คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “ยิ่งลักษณ์” นำ รมต.ใหม่ ถวายสัตย์ฯ แล้ว - “ในหลวง” ทรงงดพระราชดำรัส ด้าน 24 ส.ว.ยื่น ศาล รธน.ตรวจสอบคุณสมบัติ รมต. “วราเทพ” !
หลังรัฐมนตรีใหม่ 23 คน ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้วเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยรัฐมนตรีหน้าใหม่ มีนายวราเทพ รัตนากร นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย ปรากฏว่า ได้เกิดปัญหาตามมาว่านายวราเทพมีคุณสมบัติต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ โดยนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ชี้ว่า การตั้งนายวราเทพเป็นรัฐมนตรี อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 174(5) เพราะนายวราเทพถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2552 ให้จำคุก 2 ปี โดยรอลงอาญาไว้ 2 ปี คดีหวยบนดิน เมื่อครั้งที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและเป็นคดีทางอาญา โดยมาตรา 174(5) ระบุไว้ชัดเจนว่า รัฐมนตรีต้องไม่เคยถูกคำพิพากษาให้จำคุก โดยได้พ้นโทษมาไม่ถึง 5 ปี ก่อนได้รับตำแหน่ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ นายประสาร ยังบอกด้วยว่า ส.ว.จะเข้าชื่อเพื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบว่านายวราเทพมีคุณสมบัติที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
ขณะที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ออกมาเตือนนายวราเทพ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า หากนายวราเทพกรอกประวัติการเป็นรัฐมนตรีที่เสนอต่อนายกฯ โดยระบุว่าตัวเองเคยถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี และปรับ 2 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี จะถือว่านายกฯ ต้องรับโทษ เพราะรู้ดีว่านายวราเทพขาดคุณสมบัติ แต่ยังแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีและนำขึ้นทูลเกล้าฯ อีก แต่หากนายวราเทพไม่ได้กรอกเรื่องดังกล่าวลงในประวัติ ถือว่านายวราเทพมีความผิด ฐานแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อนายกฯ และจะถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 174(5)
นายวิรัตน์ ยังชี้ด้วยว่า ปัญหาของนายวราเทพอาจนำไปสู่การถอดถอนนายกฯ และยุบพรรคเพื่อไทยได้ “ส่วนตัวคิดว่า หากนายวราเทพไม่ลาออก อาจจะใช้ช่องทางตามมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ โดยการให้ ส.ส.และ ส.ว. 1 ใน 10 ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภา เพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี กรณีนี้จะคล้ายคลึงกับกรณีของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เรื่องนี้หากผิดจริง จะนำไปสู่การถอดถอนนายกรัฐมนตรีและยุบพรรคอย่างแน่นอน”
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า เบื้องต้นส่งตรวจสอบคุณสมบัตินายวราเทพแล้ว เป็นไปตามขั้นตอน และยังไม่มีใครท้วงติงอะไร ขณะที่นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันเช่นกันว่า เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ตรวจสอบคุณสมบัติของตนแล้วว่าไม่เข้าข่ายต้องห้าม และทราบว่าเลขาฯ ครม.ได้ปรึกษากฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ถ้าเลขาฯ ครม.เห็นว่าไม่ถูกต้อง คงไม่กล้าเสนอชื่อตนแน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวไปถามเรื่องนี้กับนายอำพน กิติอำพน เลขาธิการ ครม.ปรากฏว่า นายอำพน ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยอ้างว่า “ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ ต้องหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน”
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษาคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ก็ได้ออกมาการันตีว่านายวราเทพไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี โดยบอกว่า ต้องแยกการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีและการเป็นรัฐมนตรีออกจากกัน ถ้าศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกขณะเป็นรัฐมนตรีอยู่ แม้ศาลจะให้รอลงอาญา ก็ต้องพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี แต่กรณีนายวราเทพ ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีตอนที่ศาลพิพากษาให้จำคุก จึงไม่ต้องพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ส่วนที่มาตรา 174 ระบุคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่ถูกคำพิพากษาให้จำคุก แต่พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี จะเป็นรัฐมนตรีไม่ได้นั้น นายชูศักดิ์ บอกว่า สิ่งที่มาตราดังกล่าวระบุ หมายความว่าการจะพ้นจากรัฐมนตรี ต้องเป็นการลงโทษจำคุกจริงเท่านั้น
ทั้งนี้ นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา และ ส.ว.อีก 23 คน ได้ยื่นเรื่องต่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายวราเทพว่าสิ้นสุดลงหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182(3) (5) ประกอบมาตรา 174(5) เนื่องจากนายวราเทพพ้นโทษจำคุกในคดีหวยบนดินยังไม่ถึง 5 ปี ด้านนายนิคม บอกว่า จะเร่งตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อ เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด
ด้านนายวราเทพ ยืนยันว่า ไม่กังวล แม้มีการยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติตน และว่า ระหว่างที่ยังไม่มีการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าคุณสมบัติของตนยังครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ เพราะขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติเป็นเรื่องของสำนักเลขาธิการ ครม. เมื่อแต่งตั้งโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว ทุกอย่างถือว่าสมบูรณ์
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 1 พ.ย. โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และจะปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงมีพระราชดำรัสแก่ ครม.ชุดใหม่แต่อย่างใด ซึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เผยหลังเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ตอนที่นายกฯ นำเข้าเฝ้า ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้บอกก่อนแล้วว่า วันดังกล่าวจะไม่มีพระราชดำรัส เพราะเป็นครั้งที่ 3 ของ ครม.ชุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังนั้นจึงไม่มีกระแสพระราชดำรัส แต่หลังจากรัฐมนตรีทั้งหมดออกมา นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ต่อ ซึ่งไม่ทราบว่ามีกระแสรับสั่งนายกฯ ในเรื่องใดหรือไม่
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังกลับจากเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ มายังทำเนียบรัฐบาล ได้โบกมือทักทายสื่อ ก่อนเดินเข้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยมิได้ให้สัมภาษณ์ใดใด
2. กองปราบฯ ออกหมายเรียก “สนธิ-เสธ.อ้าย” รับทราบข้อหายุ ปชช.กบฏ-ยุทหารปฏิวัติ ด้าน “สนธิ” ซัด ตร.ของ “ทักษิณ” กลั่นแกล้ง!
