xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 12-18 มิ.ย.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ยิ่งลักษณ์” อ้อนขอเป็นนายกฯ อ้าง พี่ชายถูกแกล้ง ด้าน “ทักษิณ” ลั่น ธ.ค.กลับประเทศ!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เผยแพร่ภาพตัวเองที่ถ่ายภายในบ้านพักที่ดูไบ ผ่านทางเฟซบุ๊ก(18 มิ.ย.)
ยิ่งใกล้โค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 3 ก.ค. กระแสการทำโพลสำรวจคะแนนนิยมของผู้สมัครและพรรคการเมืองยิ่งมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของคนกรุงเทพฯ ที่มีต่อพรรคการเมืองและบุคคลที่เหมาะสมจะเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 33.6 บอกว่า จะเลือกพรรคเพื่อไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 จากการสำรวจครั้งแรก ส่วนประชาชนที่บอกว่าจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มีร้อยละ 17.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อถามว่าอยากได้ใครมาเป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด ส่วนใหญ่ร้อยละ 42.6 เลือก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 จากการสำรวจครั้งแรก รองลงมาร้อยละ 23.6 เลือกนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.2 ตามด้วย ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ร้อยละ 3.9 และนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ร้อยละ 2.4 ขณะที่ร้อยละ 27.5 ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกใครดี

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรค ยังมั่นใจว่า พรรคจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ “ไม่ว่าโพลต่างๆ ชี้ผลออกมาว่าอย่างไร ผมขอให้แปะติดข้างฝาเอาไว้คอยดูกัน แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ยังมั่นใจว่าจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน โดยประชาธิปัตย์ชนะเพื่อไทย 5-6 เสียง แต่ไม่เกิน 10 เสียง ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ 210 เสียง พรรคเพื่อไทยก็ได้ 190 หรือ 200 เสียง” นายสุเทพ ยังบอกด้วยว่า ถ้าคนกรุงเทพฯ ยอมให้คนที่เผาบ้านเผาเมืองชนะการเลือกตั้ง มาเป็นรัฐบาล ตนก็ยอม แต่เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ ยังจำความเลวร้ายที่คนพวกนี้สร้างให้กับแผ่นดินและบ้านเมืองได้

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็เชื่อเช่นกันว่า ที่สุดแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าโพลจากสำนักต่างๆ จะชี้ไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม โดยเชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส.ถึง 200 ที่นั่ง แต่หากได้น้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คือ 170 ที่นั่ง ตนก็จะลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนายอภิสิทธิ์กลัวว่าคำพูดดังกล่าวจะผูกมัดตัวเอง จึงได้ออกมาพูดใหม่ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.น้อยกว่า 170 เสียง แต่คะแนนของพรรคมาเป็นอันดับ 1 ตนจะลาออกได้อย่างไร แต่ถ้าพรรคถดถอยกว่าเดิมหรือตนไม่สามารถนำพาพรรคได้ ตนก็ต้องแสดงความรับผิดชอบอยู่แล้ว

ส่วนบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์เตรียมเปิดปราศรัยใหญ่ที่บริเวณแยกราชประสงค์ในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ แม้จะมีคำถามจากหลายฝ่ายว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะสมหรือไม่ แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ยืนยันว่าเป็นจุดที่เหมาะสม เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยพรรคจะพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองและเรื่องการปรองดอง ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 ของพรรค และน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินสายขอคะแนนชาวบ้านเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พร้อมให้เลือกพรรคเพื่อไทยยกจังหวัด สังเกตได้จากคำปราศรัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไปช่วยผู้สมัครหาเสียงที่ จ.เชียงรายที่บอกว่า “เราไม่มีนายกรัฐมนตรีคนเมืองมาหลายปีแล้ว ที่ผ่านมา 4-5 ปี นายกฯ คนเมืองของพ่อแม่พี่น้องถูกแกล้งไป วันนี้ขอโอกาสให้คนเมืองกลับมา คะแนนทุกคะแนนสำคัญ อย่าไปแบ่งให้ใคร ขอโอกาสให้คนเมืองด้วยกัน และขอผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยยกจังหวัด”

