คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1. “พท.” ขน “เสื้อแดง” ลงปาร์ตี้ลิสต์เพียบ-จับสลากคว้าเบอร์ 1 ด้าน “ปชป.” ได้เบอร์ 10 ขณะที่ “ก.ม.ม.” ส่อเค้าโมฆะ!
หลังจากพรรคเพื่อไทยกั๊กมานานว่าจะส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เพื่อชูเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ในการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.นี้ ในที่สุด ก็ชัดเจนหลังประชุม ส.ส.พรรคเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหากได้จัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดใจเป็นครั้งแรกต่อที่ประชุม ส.ส.พรรค โดยยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข พร้อมขอให้สมาชิกพรรคไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นผู้หญิง เพราะตนจะทำงานอย่างเต็มที่ รวมทั้งจะใช้ความเป็นผู้หญิงเพื่อนำไปสู่ความปรองดองและให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ นอกจากนี้ยังพร้อมรับการตรวจสอบจากสาธารณชนตามกติกา มารยาท และความยุติธรรม
ด้าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำพรรคเพื่อไทย พูดทำนองยกยอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย “เราได้บุรุษผู้มีความโลภอย่างผมมาเยอะแล้ว ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะมีผู้นำที่เป็นผู้หญิงเหมือนในนานาอารยประเทศเสียที เชื่อผมเถอะ วันนี้เราจะได้ผู้หญิงมาเป็นผู้นำประเทศ เป็นนารีขี่ม้าขาวมาช่วยให้ประเทศไทยพ้นวิกฤต”
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเปรียบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเหมือน “หนังตะลุง”ที่ต้องมีคนพากย์ หากได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงต้องคอยฟังคำสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย “คุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออก ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะพากย์ว่าอย่างไร เหมือนหนังตะลุงเลยทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก แต่ที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ...”
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) รีบออกมาปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยการสวนกลับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่เปรียบ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความรู้ความสามารถ ประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรระดับหมื่นล้าน คนอย่างนี้ย่อมมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง และถ้ามองมิติบริหาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือเป็นอาจารย์นายอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่มีประสบการณ์นี้มาก่อนก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง”
ขณะที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พูดถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่มีสุภาพสตรีลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเบอร์ 1 แต่คงตอบไม่ได้ว่าจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ ส่วนที่มีบางคนพูดว่า ประเทศไทยอาจจะมีนารีขี่ม้าขาวหลังการเลือกตั้งนั้น นายบรรหาร พูดทีเล่นทีจริงว่า “นารีขี่ม้าขาวดี แต่อย่าให้นารีตกม้าขาวก็แล้วกัน แต่ถ้าเป็นม้าสีหมอก ผมคงต้องขี่เอง จะให้คนอื่นขี่คงไม่ได้”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเปิดใจกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลังได้รับเลือกให้ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีว่า จะเดินหน้าสู่ความปรองดองในประเทศ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังได้ส่งสัญญาณชัดเจนในเวลาต่อมาว่า 1 ในการปรองดองดังกล่าวก็คือ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายตัวเอง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ พยายามพูดแบบเลี่ยงๆ ว่า ไม่อยากให้มองว่าเป็นการนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อยากให้มองเรื่องหลักนิติธรรมก่อน ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง บอกว่าเป็นการนิรโทษกรรมนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ พยายามแก้ต่างให้ว่า ไม่ใช่นิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว แต่เป็นการทำเพื่อทุกคน ซึ่งหากจะทำ คงต้องถามประชาชนก่อน
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.พิษณุโลกเมื่อวันที่ 17 พ.ค.โดยพูดกับชาวบ้านทำนองไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมแนะให้ทุกคนชั่งใจว่าจะเลือกใครระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย “การเลือกตั้งครั้งนี้ หากเปลี่ยนรัฐบาล สิ่งแรกเลย พี่น้องต้องคิดว่าจะทำอย่างไร จะเป็นเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหรือไม่... เมื่อวาน(16 พ.ค.) พรรคเพื่อไทยก็พูดว่า หนึ่งในนโยบายที่เขาจะทำนโยบายปรองดองสมานฉันท์ คงต้องมาล้างความผิดต่างๆ ...ทักษิณบอกว่าถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล อีก 6 เดือนจะกลับมา ถามว่ากลับมาก็ต้องออกกฎหมายล้างความผิด บ้านเมืองก็วุ่นวายอีก ถามว่ากว่าจะทำตรงนั้นเสร็จ เกี่ยวข้าวเสร็จไปกี่รอบ เป็นเรื่องที่พี่น้องต้องตัดสินใจว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร”
สำหรับบรรยากาศการรับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่ง กกต.เปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 19-23 พ.ค.นั้น ปรากฏว่า วันแรกมีพรรคการเมืองมาสมัครทั้งสิ้น 30 พรรค ยอดผู้สมัคร 1,105 คน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะช่วงที่มีการจับสลากหมายเลขว่าพรรคใดจะได้หมายเลขใด ซึ่งผลปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย(พท.) ได้เบอร์ 1 ,พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)ได้เบอร์ 10 ,พรรคภูมิใจไทย(ภท.)ได้เบอร์ 16 ,พรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.)ได้เบอร์ 21 ,พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน(ชพน.)ได้เบอร์ 2 ,พรรคการเมืองใหม่(ก.ม.ม.)ได้เบอร์ 20 ,พรรคกิจสังคมได้เบอร์ 14 ,พรรคมาตุภูมิได้เบอร์ 26 ,พรรคพลังชลได้เบอร์ 6 ,พรรคชูวิทย์ได้เบอร์ 5 ,พรรครักษ์สันติได้เบอร์ 12 ,พรรคเพื่อฟ้าดินได้เบอร์ 18 ฯลฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า บัญชีรายชื่อ ส.ส.แบบสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย นอกจากมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ลำดับที่ 1 แล้ว ยังมีแกนนำคนเสื้อแดงอยู่ในบัญชีด้วยจำนวนมากประมาณ 15 คน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ อยู่ลำดับ 8 ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ลำดับ 9 ,นพ.เหวง โตจิราการ ลำดับ 19 ,นางรพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยานายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ลำดับ 27 ,น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ลำดับ 42 ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ลำดับ 46 ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ลำดับ 54 ,นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ลำดับ 72 ,นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ลำดับ 86 เป็นต้น
ขณะที่การส่งผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคการเมืองใหม่ ที่มีนายสมศักดิ์ โกศัยสุข เป็นหัวหน้าพรรค ส่อเค้าว่าอาจมีปัญหาในภายหลัง เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมาก 10 เสียง จากทั้งหมด 19 เสียง นำโดยนายสุริยะใส กตะศิลา และนายสำราญ รอดเพชร ได้ยื่นเรื่องให้ กกต.ระงับการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ เพราะหัวหน้าพรรคฝ่าฝืนนโยบายพรรค ข้อบังคับพรรค และมติที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่สมาชิกพรรคกว่าร้อยละ 90 เห็นควรให้พรรคการเมืองใหม่งดส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง แต่นายสมศักดิ์กลับอ้างมติที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 22 มี.ค.และ 19 เม.ย. ว่า กรรมการบริหารพรรค 15 เสียงที่เข้าประชุมเห็นตรงกันว่าให้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งพรรคการเมือง นายสมศักดิ์ อ้างด้วยว่านายสุริยะใสได้ลาออกจากเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่แล้ว จึงไม่มีสิทธิมาคัดค้านการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ด้านนายสุริยะใสยืนยันว่า ตนยังเป็นเลขาธิการพรรคและกรรมการบริหารพรรคอยู่ พร้อมท้านายสมศักดิ์ว่า ถ้าตนลาออกจริง ช่วยเอาใบลาออกของตนมาให้ดูหน่อย ด้านนายสมศักดิ์ไม่พอใจที่นายสุริยะใสยื่นคัดค้านการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งต่อ กกต. จึงได้ออกมาขู่จะฟ้องนายสุริยะใสฐานกลั่นแกล้งพรรคให้ได้รับความเสียหาย ทำให้ผู้สมัครบางรายตัดสินใจถอนตัว พร้อมเผยว่า ตนได้ฟ้องนายสุริยะใสไป 2 คดีแล้ว
2. ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ สุดทน เตรียมฟ้อง นปช. ฐานทำเจ๊งหมื่นล้าน ด้าน “จตุพร” นอนคุกยาว หลังศาลอุทธรณ์เมินประกันตัว!
