช.ได้กล่าวเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ว่า เหตุที่สื่อบางส่วนยังถูกปิด เนื่องจากยังมีภาพของความขัดแย้ง ต้องรอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ทั้งนี้ การที่ คสช.ยังไม่ยอมปลดล็อกให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบางช่องออกอากาศ โดยอ้างภาพความขัดแย้ง ได้ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการกระทำ 2 มาตรฐาน เพราะก่อนหน้านี้ คสช.ได้อนุญาตให้สถานีโทรทัศน์วอย์ทีวีของนายพานทองแท้ ชินวัตร และสถานีโทรทัศน์ทีนิวส์ออกอากาศได้ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. ทั้งที่เป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีภาพความขัดแย้งเช่นกัน
ด้านพนักงานในเครือ ASTV ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคำสั่ง คสช.ที่ระงับการออกอากาศมานานเกือบ 2 เดือน ได้พยายามฝ่าวิกฤตครั้งนี้ด้วยการจัดโครงการ “คาราวานสินค้าฝ่าวิกฤต ASTV” ที่ถนนสีลมเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และที่เยาวราชเมื่อวันที่ 10 ก.ค. โดยคาราวานฝ่าวิกฤตที่เยาวราชใช้ชื่อว่า “ปากกัดตีนถีบ” เนื่องจากมีการขี่จักรยานนำสินค้าไปจำหน่าย ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก
ขณะที่พนักงานในเครือ ASTV ที่ออกมาจำหน่ายสินค้าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาคือสายเลือด ASTV ที่ถูกหล่อหลอมให้ทำหน้าที่พูดความจริงด้วยความกล้าหาญ และที่สำคัญ พนักงาน ASTV ไม่เคยขายจิตวิญญาณให้แก่นายทุนคนไหน ASTV ออกมาขายของเพียงเพื่อให้มีรายได้และกลับมาทำหน้าที่นำเสนอข่าวสาร หาก ASTV จะถูกปิดตาย พวกเขาก็จะขอสู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย
1.“บิ๊กตู่” แย้ม ธรรมนูญชั่วคราวมีไม่เกิน 50 มาตรา เน้นถ่วงดุล ให้ รบ.บริหารประเทศ-คสช.ดูแลความมั่นคง!
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ เรื่องการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าจำเป็นต้องทำ เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการทุจริตและผลประโยชน์ทับซ้อนของข้าราชการในแต่ละองค์กร รวมทั้งต้องการให้ข้าราชการทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน พร้อมย้ำว่า “บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ทุกๆ ท่าน ไม่มีความสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับ คสช.แต่ประการใด เป็นบุคคลที่เติบโตและก้าวหน้ามาในองค์กรนั้นๆ เป็นหลัก”
สำหรับเรื่องธรรมนูญการปกครองชั่วคราวนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เผยว่า จะมีไม่เกิน 50 มาตรา และจะมีการกำหนดเนื้อหาเพื่อให้รัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในเดือน ก.ย.สามารถปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า คงไม่สามารถใช้วิธีการบริหารราชการปกติได้ทุกเรื่องอย่างที่หลายฝ่ายต้องการ อาจต้องมีข้อจำกัดบางอย่างในธรรมนูญดังกล่าว เพื่อให้การทำงานสัมฤทธิ์ผล
ส่วนเรื่องอำนาจของ คสช.กับรัฐบาลนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า จะเป็นในลักษณะตรวจสอบถ่วงดุลกัน “เรื่องอำนาจ คสช.กับรัฐบาล มีการตรวจสอบถ่วงดุลกันเท่านั้น การบริหารจะเน้นหนักให้รัฐบาลเป็นผู้บริหารราชการ ด้านความมั่นคงจะเน้นหนักให้ คสช.ดูแลรับผิดชอบ สำหรับความร่วมมือระหว่าง 2 ฝ่าย คือการหารือร่วม ประชุมร่วม แลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลกัน มีการประชุมเมื่อจำเป็น และเสนอแนะข้อพิจารณาต่างๆ ให้รัฐบาลนำไปสู่การปฏิบัติ ในเรื่องอื่นๆ เป็นไปในลักษณะคำแนะนำที่ คสช.จะมีต่อรัฐบาล”
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ พยายามอธิบายให้สังคมเข้าใจคำว่า “ปรองดอง” กับ “การปฏิรูป” โดยย้ำว่า การปรองดองคือการสร้างสภาวะแวดล้อมเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป โดยลดความขัดแย้งลงและให้มีการพบปะพูดคุยกัน หากปรองดองไม่ได้ ก็ปฏิรูปไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นต้องหาทางออกจากความขัดแย้งให้ได้ก่อน
สำหรับการคัดสรรคนเข้าร่วมในสภาปฏิรูปนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เชิญชวนให้ทุกภาคส่วนสมัครเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป โดยแบ่งการรับสมัครเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกรับสมัครจากทั่วไปจำนวน 550 คน แบ่งเป็น 11 กลุ่ม ส่วนที่สอง คัดเลือกจากจังหวัดต่างๆ เพื่อเป็นผู้แทนจังหวัด จังหวัดละ 5 คน รวม 380 คน ก่อนจะคัดเลือกให้เหลือจังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน รวมตัวเลข 2 ส่วน ประมาณ 630 คน “เสร็จแล้วจะคัดเลือกออกมาให้ได้เหลือ 250 คน ใน 250 คนก็จะแบ่งลง 11 กลุ่มให้ได้ ในกลุ่มต่างๆ จะต้องมีทุกภาคส่วนเข้าร่วม ทั้งหมดจะเป็นผลของการปฏิรูปขึ้นมา และนำเสนอสู่ที่ประชุมของสภาปฏิรูปเป็นมติออกมา ก็เสนอมาให้สภานิติบัญญัติส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็เสนอไปยังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร”
พล.อ.ประยุทธ์ บอกด้วยว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะรับข้อมูลจากทั้ง 2 ส่วน คือสภาปฏิรูป และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยรวบรวมปัญหาและข้อขัดข้องต่างๆ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านมา เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไข จัดทำ และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร เพื่อนำไปใช้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกพวกทุกฝ่าย และเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอีกต่อไปในอนาคต
2.สลด! พนง.รถไฟฆ่าข่มขืนเด็ก ก่อนโยนทิ้งจากโบกี้ ด้าน คสช. สั่งเด้ง “ประภัสร์” พ้นผู้ว่าการ ร.ฟ.ท.!
เมื่อคืนวันที่ 5 ก.ค.ต่อเนื่องวันที่ 6 ก.ค.ได้เกิดเหตุน้องแก้ม อายุ 13 ปี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสตรีนนทบุรี หายตัวไปจากรถไฟตู้นอน ชั้น 2 ของรถไฟขบวนรถเร็ว 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร เหตุเกิดหลังน้องแก้มโดยสารรถไฟตู้นอนดังกล่าวจาก จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมญาติพี่น้อง
หลังเกิดเหตุ พี่สาวน้อมแก้ม เล่าว่า ได้ออกจากบ้านพักย่าน จ.นนทบุรี ไปหาญาติที่ อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานีตั้งแต่เย็นวันที่ 3 ก.ค. โดยมีน้อมแก้มและน้องสาวคนเล็ก รวมทั้งเพื่อนชายของตนเดินทางไปด้วย ซึ่งขาไปโดยสารรถไฟตู้นอนธรรมดา และเดินทางกลับด้วยรถไฟตู้นอนชั้น 2 ขบวนที่ 174 นครศรีธรรมราช-กรุงเทพมหานคร ตู้ที่ 3 จากสถานีพุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อคืนวันที่ 5 ก.ค. โดยตนนอนเตียงล่าง เพื่อนชายนอนเตียงบนเหนือตน ส่วนน้องแก้มนอนเตียงล่าง และน้องสาวคนเล็กนอนเตียงบน ซึ่งตนหลับไปเวลาประมาณ 02.00น.วันที่ 6 ก.ค.ช่วงสถานีรถไฟหัวหิน มารู้สึกตัวอีกทีเวลาประมาณ 04.30น.ช่วงสถานีนครปฐม จึงไปปลุกน้องแก้ม แต่ไม่พบตัว ขณะที่สภาพที่นอนถูกรื้อค้น ผ้าปูที่นอนพร้อมเป้หายไป จึงแจ้งพนักงานในตู้ให้ทราบและตามหา แต่ไม่พบ เมื่อรถไฟมาถึงสถานีบางซื่อ จึงเข้าแจ้งความที่ สน.นพวงศ์
ด้านนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.) ได้ประชุมร่วมกับตำรวจรถไฟในวันต่อมา(7 ก.ค.) เพื่อสืบสวนคลี่คลายคดีน้องแก้มหายตัว พร้อมยืนยันว่า ร.ฟ.ท.ไม่ได้นิ่งนอนใจ และว่า ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องสงสัยเป็นลูกจ้างของบริษัทที่ ร.ฟ.ท.จ้างมาทำความสะอาดบนขบวนรถไฟมาสอบปากคำและนำตัวไปตรวจร่างกายที่กองพิสูจน์หลักฐาน 4 ราย เนื่องจากพบร่องรอยบาดแผลขีดข่วนกับผู้ต้องสงสัยบางคน ส่วนการตามหาตัวน้องแก้ม ตำรวจรถไฟและ ร.ฟ.ท.จะลงพื้นที่ที่คาดว่าน้องแก้มจะหายตัวไป นายประภัสร์ ยังยืนยันด้วยว่า จากการตรวจสอบไม่พบว่ามีผ้าปูที่นอนหายไป ทั้งนี้ ร.ฟ.ท.ได้ตั้งเงินรางวัล 5 หมื่นบาทสำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนพบตัวน้องแก้ม
ขณะที่นายทนงศักดิ์ พงษ์ประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายการเดินรถ ร.ฟ.ท.บอกว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 6 ก.ค.ยังไม่พบน้องแก้ม ไม่ว่าจะเป็นสองข้างทางที่รถไฟวิ่งผ่าน และกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ในสถานีใหญ่ ก็ไม่พบการขึ้นลงของน้องแก้มแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ช่วงเย็นวันเดียวกัน(7 ก.ค.) ได้มีการพบเสื้อและกางเกงของน้องแก้มที่ใส่วันสุดท้ายซึ่งเปื้อนคราบเลือด รวมทั้งพบผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเปื้อนเลือด โดยจุดที่พบอยู่บริเวณริมทางรถไฟช่วงบ้านหนองแกไปยังบ้านเขาเต่า อ.หัวหิน
จากนั้นช่วงดึกคืนเดียวกัน มีรายงานว่า นายวันชัย แสงขาว หรือเกม อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียง การรถไฟแห่งประเทศไทย 1 ใน 4 พนักงานประจำโบกี้รถไฟสายดังกล่าว ที่ถูกคุมตัวไว้สอบปากคำ ได้รับสารภาพว่า เห็นเด็กหลับอยู่จึงเข้าไปทำร้ายร่างกาย จากนั้นได้ยกร่างทิ้งออกจากหน้าต่างรถไฟ