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ก็มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ พร้อมหวังว่าตนจะได้กลับประเทศในเดือน ธ.ค. เพื่อร่วมงานแต่งงานของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า ตนจะกลับเมืองไทยได้ก็ต่อเมื่อได้เจรจากับฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะกองทัพแล้ว “ในทางการเมือง เราจะต้องใช้ทั้งไม้แข็งกับไม้นวม แต่วันนี้จะต้องใช้ไม้นวมมากกว่าไม้แข็ง ในช่วงเวลาของความขัดแย้งเช่นนี้ จะต้องมีการเจรจา แทนที่จะพยายามใช้แต่กฎหมายขัดขวางอีกฝ่าย”

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มองกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศว่าจะกลับไทยในเดือน ธ.ค.ว่า พ.ต.ท.ทักษิณแค่ต้องการสร้างความอึกเหิมให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่หากผลเลือกตั้งออกมาไม่ตรงกับเป้าหมายที่ตนเองคาดหมายไว้ ก็จะออกมากล่าวหาว่ารัฐบาลโกงเลือกตั้ง

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่ได้กลับประเทศในเดือน ธ.ค. เพราะถ้ากลับประเทศ แล้วเป็นคนไทยคนเดียวที่อยู่เหนือคำพิพากษาของศาล บ้านเมืองคงอยู่ไม่ได้ หรือหากจะออกกฎหมายเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณกับพวก คนไทย 65 ล้านคนคงไม่ยอม เพราะเป็นวิธีการที่ไม่ยุติธรรม ไม่เป็นมาตรฐานสากล และแม้พรรคเพื่อไทยจะอ้างผลเลือกตั้งเพื่อนำ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ก็คงทำไม่ได้เช่นกัน เพราะขัดกับหลักนิติธรรม

นอกจากกระแสการเมืองจะพุ่งเป้าไปที่ความเคลื่อนไหวและการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองแล้ว ยังมีกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) พร้อมใจกันเดินทางไปต่างประเทศถึง 4 คนระหว่างวันที่ 16-21 มิ.ย. ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมและเกรงว่าการเลือกตั้งจะสะดุด สำหรับ กกต.ทั้ง 4 คนดังกล่าวก็คือ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ,นายประพันธ์ นัยโกวิท ,นางสดศรี สัตยธรรม และนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น ส่วน กกต.ที่ไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศด้วย คือนายสมชัย จึงประเสริฐ

โดยนายสมชัย เผยว่า กกต.ทั้ง 4 คนไปดูการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรตามคำเชิญของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ นายสมชัย ยอมรับว่า การเดินทางไปต่างประเทศของ กกต.ทั้ง 4 คนอาจส่งผลต่อความพร้อมในการจัดการเลือกตั้ง เพราะใกล้จะเลือกตั้งล่วงหน้าในวันที่ 26 มิ.ย.แล้ว ขณะที่นายประพันธ์ นัยโกวิท ยืนยันว่า การเดินทางไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรที่สหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร และจะกลับมาทันประชุม กกต.ในวันที่ 22 มิ.ย.นี้แน่นอน

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก็ได้ออกมาติงการเดินทางไปต่างประเทศของ 4 กกต.ว่า ทำไม ต้องเดินทางไปต่างประเทศในช่วงนี้ด้วย ถ้าเกิดเหตุขัดข้องทางการเมืองในประเทศขึ้นมา กกต.จะทำอย่างไร พร้อมย้ำว่า ตนไม่ได้วิตกจริต แต่ กกต.ควรชั่งน้ำหนักความสำคัญของภารกิจ ถ้าเดินทางไปต่างประเทศแล้ว ติดภารกิจจนไม่สามารถเดินทางกลับเข้าประเทศได้ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่

ด้านนายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.รีบออกมาชี้แจงว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญ กกต.เดินทางไปรณรงค์และให้คำแนะนำคนไทยในต่างแดนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทำให้มีผู้มาลงทะเบียนจากหลักหมื่นเป็นหลักแสนคน นายสุทธิพล ยังปฏิเสธข่าวลือเกี่ยวกับ กกต.ด้วย “ที่มีข่าวลือออกมาว่า กกต.จะไปพบมือที่มองไม่เห็น และไปพบหัวหน้าพรรคการเมืองหนึ่ง เพื่อจะเลิกล้มการเลือกตั้ง ขอสยบข่าวลือว่าไม่มี ทั้งยังมีข่าวลือว่าผมก็จะไปต่างประเทศเหมือนกัน จึงขอสยบข่าวลือ”

2. ตร.ไทย ออกหมายจับหัวหน้าสายลับชาวเขมร เป็นทหารยศ “พ.อ.” พบ เผ่นออกนอก ปท.แล้ว ด้านกัมพูชายังอ้าง ไทยใส่ร้าย!

