ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ชาวเน็ตแห่แชร์ภาพอาสาดับเพลิงชูใบสั่ง ไปช่วยดับเพลิงบ้านเรือนย่านตลาดบางแค แต่โดนใบสั่งข้อหากีดขวางจราจร ด้านสารวัตรจราจร สน.หลักสอง เผยเป็นรถจักรยานยนต์ 4 คัน จอดกีดขวางจราจรช่วงระบายรถ ไม่มีผู้ใดแสดงตัวเป็นเจ้าของ เผย ผอ.ดับเพลิงลงมาเคลียร์ที่ สน.ด้วยตัวเอง ลั่นยินดีดูแลเรื่องนี้ให้เพราะต่างคนต่างทำงาน
วันนี้ (11 มี.ค.) มีรายงานว่าเฟซบุ๊กแฟนเพจ “เกาะติดฅนกู้ภัย (ลั่นล้า18+)” ได้โพสต์ภาพเป็นชายในเครื่องแบบชุดดับเพลิงถือใบสั่งจากตำรวจจราจร โดยระบุว่า “น้ำใจเล็กๆ จากตำรวจ สน.หลักสอง อาสาดับเพลิง ได้ไปดับไฟที่บางแคได้จอดรถไว้ข้างถนนแล้วตัวลงไปลุยดับไฟ กลับมาครับใบสั่งนับ 10 ใบ แปะไว้หน้ารถอาสาดับเพลิง พระเจ้าจอร์สนายแน่มาก สงสัยจะหิวหรือยอดไม่เข้าเป้าเขียนไม่ดูเหตุการณ์บ้างเลย คุณอยากพูดอะไรกับเหตุการณ์นี้เชิญ... ?” ซึ่งพบว่าภาพดังกล่าวถูกแชร์เป็นจำนวนมาก พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ต่างๆ นานา
ขณะเดียวกัน ในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “เกลียดตำรวจของไทย” ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวกันของชาวเฟซบุ๊กที่ไม่พอใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีสมาชิกโพสต์ภาพชายในเครื่องแบบชุดดับเพลิงกลุ่มหนึ่ง ยืนถือใบสั่งอีก 3 ใบ ระบุว่า “อปพร.บางแค ธน 30-00 ธน 35-00 มาทำงานเพื่อสังคม มาดับไฟแต่โดนใบสั่ง สน.หลักสอง” ซึ่งพบว่าเป็นภาพจากเฟซบุ๊ก “Vava Bangkae” ขณะเดียวกันได้มีเฟซบุ๊กนามแฝง “Kidsada Sukkarnka” โพสต์ข้อความในแฟนเพจ “เกลียดตำรวจของไทย” ระบุว่า วันนี้ 11 มีนาคม เวลาประมาณ 12.00 น.ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประชาชน ในตลาดบางแค ซึ่งเป็นอาคารเก่า 3 ชั้น ปลูกติดกันจำนวนหลายคูหา ประกอบกิจการเก็บวัสดุพวกรองเท้า พลาสติก ผ้า สำหรับไว้จำหน่าย เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของ กทม.และหน่วยอาสาสมัครจำนวนมาก ช่วยกันระงับเหตุไม่ให้ลุกลามไปยังตลาดและบ้านเรือนของประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้น ปฏิบัติหน้าที่จนเพลิงสงบ ก็เก็บของเตรียมแยกย้ายกันกลับหน่วย ที่ตั้งของแต่ละคน เหตุเพลิงไหม้เกิดในท้องที่ สน.เพชรเกษม แต่ประเด็นไม่ใช่ที่ สน.ท้องที่ เนื่องจากหน้าตลาดบางแคบนผิวจราจรเป็นเขตรับผิดชอบงานจราจรของ สน.หลักสอง อ้างว่า ดับเพลิงมาแล้วจอดรถไม่ดี ทำให้รถติดมาก มันจะไม่ติดได้ไงก้อมันเป็นเวลาเที่ยง คนก็ออกมากินข้าว แห่กันเอารถออกมาตลาด ตำรวจจราจรท่านนี้ ไม่พอใจ ไล่เขียนใบสั่งแปะรถจักรยานยนต์ ย้ำนะว่ารถจักรยานยนต์หน้าตลาดบางแค ที่จอดอยู่ริมถนนของเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และอาสาสมัครที่มาช่วยระงับเหตุ