เมื่อวันที่ 19 พ.ค. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้นัดชุมนุมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในโอกาสครบรอบ 1 ปี โดยมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมนับหมื่นคน ขณะที่แกนนำ นปช.หลายคน เช่น นพ.เหวง โตจิราการ ,นางธิดา ถาวรเศรษฐ ภรรยา นพ.เหวง และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้เข้าเยี่ยมนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิสิต สินธุไพร ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก่อนไปขึ้นเวทีปราศรัยที่แยกราชประสงค์
ขณะที่ห้างร้านและธนาคารบริเวณดังกล่าวต่างปิดบริการเร็วกว่ากำหนด เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัยจากการชุมนุม เช่น ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า ,ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนธนาคารมีการแจ้งปิดสาขาจำนวน 9 ธนาคาร 12 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ในห้างสรรพสินค้า
สำหรับบรรยากาศการปราศรัยของแกนนำคนเสื้อแดงนั้น ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวโจมตีรัฐบาลและทหารว่าเป็นคนฆ่าคนเสื้อแดงในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด ด้านนางพะเยาว์ อัคฮาด ประธานศูนย์ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง ซึ่งเป็นมารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ได้นำญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต พร้อมตำหนิรัฐบาลและกองทัพด้วยว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีการออกมาขอโทษหรือยอมรับผิด มีแต่พูดแค่ปรองดองๆ “ฉันขอถามหน่อย ปรองดองของพวกคุณมันเป็นแบบไหน ที่ฉันต่อสู้มาก็แค่ขอความจริงให้มันกระจ่าง ความยุติธรรมให้มันเดินตามมา คดีให้เลื่อนไหล แต่นี่ไม่มีเลย วันนี้ครบ 1 ปี พอแล้วสำหรับการรอคอย หลังเสร็จวันนี้ฉันจะเดินหน้าไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยที่เกี่ยวกับการตายการเจ็บของลูกสาวและคนอื่นๆ แม้กระทั่งสำนักนายกรัฐมนตรี จะไปเพราะตัวต้นตอที่จะไปหาคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะเป็นบุคคลหนึ่งที่โทร.มาหาดิฉันแล้วบอกว่าจะติดตามหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้เร็วที่สุด”
ทั้งนี้ การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงบริเวณแยกราชประสงค์ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับภาคธุรกิจในย่านดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ค้าย่านราชประสงค์ในนาม “สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์” เกิดอาการสุดทน จึงได้เปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ว่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแกนนำ นปช.รวมทั้งรัฐบาลด้วย โดยนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ชี้ว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในย่านนี้มาก แค่วันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาวันเดียวก็เสียหายประมาณ 10 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการยกเลิกการจองห้องพัก 1,500 ห้อง และยกเลิกจัดงานเลี้ยง 3,000 หัว และหากนับรวมความเสียหายตั้งแต่การชุมนุมและเกิดเหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ปีที่แล้ว ตกประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท และว่า ก่อนหน้านี้สมาคมได้หารือกับตำรวจแล้วให้บริหารจัดการชุมนุมไม่ให้ปิดแยกราชประสงค์ แต่ก็ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ดังนั้นกลุ่มผู้ประกอบการจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแกนนำ นปช.และรัฐบาล โดยจะสรุปตัวเลขภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ นายชาย ย้ำด้วยว่า “เราไม่ได้เป็นศัตรูกับคนเสื้อแดงหรือกับใคร สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ถือเป็นฟางเส้นสุดท้าย พอได้แล้ว เราทนไม่ได้แล้ว เราจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแกนนำเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีทุกคน และภาครัฐด้วย ที่ไม่สามารถบริหารจัดการการชุมนุมได้ ทำให้เกิดความเสียหายกับภาคธุรกิจเป็นวงกว้าง คนกรุงเทพฯ เดือดร้อนเป็นแสนคน”
นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ยังฝากถึงหัวหน้าพรรคการเมืองและรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่า สังคมจะอยู่ได้อย่างไรหากคนแค่ 10,000 คนสามารถทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ สามารถชุมนุมปิดสถานที่สำคัญทางธุรกิจได้ หากรัฐบาลไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องการชุมนุมได้ก็อย่ามาบริหารประเทศเลย
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และนายคารม พลทะกลาง ทนายความของกลุ่ม นปช.พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายจตุพรและนายนิสิต สินธุไพร ได้ออกมาจากคุก หลังปราศรัยข้อความที่อาจเข้าข่ายหมิ่นสถาบันเมื่อวันที่ 10 เม.ย. จนถูกศาลสั่งเพิกถอนการประกัน จึงถูกนำตัวไปคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ทนายความได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร โดยอ้างว่าเพื่อออกไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย แต่ศาลยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นายจตุพรไม่จำเป็นต้องไปเอง เพราะผู้ที่นำบัญชีรายชื่อไปยื่นต่อ กกต.ก็คือหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคที่ได้รับมอบหมาย
นอกจากการยื่นขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพรแล้ว ทนายยังได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนการประกันตัวนายจตุพรและนายนิสิตด้วย โดยอ้างเหตุผลประมาณ 7-8 ประเด็น เช่น การที่บุคคลทั้งสองมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงนั้น ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการประกันตัวของศาลที่กำหนดห้ามปราศรัยยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองแต่อย่างใด และการสั่งเพิกถอนการประกันตัวของศาลชั้นต้นมีความอิสระและถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ด้านศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นควรยกคำร้องการอุทธรณ์ของจำเลย โดยชี้ว่า การที่จำเลยได้กล่าวพาดพิงถึงบุคคลและสถาบันต่างๆ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งมีลักษณะส่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี จำเลยอาจไปก่อเหตุอันตรายอย่างอื่นได้ จึงไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนที่จำเลยอ้างว่า การสั่งเพิกถอนการประกันตัวของศาลชั้นต้นไม่ชอบนั้น ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างที่คดียังไม่เสร็จสิ้น จึงห้ามอุทธรณ์คำสั่งนั้นจนกว่าจะมีคำพิพากษา
3. ตร.-ทหารยะลา วิสามัญฯ 4 โจรใต้ พบ ประวัติโชกโชน เอี่ยวระเบิด “จ่าเพียร”- ยิง “หมวดตี้-ผู้กองแคน”!
เหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ได้เกิดเหตุระเบิดขณะที่พลทหาร ไกรสร มดคัน และพลทหาร ปัณธร หนูชัยแก้ว ทหารสังกัด ร.1541 ฉก.ยะลา 14 ให้ความคุ้มครองพระชาตรี ทองราช รักษาการเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว อ.ยะหา จ.ยะลา และพระธีรพงษ์ ดอกมะลิ พระลูกศิษย์ เพื่อไปบิณฑบาตในเขตเทศบาลตำบลยะหา โดยใช้รถกระบะเป็นพาหนะ แต่เมื่อมาถึงหมู่บ้าน หมู่ 8 บ้านบาโย ต.บาโร๊ะ คนร้ายได้จุดชนวนระเบิด แรงระเบิดไม่เพียงทำให้รถพังยับ แต่ยังทำให้พระทั้งสองรูปมรณภาพในที่เกิดเหตุ ขณะที่พลทหารทั้งสองนายได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเศษถังก๊าซ คาดว่าคนร้ายใช้บรรจุระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 20 กก. สันนิษฐานว่าผู้ก่อเหตุต้องการสร้างสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม ทั้งนี้ การมรณภาพของพระสงฆ์ทั้งสองรูป ทำให้วัดสวนแก้ว อ.ยะหา กลายเป็นวัดร้างในทันที เพราะปกติมีพระจำพรรษาอยู่แค่ 2 รูปเท่านั้น ด้านนายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้ติดต่อสำนักพระพุทธศาสนาเพื่อนิมนต์พระรูปใหม่มาจำพรรษาที่วัดดังกล่าวแทน และจะขอให้พระสงฆ์ที่มาไม่ต้องออกบิณฑบาตชั่วคราว โดยจะให้ทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลาดูแลเรื่องการจัดทำอาหารถวายพระ
ขณะที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้หารือเจ้าคณะจังหวัดยะลาแล้ว ได้ข้อสรุปว่า หากพื้นที่ใดมีความเสี่ยง จะให้พระสงฆ์งดบิณฑบาตชั่วคราว จนกว่าเจ้าหน้าที่จะมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว
หลังเกิดเหตุระเบิดจนพระสงฆ์มรณภาพ 2 รูป ปรากฏว่า วันต่อมา(17 พ.ค.) คนร้ายก็ได้ก่อเหตุลอบยิงฐานทหารพราน ร้อยทหารพรานที่ 4715 หมู่ที่ 4 บ้านสาคอ ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ส่งผลให้นายไพบูลย์ ตุพิลา เจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานได้รับบาดเจ็บสาหัส
ให้หลัง 1 วัน(18 พ.ค.) คนร้ายก็ได้ก่อเหตุปาระเบิดใส่รถทหารชุด ฉก.อโณทัย 1 บริเวณปากซอยสิโรรส 3 เขตเทศบาลนครยะลา แต่พลาดระเบิดตกลงบนพื้นถนนและเกิดระเบิดขึ้น ทำให้นักเรียนและชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 8 ราย โดยคนร้ายแต่งกายคล้ายนักศึกษา ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ
วันต่อมา(20 พ.ค.) คนร้ายได้ก่อเหตุอีก คราวนี้ที่ จ.นราธิวาส โดยคนร้ายได้นำระเบิดซุกซ่อนในรถจักรยานยนต์ไปจอดไว้ข้างบ้านเลขที่ 402 ถ.จารุเสถียร ต.ปะลุรู ก่อนจุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ทำให้รถเสียหายทั้งคัน และก่อนที่เจ้าหน้าที่จะรุดไปตรวจสอบ ก็ได้เกิดระเบิดซ้ำในบริเวณใกล้เคียงกัน โดยคนร้ายได้ซุกระเบิดในรถกระบะที่จอดริมถนนหน้าร้านรับซื้อยางแผ่น ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหตุระเบิดจุดแรกประมาณ 15 เมตร แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 10 หลังคาเรือน นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บ 8 ราย เป็นชาวบ้าน 7 ราย เจ้าหน้าที่ 1 ราย
หลังคนร้ายป่วนใต้รายวัน ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็พบแหล่งกบดานของผู้ก่อเหตุไม่สงบรายสำคัญ 4 รายด้วยกัน พร้อมวิสามัญฯ ดับทั้ง 4 ศพ เนื่องจากคนร้ายยิงต่อสู้ โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30น.วันที่ 20 พ.ค. พ.ต.อ.พีระ บุญเลี้ยง รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ยะลา พร้อมด้วย พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและทหารพรานจำนวน 30 นาย เข้าปิดล้อมบ้านที่สืบทราบว่าคนร้ายไปกบดานเพื่อเตรียมก่อเหตุ โดยตั้งอยู่บริเวณ หมู่ 3 บ้านจาเราะแป ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เมื่อไปถึง พบคนร้าย 4 คนผูกเปลนอนอยู่ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ได้วิ่งหลบหนี พร้อมทั้งใช้ปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ จึงเกิดการยิงปะทะกันนานกว่า 10 นาที เมื่อเสียงปืนสงบ พบศพคนร้ายถูกยิงเสียชีวิตทั้ง 4 ศพ ทราบชื่อคือ นายอาแซ ฮูลู อายุ 30 ปี เป็นชาว ต.ธารโต มีหมายจับจากศาล จ.ยะลา คดีร่วมกันมีวัตถุระเบิด ,นายมะสอบรี อาซู อายุ 28 ปี ชาว อ.ธารโต ,นายมะแอ อภิบาลแบ อายุ 34 ปี เป็นชาว ต.บาเจาะ ,นายมุสตอปา แนลูแล อายุ 32 ปี ชาว ต.บาเจาะ มีหมายจับ จ.ยะลา คดีร่วมกันก่อการร้ายและพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดปืนอาก้า ปืนพกสั้น และกระสุนจำนวนหนึ่งของคนร้ายไว้
ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่า นายอาแซ ฮูลู เป็นคนร้ายคนสำคัญที่เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง ทั้งลอบวางระเบิดสวนยางในพื้นที่ อ.ธารโต ลอบวางระเบิดทหาร ลอบยิงครูและตำรวจตระเวนชายแดน ฯลฯ ส่วนนายมะแอ อภิบาลแบ เป็นแกนนำที่ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ เคยมีรางวัลนำจับสูงถึง 2 ล้านบาท มีหมายจับมากถึง 14 คดี เช่น คดียิงรถตู้หาดใหญ่-เบตง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย มีส่วนเกี่ยวพันกับการลอบวางระเบิด พ.อ.สุทธิศักดิ์ ประเสริฐศรี ผบ.ฉก.ยะลา 1 และ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ “จ่าเพียร” อดีตผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา เสียชีวิต รวมทั้งเกี่ยวข้องกับการซุ่มโจมตี ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข หรือ “ผู้กองแคน” และ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ หรือ “หมวดตี้” เสียชีวิต และที่สำคัญ เป็นมือปืนลำดับที่ 43 ตามบัญชีรายชื่อ 50 มือปืนเมืองไทยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังต้องการตัว