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองปราบปราม เผยความคืบหน้าคดีที่นายคารม พลพรกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พร้อมทีมทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ข้อหายุยงให้ประชาชนเป็นกบฏ ยุยงทหารให้ก่อปฏิวัติ และแสดงความคิดเห็นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวหาว่านายสนธิและ พล.อ.บุญเลิศ แสดงความคิดเห็นอันเป็นการล้มล้างรัฐบาล ทั้งนี้ พ.ต.อ.ประสพโชค บอกว่า หลังตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมามอบให้แล้ว พบว่า นายสนธิ ได้พูดในรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ ส่วน พล.อ.บุญเลิศ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุ อสมท เมื่อวันที่ 21 ม.ค. พนักงานสอบสวนเห็นว่าคดีมีมูล จึงได้ออกหมายเรียกนายสนธิและ พล.อ.บุญเลิศ ให้มารับทราบข้อกล่าวหาที่กองปราบปรามในวันที่ 7 พ.ย.นี้ เวลา 10.00น.
อย่างไรก็ตาม ภายหลัง พ.ต.อ.ประสพโชค ได้ออกมาแจ้งเลื่อนการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของนายสนธิและ พล.อ.บุญเลิศออกไปจากกำหนดเดิม โดยกำหนดใหม่ให้ พล.อ.บุญเลิศมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 พ.ย. ส่วนนายสนธิให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 22 พ.ย. โดยจะมีการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดไว้ดูแลความปลอดภัยในวันที่ทั้งสองเข้ารับทราบข้อกล่าวหาประมาณ 1 กองร้อย หรือ 150 นาย
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ พูดถึงกรณีที่ตำรวจกองปราบฯ ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อหากบฏว่า ยังไม่ได้รับหมายเรียก พร้อมมองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เนื่องจากทันทีที่เสื้อแดงไปเร่งรัด เจ้าหน้าที่ก็ออกหมายเรียกทันที และว่า ที่ตำรวจจ้องเล่นงานตน เพราะตำรวจเป็นพวกเดียวกับพรรคเพื่อไทย ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็เคยพูดว่า ตำรวจเป็นพวกเดียวกับพรรคเพื่อไทย นายสนธิ ยังชี้ด้วยว่า เรื่องที่ตำรวจควรทำ กลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรทำ กลับทำ ซึ่งตนแค่แสดงความคิดเห็น ก็หาว่าเป็นกบฏ ทีกรณีนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เสนอให้ล้มกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติ ถ้ามีการแจ้งความ จะมีการออกหมายจับนายวรเจตน์หรือไม่ ตำรวจก็คงไม่ออก เพราะเป็นพวกเดียวกัน “เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า ตำรวจเดี๋ยวนี้เป็นตำรวจที่ไม่ได้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่เป็นตำรวจที่รักทักษิณ พร้อมจะทำทุกอย่างให้ทักษิณ ถูกหรือผิดทำทั้งนั้น พี่น้องพันธมิตรฯ ไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้ เป็นเรื่องธรรมดาปกติสามัญ ผมโดนมามากแล้ว”
ขณะที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม บอกว่า ตนยังไม่ได้รับหมายเรียกจากตำรวจกองปราบฯ เช่นกัน เพียงแต่ทราบทางสื่อมวลชนเท่านั้น และว่า เมื่อได้รับหมายเรียก ก็พร้อมจะเดินทางไปพบพนักงานสอบสวน พล.อ.บุญเลิศ ยังกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่สนามม้านางเลิ้งด้วยว่า มีตัวเลขผู้ชุมนุมที่ลงชื่อประมาณ 20,000 คน ไม่ได้ลงชื่อประมาณ 10,000 คน พร้อมยืนยัน การชุมนุมใหญ่ครั้งที่สองจะมีขึ้นแน่นอน คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน นับจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ต.ค. พร้อมเชื่อว่า การชุมนุมครั้งต่อไป จะมีผู้มาร่วมชุมนุมมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
3. ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง 8 เสื้อแดงอุดร คดีบุกทำร้ายพันธมิตรฯ ขณะที่ 2 พันธมิตรฯ ถูกทำร้ายไม่พอ ถูกศาลชี้ว่าผิดอีก เตรียมยื่นฎีกาหาความเป็นธรรม!
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ศาลจังหวัดอุดรธานี ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่คนเสื้อแดงกลุ่มชมรมคนรักอุดร ที่มีนายขวัญชัย ไพรพนา หรือสาราคำ และนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำ ยกพวกสมาชิกกว่า 700 คน เคลื่อนพลจากสนามทุ่งศรีเมือง บุกไปทำร้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.อุดรธานี ที่กำลังเตรียมเปิดเวทีปราศรัยที่หนองประจักษ์ศิลปาคม ภายในเขตเทศบาลนครอุดรธานี เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2551 ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บรวม 13 คน
สำหรับคดีนี้ ตำรวจอุดรธานีได้ดำเนินคดีทั้งกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่ฝ่ายพันธมิตรฯ อยู่ในที่ตั้ง และถูกกลุ่มเสื้อแดงบุกมาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ โดยตำรวจตั้งข้อหาไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้าพนักงาน ชุมนุมขัดรัฐธรรมนูญ และทะเลาะวิวาท ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 29 ต.ค.2553 ให้จำคุกนางกุหลาบ ยศอ่อน หรือดีเจหงส์ทอง สมาชิกชมรมคนรักอุดร เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน และจำคุกสมาชิกชมรมคนรักอุดรอีก 32 คน คนละ 8 เดือน ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ศาลสั่งจำคุกนายรัตนชัย ทองสุข และนางธันยนันท์ จรัสจริยวงศ์ คนละ 8 เดือน ซึ่งต่อมาทั้ง 2 ฝ่ายต่างยื่นอุทธรณ์และขอประกันตัวสู้คดี
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกนางกุหลาบ เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน และจำคุกนายประสิทธิ์ วิชัยรัตน์ หรือดีเจจอใจเดียว และนายณัฐยศ ผาจวง ที่ปรึกษานายก อบจ.อุดรธานี กับพวกซึ่งเป็นสมาชิกชมรมคนรักอุดร รวม 23 คน คนละ 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท ส่วนสมาชิกชมรมคนรักอุดรอีก 8 คน ศาลพิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง ขณะที่พันธมิตรฯ 2 คน คือ นายรัตนชัยและนางธันยนันท์ ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 8 เดือน ปรับ 4,000 บาทเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า ทั้งฝ่ายสมาชิกชมรมคนรักอุดร 23 คน และฝ่ายพันธมิตรฯ 2 คนดังกล่าว กระทำผิดเป็นครั้งแรก โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา สมาชิกชมรมคนรักอุดรต่างโห่ร้องแสดงความยินดีที่ศาลยกฟ้อง 8 คน และให้รอลงอาญา 23 คน ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯ นายรัตนชัยและนางธันยนันท์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บปางตายจากการถูกเสื้อแดงอุดรฯ บุกมาทำร้าย ยืนยันว่า จะยื่นฎีกาต่อไป เพราะคิดไว้ว่าศาลต้องยกฟ้องพันธมิตรฯ เพราะพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายถูกกระทำ เสื้อแดงเป็นฝ่ายกระทำ แต่พันธมิตรฯ กลับถูกชี้ว่าผิด ขณะที่ฝ่ายผิดได้รับการยกฟ้องและรอลงอาญา จึงไม่เข้าใจว่า การที่พันธมิตรฯ อยู่ในที่ตั้งและขออนุญาตเทศบาลนครอุดรธานีจัดงานอย่างถูกต้อง เมื่อเสื้อแดงบุกมาทำร้ายและทำลายข้าวของ พันธมิตรฯ ไม่มีสิทธิปกป้องบ้านของตัวเองหรือ ดังนั้นตนจะสู้ต่อในชั้นฎีกา เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมมากกว่านี้ “ตอนที่ฟังคำพิพากษา เขาพูดออกมาเลย จำเลยที่....(เสื้อแดง 8 คน) ยกฟ้อง ส่วนผมเนี่ย รอลงอาญา ผม โห! ทำไมวะ ผมไม่เข้าใจว่าทำไม คือฝ่ายที่กระทำผม เป็นฝ่ายที่ผิด ฝ่ายผมซึ่งเป็นฝ่ายโดนกระทำ เป็นรอลงอาญา เจ็บใจที่สุดก็คือตอนที่ฝ่ายนั้นพูด บอก เห็นมั้ย! บอกแล้วเราไม่ผิด ที่ผมเจ็บแค้นมากคือ โห! ไม่ผิดตรงไหนวะเนี่ย คือคุณเดินเท้ามา 3 ก.ม. เพื่อที่จะมาทำผม ขณะที่ผมอยู่ในบ้านตัวเองแท้ๆ คือหนองประจักษ์ก็เหมือนกับ เราขออนุญาตเทศบาลไว้เพื่อที่จะจัดงาน ก็เหมือนเป็นบ้านเราถูกมั้ย? แล้วเราไม่มีสิทธิดูแลไม่มีสิทธิปกป้องเหรอครับ”
4. “สรยุทธ” เมินแจง กมธ.สภาฯ กรณียักยอกค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน ด้าน “ก.ล.ต.” ชวนบริษัทในตลาดทุนทุกแห่งร่วมต้าน เพื่อแก้ทุจริต!
ตามที่คณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 26 ต.ค.2555 เชิญนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เข้าชี้แจงตอบข้อซักถามในการประชุมอนุกรรมาธิการฯ ในวันที่ 1 พ.ย. เกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนายสรยุทธและบริษัท ไร่ส้ม ว่าทุจริตเงินโฆษณาเกินเวลาจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 138 ล้านบาท
ปรากฏว่า นายสรยุทธได้ทำหนังสือปฏิเสธที่จะเข้าชี้แจงส่งมายังประธาน กมธ.เมื่อวันที่ 31 ต.ค. โดยอ้างว่า “เนื่องจากขณะนี้ เรื่องดังกล่าวกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นพนักงานอัยการและศาล ดังนั้น จึงเป็นการไม่สมควรที่ผมและบริษัทฯ จะเปิดเผยรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว เพื่อความเหมาะสมในกระบวนการพิจารณาคดี และความจำเป็นที่ต้องสงวนข้อมูลข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีที่จะมีขึ้นต่อไป”
นายสรยุทธ ยังย้ำในหนังสือดังกล่าวด้วยว่า คดีความที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องเฉพาะการทำธุรกิจของบริษัท ไร่ส้ม ไม่ส่งผลกระทบใดใดต่อการทำรายการของตน ที่นำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ต่อสังคม โดยไม่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันเป็นจรรยาบรรณสำคัญในการนำเสนอที่ตนยึดถือมาตลอดชีวิตการทำงาน
เป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีนายสรยุทธยังคงดำเนินธุรกิจและจัดรายการตามปกติ แม้ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตยักยอกเงินค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ที่มีนายวรพล โสคติยานุรักษ์ เป็นเลขาธิการ ได้ส่งหนังสือถึงกรรมการผู้จัดการ บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และสมาคมที่เกี่ยวเนื่องในตลาดทุนทุกแห่ง รวมทั้งทำสำเนาเรียนกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอความร่วมมือองค์กรในตลาดทุนผนึกกำลังแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน โดยระบุว่า เมื่อเร็ๆ นี้ ผลสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ พบว่า ประชาชนไทยที่ถูกสำรวจร้อยละ 68.5 ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชันได้ถ้าตนเองได้ประโยชน์ เท่ากับตอกย้ำว่า หากทุกคนยังนิ่งเฉย ไม่ดำเนินการใดใด เพราะเกรงว่าตนจะเสียประโยชน์ ประเทศชาติก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันได้
หนังสือของสำนักงาน ก.ล.ต. ยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา องค์กรในตลาดทุนได้ร่วมกันปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ภาคเอกชนไทยได้รับคำชื่นชมในการร่วมกันพยายามแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน โดยล่าสุด ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับจาก The Asian Corporate Governance Association(ACGA) และ CLSA Asia-Pacific Markets ให้ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นเมื่อเกิดกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดบริษัท ไร่ส้ม และนายสรยุทธ ประกอบกับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้แถลงแล้วว่า พฤติกรรมของนายสรยุทธและบริษัท ไร่ส้ม แม้จะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่การประกอบวิชาชีพ นับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว
ดังนั้น สำนักงาน ก.ล.ต.จึงขอความร่วมมือองค์กรในตลาดทุนทุกแห่งให้พิจารณาอย่างรอบคอบและใช้ความระมัดระวังในการทำธุรกิจกับบุคคลที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการทุจริตในประเทศไทย
1. “ยิ่งลักษณ์” นำ รมต.ใหม่ ถวายสัตย์ฯ แล้ว - “ในหลวง” ทรงงดพระราชดำรัส ด้าน 24 ส.ว.ยื่น ศาล รธน.ตรวจสอบคุณสมบัติ รมต. “วราเทพ” !
หลังรัฐมนตรีใหม่ 23 คน ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้วเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยรัฐมนตรีหน้าใหม่ มีนายวราเทพ รัตนากร นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย ปรากฏว่า ได้เกิดปัญหาตามมาว่านายวราเทพมีคุณสมบัติต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหรือไม่ โดยนายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา ชี้ว่า การตั้งนายวราเทพเป็นรัฐมนตรี อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 174(5) เพราะนายวราเทพถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ก.ย.2552 ให้จำคุก 2 ปี โดยรอลงอาญาไว้ 2 ปี คดีหวยบนดิน เมื่อครั้งที่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตและเป็นคดีทางอาญา โดยมาตรา 174(5) ระบุไว้ชัดเจนว่า รัฐมนตรีต้องไม่เคยถูกคำพิพากษาให้จำคุก โดยได้พ้นโทษมาไม่ถึง 5 ปี ก่อนได้รับตำแหน่ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ นายประสาร ยังบอกด้วยว่า ส.ว.จะเข้าชื่อเพื่อยื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบว่านายวราเทพมีคุณสมบัติที่จะเป็นรัฐมนตรีหรือไม่
ขณะที่นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ออกมาเตือนนายวราเทพ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่า หากนายวราเทพกรอกประวัติการเป็นรัฐมนตรีที่เสนอต่อนายกฯ โดยระบุว่าตัวเองเคยถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิพากษาจำคุก 2 ปี และปรับ 2 หมื่นบาท โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี จะถือว่านายกฯ ต้องรับโทษ เพราะรู้ดีว่านายวราเทพขาดคุณสมบัติ แต่ยังแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีและนำขึ้นทูลเกล้าฯ อีก แต่หากนายวราเทพไม่ได้กรอกเรื่องดังกล่าวลงในประวัติ ถือว่านายวราเทพมีความผิด ฐานแจ้งข้อมูลอันเป็นเท็จต่อนายกฯ และจะถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 174(5)
นายวิรัตน์ ยังชี้ด้วยว่า ปัญหาของนายวราเทพอาจนำไปสู่การถอดถอนนายกฯ และยุบพรรคเพื่อไทยได้ “ส่วนตัวคิดว่า หากนายวราเทพไม่ลาออก อาจจะใช้ช่องทางตามมาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญ โดยการให้ ส.ส.และ ส.ว. 1 ใน 10 ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภา เพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี กรณีนี้จะคล้ายคลึงกับกรณีของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ เรื่องนี้หากผิดจริง จะนำไปสู่การถอดถอนนายกรัฐมนตรีและยุบพรรคอย่างแน่นอน”
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า เบื้องต้นส่งตรวจสอบคุณสมบัตินายวราเทพแล้ว เป็นไปตามขั้นตอน และยังไม่มีใครท้วงติงอะไร ขณะที่นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ยืนยันเช่นกันว่า เลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ตรวจสอบคุณสมบัติของตนแล้วว่าไม่เข้าข่ายต้องห้าม และทราบว่าเลขาฯ ครม.ได้ปรึกษากฤษฎีกาเรียบร้อยแล้ว ถ้าเลขาฯ ครม.เห็นว่าไม่ถูกต้อง คงไม่กล้าเสนอชื่อตนแน่
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวไปถามเรื่องนี้กับนายอำพน กิติอำพน เลขาธิการ ครม.ปรากฏว่า นายอำพน ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยอ้างว่า “ยังไม่สามารถตอบได้ในขณะนี้ ต้องหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องก่อน”
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล ที่ปรึกษาคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ก็ได้ออกมาการันตีว่านายวราเทพไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี โดยบอกว่า ต้องแยกการพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีและการเป็นรัฐมนตรีออกจากกัน ถ้าศาลมีคำพิพากษาให้จำคุกขณะเป็นรัฐมนตรีอยู่ แม้ศาลจะให้รอลงอาญา ก็ต้องพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี แต่กรณีนายวราเทพ ไม่ได้เป็นรัฐมนตรีตอนที่ศาลพิพากษาให้จำคุก จึงไม่ต้องพ้นจากการเป็นรัฐมนตรี ส่วนที่มาตรา 174 ระบุคุณสมบัติของรัฐมนตรีที่ถูกคำพิพากษาให้จำคุก แต่พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี จะเป็นรัฐมนตรีไม่ได้นั้น นายชูศักดิ์ บอกว่า สิ่งที่มาตราดังกล่าวระบุ หมายความว่าการจะพ้นจากรัฐมนตรี ต้องเป็นการลงโทษจำคุกจริงเท่านั้น
ทั้งนี้ นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา และ ส.ว.อีก 23 คน ได้ยื่นเรื่องต่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายวราเทพว่าสิ้นสุดลงหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182(3) (5) ประกอบมาตรา 174(5) เนื่องจากนายวราเทพพ้นโทษจำคุกในคดีหวยบนดินยังไม่ถึง 5 ปี ด้านนายนิคม บอกว่า จะเร่งตรวจสอบความถูกต้องของรายชื่อ เพื่อส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด
ด้านนายวราเทพ ยืนยันว่า ไม่กังวล แม้มีการยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติตน และว่า ระหว่างที่ยังไม่มีการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าคุณสมบัติของตนยังครบถ้วนสมบูรณ์อยู่ เพราะขั้นตอนการพิจารณาคุณสมบัติเป็นเรื่องของสำนักเลขาธิการ ครม. เมื่อแต่งตั้งโปรดเกล้าฯ ลงมาแล้ว ทุกอย่างถือว่าสมบูรณ์
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำ ครม.ชุดใหม่เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ ห้องประชุมสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 1 พ.ย. โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และจะปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ
เป็นที่น่าสังเกตว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงมีพระราชดำรัสแก่ ครม.ชุดใหม่แต่อย่างใด ซึ่งนายพงศ์เทพ เทพกาญนา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เผยหลังเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า ตอนที่นายกฯ นำเข้าเฝ้า ทางเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังได้บอกก่อนแล้วว่า วันดังกล่าวจะไม่มีพระราชดำรัส เพราะเป็นครั้งที่ 3 ของ ครม.ชุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดังนั้นจึงไม่มีกระแสพระราชดำรัส แต่หลังจากรัฐมนตรีทั้งหมดออกมา นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ ต่อ ซึ่งไม่ทราบว่ามีกระแสรับสั่งนายกฯ ในเรื่องใดหรือไม่
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลังกลับจากเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ มายังทำเนียบรัฐบาล ได้โบกมือทักทายสื่อ ก่อนเดินเข้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยมิได้ให้สัมภาษณ์ใดใด
2. กองปราบฯ ออกหมายเรียก “สนธิ-เสธ.อ้าย” รับทราบข้อหายุ ปชช.กบฏ-ยุทหารปฏิวัติ ด้าน “สนธิ” ซัด ตร.ของ “ทักษิณ” กลั่นแกล้ง!
เมื่อวันที่ 31 ต.ค. พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการกองปราบปราม เผยความคืบหน้าคดีที่นายคารม พลพรกลาง ทนายความกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) พร้อมทีมทนายความกลุ่มคนเสื้อแดง ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ข้อหายุยงให้ประชาชนเป็นกบฏ ยุยงทหารให้ก่อปฏิวัติ และแสดงความคิดเห็นไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวหาว่านายสนธิและ พล.อ.บุญเลิศ แสดงความคิดเห็นอันเป็นการล้มล้างรัฐบาล ทั้งนี้ พ.ต.อ.ประสพโชค บอกว่า หลังตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมามอบให้แล้ว พบว่า นายสนธิ ได้พูดในรายการสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวีเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่บ้านพระอาทิตย์ ส่วน พล.อ.บุญเลิศ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุ อสมท เมื่อวันที่ 21 ม.ค. พนักงานสอบสวนเห็นว่าคดีมีมูล จึงได้ออกหมายเรียกนายสนธิและ พล.อ.บุญเลิศ ให้มารับทราบข้อกล่าวหาที่กองปราบปรามในวันที่ 7 พ.ย.นี้ เวลา 10.00น.
อย่างไรก็ตาม ภายหลัง พ.ต.อ.ประสพโชค ได้ออกมาแจ้งเลื่อนการเข้ารับทราบข้อกล่าวหาของนายสนธิและ พล.อ.บุญเลิศออกไปจากกำหนดเดิม โดยกำหนดใหม่ให้ พล.อ.บุญเลิศมารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 15 พ.ย. ส่วนนายสนธิให้มารับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 22 พ.ย. โดยจะมีการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอมมานโดไว้ดูแลความปลอดภัยในวันที่ทั้งสองเข้ารับทราบข้อกล่าวหาประมาณ 1 กองร้อย หรือ 150 นาย
ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ พูดถึงกรณีที่ตำรวจกองปราบฯ ออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อหากบฏว่า ยังไม่ได้รับหมายเรียก พร้อมมองว่าเป็นการกลั่นแกล้ง เนื่องจากทันทีที่เสื้อแดงไปเร่งรัด เจ้าหน้าที่ก็ออกหมายเรียกทันที และว่า ที่ตำรวจจ้องเล่นงานตน เพราะตำรวจเป็นพวกเดียวกับพรรคเพื่อไทย ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็เคยพูดว่า ตำรวจเป็นพวกเดียวกับพรรคเพื่อไทย นายสนธิ ยังชี้ด้วยว่า เรื่องที่ตำรวจควรทำ กลับไม่ทำ เรื่องที่ไม่ควรทำ กลับทำ ซึ่งตนแค่แสดงความคิดเห็น ก็หาว่าเป็นกบฏ ทีกรณีนายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกนนำกลุ่มนิติราษฎร์ ที่เสนอให้ล้มกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติ ถ้ามีการแจ้งความ จะมีการออกหมายจับนายวรเจตน์หรือไม่ ตำรวจก็คงไม่ออก เพราะเป็นพวกเดียวกัน “เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่า ตำรวจเดี๋ยวนี้เป็นตำรวจที่ไม่ได้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่เป็นตำรวจที่รักทักษิณ พร้อมจะทำทุกอย่างให้ทักษิณ ถูกหรือผิดทำทั้งนั้น พี่น้องพันธมิตรฯ ไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้ เป็นเรื่องธรรมดาปกติสามัญ ผมโดนมามากแล้ว”
ขณะที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์กรพิทักษ์สยาม บอกว่า ตนยังไม่ได้รับหมายเรียกจากตำรวจกองปราบฯ เช่นกัน เพียงแต่ทราบทางสื่อมวลชนเท่านั้น และว่า เมื่อได้รับหมายเรียก ก็พร้อมจะเดินทางไปพบพนักงานสอบสวน พล.อ.บุญเลิศ ยังกล่าวถึงการชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่สนามม้านางเลิ้งด้วยว่า มีตัวเลขผู้ชุมนุมที่ลงชื่อประมาณ 20,000 คน ไม่ได้ลงชื่อประมาณ 10,000 คน พร้อมยืนยัน การชุมนุมใหญ่ครั้งที่สองจะมีขึ้นแน่นอน คาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน นับจากการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ต.ค. พร้อมเชื่อว่า การชุมนุมครั้งต่อไป จะมีผู้มาร่วมชุมนุมมากกว่าครั้งที่ผ่านมา
3. ศาลอุทธรณ์ พิพากษายกฟ้อง 8 เสื้อแดงอุดร คดีบุกทำร้ายพันธมิตรฯ ขณะที่ 2 พันธมิตรฯ ถูกทำร้ายไม่พอ ถูกศาลชี้ว่าผิดอีก เตรียมยื่นฎีกาหาความเป็นธรรม!
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ศาลจังหวัดอุดรธานี ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีที่คนเสื้อแดงกลุ่มชมรมคนรักอุดร ที่มีนายขวัญชัย ไพรพนา หรือสาราคำ และนายอุทัย แสนแก้ว น้องชายนายธีระชัย แสนแก้ว อดีต ส.ส.อุดรธานี พรรคพลังประชาชน เป็นแกนนำ ยกพวกสมาชิกกว่า 700 คน เคลื่อนพลจากสนามทุ่งศรีเมือง บุกไปทำร้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.อุดรธานี ที่กำลังเตรียมเปิดเวทีปราศรัยที่หนองประจักษ์ศิลปาคม ภายในเขตเทศบาลนครอุดรธานี เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2551 ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บรวม 13 คน
สำหรับคดีนี้ ตำรวจอุดรธานีได้ดำเนินคดีทั้งกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งที่ฝ่ายพันธมิตรฯ อยู่ในที่ตั้ง และถูกกลุ่มเสื้อแดงบุกมาทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ โดยตำรวจตั้งข้อหาไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้าพนักงาน ชุมนุมขัดรัฐธรรมนูญ และทะเลาะวิวาท ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาเมื่อวันที่ 29 ต.ค.2553 ให้จำคุกนางกุหลาบ ยศอ่อน หรือดีเจหงส์ทอง สมาชิกชมรมคนรักอุดร เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน และจำคุกสมาชิกชมรมคนรักอุดรอีก 32 คน คนละ 8 เดือน ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯ ศาลสั่งจำคุกนายรัตนชัย ทองสุข และนางธันยนันท์ จรัสจริยวงศ์ คนละ 8 เดือน ซึ่งต่อมาทั้ง 2 ฝ่ายต่างยื่นอุทธรณ์และขอประกันตัวสู้คดี
ทั้งนี้ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกนางกุหลาบ เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน และจำคุกนายประสิทธิ์ วิชัยรัตน์ หรือดีเจจอใจเดียว และนายณัฐยศ ผาจวง ที่ปรึกษานายก อบจ.อุดรธานี กับพวกซึ่งเป็นสมาชิกชมรมคนรักอุดร รวม 23 คน คนละ 8 เดือน ปรับ 4,000 บาท ส่วนสมาชิกชมรมคนรักอุดรอีก 8 คน ศาลพิพากษาแก้ให้ยกฟ้อง ขณะที่พันธมิตรฯ 2 คน คือ นายรัตนชัยและนางธันยนันท์ ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 8 เดือน ปรับ 4,000 บาทเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่า ทั้งฝ่ายสมาชิกชมรมคนรักอุดร 23 คน และฝ่ายพันธมิตรฯ 2 คนดังกล่าว กระทำผิดเป็นครั้งแรก โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำพิพากษา สมาชิกชมรมคนรักอุดรต่างโห่ร้องแสดงความยินดีที่ศาลยกฟ้อง 8 คน และให้รอลงอาญา 23 คน ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯ นายรัตนชัยและนางธันยนันท์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บปางตายจากการถูกเสื้อแดงอุดรฯ บุกมาทำร้าย ยืนยันว่า จะยื่นฎีกาต่อไป เพราะคิดไว้ว่าศาลต้องยกฟ้องพันธมิตรฯ เพราะพันธมิตรฯ เป็นฝ่ายถูกกระทำ เสื้อแดงเป็นฝ่ายกระทำ แต่พันธมิตรฯ กลับถูกชี้ว่าผิด ขณะที่ฝ่ายผิดได้รับการยกฟ้องและรอลงอาญา จึงไม่เข้าใจว่า การที่พันธมิตรฯ อยู่ในที่ตั้งและขออนุญาตเทศบาลนครอุดรธานีจัดงานอย่างถูกต้อง เมื่อเสื้อแดงบุกมาทำร้ายและทำลายข้าวของ พันธมิตรฯ ไม่มีสิทธิปกป้องบ้านของตัวเองหรือ ดังนั้นตนจะสู้ต่อในชั้นฎีกา เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมมากกว่านี้ “ตอนที่ฟังคำพิพากษา เขาพูดออกมาเลย จำเลยที่....(เสื้อแดง 8 คน) ยกฟ้อง ส่วนผมเนี่ย รอลงอาญา ผม โห! ทำไมวะ ผมไม่เข้าใจว่าทำไม คือฝ่ายที่กระทำผม เป็นฝ่ายที่ผิด ฝ่ายผมซึ่งเป็นฝ่ายโดนกระทำ เป็นรอลงอาญา เจ็บใจที่สุดก็คือตอนที่ฝ่ายนั้นพูด บอก เห็นมั้ย! บอกแล้วเราไม่ผิด ที่ผมเจ็บแค้นมากคือ โห! ไม่ผิดตรงไหนวะเนี่ย คือคุณเดินเท้ามา 3 ก.ม. เพื่อที่จะมาทำผม ขณะที่ผมอยู่ในบ้านตัวเองแท้ๆ คือหนองประจักษ์ก็เหมือนกับ เราขออนุญาตเทศบาลไว้เพื่อที่จะจัดงาน ก็เหมือนเป็นบ้านเราถูกมั้ย? แล้วเราไม่มีสิทธิดูแลไม่มีสิทธิปกป้องเหรอครับ”
4. “สรยุทธ” เมินแจง กมธ.สภาฯ กรณียักยอกค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน ด้าน “ก.ล.ต.” ชวนบริษัทในตลาดทุนทุกแห่งร่วมต้าน เพื่อแก้ทุจริต!
ตามที่คณะอนุกรรมาธิการ(กมธ.) การพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 26 ต.ค.2555 เชิญนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม จำกัด เข้าชี้แจงตอบข้อซักถามในการประชุมอนุกรรมาธิการฯ ในวันที่ 1 พ.ย. เกี่ยวกับกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดนายสรยุทธและบริษัท ไร่ส้ม ว่าทุจริตเงินโฆษณาเกินเวลาจากบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นเงิน 138 ล้านบาท
ปรากฏว่า นายสรยุทธได้ทำหนังสือปฏิเสธที่จะเข้าชี้แจงส่งมายังประธาน กมธ.เมื่อวันที่ 31 ต.ค. โดยอ้างว่า “เนื่องจากขณะนี้ เรื่องดังกล่าวกำลังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในชั้นพนักงานอัยการและศาล ดังนั้น จึงเป็นการไม่สมควรที่ผมและบริษัทฯ จะเปิดเผยรายละเอียดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว เพื่อความเหมาะสมในกระบวนการพิจารณาคดี และความจำเป็นที่ต้องสงวนข้อมูลข้อเท็จจริงในการต่อสู้คดีที่จะมีขึ้นต่อไป”
นายสรยุทธ ยังย้ำในหนังสือดังกล่าวด้วยว่า คดีความที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องเฉพาะการทำธุรกิจของบริษัท ไร่ส้ม ไม่ส่งผลกระทบใดใดต่อการทำรายการของตน ที่นำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์ต่อสังคม โดยไม่บิดเบือนข้อมูลข่าวสารอันเป็นจรรยาบรรณสำคัญในการนำเสนอที่ตนยึดถือมาตลอดชีวิตการทำงาน
เป็นที่น่าสังเกตว่า กรณีนายสรยุทธยังคงดำเนินธุรกิจและจัดรายการตามปกติ แม้ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตยักยอกเงินค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน ส่งผลให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ที่มีนายวรพล โสคติยานุรักษ์ เป็นเลขาธิการ ได้ส่งหนังสือถึงกรรมการผู้จัดการ บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน และสมาคมที่เกี่ยวเนื่องในตลาดทุนทุกแห่ง รวมทั้งทำสำเนาเรียนกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอความร่วมมือองค์กรในตลาดทุนผนึกกำลังแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน โดยระบุว่า เมื่อเร็ๆ นี้ ผลสำรวจของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ พบว่า ประชาชนไทยที่ถูกสำรวจร้อยละ 68.5 ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชันได้ถ้าตนเองได้ประโยชน์ เท่ากับตอกย้ำว่า หากทุกคนยังนิ่งเฉย ไม่ดำเนินการใดใด เพราะเกรงว่าตนจะเสียประโยชน์ ประเทศชาติก็คงไม่สามารถแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันได้
หนังสือของสำนักงาน ก.ล.ต. ยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา องค์กรในตลาดทุนได้ร่วมกันปรับปรุงการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ภาคเอกชนไทยได้รับคำชื่นชมในการร่วมกันพยายามแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน โดยล่าสุด ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับจาก The Asian Corporate Governance Association(ACGA) และ CLSA Asia-Pacific Markets ให้ขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ของภูมิภาคเอเชีย ดังนั้นเมื่อเกิดกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดบริษัท ไร่ส้ม และนายสรยุทธ ประกอบกับสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้แถลงแล้วว่า พฤติกรรมของนายสรยุทธและบริษัท ไร่ส้ม แม้จะยังไม่มีบทสรุปทางกฎหมาย แต่ในแง่การประกอบวิชาชีพ นับว่าไม่เหมาะสม มีการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจรรยาบรรณแล้ว
ดังนั้น สำนักงาน ก.ล.ต.จึงขอความร่วมมือองค์กรในตลาดทุนทุกแห่งให้พิจารณาอย่างรอบคอบและใช้ความระมัดระวังในการทำธุรกิจกับบุคคลที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาการทุจริตในประเทศไทย