ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุด “ศาลรัฐธรรมนูญ” ได้มีมติตอกย้ำอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม จากการยกคำร้องกรณีที่สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย (ทนายความสนับสนุนรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และคนเสื้อแดง) ที่ร้องให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ กกปส. ยุติการชุมนุม โดยอ้างเหตุผลว่ามีการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 มีเจตนาล้มล้างการปกครอง เพื่อให้ได้อำนาจไม่เป็นไปตามวิถีทางรัฐธรรมนูญโดยอ้างถึงการปิดถนน ยึดสถานที่ราชการ แต่ปรากฏว่าไม่ได้ผล ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับฟัง โดยวินิจฉัยว่า “เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ” อีกทั้งการชุมนุมดังกล่าวยังมีเหตุผลมาจากการไม่ไว้วางใจการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบกับเป็นการแสดงพลังที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมากเพื่อแสดงเจตนารมณ์ทางการเมือง
สรุปความหมายก็คือ การชุมนุมของ กปปส.ภายใต้การของ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีมวลมหาประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังเป็นการชุมนุมโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการชุมนุมโดยสงบ เป็นการแสดงพลังของประชาชนตามสิทธิ
เป็นการตอกย้ำให้เห็นอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยยกคำร้องในทำนองเดียวกันมาแล้วเมื่อครั้งที่พรรคเพื่อไทยเคยไปร้องให้ยุติการชุมนุมมาแล้ว เพียงแต่ว่าคราวนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการขยายความให้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
ถามว่าแล้วไปเกี่ยวอะไร และทำไม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ต้องชะตาขาด ต้องหนาว
คำตอบก็คือเกี่ยวแน่ หนาวแน่ เพราะว่าในวันเดียวกันเขาได้ใช้อำนาจออกหมายเรียก สุเทพ เทือกสุบรรณ และแกนนำ กปปส.มารับทราบข้อหากบฏไปแล้ว รวมไปถึงได้อายัดบัญชีธนาคาร ซึ่งอย่างหลังยังมีการขู่จะตั้งข้อหาต่อพวกที่ให้การสนับสนุนการชุมนุมทุกราย โดยเฉพาะภาคธุรกิจเอกชน หรือแม้แต่เจ้าพนักงานของรัฐ เช่น เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานครที่ระบุว่าไปอำนวยความสะดวกกับการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ขู่ว่าจะสั่งอายัดบัญชีธนาคารด้วย
แน่นอนว่าคดีดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปยุติ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาชัดเจนดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมเข้าใจได้ไม่ยากว่า “ศาลฯ ได้คุ้มครองการชุมนุม และยังเห็นว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ” และที่สำคัญก็คือ ความหมายของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ถือว่าเป็น “กฎหมายสูงสุด” และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลผูกพันทุกองค์กร ไม่เว้นแม่แต่รัฐบาล รัฐสภา หรือแม้แต่ศาล ดังนั้น สำหรับกรมสอบสวนคดีพิเศษก็คงไม่ใหญ่โตคับฟ้าถึงกับไม่ฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วย
สิ่งที่น่าจับตากันต่อไปก็คือ ชะตากรรมของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ จะโดนฟ้องกลับในข้อหา “ละเมิด” และโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในมาตรา 157 และเชื่อว่าอีกไม่นานนี้เขาจะต้องโดนฟ้องกลับตามมาเป็นพรวนแน่ และที่สำคัญอาจจะมีการเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลออกมาให้เห็นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
สิ่งที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกำลังดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังในเวลานี้ มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมีเจตนาเพื่อรับใช้ “ระบอบทักษิณ” รับใช้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หมดความชอบธรรม มิชอบด้วยกฎหมาย หลังจากปฏิเสธคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จนทำให้ประชาชน “หมดความอดทน” จนต้องออกมาเดินถนนประท้วงกันมากมายเป็นประวัติการณ์
การตั้งข้อหากบฏ หรือก่อนหน้านี้เคยพยายามที่จะดำเนินคดีต่อคนที่เป่านกหวีดแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐบาลทรราช ต่อต้านข้าราชการที่รับใช้รัฐบาลทรราช ได้ก่อให้เกิดความ “เกลียดชัง” แสดงความรังเกียจมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เพราะพฤติกรรมดังกล่าวที่แสดงออกมา อีกด้านหนึ่งก็กลายมาเป็นแรงกระตุ้นให้คนออกมาร่วมขบวนขับไล่ ไม่ต่างจากการ “เรียกแขก”
อย่างไรก็ดี หากมองอีกมุมหนึ่งถ้าพิจารณากันอย่างเข้าใจในหัวอกของคนอย่าง ธาริต เพ็งดิษฐ์ ก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขาต้องรับใช้กันแบบสุดลิ่มทิ่มประตูอยู่แล้ว นั่นคือ หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ ธาริตก็ต้องอยู่ แต่หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย และระบอบทักษิณ ต้องล้มไป ก็พอเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่นาทีนี้เอาเฉพาะหน้าก่อน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยคุ้มครองสิทธิการชุมนุมของ กปปส.และมวลชนที่ออกมาต่อต้านขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มันก็ยิ่งเพิ่มความ “หนาวเหน็บ” ให้กับเขามากขึ้นเป็นทวีคูณ!!