xs
xsm
sm
md
lg

สามภูแห่งลำน้ำฮวย: อดีต ปัจจุบัน อนาคต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สามภูแห่งลำน้ำฮวย: อดีต ปัจจุบัน อนาคต
โดย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายศิลป์ โรงเรียนรุ่งอรุณ

อดีต
ลำน้ำฮวย คือลำน้ำสาขาของแม่น้ำเลยที่ไหลผ่านพื้นที่หลายหมู่บ้านในอำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย หล่อเลี้ยงชีวิตของผู้คนมากมายซึ่งนำน้ำไปใช้ทั้งในการทำการเกษตร ใช้ในการอุปโภคและบริโภค รวมถึงเป็นแหล่งจับสัตว์น้ำของชาวบ้านเช่นกัน

สามภูแห่งลำน้ำฮวย คือภูซำป่าบอน ภูทับฟ้า และภูเหล็ก ภูสามลูกที่เป็นเหมือนซูเปอร์มาเกตของชาวบ้าน มีป่าที่เต็มไปด้วยทรัพยากรทางอาหารอย่างหน่อไม้ เห็ด และสัตว์ป่า และยังเป็นต้นน้ำของลำห้วยหลายสายที่ไหลมาบรรจบกับลำน้ำฮวย

เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ประกอบด้วยป่าและน้ำอันอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่รอบ ๆ สามภูแห่งลำน้ำฮวยจึงมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย พึ่งพาตนเองและธรรมชาติเป็นสำคัญ และพึ่งพาเงินแต่น้อย ที่นี่ในแต่ละปี ชาวบ้านจะปลูกข้าวนาปีเพื่อเก็บไว้กินเอง จนกระทั่งฤดูทำนาหมุนเวียนมาอีกรอบ ชาวบ้านจึงจะขายข้าวที่เหลือในยุ้งเพื่อนำข้าวใหม่มาขึ้นยุ้ง

นอกจากทำนาแล้ว ชาวบ้านปลูกยาพาราเป็นอาชีพรอง และยังทำไร่พืชประเภทอื่นกันอยู่มาก เช่น ไร่ถั่วเหลือง ถั่วดำ ฝ้าย มะขามหวาน หรือลูก เรื่องอาหารการกินไม่ต้องเป็นห่วง อย่างหน่อไม้ หรือเห็ดที่ชาวบ้านอีสานชอบกินก็หาได้ง่ายในป่าบนภูในฤดูฝน หรือหากต้องการหอยและปลาก็หาได้ในลำห้วยแถวนั้นนั่นเอง อาหารเหล่านี้สามารถปรุงเป็นอาหารพื้นบ้านกินได้อย่างอร่อยและนำมาผ่านกระบวนการถนอมอาหารจนเก็บไว้กินได้ทั้งปี

รอยต่อระหว่างอดีต - ปัจจุบัน: จุดเริ่มต้นของความเปลี่ยนแปลง

สืบเนื่องมาจากการสำรวจแหล่งแร่และทรัพยากรธรณีที่พบว่าพื้นที่บริเวณสามภูนี้เป็นแหล่งแร่ทองคำชั้นดี ภูอันเป็นแหล่งอาหารของชาวบ้านจึงกลายเป็นพื้นที่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทางเหมืองแร่ ซึ่งในที่สุดแล้วบริษัทเหมืองทองคำแห่งหนึ่งก็เป็นผู้ชนะการประมูลประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่บริเวณภูซำป่าบอนและภูทับฟ้าในปีพ.ศ.2534 ก่อนจะเปิดทำการอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ.2549 ก่อนจะเปลี่ยนภูทั้งสองให้กลายเป็นเหมืองทองคำ

ปัจจุบัน
ปัจจุบันของภูซำป่าบอนคือขุมเหมือง 1 แปลง เนื้อที่ 228 ไร่ ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนทั้งหมด ของป่าอย่างหน่อไม้ ต้นไผ่ เห็ด และสัตว์ในดินหายไปพร้อมกับยอดภูที่ถูกขุดจนกลากลายเป็นขุมเหมือง โดยการทำเหมืองที่ภูซำป่าบอน รวมถึงที่ภูทับฟ้านั้น ใช้วิธีการทำเหมืองหาบ (Open Pit) คือการเปิดหน้าดินแบบขั้นบันไดโดยใช้การระเบิดหรือขุดเจาะเพื่อเอาสินแร่ออกมา สินแร่ที่ได้จากขุมเหมืองที่ภูซำป่าบอนจะถูกขนไปยังโรงแต่งแร่บนภูทับฟ้าเพื่อทำการแต่งแร่ สกัดแร่ทองคำ