โฉมหน้าทหารยศพันเอก หัวหน้าสายลับจากประเทศกัมพูชา นายวิชัย หรือ ญา เปา
ความคืบหน้ากรณีตำรวจ สภ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ร่วมกับทหารพรานที่ 23 อ.กันทรลักษณ์ จับกุมสายลับของกัมพูชาได้ 3 คน โดยเป็นชาวกัมพูชา 1 คน ชาวเวียดนาม 1 คน และคนไทยที่ร่วมขบวนการด้วยอีก 1 คน ขณะเข้ามาสอดแนมฐานที่ตั้งของทหารพรานและหลุมหลบภัยบริเวณบ้านภูมิซรอลเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งจากการตรวจค้น พบแผนที่ทางทหารของกัมพูชาและแผนที่ประเทศไทย พร้อมจดหมายเลขพิกัด 10 หลัก ที่เข้าใจกันเฉพาะผู้ต้องหา ขณะที่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ฝั่งกัมพูชาพยายามติดต่อฝ่ายไทยเพื่อขอให้ปล่อยตัว แต่ไทยปฏิเสธ หลังจากนั้นกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า บุคคลทั้งสามไม่ใช่สายลับของกัมพูชา พร้อมอ้างว่าเจ้าหน้าที่และนายกรัฐมนตรีไทยสร้างเรื่องดังกล่าวขึ้นมานั้น

ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมายืนยันว่า ไทยไม่สร้างเรื่องแน่ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ตอนที่สายลับทั้งสามถูกจับ นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มารายงานตนด้วยตัวเองว่า กงสุลกัมพูชาพยายามประสานขอความช่วยเหลือมา ซึ่งถ้าเป็นการสร้างเรื่อง คงไม่มาวิ่งไล่ตามแบบนี้

ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้กระทรวงต่างประเทศกัมพูชาที่กล่าวหาว่าไทยสร้างเรื่องจับสายลับทั้งสามคน โดยยืนยันว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะไม่ดำเนินการอะไรหากไม่มีหลักฐานชัดเจน พร้อมย้ำว่า กระบวนการยุติธรรมของไทยมีขั้นตอนที่ชัดเจน โดยเริ่มจากการหาหลักฐานของตำรวจ ก่อนส่งเรื่องให้อัยการ จากนั้นอัยการเสนอเรื่องต่อศาล ซึ่งศาลไทยได้รับการยอมรับมาตลอดว่าฝ่ายการเมืองไม่สามารถแทรกแซงได้ นอกจากนี้ยังยืนยันด้วยว่า ไทยไม่เคยตั้งข้อหาคนต่างชาติโดยการสร้างหลักฐานเท็จ

ด้าน พ.ต.อ.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผู้กำกับการ สภ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เผยความคืบหน้าการจับกุมสายลับทั้ง 3 คนว่า จริงๆ แล้วผู้ต้องสงสัยมีทั้งหมด 5 คน แต่หนีไปได้ 2 คน โดยทั้งหมดได้เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. และพักค้างคืนที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.สุรินทร์ พอรุ่งเช้าก็ไปตระเวนสอดแนมฐานทหารโดยใช้รถตู้ 2 คันเป็นพาหนะ “กลุ่มบุคคลทั้งหมดได้พากันตระเวนตรวจสอบตามฐานทหารและชุมชน พร้อมทั้งตรวจเช็คพิกัดลงในแผนที่ทางทหาร ซึ่งเป็นเลข 10 หลัก ที่บุคคลทั่วไปไม่ใช้กัน และทหารไทยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงไล่ติดตามจับกุมได้พร้อมด้วยแผนที่ทางทหารของประเทศกัมพูชา ส่วนรถตู้ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า นายวิชัย ชาวกัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะผู้ต้องสงสัยทั้งหมดในครั้งนี้ พร้อมด้วยอุปกรณ์ตรวจหาพิกัดทางดาวเทียมหลบหนีไปได้พร้อมพวกอีก 1 คน”

เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนแรกสายลับทั้งสามอ้างว่า เข้ามาประเทศไทยเพื่อหาซื้อไม้พะยุง เพื่อเอาไปขายในประเทศกัมพูชา แต่ภายหลังผู้ต้องหาที่เป็นคนไทย คือนายสุชาติ มูฮำหมัด ซึ่งเป็นผู้ขับรถตู้พาผู้ต้องหาตระเวนสอดแนมฐานทหารของไทย ได้ออกมาสารภาพว่า ได้ขับรถพานายอึ้ง กิมไทย ชาวกัมพูชา และนายเหวียง เติ้งยัง ชาวเวียดนาม รวมทั้งนายวิชัย หรือญา เปา กับพวกที่ยังหลบหนีอยู่อีก 3 คน ไปตรวจสอบหาพิกัดตามสถานที่ที่เป็นที่ตั้งทางทหารและบังเกอร์หลุมหลบภัยของชาวบ้านภูมิซรอล และทุกหมู่บ้านตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาด้าน จ.ศรีสะเกษ

ทั้งนี้ นายวิชัย เป็นหัวหน้าคณะในการตรวจสอบพิกัด ซึ่งนายวิชัยหลบหนีไปได้พร้อมด้วยอุปกรณ์ล็อคพิกัดและแผนที่ทางทหารที่ทำพิกัดเสร็จสมบูรณ์แล้ว ขณะที่ตำรวจ สภ.กันทรลักษณ์ได้ขอศาลเพื่อออกหมายจับนายวิชัยแล้วเช่นกัน โดยเบื้องต้นพบว่า นายวิชัย รับราชการทหารยศพันเอก และประกอบธุรกิจส่วนตัวในประเทศกัมพูชา และจากการตรวจสอบยังพบด้วยว่านายวิชัยได้เดินทางออกจากประเทศไทยเข้าไปในกัมพูชาแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.โดยออกทางด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว

ด้านนายกอย กวง โฆษกกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ได้ออกมาปฏิเสอีกครั้งว่า ชายชาวกัมพูชาที่ถูกทางการไทยจับกุมไม่ใช่สายลับ แต่เป็นเพียงผู้ที่รับเคราะห์จากการสร้างเรื่องการจารกรรมข้อมูลของไทย เป็นผู้ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี ทั้งที่เดินทางเข้าไทยเพื่อไปท่องเที่ยว นายกอย กวง ยังอ้างด้วยว่า กรณีที่ไทยจับกุมชาวกัมพูชาโดยอ้างว่าเป็นสายลับนั้น เทียบไม่ได้กับกรณีที่นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ผู้ต้องหาคดีจารกรรมข้อมูลทางทหารของกัมพูชา ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการแลกตัวผู้ต้องหากัน พร้อมชี้ด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย ต้องการเอาเรื่องนี้ไปขยายผลในเวทีนานาชาติเพื่อใช้เป็นข้ออ้างอำพรางความต้องการรุกรานดินแดนกัมพูชา เหมือนเอาเรื่องที่มีขนาดใหญ่เท่ากับเมฆมาแลกเปลี่ยนกับเรื่องเท่ายุง

3. ผู้ว่าฯ มหาสารคาม สั่งกำนัน - ผู้ใหญ่บ้านแจ้งจับคนจัดตั้ง “หมู่บ้านแดง” ด้านแกนนำแดง ขู่นำมวลชนขับไล่!