4. กษัตริย์ “จิกมี” แห่งภูฏาน ทรงประกาศจะอภิเษกสมรส กับแฟนสาวสามัญชน ต.ค.นี้!
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน(20 พ.ค.)ว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน วัย 31 ชันษา ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2551 ได้ประกาศระหว่างเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า พระองค์ได้ทรงหมั้นกับหญิงคนรักแล้ว และเตรียมเข้าพิธีอภิเษกสมรสในเดือน ต.ค.นี้
ขณะที่สื่อท้องถิ่นของภูฏาน รายงานว่า พระคู่หมั้นของกษัตริย์จิกมีเป็นสามัญชน ชื่อ เจตสัน เปมา อายุ 20 ปี ด้านนายดอร์จี วังชุก จากสำนักพระราชวังภูฏาน เผยว่า กษัตริย์จิกมีทรงรู้จักกับเปมา นักศึกษาชาวภูฏาน ในกรุงทิมพู มาระยะหนึ่งแล้ว และได้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันทั่วประเทศภูฏาน และว่า เปมาจบการศึกษาเบื้องต้นจากประเทศอินเดียและอังกฤษ ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยรีเจ้นท์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเปมาชื่นชอบงานจิตรกรรม วาดภาพ และชอบเล่นบาสเกตบอล
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า กษัตริย์จิกมี ได้กล่าวถึงว่าที่มเหสีในอนาคตของพระองค์ระหว่างเปิดประชุมสภาด้วยว่ายังเยาว์ เป็นคนอบอุ่น จิตใจและบุคลิกมีความกรุณา
ขณะที่นายเชรริง ทอบเก ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของภูฏาน กล่าวถึงพระคู่หมั้นของกษัตริย์จิกมีว่า เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก และว่า เปมาเป็นหญิงสาวที่เป็นมิตรและงดงามมากๆ นายทอบเก ยังบอกด้วยว่า ชาวภูฎานทุกคนต่างยินดีกับเรื่องดังกล่าว แต่คงไม่มีใครออกไปแสดงความยินดีตามท้องถนน เพราะไม่ใช่วิถีของชาวภูฏาน
ด้านนายดอร์จี วังชุก จากสำนักพระราชวังภูฎาน เผยว่า ภูฏานเตรียมจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์จิกมี แต่พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า รัฐบาลไม่ควรจัดงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระองค์ใหญ่โต เพราะภูฏานขาดแคลนทรัพยากร ทั้งยังทรงอยากให้การจัดฉลองเป็นเรื่องส่วนพระองค์และเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดมากกว่า
ด้านนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์จิกมี ระหว่างเสด็จฯ มาร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พูดถึงความประทับใจในพระราชจริยวัตรของกษัตริย์จิกมีว่า “จากการเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด ทำให้ผมรู้สึกประทับใจสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เพราะพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้หารือในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านวิชาการ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ทรงสนพระทัยในโครงการพระราชดำริของในหลวง และทรงเดินตามรอยพระยุคลบาทในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง” นายสุรเกียรติ์ ยังเผยด้วยว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีทรงฉลาด ทรงเป็นนักอ่าน มีความรอบรู้ และทรงเรียบง่าย จึงไม่น่าแปลกใจหากในพระราชพิธีอภิเษกสมรส จะทรงเลือกโมเดลที่เรียบง่ายและประหยัด
1. “พท.” ขน “เสื้อแดง” ลงปาร์ตี้ลิสต์เพียบ-จับสลากคว้าเบอร์ 1 ด้าน “ปชป.” ได้เบอร์ 10 ขณะที่ “ก.ม.ม.” ส่อเค้าโมฆะ!
หลังจากพรรคเพื่อไทยกั๊กมานานว่าจะส่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เพื่อชูเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ในการเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค.นี้ ในที่สุด ก็ชัดเจนหลังประชุม ส.ส.พรรคเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลงปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีหากได้จัดตั้งรัฐบาล ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปิดใจเป็นครั้งแรกต่อที่ประชุม ส.ส.พรรค โดยยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่คิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข พร้อมขอให้สมาชิกพรรคไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นผู้หญิง เพราะตนจะทำงานอย่างเต็มที่ รวมทั้งจะใช้ความเป็นผู้หญิงเพื่อนำไปสู่ความปรองดองและให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ นอกจากนี้ยังพร้อมรับการตรวจสอบจากสาธารณชนตามกติกา มารยาท และความยุติธรรม
ด้าน พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำพรรคเพื่อไทย พูดทำนองยกยอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย “เราได้บุรุษผู้มีความโลภอย่างผมมาเยอะแล้ว ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะมีผู้นำที่เป็นผู้หญิงเหมือนในนานาอารยประเทศเสียที เชื่อผมเถอะ วันนี้เราจะได้ผู้หญิงมาเป็นผู้นำประเทศ เป็นนารีขี่ม้าขาวมาช่วยให้ประเทศไทยพ้นวิกฤต”
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเปรียบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเหมือน “หนังตะลุง”ที่ต้องมีคนพากย์ หากได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงต้องคอยฟังคำสั่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชาย “คุณยิ่งลักษณ์ ประชาชนคงหลับตาแล้วนึกไม่ค่อยออก ถ้าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะแก้ปัญหาประเทศอย่างไร หรือต้องทำงานไปคอยฟังเสียงโทรศัพท์ทางไกลตลอดเวลาว่าจะพากย์ว่าอย่างไร เหมือนหนังตะลุงเลยทำงานยาก ทำให้เสียเปรียบมาก แต่ที่ได้เปรียบอย่างเดียวคือ พรรคนั้นเงินเยอะ มีวิชาเทพ วิชามาร ชำนาญศึก ขนาดถูกยุบพรรคมาแล้ว 2 หนที่เขาจับได้ ยังมีที่จับไม่ได้อีกนะ ที่จับไม่ได้ก็มีเยอะ ถือเป็นความช่ำชองที่ได้เปรียบ...”