“พวกท่านคิดดูว่า ควรทำแบบนี้หรือไม่ ผมเองจอดหลบหน่อย เลยรอดไม่โดน หรือยังไม่ถึงคิวมาเขียนก็ไม่รู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าทำกันเลย พวกผมมาระงับเหตุให้ชาวบ้าน ไม่ได้มาจอดกินก๋วยเตี๋ยว หรือจอดซื้อเพชร พลอย แบบคุณหญิงของพวกคุณ เราจึงต้องรีบเพื่อทำให้ไม่เสียหายมากไปกว่านี้ ประกอบกับในตลาดเป็นที่คับแคบ รถต้องจอดริมถนนด้านนอกหรืออ้อมไปหลังตลาดเท่านั้น ซึ่งเสียเวลามาก เพลิงก็ยิ่งลุกลามมากขึ้น พวกผมเสียความรู้สึกมาก ทำไมทำกันแบบนี้ ตัวการท้องที่ สน.หลักสอง ครับ” ข้อความระบุ
ภายหลังเมื่อเวลา 17.00 น.ผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการออนไลน์ ได้สอบถามไปยัง พ.ต.ท.เอนก เข่งคุ้ม สารวัตรจราจร สน.หลักสอง เจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ ชี้แจงว่าจุดเกิดเหตุเพลิงไหม้อยู่ในพื้นที่ สน.เพชรเกษม แต่พื้นผิวจราจรถนนเพชรเกษม อยู่ในพื้นที่ สน.หลักสอง โดยขณะนี้สามารถใช้พื้นผิวจราจรได้ 2 ช่องจราจร เนื่องจากมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-หลักสอง ทั้งนี้ได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้เมื่อเวลา 11.20 น.เศษ และเพลิงสงบเมื่อเวลา 11.50 น.แต่ปัญหาที่พบคือ โดยปกติเส้นทางนี้จะมีป้ายรถเมล์ซึ่งประชาชนใช้บริการจำนวนมาก และจากเหตุเพลิงไหม้มีผู้คนหยุดมุงดูเหตุการณ์จำนวนมาก ทำให้รถชะลอตัว ประกอบกับมีรถจากมูลนิธิหลายหน่วยเข้ามาจอดเพื่อให้การช่วยเหลือ
ขณะเดียวกัน ทางตำรวจได้รับแจ้งจาก สน.ภาษีเจริญ ซึ่งอยู่ติดกัน ระบุว่าการจราจรบนถนนเพชรเกษมขาออก ติดขัดสะสมไปถึงเขตภาษีเจริญแล้ว หลังเพลิงสงบตำรวจจึงได้ให้รถที่จอดออกจากพื้นที่เกือบทั้งหมดและเร่งระบายรถ โดยได้ให้รถหน่วยกู้ภัยเก็บอุปกรณ์ 1 ช่องจราจร กระทั่งพบรถจักรยานยนต์จำนวน 4 คัน จอดกีดขวางทำให้เสียการจราจร 1 ช่องทาง ทำให้เหลือช่องทางที่สัญจรไปได้เพียงแค่ 1 ช่องจราจร ซึ่งโดยปกติจุดนี้เป็นเขตห้ามจอดตลอดเวลา ทั้งนี้ได้ประชาสัมพันธ์และสอบถามว่าใครเป็นเจ้าของรถ แต่กลับไม่พบว่ามีผู้ใดแสดงตัว จึงได้เขียนใบสั่งในข้อหากีดขวางการจราจร ไม่เช่นนั้นจะทำให้มีรถจอดเพื่อเข้ามามุงดูเยอะมากขึ้น ซึ่งจุดดังกล่าวรถดับเพลิงที่เข้าไปในซอยโรงภาพยนตร์บางแคจะต้องเลี้ยวซ้ายเพื่อออกถนนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเมื่อทราบว่าเจ้าของรถพร้อมด้วยผู้อำนวยการดับเพลิงได้เข้าพบ พ.ต.อ.ภาณุเดช สุขวงศ์ ผู้กำกับการ สน.หลักสอง และตนก็ยินดีที่จะช่วยเหลือดูแลให้ เนื่องจากต่างคนต่างทำงาน มาเป็นอาสาดับเพลิง ซึ่งเจ้าของรถแต่ละคนก็อยู่ในสภาพเปียกปอน แต่มีผู้สื่อข่าวบางคนพยายามขยายผลเรื่องนี้เพื่อให้เกิดเรื่อง