ปัจจุบันของภูทับฟ้าคือบริเวณเหมืองทองคำ 5 แปลง รวมเนื้อที่1080 ไร่ 56 ตารางวา บนภูมีทั้งขุมเหมือง โรงแต่งแร่ บ่อกักเก็บกากแร่ซึ่งสร้างอยู่บริเวณต้นน้ำชั้น 1A (คือพื้นที่ต้นน้ำลำธารที่ยังมีสภาพป่าสมบูรณ์ ควรสงวนไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารโดยเฉพาะ เนื่องจากว่าอาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินได้ง่ายและรุนแรง) กองมูลดินสินแร่ บ่อบำบัดน้ำ และอ่างเก็บน้ำดิบ

ชะตากรรมของภูทับฟ้าเองแทบไม่ต่างจากภูซำป่าบอน คือ แหล่งอาหารบนภูของชาวบ้านและแหล่งน้ำที่สะอาดหายค่อย ๆ หายไป แทนที่ด้วยยอดภูกลายเป็นบ่อกักเก็บกากแร่ และอาการเจ็บป่วยของชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณรอบเหมือง

ปัจจุบันชาวบ้านมีการเฝ้าระวังอาการ 5 อาการที่ปรากฏขึ้นหลังจากการเข้ามาของเหมืองทองคำ คือ อาการระคายเคืองจมูก/คอ ผื่นคัน แผลเรื้อรัง แสบตา/มีขี้ตา และอาการแน่นหน้าอก อีกทั้งเสียงระเบิดเปิดหน้าดินที่ดังรบกวนทำให้ชาวบ้านบางคนถึงกับต้องพึ่งยานอนหลับและยาระงับประสาท และผลการตรวจเลือดใน 6 หมู่บ้านที่ตั้งอยู่บริเวณรอบเหมืองทองคำภูซำป่าบอน และภูทับฟ้าพบค่าไซยาไนด์ (สารพิษสำคัญในกระบวนการสกัดแร่ทองคำ) และสารโลหะหนักอย่างปรอท ตะกั่ว แคดเมียม (เพื่อนแร่ของแร่ทองคำ) ทั้งเกินและไม่เกินมาตรฐาน

ไซยาไนด์และโลหะหนักเหล่านี้ไม่เพียงแต่ถูกพบในเลือดของชาวบ้าน แต่ยังถูกตรวจพบในแหล่งน้ำ เช่นลำห้วยสายเล็ก ๆ ที่มีต้นน้ำ หรือไหลผ่านภูซำป่าบอน และภูทับฟ้า รวมถึงลำน้ำฮวยซึ่งเป็นสายน้ำที่ใหญ่กว่า แสดงถึงการปนเปื้อนของไซยาไนด์และโลหะหนักจากลำน้ำสายเล็กไปสู่ลำน้ำที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งน่ากลัวว่าหากไม่มีมาตรการดูแลและแก้ไขที่ดีพอ สารปนเปื้อนเหล่านี้อาจกระจายสู่ลำน้ำสายที่ใหญ่ขึ้นและสร้างผลกระทบต่อผู้คนเป็นวงกว้างขึ้นอีก

แม้จะไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าไซยาไนด์และโลหะหนักเหล่านั้นเป็นผลกระทบมาจากกระบวนการทำเหมืองทองคำ แต่มีข้อสังเกตหลายประการที่กล่าวว่าการรั่วไหลน่าจะมาจากเหมืองทองคำบนภูทั้งสองซึ่งไม่มีการจัดการที่ดีพอ เช่น ไม่มีการจัดการกับบรรจุภัณฑ์ไซยาไนด์ที่ใช้แล้ว สภาพของถังละลายไซยาไนด์และถังบำบัดไซยาไนด์มีน้ำล้น ความเข้มข้นของสารไซยาไนด์ที่ปล่อยจากถังบำบัดมีค่าสูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน มีการเชื่อมต่อไม่สนิทระหว่างผ้าพลาสติกกันซึมที่บ่อกักเก็บกากแร่ซึ่งอาจะเป็นสาเหตุให้เกิดการรั่วไหล ไม่เฉพาะสารไซยาไนด์เท่านั้นที่รั่วไหลออกมาจากเหมืองทองคำได้ แต่โลหะหนักที่อยู่ในมูลดินทรายก็สามารถถูกชะออกมาได้และมีโอกาสปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำหากไม่มีการจัดการที่ดีพอได้เช่นกัน (อ้างอิง)

เนื่องจากน้ำคือชีวิตของเกษตรกรผู้ปลูกข้าว เมื่อน้ำปนเปื้อน ข้าวที่ปลูกด้วยน้ำจากลำห้วยจึงมีการปนเปื้อน ซึ่งมีการตรวจพบการปนเปื้อนจากแปลงข้าวของชาวบ้านบางแปลง เหตุนี้ได้บีบบังคับให้ชาวบ้านบางคนต้องขายข้าวของตนด้วยราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด เพื่อนำเงินไปซื้อข้าวจากที่อื่นมาบริโภค ด้วยความกลัวว่าข้าวของตนจะมีสารพิษและทำให้ตัวเองป่วยเป็นโรคได้

นอกจากชาวบ้านจะต้องต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อข้าวมากินแล้ว ยังรวมถึงอาหารอื่นด้วย เนื่องจากชาวบ้านไม่สามารถหาหอยขมหรือปลาจากลำห้วยที่ปนเปื้อนสารพิษได้อีต่อไป อีกทั้งน้ำยังเป็นอีกสิ่งที่ชาวบ้านต้องซื้อมาบริโภคในครัวเรือน เนื่องจากน้ำจากแหล่งน้ำบาดาลมีสภาพเป็นกรดที่ทำให้ชาวบ้านเกิดอาการผื่นคัน

กล่าวได้ว่าความเปลี่ยนแปลงในการใช้ชีวิตและสุขภาพที่ตามมาหลังการเข้ามาของเหมืองทองที่ภูซำป่าบอนและภูทับฟ้า คือรายจ่ายที่สูงขึ้นของชาวบ้านในหมู่บ้านรอบ ๆ ภู ในขณะที่ชาวบ้านยังมีรายได้เท่าเดิม หรือน้อยลงกว่าเดิมเนื่องจากผลผลิตทางการเกษตรที่ลดลงอีก

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ในปัจจุบันวิถีชีวิตแบบพึ่งตนเองเป็นหลัก และพึ่งเงินแต่น้อยของชาวบ้านได้ถูกทำลายไปจนสิ้น ชาวบ้านต้องดิ้นรนหาเงินเพราะมีรายจ่ายมากขึ้น และยังมีความเสี่ยงในเรื่องสุขภาพ และยังปรากฏอาการเจ็บป่วยของชาวบ้านในพื้นที่มากขึ้น จนชาวบ้านอดรนทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมารวมกลุ่ม เป็นกลุ่มที่มีชื่อว่า “กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด” เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง

ทว่า อาจเป็นโชคดีของชาวบ้านที่ปัจจุบัน เหมืองทองคำทั้งบนภูซำป่าบอนและภูทับฟ้าอยู่ในช่วงหยุดดำเนินการชั่วคราวเนื่องจากกำลังอยู่ในระหว่างการต่ออายุการขอใช้พื้นที่ป่าไม้ (ประทานบัตรขอได้ทีละ 25 ปี ส่วนการขอใช้พื้นที่ป่าไม้ขอได้ทีละแค่เพียง 10 ปีเท่านั้น) และต้องมีการทำรายงาน EHIA ประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพชุมชนใกล้เคียง ทำให้สถานการณ์ในพื้นที่ปัจจุบันค่อยคลายความตึงเครียดลงบ้าง

ปัจจุบันของภูเหล็ก ภูที่สำคัญอีกภูหนึ่งและเป็นภูสุดท้ายที่ชาวบ้านเหลืออยู่ กำลังดำเนินรอยตามอดีตที่เกิดขึ้นกับภูซำป่าบอน และภูทับฟ้า วันนี้ภูเหล็กยังมีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ มีของป่า หน่อไม้ เห็ด และสัตว์ต่าง ๆ ให้ชาวบ้านไปเก็บ ไปล่ามาได้บ้าง แต่ก็ไม่แน่ว่าภูเหล็ก ปราการด้านอาหารแหล่งสุดท้ายของชาวบ้าน จะคงสภาพสมบูรณ์เช่นนี้ต่อไปได้นานเพียงใด เนื่องจากทางเหมืองทองคำมีโครงการที่จะขยายเหมืองทองคำมายังภูเหล็ก ขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการขอประทานบัตร

อนาคต
อนาคตของสามภูแห่งลำน้ำฮวยจะเป็นอย่างไรเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้แน่ชัดและสามารถฟันธงได้ แต่สิ่งที่เราสามารถทำนายได้จากสถานการณ์ปัจจุบันคือ หากไม่มีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการเหมืองแร่ทองคำที่ภูซำป่าบอนและภูทับฟ้า รวมทั้งหากยังมีการอนุมัติประทานบัตรการทำเหมืองทองคำที่ภูเหล็กด้วยละก็ วิถีพึ่งตนเองและธรรมชาติของชาวบ้านคงเหลือเพียงแค่คำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่เท่านั้นเอง

บทความข้างต้นคือบทความที่นักเรียนระดับชั้นปีที่6 สายศิลป์ โรงเรียนรุ่งอรุณเขียนส่งคุณครูในวิชาโครงงาน หน่วยวิชาสังคมศึกษา ซึ่งในภาคเรียนสุดท้ายของปีการศึกษานี้ พวกเราได้ทำโครงงานเรื่องเหมืองทองคำและชุมชน ที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย

ในการทำโครงงานที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์และปัญหาจริงของสังคมเช่นนี้ สิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้ไม่ใช่เพียงแค่ความรู้จากในหนังสือเท่านั้น แต่เราในฐานะเยาวชนที่จะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า ยังได้รู้จักการมีส่วนร่วมและแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

เป้าหมายของโครงงานของพวกเราคือการทำให้คนทั่วไปรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ผ่านสื่อสองชนิดคือ คลิปวิดีโอ 4 ตอน ที่บอกเล่าประเด็นต่าง ๆ ในพื้นที่ ทั้งประเด็นเรื่องของความเจ็บป่วยของชาวบ้าน ผลกระทบของสารปนเปื้อนในน้ำต่อพืชผลทางการเกษตรอย่างข้าว และเรื่องราวการต่อสู้เพื่อสิทธิความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้าน

สื่อชนิดที่สองคือ Infographic ประกอบวิดีโอแต่ละตอนเพื่อสื่อสารรายละเอียดทางเนื้อหาของประเด็นที่อาจตกหล่นหรือไม่ได้ถูกขยายในคลิปวิดีโอนั้น ๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่พวกเรากำลังทำก็คือการระดมทุนเพื่อนำเงินเพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการตรวจหาสารไซยาไนด์และสารโลหะหนักในเลือดของกลุ่มเด็กในพื้นที่เนื่องจากการตรวจดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

พวกเราหวังว่าในอนาคต สิ่งที่พวกเรากำลังทำอยู่นั้นจะสามารถช่วยให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณรอบเหมืองได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สุขภาพที่ดีขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าในน้ำ และในอาหารของตนเองจะถูกปนเปื้อนจากสารพิษ และสามารถกลับมาพึ่งพิงธรรมชาติรอบตัวได้ดังเดิม

หากท่านผู้อ่านสนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเราได้ที่ Facebook Page เหมืองทองคำ ทำรายได้หรือทำร้ายกัน ? หรือ www.facebook.com/keepthaismiles และหากต้องการร่วมบริจาคสามารถโอนเงินมาได้ที่ ธนาคารกสิกรไทย สาขาเซ็นทรัลพระรามที่ 2 ชื่อบัญชี น.ส. นลวรรณ กาญจนประกาส และ น.ส. ชนาฐิต รัตนปราการ เลขที่บัญชี 743 - 2 - 53710 -9




กำลังโหลดความคิดเห็น