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) รีบออกมาปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยการสวนกลับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ที่เปรียบ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความรู้ความสามารถ ประสบความสำเร็จในการบริหารองค์กรระดับหมื่นล้าน คนอย่างนี้ย่อมมีสติปัญญาเป็นของตัวเอง และถ้ามองมิติบริหาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือเป็นอาจารย์นายอภิสิทธิ์ ซึ่งไม่มีประสบการณ์นี้มาก่อนก้าวเข้าสู่ตำแหน่ง”
ขณะที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พูดถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีว่า ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่มีสุภาพสตรีลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อเบอร์ 1 แต่คงตอบไม่ได้ว่าจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ ส่วนที่มีบางคนพูดว่า ประเทศไทยอาจจะมีนารีขี่ม้าขาวหลังการเลือกตั้งนั้น นายบรรหาร พูดทีเล่นทีจริงว่า “นารีขี่ม้าขาวดี แต่อย่าให้นารีตกม้าขาวก็แล้วกัน แต่ถ้าเป็นม้าสีหมอก ผมคงต้องขี่เอง จะให้คนอื่นขี่คงไม่ได้”
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเปิดใจกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลังได้รับเลือกให้ลงสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีว่า จะเดินหน้าสู่ความปรองดองในประเทศ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังได้ส่งสัญญาณชัดเจนในเวลาต่อมาว่า 1 ในการปรองดองดังกล่าวก็คือ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พี่ชายตัวเอง โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ พยายามพูดแบบเลี่ยงๆ ว่า ไม่อยากให้มองว่าเป็นการนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อยากให้มองเรื่องหลักนิติธรรมก่อน ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง บอกว่าเป็นการนิรโทษกรรมนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ พยายามแก้ต่างให้ว่า ไม่ใช่นิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียว แต่เป็นการทำเพื่อทุกคน ซึ่งหากจะทำ คงต้องถามประชาชนก่อน
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลงพื้นที่หาเสียงที่ จ.พิษณุโลกเมื่อวันที่ 17 พ.ค.โดยพูดกับชาวบ้านทำนองไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พร้อมแนะให้ทุกคนชั่งใจว่าจะเลือกใครระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย “การเลือกตั้งครั้งนี้ หากเปลี่ยนรัฐบาล สิ่งแรกเลย พี่น้องต้องคิดว่าจะทำอย่างไร จะเป็นเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหรือไม่... เมื่อวาน(16 พ.ค.) พรรคเพื่อไทยก็พูดว่า หนึ่งในนโยบายที่เขาจะทำนโยบายปรองดองสมานฉันท์ คงต้องมาล้างความผิดต่างๆ ...ทักษิณบอกว่าถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล อีก 6 เดือนจะกลับมา ถามว่ากลับมาก็ต้องออกกฎหมายล้างความผิด บ้านเมืองก็วุ่นวายอีก ถามว่ากว่าจะทำตรงนั้นเสร็จ เกี่ยวข้าวเสร็จไปกี่รอบ เป็นเรื่องที่พี่น้องต้องตัดสินใจว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร”
สำหรับบรรยากาศการรับสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ซึ่ง กกต.เปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 19-23 พ.ค.นั้น ปรากฏว่า วันแรกมีพรรคการเมืองมาสมัครทั้งสิ้น 30 พรรค ยอดผู้สมัคร 1,105 คน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก โดยเฉพาะช่วงที่มีการจับสลากหมายเลขว่าพรรคใดจะได้หมายเลขใด ซึ่งผลปรากฏว่า พรรคเพื่อไทย(พท.) ได้เบอร์ 1 ,พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)ได้เบอร์ 10 ,พรรคภูมิใจไทย(ภท.)ได้เบอร์ 16 ,พรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.)ได้เบอร์ 21 ,พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน(ชพน.)ได้เบอร์ 2 ,พรรคการเมืองใหม่(ก.ม.ม.)ได้เบอร์ 20 ,พรรคกิจสังคมได้เบอร์ 14 ,พรรคมาตุภูมิได้เบอร์ 26 ,พรรคพลังชลได้เบอร์ 6 ,พรรคชูวิทย์ได้เบอร์ 5 ,พรรครักษ์สันติได้เบอร์ 12 ,พรรคเพื่อฟ้าดินได้เบอร์ 18 ฯลฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่า บัญชีรายชื่อ ส.ส.แบบสัดส่วนของพรรคเพื่อไทย นอกจากมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อยู่ลำดับที่ 1 แล้ว ยังมีแกนนำคนเสื้อแดงอยู่ในบัญชีด้วยจำนวนมากประมาณ 15 คน เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ อยู่ลำดับ 8 ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ลำดับ 9 ,นพ.เหวง โตจิราการ ลำดับ 19 ,นางรพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยานายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ลำดับ 27 ,น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาว พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ลำดับ 42 ,นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ลำดับ 46 ,นายก่อแก้ว พิกุลทอง ลำดับ 54 ,นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ลำดับ 72 ,นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ลำดับ 86 เป็นต้น
ขณะที่การส่งผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคการเมืองใหม่ ที่มีนายสมศักดิ์ โกศัยสุข เป็นหัวหน้าพรรค ส่อเค้าว่าอาจมีปัญหาในภายหลัง เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคเสียงข้างมาก 10 เสียง จากทั้งหมด 19 เสียง นำโดยนายสุริยะใส กตะศิลา และนายสำราญ รอดเพชร ได้ยื่นเรื่องให้ กกต.ระงับการรับสมัครผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองใหม่ เพราะหัวหน้าพรรคฝ่าฝืนนโยบายพรรค ข้อบังคับพรรค และมติที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีเมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่สมาชิกพรรคกว่าร้อยละ 90 เห็นควรให้พรรคการเมืองใหม่งดส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง แต่นายสมศักดิ์กลับอ้างมติที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 22 มี.ค.และ 19 เม.ย. ว่า กรรมการบริหารพรรค 15 เสียงที่เข้าประชุมเห็นตรงกันว่าให้ส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งพรรคการเมือง นายสมศักดิ์ อ้างด้วยว่านายสุริยะใสได้ลาออกจากเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่แล้ว จึงไม่มีสิทธิมาคัดค้านการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ด้านนายสุริยะใสยืนยันว่า ตนยังเป็นเลขาธิการพรรคและกรรมการบริหารพรรคอยู่ พร้อมท้านายสมศักดิ์ว่า ถ้าตนลาออกจริง ช่วยเอาใบลาออกของตนมาให้ดูหน่อย ด้านนายสมศักดิ์ไม่พอใจที่นายสุริยะใสยื่นคัดค้านการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งต่อ กกต. จึงได้ออกมาขู่จะฟ้องนายสุริยะใสฐานกลั่นแกล้งพรรคให้ได้รับความเสียหาย ทำให้ผู้สมัครบางรายตัดสินใจถอนตัว พร้อมเผยว่า ตนได้ฟ้องนายสุริยะใสไป 2 คดีแล้ว
2. ผู้ประกอบการย่านราชประสงค์ สุดทน เตรียมฟ้อง นปช. ฐานทำเจ๊งหมื่นล้าน ด้าน “จตุพร” นอนคุกยาว หลังศาลอุทธรณ์เมินประกันตัว!
เมื่อวันที่ 19 พ.ค. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้นัดชุมนุมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงบริเวณสี่แยกราชประสงค์ ในโอกาสครบรอบ 1 ปี โดยมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมนับหมื่นคน ขณะที่แกนนำ นปช.หลายคน เช่น นพ.เหวง โตจิราการ ,นางธิดา ถาวรเศรษฐ ภรรยา นพ.เหวง และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ได้เข้าเยี่ยมนายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิสิต สินธุไพร ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก่อนไปขึ้นเวทีปราศรัยที่แยกราชประสงค์
ขณะที่ห้างร้านและธนาคารบริเวณดังกล่าวต่างปิดบริการเร็วกว่ากำหนด เพราะเกรงจะไม่ปลอดภัยจากการชุมนุม เช่น ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า ,ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ และศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ส่วนธนาคารมีการแจ้งปิดสาขาจำนวน 9 ธนาคาร 12 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ในห้างสรรพสินค้า
สำหรับบรรยากาศการปราศรัยของแกนนำคนเสื้อแดงนั้น ส่วนใหญ่เป็นการกล่าวโจมตีรัฐบาลและทหารว่าเป็นคนฆ่าคนเสื้อแดงในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 พร้อมเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด ด้านนางพะเยาว์ อัคฮาด ประธานศูนย์ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมือง ซึ่งเป็นมารดา น.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือน้องเกด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ได้นำญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิต พร้อมตำหนิรัฐบาลและกองทัพด้วยว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีการออกมาขอโทษหรือยอมรับผิด มีแต่พูดแค่ปรองดองๆ “ฉันขอถามหน่อย ปรองดองของพวกคุณมันเป็นแบบไหน ที่ฉันต่อสู้มาก็แค่ขอความจริงให้มันกระจ่าง ความยุติธรรมให้มันเดินตามมา คดีให้เลื่อนไหล แต่นี่ไม่มีเลย วันนี้ครบ 1 ปี พอแล้วสำหรับการรอคอย หลังเสร็จวันนี้ฉันจะเดินหน้าไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยที่เกี่ยวกับการตายการเจ็บของลูกสาวและคนอื่นๆ แม้กระทั่งสำนักนายกรัฐมนตรี จะไปเพราะตัวต้นตอที่จะไปหาคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะเป็นบุคคลหนึ่งที่โทร.มาหาดิฉันแล้วบอกว่าจะติดตามหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้เร็วที่สุด”
ทั้งนี้ การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงบริเวณแยกราชประสงค์ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับภาคธุรกิจในย่านดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ค้าย่านราชประสงค์ในนาม “สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์” เกิดอาการสุดทน จึงได้เปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ว่าจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแกนนำ นปช.รวมทั้งรัฐบาลด้วย โดยนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ชี้ว่า การชุมนุมของกลุ่ม นปช.สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจในย่านนี้มาก แค่วันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมาวันเดียวก็เสียหายประมาณ 10 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการยกเลิกการจองห้องพัก 1,500 ห้อง และยกเลิกจัดงานเลี้ยง 3,000 หัว และหากนับรวมความเสียหายตั้งแต่การชุมนุมและเกิดเหตุเพลิงไหม้เซ็นทรัลเวิลด์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ปีที่แล้ว ตกประมาณกว่า 10,000 ล้านบาท และว่า ก่อนหน้านี้สมาคมได้หารือกับตำรวจแล้วให้บริหารจัดการชุมนุมไม่ให้ปิดแยกราชประสงค์ แต่ก็ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ดังนั้นกลุ่มผู้ประกอบการจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแกนนำ นปช.และรัฐบาล โดยจะสรุปตัวเลขภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ นายชาย ย้ำด้วยว่า “เราไม่ได้เป็นศัตรูกับคนเสื้อแดงหรือกับใคร สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ถือเป็นฟางเส้นสุดท้าย พอได้แล้ว เราทนไม่ได้แล้ว เราจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากแกนนำเสื้อแดงที่ขึ้นเวทีทุกคน และภาครัฐด้วย ที่ไม่สามารถบริหารจัดการการชุมนุมได้ ทำให้เกิดความเสียหายกับภาคธุรกิจเป็นวงกว้าง คนกรุงเทพฯ เดือดร้อนเป็นแสนคน”
นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ยังฝากถึงหัวหน้าพรรคการเมืองและรัฐบาลชุดใหม่ด้วยว่า สังคมจะอยู่ได้อย่างไรหากคนแค่ 10,000 คนสามารถทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ สามารถชุมนุมปิดสถานที่สำคัญทางธุรกิจได้ หากรัฐบาลไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องการชุมนุมได้ก็อย่ามาบริหารประเทศเลย
ส่วนความคืบหน้ากรณีที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. และนายคารม พลทะกลาง ทนายความของกลุ่ม นปช.พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้นายจตุพรและนายนิสิต สินธุไพร ได้ออกมาจากคุก หลังปราศรัยข้อความที่อาจเข้าข่ายหมิ่นสถาบันเมื่อวันที่ 10 เม.ย. จนถูกศาลสั่งเพิกถอนการประกัน จึงถูกนำตัวไปคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ทนายความได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพร โดยอ้างว่าเพื่อออกไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย แต่ศาลยกคำร้อง โดยให้เหตุผลว่า การสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นายจตุพรไม่จำเป็นต้องไปเอง เพราะผู้ที่นำบัญชีรายชื่อไปยื่นต่อ กกต.ก็คือหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคที่ได้รับมอบหมาย
นอกจากการยื่นขอให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวนายจตุพรแล้ว ทนายยังได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งเพิกถอนการประกันตัวนายจตุพรและนายนิสิตด้วย โดยอ้างเหตุผลประมาณ 7-8 ประเด็น เช่น การที่บุคคลทั้งสองมีพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงนั้น ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการประกันตัวของศาลที่กำหนดห้ามปราศรัยยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองแต่อย่างใด และการสั่งเพิกถอนการประกันตัวของศาลชั้นต้นมีความอิสระและถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ด้านศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นควรยกคำร้องการอุทธรณ์ของจำเลย โดยชี้ว่า การที่จำเลยได้กล่าวพาดพิงถึงบุคคลและสถาบันต่างๆ ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ซึ่งมีลักษณะส่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองได้ จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณาคดี จำเลยอาจไปก่อเหตุอันตรายอย่างอื่นได้ จึงไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยตัวชั่วคราว ส่วนที่จำเลยอ้างว่า การสั่งเพิกถอนการประกันตัวของศาลชั้นต้นไม่ชอบนั้น ศาลอุทธรณ์ เห็นว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งระหว่างที่คดียังไม่เสร็จสิ้น จึงห้ามอุทธรณ์คำสั่งนั้นจนกว่าจะมีคำพิพากษา
3. ตร.-ทหารยะลา วิสามัญฯ 4 โจรใต้ พบ ประวัติโชกโชน เอี่ยวระเบิด “จ่าเพียร”- ยิง “หมวดตี้-ผู้กองแคน”!
เหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ได้เกิดเหตุระเบิดขณะที่พลทหาร ไกรสร มดคัน และพลทหาร ปัณธร หนูชัยแก้ว ทหารสังกัด ร.1541 ฉก.ยะลา 14 ให้ความคุ้มครองพระชาตรี ทองราช รักษาการเจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว อ.ยะหา จ.ยะลา และพระธีรพงษ์ ดอกมะลิ พระลูกศิษย์ เพื่อไปบิณฑบาตในเขตเทศบาลตำบลยะหา โดยใช้รถกระบะเป็นพาหนะ แต่เมื่อมาถึงหมู่บ้าน หมู่ 8 บ้านบาโย ต.บาโร๊ะ คนร้ายได้จุดชนวนระเบิด แรงระเบิดไม่เพียงทำให้รถพังยับ แต่ยังทำให้พระทั้งสองรูปมรณภาพในที่เกิดเหตุ ขณะที่พลทหารทั้งสองนายได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบเศษถังก๊าซ คาดว่าคนร้ายใช้บรรจุระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 20 กก. สันนิษฐานว่าผู้ก่อเหตุต้องการสร้างสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างชาวไทยพุทธกับชาวไทยมุสลิม ทั้งนี้ การมรณภาพของพระสงฆ์ทั้งสองรูป ทำให้วัดสวนแก้ว อ.ยะหา กลายเป็นวัดร้างในทันที เพราะปกติมีพระจำพรรษาอยู่แค่ 2 รูปเท่านั้น ด้านนายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้ติดต่อสำนักพระพุทธศาสนาเพื่อนิมนต์พระรูปใหม่มาจำพรรษาที่วัดดังกล่าวแทน และจะขอให้พระสงฆ์ที่มาไม่ต้องออกบิณฑบาตชั่วคราว โดยจะให้ทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลาดูแลเรื่องการจัดทำอาหารถวายพระ
ขณะที่นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานนท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้หารือเจ้าคณะจังหวัดยะลาแล้ว ได้ข้อสรุปว่า หากพื้นที่ใดมีความเสี่ยง จะให้พระสงฆ์งดบิณฑบาตชั่วคราว จนกว่าเจ้าหน้าที่จะมั่นใจว่าปลอดภัยแล้ว
หลังเกิดเหตุระเบิดจนพระสงฆ์มรณภาพ 2 รูป ปรากฏว่า วันต่อมา(17 พ.ค.) คนร้ายก็ได้ก่อเหตุลอบยิงฐานทหารพราน ร้อยทหารพรานที่ 4715 หมู่ที่ 4 บ้านสาคอ ต.ท่าสาป อ.เมือง จ.ยะลา ส่งผลให้นายไพบูลย์ ตุพิลา เจ้าหน้าที่อาสาสมัครทหารพรานได้รับบาดเจ็บสาหัส
ให้หลัง 1 วัน(18 พ.ค.) คนร้ายก็ได้ก่อเหตุปาระเบิดใส่รถทหารชุด ฉก.อโณทัย 1 บริเวณปากซอยสิโรรส 3 เขตเทศบาลนครยะลา แต่พลาดระเบิดตกลงบนพื้นถนนและเกิดระเบิดขึ้น ทำให้นักเรียนและชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 8 ราย โดยคนร้ายแต่งกายคล้ายนักศึกษา ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ
วันต่อมา(20 พ.ค.) คนร้ายได้ก่อเหตุอีก คราวนี้ที่ จ.นราธิวาส โดยคนร้ายได้นำระเบิดซุกซ่อนในรถจักรยานยนต์ไปจอดไว้ข้างบ้านเลขที่ 402 ถ.จารุเสถียร ต.ปะลุรู ก่อนจุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ ทำให้รถเสียหายทั้งคัน และก่อนที่เจ้าหน้าที่จะรุดไปตรวจสอบ ก็ได้เกิดระเบิดซ้ำในบริเวณใกล้เคียงกัน โดยคนร้ายได้ซุกระเบิดในรถกระบะที่จอดริมถนนหน้าร้านรับซื้อยางแผ่น ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเหตุระเบิดจุดแรกประมาณ 15 เมตร แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหาย 10 หลังคาเรือน นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บ 8 ราย เป็นชาวบ้าน 7 ราย เจ้าหน้าที่ 1 ราย
หลังคนร้ายป่วนใต้รายวัน ในที่สุดเจ้าหน้าที่ก็พบแหล่งกบดานของผู้ก่อเหตุไม่สงบรายสำคัญ 4 รายด้วยกัน พร้อมวิสามัญฯ ดับทั้ง 4 ศพ เนื่องจากคนร้ายยิงต่อสู้ โดยเหตุเกิดเมื่อเวลา 06.30น.วันที่ 20 พ.ค. พ.ต.อ.พีระ บุญเลี้ยง รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ยะลา พร้อมด้วย พ.อ.ยุทธนาม เพชรม่วง ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 47 ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจและทหารพรานจำนวน 30 นาย เข้าปิดล้อมบ้านที่สืบทราบว่าคนร้ายไปกบดานเพื่อเตรียมก่อเหตุ โดยตั้งอยู่บริเวณ หมู่ 3 บ้านจาเราะแป ต.ธารโต อ.ธารโต จ.ยะลา เมื่อไปถึง พบคนร้าย 4 คนผูกเปลนอนอยู่ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ได้วิ่งหลบหนี พร้อมทั้งใช้ปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ จึงเกิดการยิงปะทะกันนานกว่า 10 นาที เมื่อเสียงปืนสงบ พบศพคนร้ายถูกยิงเสียชีวิตทั้ง 4 ศพ ทราบชื่อคือ นายอาแซ ฮูลู อายุ 30 ปี เป็นชาว ต.ธารโต มีหมายจับจากศาล จ.ยะลา คดีร่วมกันมีวัตถุระเบิด ,นายมะสอบรี อาซู อายุ 28 ปี ชาว อ.ธารโต ,นายมะแอ อภิบาลแบ อายุ 34 ปี เป็นชาว ต.บาเจาะ ,นายมุสตอปา แนลูแล อายุ 32 ปี ชาว ต.บาเจาะ มีหมายจับ จ.ยะลา คดีร่วมกันก่อการร้ายและพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้ยึดปืนอาก้า ปืนพกสั้น และกระสุนจำนวนหนึ่งของคนร้ายไว้
ทั้งนี้ จากการสืบสวนทราบว่า นายอาแซ ฮูลู เป็นคนร้ายคนสำคัญที่เคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง ทั้งลอบวางระเบิดสวนยางในพื้นที่ อ.ธารโต ลอบวางระเบิดทหาร ลอบยิงครูและตำรวจตระเวนชายแดน ฯลฯ ส่วนนายมะแอ อภิบาลแบ เป็นแกนนำที่ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ เคยมีรางวัลนำจับสูงถึง 2 ล้านบาท มีหมายจับมากถึง 14 คดี เช่น คดียิงรถตู้หาดใหญ่-เบตง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย มีส่วนเกี่ยวพันกับการลอบวางระเบิด พ.อ.สุทธิศักดิ์ ประเสริฐศรี ผบ.ฉก.ยะลา 1 และ พล.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา หรือ “จ่าเพียร” อดีตผู้กำกับการ สภ.บันนังสตา เสียชีวิต รวมทั้งเกี่ยวข้องกับการซุ่มโจมตี ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข หรือ “ผู้กองแคน” และ ร.ต.ต.กฤตติกุล บุญลือ หรือ “หมวดตี้” เสียชีวิต และที่สำคัญ เป็นมือปืนลำดับที่ 43 ตามบัญชีรายชื่อ 50 มือปืนเมืองไทยที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำลังต้องการตัว
4. กษัตริย์ “จิกมี” แห่งภูฏาน ทรงประกาศจะอภิเษกสมรส กับแฟนสาวสามัญชน ต.ค.นี้!
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน(20 พ.ค.)ว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรภูฏาน วัย 31 ชันษา ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ และเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2551 ได้ประกาศระหว่างเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า พระองค์ได้ทรงหมั้นกับหญิงคนรักแล้ว และเตรียมเข้าพิธีอภิเษกสมรสในเดือน ต.ค.นี้
ขณะที่สื่อท้องถิ่นของภูฏาน รายงานว่า พระคู่หมั้นของกษัตริย์จิกมีเป็นสามัญชน ชื่อ เจตสัน เปมา อายุ 20 ปี ด้านนายดอร์จี วังชุก จากสำนักพระราชวังภูฏาน เผยว่า กษัตริย์จิกมีทรงรู้จักกับเปมา นักศึกษาชาวภูฏาน ในกรุงทิมพู มาระยะหนึ่งแล้ว และได้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันทั่วประเทศภูฏาน และว่า เปมาจบการศึกษาเบื้องต้นจากประเทศอินเดียและอังกฤษ ขณะนี้กำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยรีเจ้นท์ ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งเปมาชื่นชอบงานจิตรกรรม วาดภาพ และชอบเล่นบาสเกตบอล
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า กษัตริย์จิกมี ได้กล่าวถึงว่าที่มเหสีในอนาคตของพระองค์ระหว่างเปิดประชุมสภาด้วยว่ายังเยาว์ เป็นคนอบอุ่น จิตใจและบุคลิกมีความกรุณา
ขณะที่นายเชรริง ทอบเก ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของภูฏาน กล่าวถึงพระคู่หมั้นของกษัตริย์จิกมีว่า เป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก และว่า เปมาเป็นหญิงสาวที่เป็นมิตรและงดงามมากๆ นายทอบเก ยังบอกด้วยว่า ชาวภูฎานทุกคนต่างยินดีกับเรื่องดังกล่าว แต่คงไม่มีใครออกไปแสดงความยินดีตามท้องถนน เพราะไม่ใช่วิถีของชาวภูฏาน
ด้านนายดอร์จี วังชุก จากสำนักพระราชวังภูฎาน เผยว่า ภูฏานเตรียมจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของกษัตริย์จิกมี แต่พระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า รัฐบาลไม่ควรจัดงานเฉลิมฉลองพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระองค์ใหญ่โต เพราะภูฏานขาดแคลนทรัพยากร ทั้งยังทรงอยากให้การจัดฉลองเป็นเรื่องส่วนพระองค์และเชื้อพระวงศ์ที่ใกล้ชิดมากกว่า
ด้านนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ กษัตริย์จิกมี ระหว่างเสด็จฯ มาร่วมพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พูดถึงความประทับใจในพระราชจริยวัตรของกษัตริย์จิกมีว่า “จากการเข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด ทำให้ผมรู้สึกประทับใจสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เพราะพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้หารือในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะในด้านวิชาการ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ทรงสนพระทัยในโครงการพระราชดำริของในหลวง และทรงเดินตามรอยพระยุคลบาทในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง” นายสุรเกียรติ์ ยังเผยด้วยว่า สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมีทรงฉลาด ทรงเป็นนักอ่าน มีความรอบรู้ และทรงเรียบง่าย จึงไม่น่าแปลกใจหากในพระราชพิธีอภิเษกสมรส จะทรงเลือกโมเดลที่เรียบง่ายและประหยัด