 1 ในภาพที่สำนักข่าวรอยเตอร์ตีแผ่หมู่บ้านเสื้อแดง
จากกรณีที่สื่อต่างประเทศได้ตีแผ่ว่ามีหมู่บ้านคนเสื้อแดงกว่า 300 แห่งในภาคอีสานของไทย ซึ่งสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยบางบ้านมีรูปโปสเตอร์ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดไว้อย่างโดดเด่นนั้น ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาจี้ให้พรรคเพื่อไทยชี้แจงเรื่องแนวคิดหมู่บ้านเสื้อแดงว่า ทำไมต้องมีการประกาศโซน ประกาศพื้นที่สีนั้นสีนี้ แล้วจะเอื้อต่อการปรองดองได้อย่างไร เสื้อแดงและแกนนำเสื้อแดงที่เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยอย่างน้อย 3 คนต้องตอบว่านี่คือนโยบายเรื่องการปรองดองของพรรคเพื่อไทยหรือไม่

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ออกมาแขวะนายอภิสิทธิ์ว่า นายอภิสิทธิ์อาจจะห่วงเลยเถิดมากไปว่าหมู่บ้านเสื้อแดงจะส่งผลกระทบต่อความปรองดอง ทั้งที่ในความเป็นจริงความปรองดองสามารถเกิดได้ และว่า นายอภิสิทธิ์ต้องตั้งสติให้ดี เพราะหมู่บ้านเสื้อแดงไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมายหรือทำลายองค์ประกอบของสังคม แต่เป็นการแสดงจุดยืนเชิงสัญลักษณ์ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความยุติธรรมและมีมาตรฐาน ซึ่งการกระทำของคนในหมู่บ้านเสื้อแดงก็ไม่ได้ออกมาขัดขวางหรือต่อต้านการกระทำของรัฐแต่อย่างใด

ด้าน พล.ต.ดิษฐพร ศศะสมิต โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(กอ.รมน.) ยอมรับว่า ต่อไปหมู่บ้านเสื้อแดงอาจกระทบต่อความมั่นคง หากมีการใส่ข้อมูลที่ทำให้ประชาชนรู้สึกแบ่งแยก ซึ่ง กอ.รมน.กำลังติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

ขณะที่ พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพภาคที่ 3 ก็ได้มอบหมาย พล.ต.ประตินันท์ สายหัสดี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 เข้าไปตรวจสอบหมู่บ้านเสื้อแดงเช่นกัน เพราะขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดนัก

ด้านนายทองทวี พิมเสน ผู้ว่าราชการจังหวัดมหาสารคาม ออกอาการไม่พอใจหลังพบว่ามีการจัดตั้งหมู่บ้านประชาธิปไตยหรือหมู่บ้านเสื้อแดงขึ้นในจังหวัดเช่นกัน ซึ่งนายทองทวี ชี้ว่า การจัดตั้งหมู่บ้านดังกล่าวเป็นการกระทำผิด พ.ร.บ.การปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 ที่อยู่ๆ ใครจะมาประกาศจัดตั้งหมู่บ้านสีแดง หรือตำบล อำเภอสีแดงไม่ได้ รวมทั้งไม่มีสิทธิ์ที่จะตั้งใครขึ้นเป็นกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านเสื้อแดงเช่นกัน เพราะจะเป็นการตั้งซ้ำซ้อนกับทางราชการ

พร้อมกันนี้ นายทองทวี ได้สั่งให้กำนันและผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ที่มีการประกาศจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง ไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่จัดตั้ง ขึ้นป้าย หรือปักธงแดง หากกำนันและผู้ใหญ่บ้านไม่ดำเนินการ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าผิดกฎหมายอาญา ซึ่งตนจะลงมาดูคดีด้วยตนเอง นายทองทวี ยังแฉด้วยว่า “การประกาศจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง พบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.มหาสารคาม 2 คนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ผมได้ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านรายงานให้จังหวัดทราบ เพื่อจังหวัดจะได้รายงานให้ กกต.ทราบต่อไป และหากเกิดหมู่บ้านเสื้อแดงหรือตำบลเสื้อแดงขึ้นในหมู่บ้านหรือตำบลใด ผมจะเล่นงานตั้งแต่ปลัดจังหวัดลงมา ส่วนหมู่บ้านเสื้อแดงที่ตั้งแล้ว ขอให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านไปแจ้งความร้องทุกข์ จะไม่ยอมให้เกิดหมู่บ้านเสื้อแดงหรือตำบลเสื้อแดงขึ้นอีกโดยเด็ดขาด”

ทั้งนี้ ท่าทีที่เฉียบขาดของผู้ว่าฯ มหาสารคาม ส่งผลให้แกนนำเสื้อแดงใน จ.มหาสารคามไม่พอใจ โดยนายสุทิน คลังแสง ประธาน นปช.มหาสารคาม ได้ออกมาสวนกลับผู้ว่าฯ มหาสารคามว่า หากจะอ้างว่าการตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงผิด เพราะเปลี่ยนชื่อหมู่บ้าน ก็คงต้องไปดำเนินการกับหมู่บ้าน อปพร.หมู่บ้านสีขาว และหมู่บ้านปลอดยาเสพติดด้วย พร้อมกันนี้ นายสุทิน ได้จี้ให้ผู้ว่าฯ มหาสารคามทบทวนคำสั่งที่ให้กำนัน-ผู้ใหญ่บ้านแจ้งความดำเนินคดีผู้จัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง หาไม่แล้วจะนำมวลชนคนเสื้อแดงบุกไปฟังคำชี้แจงจากปากผู้ว่าฯ “อยากให้ผู้ว่าฯ มหาสารคามทบทวนท่าทีใหม่ แต่หากยังยืนยันจะเดินหน้าเอาผิด มวลชนคนเสื้อแดงก็อาจเคลื่อนไหวใหญ่เพื่อขอรับฟังคำชี้แจง...”

ด้านนายทองทวี พิมเสน ผู้ว่าฯ มหาสารคาม ได้ออกมาย้ำอีกครั้งว่า การตั้งหมู่บ้านหรือเปลี่ยนชื่อหมู่บ้านต้องทำตาม พ.ร.บ.การปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 เพราะส่งผลต่อตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้าน เมื่อทางราชการตั้งคนหนึ่งขึ้นเป็นแล้ว แต่มีบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งมาตั้งคนของตนเองขึ้นมาในหมู่บ้านเดียวกันอีก บ้านเมืองจะอยู่อย่างไร

ขณะที่นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ชี้ว่า หมู่บ้านแดงส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในภาคอีสาน โดยคนในหมู่บ้านไม่ได้เสื้อแดงทั้งหมด มีเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ยังไม่ได้มีการสร้างความรุนแรงใดใด แต่ถือเป็นหน้าที่ของฝ่ายปกครองที่จะต้องสอดส่องดูแล หากเกิดความรุนแรงหรือกระทบต่อความมั่นคงเมื่อไหร่ นายอำเภอจะต้องรับผิดชอบ

4. ครม. มีมติคืนเก้าอี้อธิบดีปกครองแก่ “วงศ์ศักดิ๋” พร้อมเบรก มท.เด้งไปนั่งผู้ว่าฯ ด้าน “มงคล” โอด ต้องรับบาปที่ตัวเองไม่ได้ก่อ!

นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย
สัปดาห์ที่ผ่านมามีความคืบหน้าเกี่ยวกับการคืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองให้แก่นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย หลังคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติให้คืนตำแหน่ง ตามมติคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ก.พ.ค.) ส่วนขั้นตอนการดำเนินการนั้น เมื่อนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งคืนตำแหน่งแล้ว นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย จะลงนามเพื่อนำเรื่องดังกล่าวเสนอเข้า ครม.เพื่อให้ ครม.มีมติเห็นชอบ

ด้านนายมงคล สุรัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง ไม่เห็นด้วยที่กระทรวงมหาดไทยจะคืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองให้นายวงศ์ศักดิ์ จึงได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อรัฐมนตรีมหาดไทย และนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้มีการชะลอการคืนเก้าอี้อธิบดีกรมการปกครองแก่นายวงศ์ศักดิ์ โดยอ้างว่า นายวงศ์ศักดิ์อยู่ระหว่างถูกตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรงกรณีใช้อำนาจพิจารณารูปแบบบัตรประจำตัวประชาชน(สมาร์ทการ์ด)โดยมิชอบ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้รับเรื่องไว้ไต่สวนพิจารณา กรณีทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ซึ่งหาก ครม.มีมติให้นายวงศ์ศักดิ์กลับเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง อาจมีปัญหาตามมา

นายมงคล ยังโอดครวญด้วยว่า การเยียวยาด้วยการคืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองให้นายวงศ์ศักดิ์ ทำให้ตนได้รับผลกระทบ เพราะในขณะที่ตนเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ตนก็ไม่เคยร้องขอหรือวิ่งเต้น ไม่เคยอยากมาเป็นอธิบดีกรมการปกครอง แล้ววันนี้ตนทำผิดอะไร เลวทรามอย่างไร จึงต้องออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง

ด้านกระทรวงมหาดไทย ได้เสนอที่ประชุม ครม.(14 มิ.ย.) เห็นชอบ 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ 1.ให้ยกเลิกมติ ครม.เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่อนุมัติแต่งตั้งนายวงศ์ศักดิ์ พ้นจากอธิบดีกรมการปกครองไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย และนายมงคล สุรัจจะ พ้นจากอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนไปเป็นอธิบดีกรมการปกครอง 2.เห็นชอบให้นายมงคลพ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ทั้งนี้ ให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.2553 และ 3.เห็นชอบให้นายวงศ์ศักดิ์พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน ให้นายสุรชัย ขันอาสา พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ไปเป็นอธิบดีกรมการปกครอง และให้นายมงคลพ้นจากตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ไปเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

ทั้งนี้ ตามกระบวนการแล้ว การจะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการช่วงเลือกตั้ง ครม.ต้องเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เห็นชอบอีกครั้ง เพื่อยืนยันว่าการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นไปโดยชอบ เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้ว สำนักเลขาธิการ ครม.จะนำเรื่องเสนอ ครม.อีกครั้งเพื่อทราบ ก่อนส่งให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งต่อไป ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ ครม.จะเห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยทั้ง 3 ขั้นตอน แต่ ครม.ให้ดำเนินการแค่ 2 ขั้นตอนเท่านั้น คือคืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองให้นายวงศ์ศักดิ์ และให้นายมงคลพ้นจากอธิบดีกรมการปกครองไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ ส่วนขั้นตอนที่ 3 ที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้ย้ายนายวงศ์ศักดิ์ไปเป็นผู้ว่าฯ ลำพูนนั้นให้ยกยอดออกไปก่อน

ทั้งนี้ รายงานแจ้งว่า ตอนแรกนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทย ได้เสนอให้ ครม.เลื่อนการคืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองแก่นายวงศ์ศักดิ์ตามมติของ ก.พ.ค. แต่นายอภิสิทธิ์แย้งว่า เลื่อนไม่ได้ เพราะเลยกำหนด 90 วันที่กฎหมายกำหนดแล้ว

ด้านนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เผยหลังรู้ผลมติ ครม.ที่ให้คืนตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครองแก่ตนว่า ต้องขอบคุณนายอภิสิทธิ์ที่แสดงให้เห็นว่าความยุติธรรมยังมีอยู่ในระบบราชการไทย ส่วนที่มีข่าวว่ากระทรวงมหาดไทยจะโยกตนไปเป็นผู้ว่าฯ ลำพูนนั้น คิดว่าเป็นเรื่องยาก เพราะต้องขออนุญาตจาก กกต.ก่อน และที่สำคัญต้องรอโปรดเกล้าฯ ด้วย และว่า หลังจากนี้จะรอนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งให้ตนกลับเข้ารับตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง หากไม่ดำเนินการ อาจจะยื่นฟ้องต่อ ป.ป.ช.ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ด้านนายมงคล สุรัจจะ อธิบดีกรมการปกครอง ซึ่งจะต้องถูกโยกไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงฯ เผยความรู้สึกหลังทราบมติ ครม.ว่า ได้ทำใจไว้ระดับหนึ่งแล้วว่า ครม.จะมีมติออกมาในลักษณะนี้ รู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ถือเป็นบาปที่ตนไม่ได้ก่อ เพราะการให้ความเป็นธรรมกับคนคนหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นความไม่เป็นธรรมสำหรับอีกคนหนึ่ง ซึ่งในความเป็นข้าราชการ และในความเป็นมนุษย์ ตนควรมีสิทธิได้รับความเป็นธรรมอย่างเท่าเทียม
กำลังโหลดความคิดเห็น