ทั้งนี้ หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างแผ่ไพศาลธรรมสถานได้พบศพน้องแก้มในช่วงเช้ามืดวันต่อมา(8 ก.ค.) โดยจุดที่พบอยู่ใกล้สถานีวังพงก์ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ด้านตำรวจได้คุมตัวนายวันชัย ผู้ต้องหา ไปสอบปากคำเพิ่มเติม ก่อนเปิดแถลงข่าวที่ สภ.ปราณบุรี ซึ่งเบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ขณะที่นายวันชัย ผู้ต้องหา สารภาพว่า ก่อนก่อเหตุ ได้เสพยาบ้าไป 3 เม็ด ก่อนขึ้นไปทำหน้าที่บนรถไฟ หลังจากนั้นได้นั่งดื่มเบียร์กับเพื่อนจนมึนเมา ก่อนไปเปิดโบกี้ที่น้องแก้มนอนอยู่ แล้วปิดไฟในโบกี้ดังกล่าว ก่อนมุดเข้าไปหาน้องแก้มที่หลับอยู่ แล้วบีบคอพร้อมกับใช้หมอนปิดปาก และทุบท้องจนน้องแก้มไม่ได้สติ ก่อนลงมือข่มขืน 2 ครั้ง จากนั้นนายวันชัยกลัวความผิด จึงทำลายหลักฐานด้วยการโยนเสื้อผ้าน้องแก้มทิ้งทางหน้าต่าง ก่อนโยนร่างน้องแก้มตามออกไประหว่างที่รถไฟกำลังวิ่งผ่านสถานีวังก์พง อ.ปราณบุรี จากนั้นได้ค้นกระเป๋าน้องแก้ม และเอาโทรศัพท์มือถือไอโฟน 5 เอสไปขาย ส่วนของที่เหลือในกระเป๋า รวมทั้งผ้าปูที่นอน ได้โยนทิ้งทางหน้าต่าง ก่อนออกมาจากห้องโดยสารเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายวันชัย ยังสารภาพด้วยว่า เคยก่อเหตุข่มขืนพนักงานรถไฟมาแล้ว 2 ราย แต่เหยื่อไม่ได้แจ้งความ เพราะอาย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายวันชัยอ้างว่า ก่อนโยนน้องแก้มออกจากหน้าต่างรถไฟ เด็กยังมี
ลมหายใจอยู่ แต่ทาง พล.ต.ต.พรชัย สุธีรคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวช เผยผลชันสูตรศพน้องแก้มว่า สาเหตุที่น้องแก้มเสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจก่อนจะถูกโยนลงจากรถไฟ โดยพบว่าเล็บมือเล็บเท้ามีลักษณะเขียวคล้ำจากการขาดอากาศ นอกจากนี้ยังพบบาดแผลฟกช้ำตามร่างกายหลายจุด คาดว่าเกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัว พร้อมพบร่องรอยการถูกข่มขืนทั้งทางอวัยวะเพศและทวารหนัก
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.ตำรวจ สภ.ปราณบุรี ได้นำตัวนายวันชัย ผู้ต้องหาคดีฆ่าข่มขืนกระทำชำเรา อำพรางซ่อนเร้นศพ คดีเสพยาเสพติด และคดีลักทรัพย์ ไปขอศาลฝากขังผลัดแรก 12 วัน โดยไม่มีญาติหรือทนายมาติดต่อขอประกันตัวแต่อย่างใด ก่อนนำตัวไปควบคุมที่เรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หลังเกิดเหตุฆ่าข่มขืนเด็กบนรถไฟ ปรากฎว่า ได้เกิดกระแสเรียกร้อง 2 อย่าง 1. เรียกร้องให้นายประภัสร์ จงสงวน รับผิดชอบด้วยการลาออกจากผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งนายประภัสร์ ยืนยันไม่ลาออก เพราะไม่มีประโยชน์ และว่า ตนควรอยู่เพื่อแก้ปัญหามากกว่า และ 2.กระแสเรียกร้องให้มีการเพิ่มโทษคดีข่มขืน ให้ประหารชีวิตสถานเดียว
ขณะที่หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่า นายวันชัย ผู้ต้องหาคดีนี้เข้ามาทำงานใน ร.ฟ.ท. ได้อย่างไร ซึ่งนายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการรถไฟฯ บอกว่า ทราบจากตำรวจที่ทำคดีนี้ว่า นายวันชัยเป็นญาติกับผู้บริหาร ร.ฟ.ท.ระดับต้น ที่มีอำนาจในการพิจารณารับคนเข้าทำงาน โดยที่รู้อยู่แล้วว่านายวันชัยมีประวัติอาชญากร จึงได้กระทำการบางอย่างเพื่อไม่ให้ปรากฏว่ามีข้อมูลอาชญากรรม จึงอยากให้ตรวจสอบรายละเอียดทั้งหมดว่าเป็นอย่างไร
นายประภัสร์ ยังพูดถึงกรณีที่เคยเกิดเหตุข่มขืนบนรถไฟเมื่อปี 2544 ด้วยว่า ตนเพิ่งเข้ามาทำงานแค่ปีเศษ ทำให้ไม่ทราบข้อมูลที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ส่วนการข่มขืนพนักงานสาวตู้เสบียง 2 รายเมื่อต้นปี 2557 ทราบว่าตำรวจกำลังสืบหาผู้เสียหาย เบื้องต้นทราบว่ารายหนึ่งเป็นการสมยอม ส่วนอีกรายถูกข่มขืนจริง จึงต้องตรวจสอบอย่างละเอียดต่อไป นายประภัสร์ ยังยอมรับด้วยว่า ในฐานะคนเป็นพ่อ เมื่อเกิดเหตุการณ์กรณีน้องแก้ม ตนก็ไม่กล้าให้ลูกสาวขึ้นรถไฟเช่นกัน
ด้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้มีคำสั่งให้นายประภัสร์ พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.เป็นต้นไป โดยให้เหตุผลว่า เพื่อให้การปฏิบัติงานของการรถไฟฯ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเหมาะสมยิ่งขึ้น พร้อมมีคำสั่งแต่งตั้งนายออมสิน ชีวะพฤกษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด เป็นประธานบอร์ด ร.ฟ.ท.เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงและหาคนรับผิดชอบกรณีฆ่าข่มขืนน้องแก้มบนรถไฟ
ส่วนที่ญาติเชื่อว่าผู้ร่วมก่อเหตุฆ่าข่มขืนน้องแก้มอาจไม่ได้มีแค่นายวันชัยคนเดียวนั้น ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ตำรวจได้สอบปากคำนายณัฐกร ชำนาญ หรือหนึ่ง อายุ 19 ปี พนักงานทำความสะอาดบนรถไฟ ซึ่งร่วมดื่มเบียร์กับนายวันชัยในคืนเกิดเหตุ โดยนายณัฐกรสารภาพว่า เป็นคนดูต้นทางเพื่อให้นายวันชัยข่มขืนน้องแก้ม ตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันกระทำชำเราเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 15 ปี และให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานสอบสวน และช่วยให้ผู้อื่นกระทำผิดโดยไม่ต้องได้รับโทษ พร้อมนำตัวนายณัฐกรไปขอศาลฝากขัง ก่อนส่งตัวไปคุมขังที่เรือนจำ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยขังรวมกับนายวันชัยและผู้ต้องหาสูงอายุคดียาเสพติดรายใหญ่อีก 4 ราย
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุฆ่าข่มขืนเด็กบนรถไฟ หลายฝ่ายพยายามเสนอแนวทางป้องกันปัญหา เช่น การรถไฟฯ จะเพิ่มจำนวนตำรวจรถไฟ จะจัดให้มีรถนอนชั้น 2 เฉพาะสุภาพสตรี(เลดี้คาร์) อย่างน้อยขบวนละ 1 คัน ในเส้นทางเดินรถกลางคืน ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข เตรียมเสนอกฎหมายห้ามขายและห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนรถไฟและสถานีรถไฟ โดยจะเสนอ คสช.ในเร็วๆ นี้
3.ตร.รวบมือยิง “สุทิน ธราทิน” แล้ว พร้อมรวบการ์ด นปช.ยิงเอ็ม 79 ถล่ม กปปส.-ป.ป.ช. จ่อรวบอีกไม่ต่ำกว่า 6 คน!
เมื่อวันที่ 11 ก.ค. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการศึกษา ปฏิบัติราชการกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้แถลงผลการจับกุมอาวุธสงครามจำนวนมาก ประกอบด้วย เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี-2 จำนวน 1 กระบอก ,ลูกจรวดอาร์พีจี-2 พร้อมดินส่งจำนวน 3 ลูก ,ลูกระเบิดสังหารชนิด RGD-5 จำนวน 13 ลูก พร้อมชุดเรือนชนวนจำนวน 15 ชุด ,อาวุธปืนเอเค 47 จำนวน 1 กระบอก พร้อมซองกระสุนจำนวน 3 ซอง ,ลูกกระสุนขนาด 40 มม.(เอ็ม 79) จำนวน 11 ลูก ,เครื่องกระสุนปืนขนาด 7.62 มม.จำนวน 127 นัด ,กระสุนปืนขนาด 11 มม.จำนวน 18 นัด และเสื้อเกราะกันกระสุน 1 ตัว โดยตรวจยึดได้ที่ห้องเช่า ภายในอาคารศรีไทยคอนโด เขตทุ่งครุ กทม.
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบห้องเช่าดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 ก.ค. พบว่านางธนัยนันท์ เติมจิตต์เจริญ เป็นเจ้าของห้อง แต่ให้ผู้อื่นเช่า ทราบตัวผู้นำอาวุธมาซุกซ่อนแล้ว เตรียมขอศาลออกหมายจับ พล.ต.อ.สมยศ เผยด้วยว่า อาวุธสงครามทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับเหตุความรุนแรงช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ซึ่งทราบขบวนการนี้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ยังพบหลักฐานที่สาวไปถึงตัวคนร้ายที่ก่อเหตุต่างๆ ได้ โดยเฉพาะเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ที่หน้าห้างบิ๊กซีราชดำริใกล้เวที กปปส.ราชประสงค์ ทำให้มีเด็กเสียชีวิต 2 คน รวมทั้งเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ในพื้นที่ต่างๆ และว่า ภายใน 2-3 วันนี้จะมีข่าวดี คาดว่าจะจับผู้ก่อเหตุได้ไม่ต่ำกว่า 6 คน
พล.ต.อ.สมยศ ยังแถลงผลการจับกุมนายณรงค์ศักดิ์ พลายอร่าม หรือตุ้ย อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลทหาร กรณีไม่ไปรายงานตัวตามคำสั่ง คสช. โดยจับกุมได้ที่ห้องเช่า อาคารสุขสบายอพาร์ตเมนท์ ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี
ทั้งนี้ นายณรงค์ศักดิ์รับสารภาพว่า เคยก่อเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่ต่างๆ ช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. 3 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 7 มี.ค.2557 ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่กลุ่ม กปปส.ที่หน้าตึกชินวัตร 3 ถ.วิภาวดีรังสิต ครั้งที่สอง วันที่ 27 มี.ค. ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และครั้งที่สาม วันที่ 29 มี.ค. ยิงเอ็ม 79 เข้าใส่กลุ่ม กปปส.ที่ ถ.สวรรคโลก โดยใช้รถจักรยานยนต์ตระเวนก่อเหตุเพียงคนเดียว
จากการสืบสวนพบด้วยว่า นายณรงค์ศักดิ์เคยร่วมชุมนุมและเป็นการ์ดให้กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยไปรับอาวุธสงครามที่ห้างอิมพิเรียล ลาดพร้าว และนำไปก่อเหตุในพื้นที่ต่างๆ ได้รับค่าจ้างในการก่อเหตุครั้งละ 3,000-4,000 บาท ทั้งนี้ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. ได้เกิดเหตุระเบิดประมาณ 40 ครั้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจคลี่คลายได้เกือบ 10 คดี โดยเฉพาะกรณีนายณรงค์ศักดิ์ ที่ก่อเหตุคนเดียวถึง 3 ครั้ง ขณะนี้ตำรวจเตรียมขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการต่อไป
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่ พล.ท.มนัส เปาริก หรือ “เสธ.หยอย” อายุ 65 ปี อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 3 ถูกออกหมายจับข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามฯ โดยฝ่าฝืนกฎหมายนั้น เมื่อวันที่ 8 ก.ค. พล.ท.มนัส ได้เข้ามอบตัวกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ก่อนได้รับการประกันตัวใน 2 วันต่อมา(10 ก.ค.) โดย พล.ต.อ.สมยศ ให้เหตุผลที่ให้ประกันตัวว่า เนื่องจาก พล.ท.มนัสมีปัญหาเรื่องสุขภาพและมีใบรับรองแพทย์ยืนยัน อีกทั้ง พล.ท.มนัสรับปากว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐานในคดี จึงอนุญาตให้ประกันตัวได้ แต่ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร และให้มาพบพนักงานสอบสวนอีกครั้งวันที่ 23 ก.ค.เวลา 13.00น.
นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าคดียิงนายสุทิน ธราทิน แกนนำกลุ่มกองทัพประชาชนและเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย(กคป.) เสียชีวิตขณะอยู่บนรถปราศรัยที่หน้าวัดศรีเอี่ยม จ.สมุทรปราการ ซึ่งตำรวจสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้แล้ว หลังขอศาลออกหมายจับเมื่อวันที่ 8 ก.ค.คือ นายสุรกริช ชัยมงคล โดยจับกุมได้ที่บ้านพักใน อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการเมื่อวันที่ 9 ก.ค. ทั้งนี้ จากพยานหลักฐาน ตำรวจเชื่อว่า นายสุรกริชเป็นมือปืนที่ยิงนายสุทิน แต่ผู้ต้องหายังให้การภาคเสธ โดยรับเป็นเจ้าของอาวุธปืน แต่ไม่รับว่าเป็นคนยิง ขณะนี้ควบคุมตัวไว้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พล.ต.ท.ชัยยง กีรติขจร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า การออกหมายจับนายสุรกริช เนื่องจากชุดสืบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ รวมทั้งนำภาพวงจรปิด และภาพถ่ายที่มี มาดูซ้ำ ตนดูประมาณ 20 รอบ พบว่าวิถีการยิงจากข้างล่างขึ้นบน กระสุนเข้าทางใต้ราวนมขวาเฉียงขึ้นทะลุศีรษะเป็นรูใหญ่ ตรวจสอบพบเป็นอาวุธปืนขนาด 11 มม. ยิงระยะใกล้ไม่เกิน 20 เมตร จึงจำกัดวงคนร้ายต้องอยู่ในระยะ 20 เมตรรอบตัวนายสุทิน จึงนำไปตรวจเปรียบเทียบกับอาวุธปืนที่เคยใช้ก่อเหตุในระบบของตำรวจ พบว่าตรงกับปืนกระบอกหนึ่ง ซึ่งมีนายสุรกริชเป็นผู้ครอบครองและเคยถูกจับกุมข้อหาครอบครองอาวุธปืนก่อนหน้านี้ จากนั้นได้ตรวจสอบจากประจักษ์พยาน ซึ่งเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์เดียวกับนายสุทิน ยืนยันภาพในที่เกิดเหตุว่า เห็นนายสุรกริชอยู่ในจุดเกิดเหตุในระยะ 3 เมตร จึงนำไปสู่การออกหมายจับและจับกุมได้ในที่สุด ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบด้วยว่า นายสุรกริชเป็นกลุ่มแนวร่วมฝ่ายตรงข้ามนายสุทิน
4.คสช.จี้ กสทช.เร่งพิจารณากรณีวิทยุขอออกอากาศ แต่ยังไร้วี่แววไฟเขียวทีวีดาวเทียม ด้าน พนง.ASTV ขายสินค้าฝ่าวิกฤต!
เมื่อวันที่ 9 ก.ค. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ออกประกาศเรื่อง เงื่อนไขในการออกอากาศของสถานีวิทยุกระจายเสียงที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ โดยระบุว่า ตามที่ คสช.ได้ประกาศให้สถานีวิทยุที่ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการ สามารถออกอากาศต่อไปได้ตามปกติเมื่อได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วนั้น เพื่อความชัดเจน และไม่ให้เกิดการบิดเบือนหรือเกิดความแตกแยก อันจะส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย คสช.จึงออกประกาศเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบการวิทยุที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้สามารถออกอากาศได้
1.ผู้ได้รับอนุญาตให้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ที่ใช้เครื่องส่งที่ผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคตามประกาศ กสทช.ให้ออกอากาศได้ตามปกติ 2.ผู้ได้รับอนุญาตให้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง ที่ใช้เครื่องส่งที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ ให้ออกอากาศได้เมื่อเครื่องส่งผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคตามประกาศ กสทช. 3.ผู้ที่ได้ยื่นคำขออนุญาตประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงไว้ตามประกาศ กสทช.และคำขออยู่ระหว่างการพิจารณา ให้ออกอากาศได้เมื่อได้รับอนุญาตและเครื่องส่งได้ผ่านการตรวจสอบและเป็นไปตามมาตรฐานทางเทคนิคตามประกาศ กสทช.
ทั้งนี้ คสช.กำหนดด้วยว่า การออกอากาศของผู้ได้รับอนุญาตให้ทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงดังกล่าว จะต้องใช้คลื่นความถี่และกำลังส่งที่ไม่รบกวนวิทยุการบิน หรือกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ กิจการโทรคมนาคม กิจการวิทยุคมนาคม หรือการสื่อสารอื่นภายในประเทศหรือของประเทศเพื่อนบ้าน และต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลที่มีเนื้อหาขัดต่อกฎหมายและประกาศ คสช.และต้องปฏิบัติตามประกาศของ กสทช.อย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืน ให้เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์สั่งระงับการกระทำนั้นภายในเวลาที่กำหนด หากผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้เพิกถอนการอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและให้ยุติการออกอากาศทันที
นอกจากนี้ผู้ได้รับอนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงที่ได้ออกอากาศแล้ว จะต้องมายื่นคำขอรับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคมภายในเวลาที่ กสทช.จะได้กำหนดต่อไป และให้ กสทช.เร่งพิจารณาคำขออนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และจัดให้มีหน่วยงานรับตรวจสอบมาตรฐานทางเทคนิคของเครื่องส่งอย่างเพียงพอและทั่วถึง
ส่วนสถานีวิทยุที่ทดลองประกอบกิจการและถูกระงับออกอากาศ เนื่องจากฝ่าฝืนประกาศ คสช.ฉบับที่ 18 เรื่อง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ หรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้ระงับการออกอากาศไว้จนกว่าเหตุแห่งการระงับจะสิ้นสุดลงหรือคดีถึงที่สุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ยังไม่มีความคืบหน้าจาก คสช.กรณีที่สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมนับสิบสถานียังไม่ได้ออกอากาศ เพราะติดล็อกประกาศ คสช. ได้แก่ สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ,สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบลูสกาย ,สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเชียอัพเดท ฯลฯ ซึ่งที่ประชุม กสทช.เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.อ้างว่า ต้องหารือ คสช.อีกครั้ง เพราะอำนาจอยู่ที่ คสช. ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช.ได้กล่าวเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ว่า เหตุที่สื่อบางส่วนยังถูกปิด เนื่องจากยังมีภาพของความขัดแย้ง ต้องรอจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ทั้งนี้ การที่ คสช.ยังไม่ยอมปลดล็อกให้สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมบางช่องออกอากาศ โดยอ้างภาพความขัดแย้ง ได้ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการกระทำ 2 มาตรฐาน เพราะก่อนหน้านี้ คสช.ได้อนุญาตให้สถานีโทรทัศน์วอย์ทีวีของนายพานทองแท้ ชินวัตร และสถานีโทรทัศน์ทีนิวส์ออกอากาศได้ตั้งแต่วันที่ 14 มิ.ย. ทั้งที่เป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีภาพความขัดแย้งเช่นกัน
ด้านพนักงานในเครือ ASTV ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากคำสั่ง คสช.ที่ระงับการออกอากาศมานานเกือบ 2 เดือน ได้พยายามฝ่าวิกฤตครั้งนี้ด้วยการจัดโครงการ “คาราวานสินค้าฝ่าวิกฤต ASTV” ที่ถนนสีลมเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และที่เยาวราชเมื่อวันที่ 10 ก.ค. โดยคาราวานฝ่าวิกฤตที่เยาวราชใช้ชื่อว่า “ปากกัดตีนถีบ” เนื่องจากมีการขี่จักรยานนำสินค้าไปจำหน่าย ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนจำนวนมาก
ขณะที่พนักงานในเครือ ASTV ที่ออกมาจำหน่ายสินค้าต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาคือสายเลือด ASTV ที่ถูกหล่อหลอมให้ทำหน้าที่พูดความจริงด้วยความกล้าหาญ และที่สำคัญ พนักงาน ASTV ไม่เคยขายจิตวิญญาณให้แก่นายทุนคนไหน ASTV ออกมาขายของเพียงเพื่อให้มีรายได้และกลับมาทำหน้าที่นำเสนอข่าวสาร หาก ASTV จะถูกปิดตาย พวกเขาก็จะขอสู้จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย