คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “ยิ่งลักษณ์” เยือนกัมพูชา ไม่กล้ายัน พื้นที่ 4.6 ตร.กม.ของไทย ขณะที่ “ทักษิณ” บินกัมพูชาเช่นกัน คาด ร่วมเตะบอลนัดกระชับมิตรด้วย!
สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องของรัฐบาลไทย-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกัมพูชา เป็นข่าวที่ถูกพูดถึงทุกวัน เพราะมี 3 กรณีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือ 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางเยือนกัมพูชาวันที่ 15 ก.ย. ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดเยือนกัมพูชาเช่นกันในวันที่ 16-24 ก.ย. นอกจากนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะที่เป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และแกนนำคนเสื้อแดง ยังมีกำหนดเตะฟุตบอลนัดกระชับมิตรกับ ส.ส.กัมพูชาในวันที่ 24 ก.ย. ทำให้มีคำถามตามมาว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณเยือนกัมพูชา รัฐบาลจะประสานให้กัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอให้ทางการกัมพูชาปล่อยตัวนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ผู้สื่อข่าวเอฟเอ็มทีวี ที่ถูกคุมขังอยู่ในกัมพูชา ข้อหาจารกรรมข้อมูลทางทหารหรือไม่
ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางไปกัมพูชาเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 15 ก.ย. โดยได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จากนั้นได้หารือข้อราชการกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ก่อนไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชา
หลังเดินทางกลับประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวในเฟซบุ้คถึงผลการเยือนประเทศกัมพูชาว่า ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยความสัมพันธ์นี้จะนำไปสู่การพัฒนาและความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อประชาชนและประโยชน์ของสองประเทศ สำหรับปัญหาเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลนั้น นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาเห็นพ้องที่จะให้มีการเจรจาอย่างเป็นทางการและเปิดเผยหลังว่างเว้นการเจรจามานาน นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะผลักดันให้มีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ บริเวณบ้านหนองเอี่ยน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว-สตึงบท จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ส่วนการช่วยเหลือนายวีระ และ น.ส.ราตรีนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า “ได้ขอความร่วมมือนายกฯ ฮุน เซน ในการพิจารณาขอพระราชทานอภัยโทษบุคคลทั้งสอง นายกฯ ฮุน เซน ได้แสดงความประสงค์ให้ความช่วยเหลือตามเงื่อนไขและกลไกกฎหมายของกัมพูชา แต่จะขออภัยโทษให้แน่นอน”
สำหรับปัญหาเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่า ไม่ได้ยืนยันกับฝ่ายกัมพูชาว่าไทยเป็นเจ้าของ โดยบอกว่า ตรงนี้ยังพูดไม่ได้ เพราะยังมีเรื่องของคณะกรรมการต่างๆ ที่จะมีผลต่อการให้ข้อมูลกับศาลโลก ผู้สื่อข่าวถามว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบแบบไม่ค่อยเคลียร์ว่า “การยืนยันนั้นมันคนละประเภทกัน ไทยจะใช้หลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่”
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ออกมาแสดงความเสียใจที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่พูดกับกัมพูชาให้ชัดว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมาพูดใหม่แต่เป็นการพูดทางเฟซบุ้คว่า “ในนามของหัวหน้ารัฐบาล ดิฉันขอยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นดินแดนของไทย เนื่องจากไทยอ้างเป็นของไทย กัมพูชาอ้างเป็นของกัมพูชา ต่างคนต่างอ้างสิทธิ จึงเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน และรัฐบาลนี้จะแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน โดยวิถีทางการทูตตามหลักฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ”
ส่วนการเยือนกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน โดยเดินทางถึงกัมพูชากลางดึกคืนวันที่ 16 ก.ย.ล่วงเข้าวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งทันทีที่เดินทางถึงกัมพูชา พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า รู้สึกอบอุ่นกับการต้อนรับ
ด้านสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเยือนกัมพูชาระหว่าง 16-24 ก.ย. โดยระหว่างเยือน พ.ต.ท.ทักษิณจะมีการบรรยายเกี่ยวกับอนาคตทางเศรษฐกิจในเอเชีย รวมทั้งจะออกรอบตีกอล์ฟกับสมเด็จฯ ฮุน เซน และอาจจะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่าง ส.ส.ของกัมพูชากับสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่สนามกีฬาโอลิมปิกพนมเปญในวันที่ 24 ก.ย. ทั้งนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ยืนยันว่า จะไม่มีการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลหรือเรื่องความขัดแย้งตามแนวชายแดนแต่อย่างใด
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ เผยว่า รัฐบาลกัมพูชาจะจัดพิธีมอบเหรียญเกียรติยศให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และตน รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศของลาวด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเหรียญดังกล่าวต้องเป็นอย่างไร นายนพดล บอกว่า ต้องเป็นผู้ที่รับใช้มนุษยชาติ ทำให้เกิดสันติภาพในโลก รวมทั้งดูผลงานที่เคยทำมาในอดีตและปัจจุบัน
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้รัฐบาลประสานกัมพูชาเพื่อนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีนั้น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาย้อนพรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เคยพบกับนายใจ อึ๊งภากรณ์ (ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน) แบบซึ่งหน้า ก็ไม่ดำเนินการใดใด ส่วน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ก็เคยไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อพูดคุยเรื่องปรองดอง ก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน ยังไม่รวมกรณีที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เคยขอไปทางกัมพูชา 2 ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากสมเด็จฯ ฮุน เซน แล้วจะให้ตนดำเนินการอย่างไร
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีคุมตำรวจ ก็ยกสารพัดเหตุผลว่าไม่สามารถจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณได้ เช่น อ้างว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่มีอธิปไตยของตนเอง และ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีชื่อในหมายจับแดง ตำรวจสากลไม่ออกหมายจับ เพราะความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายให้ออกหมายจับ
ส่วนเรื่องการเตะฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทยกับ ส.ส.ของกัมพูชาที่กรุงพนมเปญในวันที่ 24 ก.ย.นั้น ตอนแรกติดปัญหาว่า แกนนำ นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนที่ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวในคดีก่อการร้าย คดีหมิ่นสถาบัน และคดีอื่นๆ ติดเงื่อนไขที่ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศ จึงได้ให้ทนาย นปช.ไปยื่นขออนุญาตศาล โดยอ้างว่า เพื่อเยือนกัมพูชาและเข้าพบนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ 2 ประเทศ พร้อมจัดการแข่งขันฟุตบอลกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส.แกนนำคนเสื้อแดงกับรัฐบาลกัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ รวมทั้งจะหารือกับกัมพูชาเพื่อช่วยเหลือนายวีระและ น.ส.ราตรีที่ติดคุกอยู่ที่เรือนจำกัมพูชาด้วย โดยจำเลยแต่ละคนมีการวางเงินสดเป็นหลักประกันคนละ 6 แสนบาท ด้านศาลอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศได้ตามที่ขอ และให้กลับมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 26 ก.ย.
ทั้งนี้ หลังศาลอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ปรากฏว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายวีระกานต์ หรือนายวีระ มุสิกพงศ์ พร้อมด้วยแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปกัมพูชาแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ก.ย.เพื่อเตรียมงานแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างทีมเรด พีซ คนเสื้อแดงกับ ส.ส.กัมพูชา และว่า ในวันแข่งขันจริง 24 ก.ย. แกนนำและแนวร่วมคนเสื้อแดง พร้อมคณะสื่อมวลชน จะเดินทางโดยรถยนต์ไปกัมพูชาในวันที่ 23 ก.ย.และจะเดินทางกลับประเทศพร้อมกันวันที่ 25 ก.ย.
2. รัฐบาล ปูนบำเหน็จ“พสิษฐ” มือปล่อยคลิปศาล รธน. พร้อมตั้ง คกก.อิสระส่งสัญญาณแทรกแซงศาล ด้าน “คอป.”เตรียมชง “ยิ่งลักษณ์”ล้างผิด กม.ฉุกเฉินฯ!
หลังจากสัปดาห์ก่อน รัฐบาลได้โยกย้ายข้าราชการหลายกระทรวง โดยนำคนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยมานั่งตำแหน่งสำคัญๆ เช่น นางเบญจา หลุยเจริญ รองปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยเป็นคณะทำงานของกรมสรรพากรที่ระบุว่าการซื้อขายหุ้นของตระกูลชินวัตรไม่ต้องเสียภาษี ได้มานั่งตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต ขณะที่ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยถูกฟ้องในคดีหวยบนดินได้รับแต่งตั้งให้เข้ามาเป็น 1 ในกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น
ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลยังคงเดินหน้าโยกย้ายข้าราชการกระทรวงต่างๆ โดยบางตำแหน่งถูกมองว่า เป็นการย้ายเพื่อปูทางช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น ย้ายนายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วให้ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์แทน ขณะที่การแต่งตั้งข้าราชการการเมืองบางตำแหน่งถูกมองว่าเป็นการปูนบำเหน็จให้คนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยทำประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย เช่น นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยมีข่าวฉาวกรณีนำคลิปการสนทนาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มาเผยแพร่ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า รัฐบาลเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมราชทัณฑ์เพื่อหวังผลในเรื่องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งแต่ละวันรัฐบาลมักจะขับเคลื่อนแต่เรื่องดังกล่าว ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาให้ประชาชน
ขณะที่นายสกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดแถลงโดยชี้ว่า การแต่งตั้งนายพสิษฐ ศักดาณรงค์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งการแต่งตั้ง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนและเป็นจิ๊กซอว์คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นคนทำคดี ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการตอบแทนคนที่เคยทำประโยชน์ให้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่การโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงต่างๆ แต่รัฐบาลยังปรับเปลี่ยนบุคคลในองค์กรอิสระด้วย เช่น แต่งตั้ง พ.ต.ท.สีหนาท ประยูรรัตน์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ,โยกนายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ป.ป.ท.) ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม แล้วให้ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม มาเป็นเลขาธิการ ป.ป.ท.แทน ฯลฯ
ทั้งนี้ มีข่าวด้วยว่า รัฐบาลเตรียมเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) โดยจะให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย ไปนั่งตำแหน่งดังกล่าว แต่ยังไม่มีการชงเรื่องนี้เข้า ครม.
นอกจากการโยกย้ายสับเปลี่ยนตัวบุคคลในกระทรวงและองค์กรอิสระต่างๆ แล้ว รัฐบาลยังส่งสัญญาณแทรกแซงการทำงานของศาลด้วย โดยมีมติตั้งคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ(คอนธ.)ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ พร้อมแต่งตั้งนายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน โดยอ้างว่าที่ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ เป็นไปตามหลักนิติธรรมอย่างแท้จริง ไม่มีการเลือกปฏิบัติที่เกิดจากอคติของผู้ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด “การแต่งตั้งนั้น นายกฯ อยากให้มาดูงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายให้มีความชอบธรรม ไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด โดยเฉพาะเรื่องการขออภัยโทษหรือถวายฎีกา”
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอุกฤษ มงคลนาวิน ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธาน คอนธ. เป็นบุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการอิสระเพื่ออำนวยความยุติธรรม และเสริมสร้างสิทธิเสรีภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้(กอ.ยส.จชต.) หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่พอใจการทำงานของคณะกรรมการชุดนายอานันท์ ปันยารชุน ที่สรุปผลว่าการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการดำเนินนโยบายผิดพลาด
ด้านนายอุกฤษ มงคลนาวิน ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของตนเอง โดยยืนยันว่า การทำงานของ คอนธ. จะไม่ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน และว่า คอ.นธ.จะไม่พิจารณาเรื่องที่มีองค์กรอื่นและภาคประชาชนดำเนินการอยู่แล้ว เช่น เรื่องการนิรโทษกรรมและเรื่องที่ดินรัชดาฯ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ขณะที่นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม 1 ในคณะกรรมการ คอป.ชุดนายคณิต ณ นคร เผยผ่านทวิตเตอร์ว่า คอป.ใกล้สรุปข้อเสนอส่งให้รัฐบาลในเร็วๆ นี้ โดยจะเสนอให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ที่ถูกคุมขังและไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าร่วมกระทำผิด รวมทั้งเสนอให้ไม่ต้องดำเนินคดีผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งข้อหาร่วมชุมนุม มั่วสุม หรือฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเป็นข้อหาทางการเมือง “ท่านอาจารย์คณิตอธิบายว่าจะเน้นบทบาทไปที่พนักงานอัยการ ซึ่งมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้...”
3. ใต้เดือด! คนร้ายบึ้มรถ-ใช้ปืนจ่อยิงซ้ำทหารพรานปัตตานีดับคาที่ 5 นาย ส่วนที่นราธิวาส คนร้ายใช้ “จักรยานยนต์บอมบ์-คาร์บอมบ์”ตาย 3 เจ็บนับร้อย!
สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยที่ จ.ปัตตานี คนร้ายได้ลอบวางระเบิดทหารพรานชุดลาดตระเวนเสียชีวิต 5 นายเมื่อวันที่ 15 ก.ย. เหตุเกิดขณะที่ทหารพรานจากกรมทหารพราน 44 กองร้อยทหารพรานที่ 4414 จำนวน 6 นาย เดินทางกลับจากตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกะพ้อ จ.ปัตตานี เพื่อกลับเข้าฐานที่หมู่บ้าน 7 บ้านเจะกะพ้อใน ต.กะรุปี อ.กะพ้อ ด้วยรถกระบะ เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนถึงฐานปฏิบัติการประมาณ 2 กม. ปรากฏว่า คนร้ายได้จุดชนวนระเบิดที่ฝังไว้ใต้พื้นถนน แรงระเบิดทำให้รถพลิกคว่ำหลายตลบ และกระเด็นห่างจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 10 เมตร
เท่านั้นยังไม่พอ คนร้ายยังได้เดินออกจากจุดที่ซุ่มอยู่ในสวนยางพารา แล้วใช้ปืนอาก้าจ่อยิงทหารพรานที่ตกจากรถเสียชีวิตคาที่จำนวน 5 นาย ประกอบด้วย จ.ส.อ.เชิดศักดิ์ ธรรมาใหม่ ,อส.ทพ.สมศักดิ์ ประจงรัมย์ ,อส.ทพ.ธีรสาร จิตจักร ,อส.ทพ.ประกายศักดิ์ บุญชม และ อส.ทพ.มะรอเซะ สะรีมะแซ ส่วนทหารพรานที่รอดชีวิตแต่บาดเจ็บสาหัดอีก 1 นาย คือ อส.ทพ.อนันท์ รัตนะ โดยคนร้ายได้ขโมยอาวุธปืนประจำกายของทหารพรานก่อนหลบหนีไป
ส่วนที่ จ.ยะลา ได้เกิดเหตุคนร้ายยิงชาวบ้านขณะทำพิธีละหมาด ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายเมื่อวันที่ 16 ก.ย. เหตุเกิดขณะที่ ด.ต.อารง มาลายา ผบ.หมู่ สภ.โกตาบารู ช่วยราชการงานสืบศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายมาหามะ ยามา อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอกาบัง ซึ่งเคยทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา กำลังประกอบพิธีละหมาดร่วมกับชาวบ้านที่มัสยิดอานุลยากิน ซึ่งตั้งอยู่ในโรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์วิทยา ได้มีคนร้าย 4 คน สวมชุดคล้ายชุดดะวะห์ ขี่รถจักรยานยนต์มาจอด จากนั้น 2 ใน 4 ได้เข้าไปในมัสยิดประกบยิง ด.ต.อารง และนายมาหามะ จนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บด้วยอีก 3 ราย
ส่วนที่ จ.นราธิวาส ได้เกิดเหตุระเบิดในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 3 จุดเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 16 ก.ย.ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เหตุเกิดบนถนนเจริญเขต ภายในซอยภูธร ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก โดยจุดแรกมีการซุกซ่อนระเบิดไว้ในรถจักรยานยนต์ใกล้กับสมาคมแต้จิ๋ว ซึ่งตั้งอยู่กลางซอย จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ได้เกิดเหตุระเบิดในจุดที่ 2 โดยเป็นจักรยานยนต์บอมบ์เช่นกัน บริเวณสามแยกหน้าโรงแรมปาร์คสัน ซึ่งตั้งอยู่ปลายซอย ต่อมาได้เกิดระเบิดในจุดที่ 3 คราวนี้เป็นคาร์บอมบ์บริเวณสี่แยกโรงแรมเมอร์ลิน ตั้งอยู่ปลายซอย และอยู่ห่างจาก สภ.สุไหงโก-ลกประมาณ 200 เมตร ทั้งนี้ เหตุระเบิดทั้ง 3 จุด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย โดยทั้ง 3 รายเป็นชาวมาเลเซีย และเป็นชายทั้งหมด ซึ่ง 1 ใน 3 เป็นเด็กอายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ผู้บาดเจ็บมี 118 ราย เป็นชาวมาเลเซียหลายรายเช่นกัน ส่วนผู้บาดเจ็บที่อาการสาหัสมีประมาณ 7 ราย
รายงานแจ้งว่า เหตุระเบิดทั้ง 3 จุดดังกล่าว คนร้ายหวังสร้างความปั่นป่วนและมุ่งเอาชีวิตคนจำนวนมาก เนื่องจากช่วงเวลาที่ก่อเหตุเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจากมาเลเซียได้เดินทางเข้ามาพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้ระเบิดตรงกลางซอยก่อน เพื่อที่คนจำนวนมากจะได้วิ่งหนีไปทางปลายซอย จากนั้นจึงจุดชนวนระเบิดจุดที่ 2 และ 3 ตามมา
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุระเบิด ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง ด้านเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้รุดเข้าที่เกิดเหตุพร้อมตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นบริเวณกว้าง เพื่อมิให้คนร้ายจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือซ้ำอีกได้ ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่สามารถโทรศัพท์ออกนอกพื้นที่ได้
ด้าน พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) เผย(17 ก.ย.)ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าพัวพันกับเหตุระเบิดดังกล่าวแล้ว โดยมีหลักฐานจากภาพในกล้องวงจรปิด แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลก่อน
4. รัฐบาล จัดงานรับบริจาคช่วยน้ำท่วม ได้เงินกว่า 360 ล้าน - “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ” ทรงร่วมบริจาคด้วย ขณะที่ “กทม.”ทุ่มงบพันล้านรับมือน้ำท่วมกรุง!
ความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดของประเทศ ล่าสุด ศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม(ศอส.) เผยว่า ยังคงมีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยประมาณ 30 จังหวัด ประกอบด้วย สุโขทัย ,พิจิตร ,พิษณุโลก ,นครสวรรค์ ,อุทัยธานี ,ชัยนาท ,สิงห์บุรี ,อ่างทอง ,พระนครศรีอยุธยา ,ลพบุรี ,สระบุรี ,สุพรรณบุรี ,นครปฐม ,ปทุมธานี ,นนทบุรี ,ยโสธร ,เลย ,ขอนแก่น ,ศรีสะเกษ ,อุบลราชธานี ,ฉะเชิงเทรา ,นครนายก ,จันทบุรี ,ตราด ,ตาก ,สระแก้ว ,ปราจีนบุรี ,ตรัง ,สตูล และสุราษฎร์ธานี รวม 166 อำเภอ ,1,021 ตำบล 5,626 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 339,601 ครัวเรือน 1,204,358 คน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 90 ศพแล้ว
ด้านนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า จากการตรวจสอบผู้ประสบอุทกภัยที่มีอาการป่วยด้วยโรคที่กระทบต่อสุขภาพจิต ซึมเศร้า และเครียดสูงถึง 13,078 ราย และมีผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายประมาณ 590 คน
ขณะที่รัฐบาลได้จัดงาน “รวมพลังไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” เพื่อรับบริจาคจากประชาชน โดยถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และช่อง 11 เมื่อคืนวันที่ 14 ก.ย. ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยว่า มีผู้ร่วมบริจาคประมาณ 3,500 คน ยอดบริจาคกว่า 363 ล้านบาท ด้านนางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงสมทบพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยจำนวน 100,000 บาท
ส่วนการรับมือน้ำท่วม กทม.นั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ประชุมผู้บริหาร กทม.เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ก่อนได้ข้อสรุปว่า จะใช้เงินในการแก้ปัญหาน้ำท่วมและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมประมาณ 1,000 ล้านบาท
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมรับมือปริมาณน้ำฝนและน้ำเหนือที่จะไหลบ่าลงมาท่วม กทม.และ จ.นนทบุรีเมื่อวันที่ 15 ก.ย. หลังประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ได้เชิญ รองผู้ว่าฯ กทม.(พรเทพ เตชะไพบูลย์) -ผู้ว่าฯ นนทบุรี มาหารือร่วมกับอธิบดีกรมชลประทาน โดยหลังจากฟังรายงานสบายใจขึ้นว่า กทม.เตรียมพร้อมแล้ว โดยจะมีที่รองรับน้ำห่างจากตัว กทม.ไปอีก 70 กม. ส่วน จ.นนทบุรี ได้เตรียมถุงดินกั้นเป็นแนวเขื่อนไว้แล้ว น่าจะรองรับได้
ขณะที่นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เตือนให้ประชาชนที่อยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นไม่ต่ำกว่าหรือเท่ากับเมื่อปี 2553 รวมทั้งขนย้ายสิ่งของมีค่าขึ้นที่สูง และติดตามสถานการณ์น้ำในช่วงนี้อย่างใกล้ชิด
1. “ยิ่งลักษณ์” เยือนกัมพูชา ไม่กล้ายัน พื้นที่ 4.6 ตร.กม.ของไทย ขณะที่ “ทักษิณ” บินกัมพูชาเช่นกัน คาด ร่วมเตะบอลนัดกระชับมิตรด้วย!
สัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องของรัฐบาลไทย-พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกัมพูชา เป็นข่าวที่ถูกพูดถึงทุกวัน เพราะมี 3 กรณีที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือ 1.น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดเดินทางเยือนกัมพูชาวันที่ 15 ก.ย. ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีกำหนดเยือนกัมพูชาเช่นกันในวันที่ 16-24 ก.ย. นอกจากนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะที่เป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และแกนนำคนเสื้อแดง ยังมีกำหนดเตะฟุตบอลนัดกระชับมิตรกับ ส.ส.กัมพูชาในวันที่ 24 ก.ย. ทำให้มีคำถามตามมาว่า ระหว่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณเยือนกัมพูชา รัฐบาลจะประสานให้กัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะขอให้ทางการกัมพูชาปล่อยตัวนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ผู้สื่อข่าวเอฟเอ็มทีวี ที่ถูกคุมขังอยู่ในกัมพูชา ข้อหาจารกรรมข้อมูลทางทหารหรือไม่
ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางไปกัมพูชาเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 15 ก.ย. โดยได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติจากสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จากนั้นได้หารือข้อราชการกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ก่อนไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์กัมพูชา
หลังเดินทางกลับประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวในเฟซบุ้คถึงผลการเยือนประเทศกัมพูชาว่า ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยความสัมพันธ์นี้จะนำไปสู่การพัฒนาและความร่วมมือในด้านต่างๆ เพื่อประชาชนและประโยชน์ของสองประเทศ สำหรับปัญหาเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลนั้น นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาเห็นพ้องที่จะให้มีการเจรจาอย่างเป็นทางการและเปิดเผยหลังว่างเว้นการเจรจามานาน นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังเห็นพ้องที่จะผลักดันให้มีการเปิดจุดผ่านแดนถาวรแห่งใหม่ บริเวณบ้านหนองเอี่ยน อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว-สตึงบท จ.บันเตียเมียนเจย ประเทศกัมพูชา ส่วนการช่วยเหลือนายวีระ และ น.ส.ราตรีนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า “ได้ขอความร่วมมือนายกฯ ฮุน เซน ในการพิจารณาขอพระราชทานอภัยโทษบุคคลทั้งสอง นายกฯ ฮุน เซน ได้แสดงความประสงค์ให้ความช่วยเหลือตามเงื่อนไขและกลไกกฎหมายของกัมพูชา แต่จะขออภัยโทษให้แน่นอน”
สำหรับปัญหาเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหารนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่า ไม่ได้ยืนยันกับฝ่ายกัมพูชาว่าไทยเป็นเจ้าของ โดยบอกว่า ตรงนี้ยังพูดไม่ได้ เพราะยังมีเรื่องของคณะกรรมการต่างๆ ที่จะมีผลต่อการให้ข้อมูลกับศาลโลก ผู้สื่อข่าวถามว่า สมเด็จฯ ฮุน เซน ยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตอบแบบไม่ค่อยเคลียร์ว่า “การยืนยันนั้นมันคนละประเภทกัน ไทยจะใช้หลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมดในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่”
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ออกมาแสดงความเสียใจที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่พูดกับกัมพูชาให้ชัดว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย ทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมาพูดใหม่แต่เป็นการพูดทางเฟซบุ้คว่า “ในนามของหัวหน้ารัฐบาล ดิฉันขอยืนยันว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นดินแดนของไทย เนื่องจากไทยอ้างเป็นของไทย กัมพูชาอ้างเป็นของกัมพูชา ต่างคนต่างอ้างสิทธิ จึงเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน และรัฐบาลนี้จะแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน โดยวิถีทางการทูตตามหลักฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ”
ส่วนการเยือนกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย เนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน โดยเดินทางถึงกัมพูชากลางดึกคืนวันที่ 16 ก.ย.ล่วงเข้าวันที่ 17 ก.ย. ซึ่งทันทีที่เดินทางถึงกัมพูชา พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า รู้สึกอบอุ่นกับการต้อนรับ
ด้านสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ประกาศตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเยือนกัมพูชาระหว่าง 16-24 ก.ย. โดยระหว่างเยือน พ.ต.ท.ทักษิณจะมีการบรรยายเกี่ยวกับอนาคตทางเศรษฐกิจในเอเชีย รวมทั้งจะออกรอบตีกอล์ฟกับสมเด็จฯ ฮุน เซน และอาจจะเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่าง ส.ส.ของกัมพูชากับสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่สนามกีฬาโอลิมปิกพนมเปญในวันที่ 24 ก.ย. ทั้งนี้ สมเด็จฯ ฮุน เซน ยืนยันว่า จะไม่มีการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลหรือเรื่องความขัดแย้งตามแนวชายแดนแต่อย่างใด
ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ เผยว่า รัฐบาลกัมพูชาจะจัดพิธีมอบเหรียญเกียรติยศให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และตน รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศของลาวด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับเหรียญดังกล่าวต้องเป็นอย่างไร นายนพดล บอกว่า ต้องเป็นผู้ที่รับใช้มนุษยชาติ ทำให้เกิดสันติภาพในโลก รวมทั้งดูผลงานที่เคยทำมาในอดีตและปัจจุบัน
ส่วนกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้รัฐบาลประสานกัมพูชาเพื่อนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาดำเนินคดีนั้น นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมาย้อนพรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี เคยพบกับนายใจ อึ๊งภากรณ์ (ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบัน) แบบซึ่งหน้า ก็ไม่ดำเนินการใดใด ส่วน พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ก็เคยไปพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อพูดคุยเรื่องปรองดอง ก็ไม่ได้ทำอะไรเช่นกัน ยังไม่รวมกรณีที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เคยขอไปทางกัมพูชา 2 ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากสมเด็จฯ ฮุน เซน แล้วจะให้ตนดำเนินการอย่างไร
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีคุมตำรวจ ก็ยกสารพัดเหตุผลว่าไม่สามารถจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณได้ เช่น อ้างว่ากัมพูชาเป็นประเทศที่มีอธิปไตยของตนเอง และ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้มีชื่อในหมายจับแดง ตำรวจสากลไม่ออกหมายจับ เพราะความผิดของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายให้ออกหมายจับ
ส่วนเรื่องการเตะฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่าง ส.ส.พรรคเพื่อไทยกับ ส.ส.ของกัมพูชาที่กรุงพนมเปญในวันที่ 24 ก.ย.นั้น ตอนแรกติดปัญหาว่า แกนนำ นปช.และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยบางคนที่ศาลอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวในคดีก่อการร้าย คดีหมิ่นสถาบัน และคดีอื่นๆ ติดเงื่อนไขที่ศาลสั่งห้ามออกนอกประเทศ จึงได้ให้ทนาย นปช.ไปยื่นขออนุญาตศาล โดยอ้างว่า เพื่อเยือนกัมพูชาและเข้าพบนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ 2 ประเทศ พร้อมจัดการแข่งขันฟุตบอลกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง ส.ส.แกนนำคนเสื้อแดงกับรัฐบาลกัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ รวมทั้งจะหารือกับกัมพูชาเพื่อช่วยเหลือนายวีระและ น.ส.ราตรีที่ติดคุกอยู่ที่เรือนจำกัมพูชาด้วย โดยจำเลยแต่ละคนมีการวางเงินสดเป็นหลักประกันคนละ 6 แสนบาท ด้านศาลอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศได้ตามที่ขอ และให้กลับมารายงานตัวต่อศาลในวันที่ 26 ก.ย.
ทั้งนี้ หลังศาลอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศ ปรากฏว่า นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และนายวีระกานต์ หรือนายวีระ มุสิกพงศ์ พร้อมด้วยแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปกัมพูชาแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 ก.ย.เพื่อเตรียมงานแข่งขันฟุตบอลนัดกระชับมิตรระหว่างทีมเรด พีซ คนเสื้อแดงกับ ส.ส.กัมพูชา และว่า ในวันแข่งขันจริง 24 ก.ย. แกนนำและแนวร่วมคนเสื้อแดง พร้อมคณะสื่อมวลชน จะเดินทางโดยรถยนต์ไปกัมพูชาในวันที่ 23 ก.ย.และจะเดินทางกลับประเทศพร้อมกันวันที่ 25 ก.ย.
2. รัฐบาล ปูนบำเหน็จ“พสิษฐ” มือปล่อยคลิปศาล รธน. พร้อมตั้ง คกก.อิสระส่งสัญญาณแทรกแซงศาล ด้าน “คอป.”เตรียมชง “ยิ่งลักษณ์”ล้างผิด กม.ฉุกเฉินฯ!
หลังจากสัปดาห์ก่อน รัฐบาลได้โยกย้ายข้าราชการหลายกระทรวง โดยนำคนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทยมานั่งตำแหน่งสำคัญๆ เช่น นางเบญจา หลุยเจริญ รองปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยเป็นคณะทำงานของกรมสรรพากรที่ระบุว่าการซื้อขายหุ้นของตระกูลชินวัตรไม่ต้องเสียภาษี ได้มานั่งตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิต ขณะที่ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเคยถูกฟ้องในคดีหวยบนดินได้รับแต่งตั้งให้เข้ามาเป็น 1 ในกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น
ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลยังคงเดินหน้าโยกย้ายข้าราชการกระทรวงต่างๆ โดยบางตำแหน่งถูกมองว่า เป็นการย้ายเพื่อปูทางช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เช่น ย้ายนายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไปเป็นรองปลัดกระทรวงยุติธรรม แล้วให้ พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาเป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์แทน ขณะที่การแต่งตั้งข้าราชการการเมืองบางตำแหน่งถูกมองว่าเป็นการปูนบำเหน็จให้คนที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยทำประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทย เช่น นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เคยมีข่าวฉาวกรณีนำคลิปการสนทนาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์มาเผยแพร่ ได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฯลฯ
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า รัฐบาลเปลี่ยนตัวอธิบดีกรมราชทัณฑ์เพื่อหวังผลในเรื่องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งแต่ละวันรัฐบาลมักจะขับเคลื่อนแต่เรื่องดังกล่าว ทั้งที่เป็นเรื่องส่วนตัว แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาให้ประชาชน
ขณะที่นายสกลธี ภัททิยกุล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดแถลงโดยชี้ว่า การแต่งตั้งนายพสิษฐ ศักดาณรงค์ เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งการแต่งตั้ง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย เป็นอธิบดีกรมราชทัณฑ์ มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนและเป็นจิ๊กซอว์คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นคนทำคดี ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการตอบแทนคนที่เคยทำประโยชน์ให้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่แค่การโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงต่างๆ แต่รัฐบาลยังปรับเปลี่ยนบุคคลในองค์กรอิสระด้วย เช่น แต่งตั้ง พ.ต.ท.สีหนาท ประยูรรัตน์ เป็นเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ,โยกนายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ(ป.ป.ท.) ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม แล้วให้ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม มาเป็นเลขาธิการ ป.ป.ท.แทน ฯลฯ
ทั้งนี้ มีข่าวด้วยว่า รัฐบาลเตรียมเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) โดยจะให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย ไปนั่งตำแหน่งดังกล่าว แต่ยังไม่มีการชงเรื่องนี้เข้า ครม.
นอกจากการโยกย้ายสับเปลี่ยนตัวบุคคลในกระทรวงและองค์กรอิสระต่างๆ แล้ว รัฐบาลยังส่งสัญญาณแทรกแซงการทำงานของศาลด้วย โดยมีมติตั้งคณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ(คอนธ.)ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ พร้อมแต่งตั้งนายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน โดยอ้างว่าที่ตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้น เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ เป็นไปตามหลักนิติธรรมอย่างแท้จริง ไม่มีการเลือกปฏิบัติที่เกิดจากอคติของผู้ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ทั้งนี้ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมา ไม่ใช่เพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด “การแต่งตั้งนั้น นายกฯ อยากให้มาดูงานที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายให้มีความชอบธรรม ไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด โดยเฉพาะเรื่องการขออภัยโทษหรือถวายฎีกา”
เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอุกฤษ มงคลนาวิน ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธาน คอนธ. เป็นบุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการอิสระเพื่ออำนวยความยุติธรรม และเสริมสร้างสิทธิเสรีภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้(กอ.ยส.จชต.) หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่พอใจการทำงานของคณะกรรมการชุดนายอานันท์ ปันยารชุน ที่สรุปผลว่าการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการดำเนินนโยบายผิดพลาด
ด้านนายอุกฤษ มงคลนาวิน ออกแถลงการณ์ผ่านเว็บไซต์ของตนเอง โดยยืนยันว่า การทำงานของ คอนธ. จะไม่ซ้ำซ้อนกับคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ(คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน และว่า คอ.นธ.จะไม่พิจารณาเรื่องที่มีองค์กรอื่นและภาคประชาชนดำเนินการอยู่แล้ว เช่น เรื่องการนิรโทษกรรมและเรื่องที่ดินรัชดาฯ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ขณะที่นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม 1 ในคณะกรรมการ คอป.ชุดนายคณิต ณ นคร เผยผ่านทวิตเตอร์ว่า คอป.ใกล้สรุปข้อเสนอส่งให้รัฐบาลในเร็วๆ นี้ โดยจะเสนอให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ที่ถูกคุมขังและไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าร่วมกระทำผิด รวมทั้งเสนอให้ไม่ต้องดำเนินคดีผู้ต้องหาที่ถูกแจ้งข้อหาร่วมชุมนุม มั่วสุม หรือฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเป็นข้อหาทางการเมือง “ท่านอาจารย์คณิตอธิบายว่าจะเน้นบทบาทไปที่พนักงานอัยการ ซึ่งมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องคดีที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้...”
3. ใต้เดือด! คนร้ายบึ้มรถ-ใช้ปืนจ่อยิงซ้ำทหารพรานปัตตานีดับคาที่ 5 นาย ส่วนที่นราธิวาส คนร้ายใช้ “จักรยานยนต์บอมบ์-คาร์บอมบ์”ตาย 3 เจ็บนับร้อย!
สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุรุนแรงจนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยที่ จ.ปัตตานี คนร้ายได้ลอบวางระเบิดทหารพรานชุดลาดตระเวนเสียชีวิต 5 นายเมื่อวันที่ 15 ก.ย. เหตุเกิดขณะที่ทหารพรานจากกรมทหารพราน 44 กองร้อยทหารพรานที่ 4414 จำนวน 6 นาย เดินทางกลับจากตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกะพ้อ จ.ปัตตานี เพื่อกลับเข้าฐานที่หมู่บ้าน 7 บ้านเจะกะพ้อใน ต.กะรุปี อ.กะพ้อ ด้วยรถกระบะ เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ก่อนถึงฐานปฏิบัติการประมาณ 2 กม. ปรากฏว่า คนร้ายได้จุดชนวนระเบิดที่ฝังไว้ใต้พื้นถนน แรงระเบิดทำให้รถพลิกคว่ำหลายตลบ และกระเด็นห่างจากจุดเกิดเหตุไปประมาณ 10 เมตร
เท่านั้นยังไม่พอ คนร้ายยังได้เดินออกจากจุดที่ซุ่มอยู่ในสวนยางพารา แล้วใช้ปืนอาก้าจ่อยิงทหารพรานที่ตกจากรถเสียชีวิตคาที่จำนวน 5 นาย ประกอบด้วย จ.ส.อ.เชิดศักดิ์ ธรรมาใหม่ ,อส.ทพ.สมศักดิ์ ประจงรัมย์ ,อส.ทพ.ธีรสาร จิตจักร ,อส.ทพ.ประกายศักดิ์ บุญชม และ อส.ทพ.มะรอเซะ สะรีมะแซ ส่วนทหารพรานที่รอดชีวิตแต่บาดเจ็บสาหัดอีก 1 นาย คือ อส.ทพ.อนันท์ รัตนะ โดยคนร้ายได้ขโมยอาวุธปืนประจำกายของทหารพรานก่อนหลบหนีไป
ส่วนที่ จ.ยะลา ได้เกิดเหตุคนร้ายยิงชาวบ้านขณะทำพิธีละหมาด ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายรายเมื่อวันที่ 16 ก.ย. เหตุเกิดขณะที่ ด.ต.อารง มาลายา ผบ.หมู่ สภ.โกตาบารู ช่วยราชการงานสืบศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายมาหามะ ยามา อาสาสมัครรักษาดินแดนอำเภอกาบัง ซึ่งเคยทำงานร่วมกับ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีต ผกก.สภ.บันนังสตา จ.ยะลา กำลังประกอบพิธีละหมาดร่วมกับชาวบ้านที่มัสยิดอานุลยากิน ซึ่งตั้งอยู่ในโรงเรียนสมบูรณ์ศาสน์วิทยา ได้มีคนร้าย 4 คน สวมชุดคล้ายชุดดะวะห์ ขี่รถจักรยานยนต์มาจอด จากนั้น 2 ใน 4 ได้เข้าไปในมัสยิดประกบยิง ด.ต.อารง และนายมาหามะ จนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บด้วยอีก 3 ราย
ส่วนที่ จ.นราธิวาส ได้เกิดเหตุระเบิดในเวลาไล่เลี่ยกันถึง 3 จุดเมื่อช่วงหัวค่ำวันที่ 16 ก.ย.ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เหตุเกิดบนถนนเจริญเขต ภายในซอยภูธร ในเขตเทศบาลเมืองสุไหงโก-ลก โดยจุดแรกมีการซุกซ่อนระเบิดไว้ในรถจักรยานยนต์ใกล้กับสมาคมแต้จิ๋ว ซึ่งตั้งอยู่กลางซอย จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ได้เกิดเหตุระเบิดในจุดที่ 2 โดยเป็นจักรยานยนต์บอมบ์เช่นกัน บริเวณสามแยกหน้าโรงแรมปาร์คสัน ซึ่งตั้งอยู่ปลายซอย ต่อมาได้เกิดระเบิดในจุดที่ 3 คราวนี้เป็นคาร์บอมบ์บริเวณสี่แยกโรงแรมเมอร์ลิน ตั้งอยู่ปลายซอย และอยู่ห่างจาก สภ.สุไหงโก-ลกประมาณ 200 เมตร ทั้งนี้ เหตุระเบิดทั้ง 3 จุด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย โดยทั้ง 3 รายเป็นชาวมาเลเซีย และเป็นชายทั้งหมด ซึ่ง 1 ใน 3 เป็นเด็กอายุแค่ 3 ขวบ ขณะที่ผู้บาดเจ็บมี 118 ราย เป็นชาวมาเลเซียหลายรายเช่นกัน ส่วนผู้บาดเจ็บที่อาการสาหัสมีประมาณ 7 ราย
รายงานแจ้งว่า เหตุระเบิดทั้ง 3 จุดดังกล่าว คนร้ายหวังสร้างความปั่นป่วนและมุ่งเอาชีวิตคนจำนวนมาก เนื่องจากช่วงเวลาที่ก่อเหตุเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวจากมาเลเซียได้เดินทางเข้ามาพักผ่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกจากนี้ยังมีการวางแผนให้ระเบิดตรงกลางซอยก่อน เพื่อที่คนจำนวนมากจะได้วิ่งหนีไปทางปลายซอย จากนั้นจึงจุดชนวนระเบิดจุดที่ 2 และ 3 ตามมา
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุระเบิด ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั้งเมือง ด้านเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้รุดเข้าที่เกิดเหตุพร้อมตัดสัญญาณโทรศัพท์มือถือเป็นบริเวณกว้าง เพื่อมิให้คนร้ายจุดชนวนระเบิดด้วยโทรศัพท์มือถือซ้ำอีกได้ ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากไม่สามารถโทรศัพท์ออกนอกพื้นที่ได้
ด้าน พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) เผย(17 ก.ย.)ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยว่าพัวพันกับเหตุระเบิดดังกล่าวแล้ว โดยมีหลักฐานจากภาพในกล้องวงจรปิด แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายชื่อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลก่อน
4. รัฐบาล จัดงานรับบริจาคช่วยน้ำท่วม ได้เงินกว่า 360 ล้าน - “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ” ทรงร่วมบริจาคด้วย ขณะที่ “กทม.”ทุ่มงบพันล้านรับมือน้ำท่วมกรุง!
ความคืบหน้าสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัดของประเทศ ล่าสุด ศูนย์สนับสนุนการอำนวยการและการบริหารสถานการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม(ศอส.) เผยว่า ยังคงมีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยประมาณ 30 จังหวัด ประกอบด้วย สุโขทัย ,พิจิตร ,พิษณุโลก ,นครสวรรค์ ,อุทัยธานี ,ชัยนาท ,สิงห์บุรี ,อ่างทอง ,พระนครศรีอยุธยา ,ลพบุรี ,สระบุรี ,สุพรรณบุรี ,นครปฐม ,ปทุมธานี ,นนทบุรี ,ยโสธร ,เลย ,ขอนแก่น ,ศรีสะเกษ ,อุบลราชธานี ,ฉะเชิงเทรา ,นครนายก ,จันทบุรี ,ตราด ,ตาก ,สระแก้ว ,ปราจีนบุรี ,ตรัง ,สตูล และสุราษฎร์ธานี รวม 166 อำเภอ ,1,021 ตำบล 5,626 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 339,601 ครัวเรือน 1,204,358 คน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทะลุ 90 ศพแล้ว
ด้านนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยว่า จากการตรวจสอบผู้ประสบอุทกภัยที่มีอาการป่วยด้วยโรคที่กระทบต่อสุขภาพจิต ซึมเศร้า และเครียดสูงถึง 13,078 ราย และมีผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายประมาณ 590 คน
ขณะที่รัฐบาลได้จัดงาน “รวมพลังไทย ช่วยภัยน้ำท่วม” เพื่อรับบริจาคจากประชาชน โดยถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 และช่อง 11 เมื่อคืนวันที่ 14 ก.ย. ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เผยว่า มีผู้ร่วมบริจาคประมาณ 3,500 คน ยอดบริจาคกว่า 363 ล้านบาท ด้านนางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า รัฐบาลได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ทรงสมทบพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์บริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมด้วยจำนวน 100,000 บาท
ส่วนการรับมือน้ำท่วม กทม.นั้น ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้ประชุมผู้บริหาร กทม.เมื่อวันที่ 12 ก.ย. ก่อนได้ข้อสรุปว่า จะใช้เงินในการแก้ปัญหาน้ำท่วมและช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมประมาณ 1,000 ล้านบาท
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียกประชุมผู้เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมรับมือปริมาณน้ำฝนและน้ำเหนือที่จะไหลบ่าลงมาท่วม กทม.และ จ.นนทบุรีเมื่อวันที่ 15 ก.ย. หลังประชุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ บอกว่า ได้เชิญ รองผู้ว่าฯ กทม.(พรเทพ เตชะไพบูลย์) -ผู้ว่าฯ นนทบุรี มาหารือร่วมกับอธิบดีกรมชลประทาน โดยหลังจากฟังรายงานสบายใจขึ้นว่า กทม.เตรียมพร้อมแล้ว โดยจะมีที่รองรับน้ำห่างจากตัว กทม.ไปอีก 70 กม. ส่วน จ.นนทบุรี ได้เตรียมถุงดินกั้นเป็นแนวเขื่อนไว้แล้ว น่าจะรองรับได้
ขณะที่นายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้เตือนให้ประชาชนที่อยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเสริมแนวคันกั้นน้ำให้สูงขึ้นไม่ต่ำกว่าหรือเท่ากับเมื่อปี 2553 รวมทั้งขนย้ายสิ่งของมีค่าขึ้นที่สูง และติดตามสถานการณ์น้ำในช่วงนี้อย่างใกล้ชิด