คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ประยุทธ์” ขอโทษสังคม-ASTVผู้จัดการที่วีนใส่ ยัน แม้ตนเสียงดัง แต่ใจดี ด้าน “สนธิ” ลั่น ยอมรับคำขอโทษ แต่จะไม่หยุดตรวจสอบ!
ความคืบหน้าหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ถูกผู้สื่อข่าวซักถามเรื่องกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะชุมนุมใหญ่วันที่ 21 ม.ค.เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกในการตีความคดีปราสาทพระวิหาร แต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจผิดคิดว่าพันธมิตรฯ จะชุมนุม พร้อมเกิดอาการเหวี่ยงวีน กล่าวหาว่าสื่อเครือผู้จัดการเขียนข่าวห่วย กระทั่งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงพร้อมถามกลับว่า ASTVผู้จัดการ เขียนข่าวห่วย หรือผู้บัญชาการทหารบกที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ห่วยกันแน่ จากนั้นได้มีทหารตบเท้าบุกสำนักงานผู้จัดการ บ้านพระอาทิตย์ 2 วันซ้อน เพื่อแสดงความไม่พอใจ พร้อมเรียกร้องให้ ASTVผู้จัดการ ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอให้กองทัพยุติการคุกคามสื่อทุกรูปแบบ พร้อมขอให้ ผบ.ทบ.รับฟังความคิดเห็นของสื่อมวลชนบ้าง
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวระหว่างให้โอวาทกำลังพลเนื่องในวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี โดยขอโทษสังคมที่ตนหงุดหงิดไปหน่อยในช่วงที่ผ่านมา “ผมต้องขอโทษสังคมว่า อาจแสดงกิริยาหงุดหงิดไปหน่อย แต่ผมพูดแบบทหาร พูดแรงไปนิดหน่อย ต้องรู้จักนิสัยผม ส่วนทหารที่ออกไปที่หน้าสำนักพิมพ์ ASTVผู้จัดการนั้น ก็เรียกมาสอบสวนหลายหน่วย โดยเขาบอกว่า เขาขออนุญาตไป ไม่น่าผิด เพราะไปนอกเวลา ไม่ได้ถูกเกณฑ์ไป”
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบโต้ พร้อมถือโอกาสขอโทษ ASTVผู้จัดการด้วย โดยบอกว่า ขอโทษด้วยถ้ารู้สึกว่า ดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป ตนเป็นผู้ใหญ่ก็ขอโทษ ซึ่งขณะนี้ตนควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งกว่านี้ ลูกน้องรู้ว่า แม้ตนเสียงดัง แต่ไม่ใช่คนใจร้าย เป็นคนใจดี ...อยากให้เข้าใจทหาร อะไรที่หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน เคยเห็นไก่ตรุษจีนไหม ไม่รู้ว่าจะจิกตีกันไปทำไม ตนไม่อยากเป็นไก่ตรุษจีน ดังนั้นตนออกมานอกเข่งดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ได้มีการห้ามนักข่าว ASTVผู้จัดการเข้าทำข่าวในกองทัพบก
ด้าน ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกมาขอโทษสังคมต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป พร้อมชี้ว่า ทางออกของการคลี่คลายปัญหา ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง เพราะ ASTVผู้จัดการไม่หวาดหวั่นต่อการคุกคามนั้น และว่า ASTVผู้จัดการ จะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพและผู้บังคับบัญชาของกองทัพต่อไปอย่างตรงไปตรงมา และซื่อตรงต่อวิชาชีพ พร้อมขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรงเต็มกำลัง และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน “เราขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของท่านอย่างตรงไปตรงมาในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ท่านยังมีจุดยืนในหน้าที่ของตัวเอง และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์อย่างเที่ยงตรง และตระหนักต่อภาระหน้าที่ กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราขอยืนยันว่า ผู้บัญชาหารทหารบกกับเรามีอุดมการณ์เดียวกัน”
แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังฝากถึงกำลังพลในกองทัพด้วยว่า “ASTVผู้จัดการไม่ใช่ศัตรูของกองทัพและชาติบ้านเมือง แต่ข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตยของชาติ นักการเมืองที่โกงกินชาติบ้านเมืองต่างหาก ลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องการจะล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่างหากที่เป็นศัตรูของกองทัพ ประชาชน และชาติบ้านเมือง เราเชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะเป็นกำลังหนุนเนื่องของกองทัพในการต่อสู้กับภัยของชาติบ้านเมืองเหล่านั้น”
ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาขอโทษสังคมและ ASTVผู้จัดการว่า ยอมรับคำขอโทษ แต่จะไม่หยุดทำหน้าที่หาความจริงมาให้ประชาชน “ผมก็ต้องขอขอบคุณที่คุณประยุทธ์ขอโทษขอโพยมา ไม่เป็นไร เรายอมรับคำขอโทษ แต่ผมอยากจะเตือนกลับไปว่า การที่คุณขอโทษและเรายอมรับการขอโทษ ไม่ได้แปลว่าเราจะหยุดนะ หน้าที่เราคือการหาความจริงมาให้ประชาชน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ตอบอะไรสังคมไม่ได้ เราต้องถาม อะไรก็ตามที่ไม่มีความโปร่งใส และไม่มีความเที่ยงตรง เราต้องแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์ นี่คือหน้าที่เรา เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้”
2.ศาล สั่งจำคุก “เจ๋ง ดอกจิก” 3 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง ไม่รอลงอาญา ก่อนอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวสู้คดีชั้นอุทธรณ์!
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ปรึกษานายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 2 ,8 และ 12
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2553 จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช.ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ยุบสภาของอภิสิทธิ์นี่มันยากเพราะอะไร เพราะปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่ออกมา เปรมก็ไม่ยอม ผมก็ไม่รู้ ไม่กล้าพูด แต่พี่น้องอยู่ที่นี่ (นายยศวริศใช้มือจับปากของตัวเองและกิริยาที่สื่อให้ผู้ฟังเห็นว่าอย่าพูดไป หรือพูดไม่ได้) คิดอะไรกันอยู่นะ... เพราะปัจจัยที่ไอ้อภิสิทธิ์ไม่กล้ายุบสภา หนึ่ง-เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ยอมยุบ สอง-พรรคร่วมรัฐบาล สาม-ทหาร สี่-สุเทพ ห้า-เนวิน พวกนี้คอยบีบคอสุเทพ คอยบีบคออภิสิทธิ์ไว้” ซึ่งคำพูดของจำเลยย่อมทำให้ประชาชนเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง อยู่เบื้องหลังไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ พร้อมขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีก่อการร้ายด้วย ซึ่งตอนแรกจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธและสู้คดี
ด้านศาล พิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่า คำพูดของจำเลยที่บอกว่า “จะมีเหนือกว่านั้น ผมก็ไม่รู้ หรือมีอะไรอยู่เบื้องหลังเปรม ผมก็ไม่ทราบ” อาจทำให้ประชาชนเข้าใจว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง พล.อ.เปรม เป็นองคมนตรี จึงมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้เข้าใจว่า พระองค์ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่
ขณะที่จำเลยระบุว่า เหตุที่ต้องกล่าวโจมตีและเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เพราะเชื่อว่า พล.อ.เปรม มีส่วนร่วมกับคณะรัฐประหาร และเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนพระมหากษัตริย์ ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนคำพูดที่ว่า “มีอะไรอยู่เบื้องหลังเปรม” นายยศวริศ อ้างว่า เป็นการพูดเชิงตลก ทำให้เกิดความครึกครื้น โดยไม่ได้หมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนคำพูดที่ว่า “และอาจมีเหนือกว่านั้น” นายยศวริศ ก็อ้างว่า หมายถึงสิ่งของ ไม่ใช่บุคคล
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คำปราศรัยของจำเลยจะไม่ได้ระบุถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง แต่เมื่อดูพฤติการณ์ของจำเลยขณะกล่าวคำปราศรัยที่ใช้มือจับปากตัวเอง สื่อให้เห็นว่า ยังมีผู้ที่อยู่เหนือกว่าหรืออยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม ซึ่งผู้นั้นต้องมีศักดิ์ฐานะที่สูงอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นจำเลยต้องระบุชื่อบุคคลเหล่านั้นออกมาแล้ว นอกจากนี้ตำแหน่งประธานองคมนตรี ของ พล.อ.เปรม นั้น เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจแปลเจตนาจำเลยเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากมีเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 112 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 ปี อย่างไรก็ตาม ในทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงมีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
หลังฟังคำพิพากษา นายยศวริศมีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ได้เตรียมเงินสด 5 แสนบาทไว้ยื่นประกันตัว หาก 5 แสนไม่พอ ได้เตรียมใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของนายณัฐวุฒิด้วย นายยศวริศ ยังยืนยันด้วยว่า ตนมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยที่ผ่านมาเคยเป็นคณะกรรมการจัดงานฉลองพระเกียรติเฉลิมพระชนมพรรษามา 20 ปี ขาดไปแค่ 2 ปีเท่านั้นที่ตนไม่ได้เป็นผู้จัดงาน
ด้านศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท
ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. อ้างว่า การที่ศาลพิพากษาจำคุกนายยศวริศคดีหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แสดงให้เห็นว่า มาตรา 112 เป็นปัญหาต่อคนวงกว้างในสังคมไทย และว่า ยิ่งมีคนโดนคดีตามมาตรา 112 มาก ยิ่งไม่ดี จะส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
3.กกต.เปิดรับสมัครผู้ว่าฯ กทม.21-25 ม.ค. ขณะที่ พท.มีมติส่ง “พงศพัศ” ด้าน ตร.อ้าง ปชต.เก็บตำแหน่งไว้ให้ เผื่อพ่ายเลือกตั้ง!
เมื่อวันที่ 13 ม.ค. คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้มีมติเอกฉันท์ส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก่อนที่ พล.ต.อ.พงศพัศ จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยในวันต่อมา(14 ม.ค.) และแถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 15 ม.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ได้เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 14 ม.ค. เพื่ออำลาตำแหน่งราชการและลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. โดย พล.ต.อ.พงศพัศ เผยว่า ได้บอกกับนายกฯ ว่า แม้ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ แต่มีใจเต็มร้อยในการทำงาน และว่า นายกฯ ได้ให้นโยบายการทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ และให้บอกกับประชาชนว่า รัฐบาลจะขับเคลื่อนนโยบายอย่างไร
จากนั้นวันที่ 15 ม.ค. พล.ต.อ.พงศพัศ ได้ไปอำลาตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส. ซึ่งวันเดียวกัน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ยังไม่ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อไปลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(16 ม.ค.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รีบออกมายืนยันว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.แล้ว และมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา และว่า ตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่ว่างลง จะยังไม่ตั้งใครมาแทน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หากมีบุคลากรสมัครใจจะไปเลือกตั้งก็สามารถไปได้ โดยมีนโนบายว่า หากไม่ได้รับการเลือกตั้ง ก็จะรับกลับมาในตำแหน่งเดิมทันที ส่วนตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส.นั้น พล.ต.อ.อดุลย์ บอกว่า ต้องรอหารือกันอีกครั้ง
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค เผยว่า นายกฯ ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมถึงหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรค จะใช้เวลาก่อนและหลังราชการลงพื้นที่ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศหาเสียงเลือกตั้ง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า สิ่งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค มีความเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นและจะทำให้คน กทม.เลือกก็คือ ประสบการณ์การทำงาน ทั้งยังเคยเป็น ส.ส.และผู้ว่าฯ กทม.มาก่อน คลุกคลีกับประชาชน มองเห็นลู่ทางและเข้าใจปัญหาใน กทม.ดี
ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้กำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ระหว่างวันที่ 21-25 ม.ค.ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 08.30น.-16.30น. และเลือกตั้งในวันที่ 3 มี.ค.
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.ประจำกรุงเทพมหานคร เตือนว่า ในวันสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผู้สมัครสามารถจัดกองเชียร์ไปสนับสนุนได้ แต่ต้องระวังไม่ให้เข้าข่ายการจัดมหรสพ รื่นเริง พร้อมห่วงเรื่องการหาเสียงใส่ร้าย จึงอยากให้ผู้สมัครศึกษากฎหมายให้ดี และต้องอบรมผู้ช่วยหาเสียงให้รู้จักกฎหมายเลือกตั้งด้วย เพราะหากผู้ช่วยหาเสียงกระทำผิดขึ้นมา ผู้สมัครจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ กกต.จะสั่งให้เลือกตั้งใหม่หรือใบเหลือง นอกจากนี้ กกต.ยังเปิดโอกาสให้ผู้สมัครหาเสียงผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทุกประเภท แต่หากมีการโพสต์ใส่ร้ายผู้สมัคร นอกจากจะทำให้ผู้สมัครที่ตนเองสนับสนุนถูกใบเหลืองใบแดงแล้ว ผู้โพสต์ยังอาจถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 118 ซึ่งมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่น-2 แสนบาท ยังไม่รวมความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วย
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาว่าต้องคดีขโมยวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา และมีการเปลี่ยนชื่อเพื่อรับพระราชทานยศ พล.ต.ต.นั้น เจ้าตัวได้เข้ายื่นเอกสารต่อ กกต.แล้วเมื่อวันที่ 16 ม.ค. โดยยืนยันว่า ผลการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งให้ยุติเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2543 ผลสรุปว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องเปลี่ยนชื่อนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ชี้แจงว่า ตนได้ติดยศ พ.ต.อ.ตั้งแต่ปี 2538 ในชื่อ พ.ต.อ.ไพรัช พงษ์เจริญ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พล.ต.ต.ในปี 2540 ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมอยู่ กระทั่งปี 2541 เห็นว่าเรื่องร้ายๆ ที่เจอผ่านพ้นไปแล้ว ภรรยาจึงขอให้เปลี่ยนชื่อ จึงได้เปลี่ยนมาเป็น พงศพัศ
พล.ต.อ.พงศพัศ ยังพูดเหมือนขู่ไม่ให้ใครนำประเด็นเรื่องขโมยวิทยุและเรื่องเปลี่ยนชื่อมากล่าวหาตนอีก “ผมถูกให้ร้ายมานับสิบๆ ปี แต่ก็ไม่เคยคิดอะไรมาก แต่เผอิญขณะนี้มีการเลือกตั้ง ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาอยู่ว่ามีบางจุดที่เป็นปัญหา ผมขอว่าไม่ให้พิจารณาเรื่องนี้ เพราะจะนำมาให้กับ กกต.เอง เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะเป็นห่วงสื่อมวลชนและน้องๆ ที่ไปโพสต์ข้อความในโซเชียลเน็ตเวิร์กโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า อาจจะถูกดำเนินคดีได้”
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้วางกำหนดการปราศรัยใหญ่เพื่อหาเสียงให้ พล.ต.อ.พงศพัศแล้ว โดยวันที่ 21 ม.ค. หลังเข้าสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว จะมีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการ กทม. หลังจากนั้นวันที่ 25 ม.ค. ปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ ,15 ก.พ.ที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 ,22 ก.พ.ที่การเคหะฯ บางกะปิ และ 2 มี.ค.ปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายที่สวนลุมพินี
ขณะที่ กกต.ได้ออกมาเตือนข้าราชการห้ามช่วยผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หาเสียง โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง บอกว่า “กกต.อยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความเป็นกลาง จึงขอให้มีการกำชับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงข้าราชการการเมืองที่ไม่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่ขนาดไหน จะหาเสียงเป็นคุณเป็นโทษให้กับผู้สมัครไม่ได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา กกต.กลางเคยมีหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทยขอให้มีการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่พบว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้สมัครมาแล้ว”
4.วุฒิสภา ไม่เห็นชอบ “อุดม มั่งมีดี” นั่ง ป.ป.ท. เหตุไม่เป็นกลาง-เคยขึ้นเวทีเสื้อแดงมาก่อน!
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาวาระให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายอุดม มั่งมีดี ผู้ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ท.แล้วเสร็จ
ทั้งนี้ หลังที่ประชุมซึ่งมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ได้ใช้เวลาประชุมพิจารณาและลงคะแนนลับเรื่องดังกล่าวกว่า 2 ชั่วโมง ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติไม่เห็นชอบให้นายอุดมเป็นกรรมการ ป.ป.ท. ด้วยคะแนน 67 ต่อ 51 ไม่ออกเสียง 3 คะแนน
นายอนุรักษ์ นิยมเวช ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ.สามัญตรวจสอบประวัติฯ เผยว่า หลังจากนี้ วุฒิสภาจะแจ้งผลลงมติดังกล่าวให้ ครม.ทราบ เพื่อพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาใหม่ ส่วนที่ ส.ว.ไม่เห็นชอบนายอุดมนั้น นายอนุรักษ์ เชื่อว่า เป็นการใช้ดุลพินิจอย่างอิสระของ ส.ว.แต่ละคน และว่า กรณีของนายอุดม นับเป็นครั้งแรกที่วุฒิสภาลงมติไม่เห็นชอบตามที่ ครม.เสนอ
ทั้งนี้ นายอุดมเป็นอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และเคยขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มเสื้อแดงมาก่อน ซึ่งในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านเคยท้วงติงเรื่องความไม่เป็นกลางของนายอุดมแล้ว แต่สภาเสียงข้างมากเห็นชอบให้เสนอชื่อนายอุดม แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถผ่านความเห็นชอบในชั้นวุฒิสภาได้
1.“ประยุทธ์” ขอโทษสังคม-ASTVผู้จัดการที่วีนใส่ ยัน แม้ตนเสียงดัง แต่ใจดี ด้าน “สนธิ” ลั่น ยอมรับคำขอโทษ แต่จะไม่หยุดตรวจสอบ!
ความคืบหน้าหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ถูกผู้สื่อข่าวซักถามเรื่องกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจะชุมนุมใหญ่วันที่ 21 ม.ค.เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกในการตีความคดีปราสาทพระวิหาร แต่ พล.อ.ประยุทธ์เข้าใจผิดคิดว่าพันธมิตรฯ จะชุมนุม พร้อมเกิดอาการเหวี่ยงวีน กล่าวหาว่าสื่อเครือผู้จัดการเขียนข่าวห่วย กระทั่งหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการต้องออกแถลงการณ์ชี้แจงพร้อมถามกลับว่า ASTVผู้จัดการ เขียนข่าวห่วย หรือผู้บัญชาการทหารบกที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ห่วยกันแน่ จากนั้นได้มีทหารตบเท้าบุกสำนักงานผู้จัดการ บ้านพระอาทิตย์ 2 วันซ้อน เพื่อแสดงความไม่พอใจ พร้อมเรียกร้องให้ ASTVผู้จัดการ ขอโทษ พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอให้กองทัพยุติการคุกคามสื่อทุกรูปแบบ พร้อมขอให้ ผบ.ทบ.รับฟังความคิดเห็นของสื่อมวลชนบ้าง
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวระหว่างให้โอวาทกำลังพลเนื่องในวันสถาปนากองทัพภาคที่ 1 ครบรอบ 103 ปี โดยขอโทษสังคมที่ตนหงุดหงิดไปหน่อยในช่วงที่ผ่านมา “ผมต้องขอโทษสังคมว่า อาจแสดงกิริยาหงุดหงิดไปหน่อย แต่ผมพูดแบบทหาร พูดแรงไปนิดหน่อย ต้องรู้จักนิสัยผม ส่วนทหารที่ออกไปที่หน้าสำนักพิมพ์ ASTVผู้จัดการนั้น ก็เรียกมาสอบสวนหลายหน่วย โดยเขาบอกว่า เขาขออนุญาตไป ไม่น่าผิด เพราะไปนอกเวลา ไม่ได้ถูกเกณฑ์ไป”
ผู้สื่อข่าวถามว่า รู้สึกอย่างไรที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบโต้ พร้อมถือโอกาสขอโทษ ASTVผู้จัดการด้วย โดยบอกว่า ขอโทษด้วยถ้ารู้สึกว่า ดูถูกเหยียดหยามกันมากเกินไป ตนเป็นผู้ใหญ่ก็ขอโทษ ซึ่งขณะนี้ตนควบคุมอารมณ์แล้ว ไม่อย่างนั้นจะยิ่งกว่านี้ ลูกน้องรู้ว่า แม้ตนเสียงดัง แต่ไม่ใช่คนใจร้าย เป็นคนใจดี ...อยากให้เข้าใจทหาร อะไรที่หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน เคยเห็นไก่ตรุษจีนไหม ไม่รู้ว่าจะจิกตีกันไปทำไม ตนไม่อยากเป็นไก่ตรุษจีน ดังนั้นตนออกมานอกเข่งดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังยืนยันด้วยว่า ไม่ได้มีการห้ามนักข่าว ASTVผู้จัดการเข้าทำข่าวในกองทัพบก
ด้าน ASTVผู้จัดการ ได้ออกแถลงการณ์ขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกมาขอโทษสังคมต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป พร้อมชี้ว่า ทางออกของการคลี่คลายปัญหา ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้กำลัง เพราะ ASTVผู้จัดการไม่หวาดหวั่นต่อการคุกคามนั้น และว่า ASTVผู้จัดการ จะทำหน้าที่ตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกองทัพและผู้บังคับบัญชาของกองทัพต่อไปอย่างตรงไปตรงมา และซื่อตรงต่อวิชาชีพ พร้อมขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อตรงเต็มกำลัง และอยู่บนพื้นฐานของการเคารพซึ่งกันและกัน “เราขอให้ผู้บัญชาการทหารบกทำหน้าที่ของท่านอย่างตรงไปตรงมาในการปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตราบใดที่ท่านยังมีจุดยืนในหน้าที่ของตัวเอง และปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากพระมหากษัตริย์อย่างเที่ยงตรง และตระหนักต่อภาระหน้าที่ กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงชาติบ้านเมืองมากกว่าจะเป็นเครื่องมือของนักการเมือง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราขอยืนยันว่า ผู้บัญชาหารทหารบกกับเรามีอุดมการณ์เดียวกัน”
แถลงการณ์ ASTVผู้จัดการ ยังฝากถึงกำลังพลในกองทัพด้วยว่า “ASTVผู้จัดการไม่ใช่ศัตรูของกองทัพและชาติบ้านเมือง แต่ข้าศึกที่รุกล้ำอธิปไตยของชาติ นักการเมืองที่โกงกินชาติบ้านเมืองต่างหาก ลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องการจะล้มล้างเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่างหากที่เป็นศัตรูของกองทัพ ประชาชน และชาติบ้านเมือง เราเชื่อว่าประชาชนพร้อมที่จะเป็นกำลังหนุนเนื่องของกองทัพในการต่อสู้กับภัยของชาติบ้านเมืองเหล่านั้น”
ขณะที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวผ่านรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” เมื่อวันที่ 18 ม.ค. ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ออกมาขอโทษสังคมและ ASTVผู้จัดการว่า ยอมรับคำขอโทษ แต่จะไม่หยุดทำหน้าที่หาความจริงมาให้ประชาชน “ผมก็ต้องขอขอบคุณที่คุณประยุทธ์ขอโทษขอโพยมา ไม่เป็นไร เรายอมรับคำขอโทษ แต่ผมอยากจะเตือนกลับไปว่า การที่คุณขอโทษและเรายอมรับการขอโทษ ไม่ได้แปลว่าเราจะหยุดนะ หน้าที่เราคือการหาความจริงมาให้ประชาชน เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่ตอบอะไรสังคมไม่ได้ เราต้องถาม อะไรก็ตามที่ไม่มีความโปร่งใส และไม่มีความเที่ยงตรง เราต้องแสดงออก วิพากษ์วิจารณ์ นี่คือหน้าที่เรา เราจะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้”
2.ศาล สั่งจำคุก “เจ๋ง ดอกจิก” 3 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง ไม่รอลงอาญา ก่อนอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวสู้คดีชั้นอุทธรณ์!
เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก ที่ปรึกษานายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และจำเลยคดีก่อการร้าย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 2 ,8 และ 12
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2553 จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช.ที่เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ยุบสภาของอภิสิทธิ์นี่มันยากเพราะอะไร เพราะปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างที่ออกมา เปรมก็ไม่ยอม ผมก็ไม่รู้ ไม่กล้าพูด แต่พี่น้องอยู่ที่นี่ (นายยศวริศใช้มือจับปากของตัวเองและกิริยาที่สื่อให้ผู้ฟังเห็นว่าอย่าพูดไป หรือพูดไม่ได้) คิดอะไรกันอยู่นะ... เพราะปัจจัยที่ไอ้อภิสิทธิ์ไม่กล้ายุบสภา หนึ่ง-เปรม ติณสูลานนท์ ไม่ยอมยุบ สอง-พรรคร่วมรัฐบาล สาม-ทหาร สี่-สุเทพ ห้า-เนวิน พวกนี้คอยบีบคอสุเทพ คอยบีบคออภิสิทธิ์ไว้” ซึ่งคำพูดของจำเลยย่อมทำให้ประชาชนเข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง อยู่เบื้องหลังไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้อง คำพูดดังกล่าวจึงเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ทำให้เสื่อมเสียพระเกียรติยศ พร้อมขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากโทษคดีก่อการร้ายด้วย ซึ่งตอนแรกจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ภายหลังให้การปฏิเสธและสู้คดี
ด้านศาล พิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายแล้ว มีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่โจทก์นำสืบว่า คำพูดของจำเลยที่บอกว่า “จะมีเหนือกว่านั้น ผมก็ไม่รู้ หรือมีอะไรอยู่เบื้องหลังเปรม ผมก็ไม่ทราบ” อาจทำให้ประชาชนเข้าใจว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง พล.อ.เปรม เป็นองคมนตรี จึงมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทำให้เข้าใจว่า พระองค์ทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองหรือไม่
ขณะที่จำเลยระบุว่า เหตุที่ต้องกล่าวโจมตีและเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี เพราะเชื่อว่า พล.อ.เปรม มีส่วนร่วมกับคณะรัฐประหาร และเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารให้นายอภิสิทธิ์ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเป็นการกระทำในฐานะตัวแทนพระมหากษัตริย์ ดำเนินการจัดตั้งรัฐบาล ส่วนคำพูดที่ว่า “มีอะไรอยู่เบื้องหลังเปรม” นายยศวริศ อ้างว่า เป็นการพูดเชิงตลก ทำให้เกิดความครึกครื้น โดยไม่ได้หมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ส่วนคำพูดที่ว่า “และอาจมีเหนือกว่านั้น” นายยศวริศ ก็อ้างว่า หมายถึงสิ่งของ ไม่ใช่บุคคล
ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้คำปราศรัยของจำเลยจะไม่ได้ระบุถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง แต่เมื่อดูพฤติการณ์ของจำเลยขณะกล่าวคำปราศรัยที่ใช้มือจับปากตัวเอง สื่อให้เห็นว่า ยังมีผู้ที่อยู่เหนือกว่าหรืออยู่เบื้องหลัง พล.อ.เปรม ซึ่งผู้นั้นต้องมีศักดิ์ฐานะที่สูงอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นจำเลยต้องระบุชื่อบุคคลเหล่านั้นออกมาแล้ว นอกจากนี้ตำแหน่งประธานองคมนตรี ของ พล.อ.เปรม นั้น เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงมีพระราชอำนาจแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่อาจแปลเจตนาจำเลยเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากมีเจตนาหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 112 ให้จำคุกจำเลยเป็นเวลา 3 ปี อย่างไรก็ตาม ในทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงมีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
หลังฟังคำพิพากษา นายยศวริศมีสีหน้าเรียบเฉย พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ได้เตรียมเงินสด 5 แสนบาทไว้ยื่นประกันตัว หาก 5 แสนไม่พอ ได้เตรียมใช้ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของนายณัฐวุฒิด้วย นายยศวริศ ยังยืนยันด้วยว่า ตนมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยที่ผ่านมาเคยเป็นคณะกรรมการจัดงานฉลองพระเกียรติเฉลิมพระชนมพรรษามา 20 ปี ขาดไปแค่ 2 ปีเท่านั้นที่ตนไม่ได้เป็นผู้จัดงาน
ด้านศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยก็ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวมาแล้ว และไม่มีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท
ขณะที่นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. อ้างว่า การที่ศาลพิพากษาจำคุกนายยศวริศคดีหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แสดงให้เห็นว่า มาตรา 112 เป็นปัญหาต่อคนวงกว้างในสังคมไทย และว่า ยิ่งมีคนโดนคดีตามมาตรา 112 มาก ยิ่งไม่ดี จะส่งผลกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
3.กกต.เปิดรับสมัครผู้ว่าฯ กทม.21-25 ม.ค. ขณะที่ พท.มีมติส่ง “พงศพัศ” ด้าน ตร.อ้าง ปชต.เก็บตำแหน่งไว้ให้ เผื่อพ่ายเลือกตั้ง!
เมื่อวันที่ 13 ม.ค. คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้มีมติเอกฉันท์ส่ง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ก่อนที่ พล.ต.อ.พงศพัศ จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยในวันต่อมา(14 ม.ค.) และแถลงข่าวเปิดตัวในวันที่ 15 ม.ค.
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ได้เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวันที่ 14 ม.ค. เพื่ออำลาตำแหน่งราชการและลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. โดย พล.ต.อ.พงศพัศ เผยว่า ได้บอกกับนายกฯ ว่า แม้ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ แต่มีใจเต็มร้อยในการทำงาน และว่า นายกฯ ได้ให้นโยบายการทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างไร้รอยต่อ และให้บอกกับประชาชนว่า รัฐบาลจะขับเคลื่อนนโยบายอย่างไร
จากนั้นวันที่ 15 ม.ค. พล.ต.อ.พงศพัศ ได้ไปอำลาตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส. ซึ่งวันเดียวกัน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ยังไม่ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเพื่อไปลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(16 ม.ค.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รีบออกมายืนยันว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.แล้ว และมีผลตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา และว่า ตำแหน่งรอง ผบ.ตร.ที่ว่างลง จะยังไม่ตั้งใครมาแทน เนื่องจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย หากมีบุคลากรสมัครใจจะไปเลือกตั้งก็สามารถไปได้ โดยมีนโนบายว่า หากไม่ได้รับการเลือกตั้ง ก็จะรับกลับมาในตำแหน่งเดิมทันที ส่วนตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ส.นั้น พล.ต.อ.อดุลย์ บอกว่า ต้องรอหารือกันอีกครั้ง
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค เผยว่า นายกฯ ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทย รวมถึงหัวหน้าพรรคและแกนนำพรรค จะใช้เวลาก่อนและหลังราชการลงพื้นที่ช่วย พล.ต.อ.พงศพัศหาเสียงเลือกตั้ง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า สิ่งที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรค มีความเด่นกว่าผู้สมัครคนอื่นและจะทำให้คน กทม.เลือกก็คือ ประสบการณ์การทำงาน ทั้งยังเคยเป็น ส.ส.และผู้ว่าฯ กทม.มาก่อน คลุกคลีกับประชาชน มองเห็นลู่ทางและเข้าใจปัญหาใน กทม.ดี
ด้านคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ได้กำหนดวันสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว ระหว่างวันที่ 21-25 ม.ค.ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่เวลา 08.30น.-16.30น. และเลือกตั้งในวันที่ 3 มี.ค.
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.ประจำกรุงเทพมหานคร เตือนว่า ในวันสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ผู้สมัครสามารถจัดกองเชียร์ไปสนับสนุนได้ แต่ต้องระวังไม่ให้เข้าข่ายการจัดมหรสพ รื่นเริง พร้อมห่วงเรื่องการหาเสียงใส่ร้าย จึงอยากให้ผู้สมัครศึกษากฎหมายให้ดี และต้องอบรมผู้ช่วยหาเสียงให้รู้จักกฎหมายเลือกตั้งด้วย เพราะหากผู้ช่วยหาเสียงกระทำผิดขึ้นมา ผู้สมัครจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ กกต.จะสั่งให้เลือกตั้งใหม่หรือใบเหลือง นอกจากนี้ กกต.ยังเปิดโอกาสให้ผู้สมัครหาเสียงผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กได้ทุกประเภท แต่หากมีการโพสต์ใส่ร้ายผู้สมัคร นอกจากจะทำให้ผู้สมัครที่ตนเองสนับสนุนถูกใบเหลืองใบแดงแล้ว ผู้โพสต์ยังอาจถูกดำเนินคดีอาญา มาตรา 118 ซึ่งมีโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับ 2 หมื่น-2 แสนบาท ยังไม่รวมความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วย
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.พรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาว่าต้องคดีขโมยวิทยุ ที่สหรัฐอเมริกา และมีการเปลี่ยนชื่อเพื่อรับพระราชทานยศ พล.ต.ต.นั้น เจ้าตัวได้เข้ายื่นเอกสารต่อ กกต.แล้วเมื่อวันที่ 16 ม.ค. โดยยืนยันว่า ผลการสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสั่งให้ยุติเรื่องดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 ก.ย.2543 ผลสรุปว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องเปลี่ยนชื่อนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ ชี้แจงว่า ตนได้ติดยศ พ.ต.อ.ตั้งแต่ปี 2538 ในชื่อ พ.ต.อ.ไพรัช พงษ์เจริญ และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง พล.ต.ต.ในปี 2540 ซึ่งขณะนั้นยังใช้ชื่อเดิมอยู่ กระทั่งปี 2541 เห็นว่าเรื่องร้ายๆ ที่เจอผ่านพ้นไปแล้ว ภรรยาจึงขอให้เปลี่ยนชื่อ จึงได้เปลี่ยนมาเป็น พงศพัศ
พล.ต.อ.พงศพัศ ยังพูดเหมือนขู่ไม่ให้ใครนำประเด็นเรื่องขโมยวิทยุและเรื่องเปลี่ยนชื่อมากล่าวหาตนอีก “ผมถูกให้ร้ายมานับสิบๆ ปี แต่ก็ไม่เคยคิดอะไรมาก แต่เผอิญขณะนี้มีการเลือกตั้ง ฝ่ายกฎหมายของพรรคพิจารณาอยู่ว่ามีบางจุดที่เป็นปัญหา ผมขอว่าไม่ให้พิจารณาเรื่องนี้ เพราะจะนำมาให้กับ กกต.เอง เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ เพราะเป็นห่วงสื่อมวลชนและน้องๆ ที่ไปโพสต์ข้อความในโซเชียลเน็ตเวิร์กโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า อาจจะถูกดำเนินคดีได้”
ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยได้วางกำหนดการปราศรัยใหญ่เพื่อหาเสียงให้ พล.ต.อ.พงศพัศแล้ว โดยวันที่ 21 ม.ค. หลังเข้าสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.แล้ว จะมีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการ กทม. หลังจากนั้นวันที่ 25 ม.ค. ปราศรัยที่วงเวียนใหญ่ ,15 ก.พ.ที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระราม 8 ,22 ก.พ.ที่การเคหะฯ บางกะปิ และ 2 มี.ค.ปราศรัยใหญ่ครั้งสุดท้ายที่สวนลุมพินี
ขณะที่ กกต.ได้ออกมาเตือนข้าราชการห้ามช่วยผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หาเสียง โดยนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง บอกว่า “กกต.อยากให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปด้วยความเป็นกลาง จึงขอให้มีการกำชับเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงข้าราชการการเมืองที่ไม่ว่าจะมีตำแหน่งใหญ่ขนาดไหน จะหาเสียงเป็นคุณเป็นโทษให้กับผู้สมัครไม่ได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา กกต.กลางเคยมีหนังสือไปยังกระทรวงมหาดไทยขอให้มีการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดที่พบว่าใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปช่วยเหลือผู้สมัครมาแล้ว”
4.วุฒิสภา ไม่เห็นชอบ “อุดม มั่งมีดี” นั่ง ป.ป.ท. เหตุไม่เป็นกลาง-เคยขึ้นเวทีเสื้อแดงมาก่อน!
เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ได้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาวาระให้ความเห็นชอบบุคคลที่สมควรได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2551 หลังจากที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) สามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรม ได้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายอุดม มั่งมีดี ผู้ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ท.แล้วเสร็จ
ทั้งนี้ หลังที่ประชุมซึ่งมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ได้ใช้เวลาประชุมพิจารณาและลงคะแนนลับเรื่องดังกล่าวกว่า 2 ชั่วโมง ปรากฏว่า ที่ประชุมมีมติไม่เห็นชอบให้นายอุดมเป็นกรรมการ ป.ป.ท. ด้วยคะแนน 67 ต่อ 51 ไม่ออกเสียง 3 คะแนน
นายอนุรักษ์ นิยมเวช ส.ว.สรรหา ในฐานะ กมธ.สามัญตรวจสอบประวัติฯ เผยว่า หลังจากนี้ วุฒิสภาจะแจ้งผลลงมติดังกล่าวให้ ครม.ทราบ เพื่อพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาใหม่ ส่วนที่ ส.ว.ไม่เห็นชอบนายอุดมนั้น นายอนุรักษ์ เชื่อว่า เป็นการใช้ดุลพินิจอย่างอิสระของ ส.ว.แต่ละคน และว่า กรณีของนายอุดม นับเป็นครั้งแรกที่วุฒิสภาลงมติไม่เห็นชอบตามที่ ครม.เสนอ
ทั้งนี้ นายอุดมเป็นอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และเคยขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่มเสื้อแดงมาก่อน ซึ่งในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ฝ่ายค้านเคยท้วงติงเรื่องความไม่เป็นกลางของนายอุดมแล้ว แต่สภาเสียงข้างมากเห็นชอบให้เสนอชื่อนายอุดม แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถผ่านความเห็นชอบในชั้นวุฒิสภาได้