xs
xsm
sm
md
lg

อายัดบัญชีมหากบฏประชาชน “ธาริต”ระวังจะไม่มีที่ยืน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ-ภาพจากแฟ้ม
"ธาริต เพ็งดิษฐ์"กำลังเร่งสร้างผลงานเอาใจรัฐบาลยิ่งลักษ์สุดขีด ด้วยการระดมยัดข้อกบฏพร้อมไล่อายัดบัญชีธนาคารของแกนนำ กปปส.ลามไปถึงนักวิชาการ-ผู้ปราศรัยบนเวที หวังจะหยุดการชุมนุมลงให้ได้ โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า นั่นกำลังจะนำหายนะมาสู่ตัว เพราะศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งมีคำวินิจฉัยไปหยกๆ ว่า การชุมนุมของ กปปส.เป็นการชุมนุมที่สงบ ตามสิทธิที่ รธน.รับรอง ไม่ใช่กบฏตามที่นายธาริตกล่าวหา

ขยันเรียกแขกเชลียร์นายไม่เว้นช่วงเลยทีเดียว ล่าสุดเจ้าเก่าคนเดิม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็ได้สร้างความไว้วางใจแก่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยการงัดกฎหมายออกมาข่มขู่ผู้ชุมนุม ด้วยการออกคำสั่งอายัดบัญชีเงินฝากของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และแกนนำผู้ชุมนุมรวม 18 ราย ฐานเป็นท่อน้ำเลี้ยงสนับสนุนการชุมนุม

โดยดีเอสไอจะทำหนังสือให้ธนาคารทุกแห่งตรวจสอบบัญชีแกนนำทุกบัญชี และการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน ส่งให้ดีเอสไอโดยด่วนที่สุด ซึ่งในระหว่างนี้ให้อายัดบัญชีของแกนนำทุกคน

นอกจากนี้ ดีเอสไอยังได้ออกหมายเรียกให้แกนนำ กปปส.จำนวน 17 คน มารายงานตัวในข้อหากบฏในวันที่ 19 ธ.ค.หากไม่มาจะขออนุมัติออกหมายจับทันที

ที่สำคัญก็คือ นายธาริต ยังคงทำตัวเป็นหัวหอกรับใช้รัฐบาลแต่เพียงผู้เดียว โดยได้สั่งให้เจ้าที่ดีเอสไอเป็นคนสืบสวนสอบสวนทั้งหมด ไม่ได้ให้ “ปปง.” เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใดอีกต่างหาก

ขณะเดียวกันก็ต้องบอกว่าช่างเป็นลิ่วล้อที่ขยันเชลียร์นายชนิดไม่ดูตาม้าตาเรือเลยด้วยซ้ำ ถ้านายธาริตไม่หน้ามืดตามัวเอาใจนายจนเกินไปคงต้องกลับไปย้อนดูคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญเสียหน่อยว่าเป็นมาอย่างไร

เพราะเมื่อไม่กี่วันก่อน ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไม่รับคำร้องของตัวแทนสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยของฝ่ายทนายเสื้อแดง ที่ไปร้องศาลฯ ว่าพวก กปปส. ที่นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 กระทำการล้มล้างการปกครองฯ หรือเพื่อให้ได้อำนาจไม่เป็นไปตามวิถีทางที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยอ้างถึงการปิดถนน ยึดสถานที่ราชการ แต่ปรากฏว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องโดยวินิจฉัยว่า "เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ" อีกทั้งการชุมนุมดังกล่าวยังมีเหตุผลมาจาการไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบกับเป็นการแสดงพลังที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก เพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองฯ

สรุปจากคำวินิจฉัยของศาลฯ ดังกล่าวคือ การชุมนุมที่นำโดยนายสุเทพ และคณะ กปปส.คราวนี้ ถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ และกระทำภายใต้ขอบเขตของรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยชอบ และยังเป็นสิทธิโดยชอบที่จะแสดงพลังไม่ไว้วางใจรัฐบาล ความหมายก็คือ นี่คือการการันตี จากศาลรัฐธรรมนูญว่า ตราบใดที่ยังเป็นการชุมนุมอย่างที่เป็นอยู่ก็ถือว่ากระทำได้ย่อมได้รับการคุ้มครองตามสิทธิที่บัญญัติไว้โดย รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด

ดังนั้นแล้ว คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันทุกองค์กร รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมาย กฎ ข้อบังคับใด หากขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ให้ใช้บังคับไม่ได้

แต่ก็ดูเหมือนว่า นายธาริตยังเอาหูเอานาเอาตาไปไร่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แถมซ้ำร้ายยังลุแก่อำนาจงัดกฎหมายในมือมาเอาผิด กปปส.อีกต่างหาก โดยนายธาริต"ยังดื้อดันทุรัง อ้าง พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ มาตรา 24 ยึดทรัพย์แกนนำ กปปส.ในข้อหากบฎ

ขณะที่นายชูชาติ ศรีเเสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ได้โพสต์เฟซญบุ๊กระบุถึงประเด็นดังกล่าวว่ามีการสอบถามกันว่า นายธาริต มีอำนาจอายัดเงินในบัญชีของบุคคลที่ถูกหมายเรียกให้ไปให้การแก้ข้อกล่าวหาจำนวน 17 คน และบัญชีครัวราชดำเนินหรือไม่

ถ้าพิจารณาตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 หมวด 3 การสืบสวนและสอบสวนคดีพิเศษ ตั้งแต่มาตรา 21 ถึงมาตรา 34 ก็ไม่มีบทบัญญัติในมาตราใดให้อำนาจพนักงานสอบสวนหรืออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษอายัดเงินในบัญชีของบุคคลดังกล่าวและบัญชีครัวราชดำเนินได้

จึงสรุปว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการอายัดบัญชีเงินฝากดังกล่าวข้างต้น

อย่างไรก็ดี หากนับตามตรรกะยี่ห้อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ แล้วในสายตาของประชาชนทั่วไปก็น่าจะทราบดีว่าตัวนายธาริต มีจุดยืนอย่างไรในการทำงาน ย้อนกลับไปก็พบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการตัดท่อน้ำเลี้ยงของการชุมนุม เพราะในการชุมนุมของกลุ่ม “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ” (นปช.) ช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ที่มี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ผอ.ศอฉ.) เคยมีมาตรการดังกล่าวมาแล้ว

ครั้งนั้นขั้นตอนของ ศอฉ.ได้เปิดโอกาสให้ 106 บุคคล ที่ถูกอายัดบัญชี-งดดำเนินธุรกรรมทางการเงิน เข้ามาให้ปากคำและชี้แจงที่มาที่ไปของเงินในบัญชีว่ามีส่วนสนับสนุนการชุมนุมของ นปช.หรือไม่

การออกคำสั่งอายัดบัญชีของนายธาริตครั้งนี้ ไม่มีคำสั่งศาล มารองรับการดำเนินการ แตกต่างจากครั้ง ศอฉ.อีกทั้งนายธาริต ยังไม่ได้เปิดโอกาสให้ 18 แกนนำ กปปส. เข้าชี้แจงที่มาที่ไปของเงินในบัญชีอีกด้วยซ้ำ แถมยังออกโปรโมชั่นเรียกให้มารับทราบข้อหาต่างๆ โดยเฉพาะข้อหากบฎ ระหว่างวันที่ 26-27 ธันวาคม 2556 อีกต่างหาก

อย่างไรก็ตาม ในอีกมุมหนึ่งของการลุอำนาจเพื่อเอาใจนายแบบนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นผลดีต่อนายธาริต ที่ได้ใช้อำนาจออกหมายเรียก สุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส.มารับทราบข้อหากบฏไปแล้ว รวมไปถึงได้อายัดบัญชีธนาคาร ซึ่งอย่างหลังยังมีการขู่จะตั้งข้อหากับพวกที่ให้การสนับสนุนการชุมนุมทุกราย โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชน หรือแม้แต่เจ้าพนักงานของรัฐ เช่น เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครที่ระบุว่าไปอำนวยความสะดวกกับการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ขู่ว่าจะสั่งอายัดบัญชีธนาคารด้วย

ล่าสุด นายธาริตได้สั่งอายัดบัญชีธนาคารของแกนนำ กปปส.ระดับรองและนักวิชาการที่สนับสนุน กปปส.จำนวน 20 คน อาทิ นางสาวจิตตภัสร์ ภิรมย์ภักดีที่เพิ่งถูกปาระเบิดบ้านพัก นายสาธิต ปิตุเตชะ นายบุญยอด สุขถิ่นไทย นายองอาจ คร้ามไพบูลย์ นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา รวมทั้ง นายกิตติศักดิ์ ปรกติ นายแก้วสรร อติโพธิ ที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนแนวทางของ กปปส. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขีดเส้นใต้ไว้ก็คือคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมมีผลผูกพันทุกองค์กร ไม่เว้นแม่แต่ รัฐบาล รัฐสภา หรือแม้แต่ศาล ดังนั้นสำหรับกรมสอบสวนคดีพิเศษก็คงไม่ใหญ่โตคับฟ้าถึงกับไม่ฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วย

สิ่งที่น่าจับตากันต่อไปก็คือ ชะตากรรมของธาริต เพ็งดิษฐ์ จะโดนฟ้องกลับในข้อหาละเมิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเชื่อว่าอีกไม่นานนี้นายธาริตจะต้องโดนฟ้องกลับตามมาเป็นพรวนอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าคนอย่างนายธาริตที่ไต่เต้ามาเป็นใหญ่เป็นโตได้ถึงขนาดนี้ คิดว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะรุ่งเรืองใหญ่คับฟ้าไปตลอดกาลหรืออย่างไร

ขณะที่นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ระบุว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาพอสมควรแล้ว การฝ่าฝืนหรือเพิกเฉยหรือยังดึงดันดื้อรั้นเดินหน้ากล่าวหา กปปส. และประชาชนที่ชุมนุมจึงเป็นการทำผิดตามกฎหมาย เช่น ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และมาตรา 200 จึงขอเตือนว่าให้ระวังว่าจะติดคุกหัวโต

ยิ่งกล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมในขณะนี้ก็ต้องยอมรับว่า กระแส กปปส.ไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ แต่ก็นับว่าโชคดีที่มีนายธาริตมาช่วยเติมเชื้อเพลิงให้เรื่อยๆ แบบนี้ ซึ่งนายธาริตไม่ทราบเลยหรือว่าประชาชนที่แห่แหนออกมาเป็นจำนวนหลักล้านไม่รู้กี่รอบนั้นยอมรับไม่ได้กับการที่นักการเมือง ข้าราชการใช้อำนาจเหิมเกริม เละเทะเกินขอบเขตอย่างที่ควรจะทำ พวกเขาเหล่านั้นจึงต่อต้านที่จะล้มวงจรอุบาทว์นี้ให้หมดไปจากแผ่นดิน

และที่น่าสนใจก็คือประชาชนก็เหมือนตบหน้าธาริตเข้าฉาดใหญ่เหมือนกัน ขณะที่นายสุเทพเดินขบวนไปตามสถานที่ต่างๆ ภาพที่ปรากฏออกทางสื่อคือเห็นประชาชนรวบรวมเงินสดมาบริจาคให้กับนายสุเทพด้วยตัวเองกับมือ บางรายถึงกับใช้ธนบัตรใบละพันเย็บร้อยติดกันเป็นพวงใหญ่นำมาบริจาคให้กับนายสุเทพตลอดทางเพื่อใช้เป็นทุนในการขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยซ้ำไป

สุดท้ายนี้คงต้องยกคำพูดของนางนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม ภริยา พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม นายทหารผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.53 ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Nicha Hiranburana Thuvatham ที่ได้ระบุถึงนายธาริตด้วยว่า วันก่อนลืมเล่าวีรกรรมสำคัญของรัฐบาลนี้และอธิบดีดีเอสไอว่า ถึงขนาดไปยื่นหนังสือขอให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของฝ่ายบริหาร ช่วยติดตามเร่งรัดคดีทหารเสียชีวิตในปี 53 ให้ นายกยิ่งลักษณ์บอกว่า..ให้ไปคุยกับอธิบดีดีเอสไอ เอง จนบัดนี้ยังไม่เคยได้คุยกับอธิบดีเขาเลย เขาคงมัวแต่ยุ่งทำคดีเณรคำ ป้ายอุทยานเสือ สิงห์ กระทิง... และ คดีเป่านกหวีด จนไม่มีเวลาทำคดีให้ทหารตาย ล่าสุด ดีเอสไอก็ลุกขึ้นมากระตือรือล้นทำ คดี กปปส. มีกบฏเป็นล้าน!!!

คดีทหารตาย 5 คน ให้เวลามาเกือบ 4 ปี ยังทำไม่ได้เลยกรุณากลับไปทำให้ก่อนได้ไหม

...เชื่อว่า คำพูดของนางนิชา ธุวธรรม คงจะแทนใจประชาชนเกือบทั้งประเทศที่มีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษที่มีนายธาริตเป็นหัวเรือใหญ่ก็ไม่น่าจะผิดเพี้ยนไปนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น