คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ
1.“ประยุทธ์” สุดทน แจ้งจับ “จตุพร” หมิ่นสถาบัน ขณะที่เจ้าตัว ปฏิเสธทันควัน พร้อมฟ้องกลับ ด้าน “บิ๊กจิ๋ว” รับไม่ได้ ส่อทิ้ง “พท.” !
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ชุมนุมใหญ่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ส่วนการปราศรัยบนเวทีนั้น ไฮไลต์อยู่ที่ 3 คน คนแรกคือ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ต้องหาคดีเผยแพร่คลิปการประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลบหนีไปต่างประเทศระยะหนึ่งและเพิ่งกลับมารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 30 มี.ค. โดยหลังจากตำรวจให้ประกันตัว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ก็ประกาศว่า นายพสิษฐ์จะมาขึ้นเวทีเสื้อแดงแฉคดีเบื้องหลังคดียุบพรรคพลังประชาชน-ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ในการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงวันที่ 10 เม.ย. ทั้งนี้ นายพสิษฐ์ ได้กล่าวบนเวทีเสื้อแดง โดยเปรียบเทียบคดียุบพรรคว่าเหมือนการแข่งขันฟุตบอล ที่มีกรรมการมีหัวหน้ากรรมการเป็นผู้ตัดสิน แต่เผอิญผู้จัดการสนามซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องมายุ่ง กลับพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้สโมสรที่ตัวเองชอบชนะ โดยผู้จัดการสนามมีบุญคุณกับหัวหน้าผู้ตัดสิน ขณะที่หัวหน้าผู้ตัดสินก็อยากเลื่อนวิทยฐานะตัวเองเป็นบอร์ดกรรมการสนาม ผู้จัดการสนามจึงใช้มือวิเศษและเท้าวิเศษ สโมสรไหนที่ตัวเองชอบก็ใช้มือวิเศษบอกว่าช่วยหน่อยนะ แต่ถ้าทีมไหนไม่ชอบก็ใช้เท้าวิเศษกระทืบมัน นายพสิษฐ์ ยังอ้างด้วยว่า มีความพยายามสกัดไม่ให้ตนมาขึ้นเวทีเสื้อแดง “พี่น้องฟังแล้วกลับไปคิดดูยังอยากดูการเล่นแบบนี้หรือไม่ วันนี้หูตาสว่างกันได้แล้วครับ ตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว ไม่กลัวตายด้วยครับ เขายิ่งไม่ให้มา ผมยิ่งมาครับ พี่น้องสู้ไหมครับ ต้องยุติธรรมใช่ไหมครับ”
สำหรับไฮไลต์คนที่ 2 คือนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ซึ่งปราศรัยหลายข้อความที่อาจเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน เช่น กล่าวหาว่าทหารรักษาพระองค์และทหารเสือพระราชินีเป็นคนยิงคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 นอกจากนี้ยังได้กล่าวเปรียบเปรยว่าเป็นการฆ่าลูกเพื่อปกป้องพ่อ ฆ่าลูกเพื่อพ่อ ฆ่าลูกเพื่อแม่ รวมทั้งกล่าวกระทบกระเทียบว่าอยากไปออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ฯลฯ
ส่วนไฮไลต์คนที่ 3 ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่วิดีโอลิงก์มาสดุดีคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 พร้อมกล่าวหาว่าทหารเป็นฝ่ายใช้ปืนสไนเปอร์ยิงคนเสื้อแดง และว่า ตนกำลังให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ทวีตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ในเวลาต่อมา โดยวอนให้ทุกฝ่ายหยุดสาดโคลนทางการเมืองต่อกัน “...หลังสงกรานต์ อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันในฐานะคนไทยด้วยกัน สาดน้ำเสร็จก็สะอาดแล้ว หยุดสาดโคลนการเมืองกันเถอะ บ้านเมืองจะได้เดินต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวถึงหรืออ้างอิงสถาบัน เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ผมขอร้องทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นแดง เป็นเหลือง เป็นพรรคการเมืองหรือกองทัพ”
ทั้งนี้ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงอย่างมาก โดยเฉพาะถ้อยคำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าน่าจะเข้าข่ายละเมิดและหมิ่นสถาบัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ถึงกับทนไม่ได้ ต้องส่งนายทหารพระธรรมนูญของกองทัพบกไปแจ้งความต่อตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ เพื่อดำเนินคดีนายจตุพร รวมทั้งแกนนำ นปช.อีก 2 คนที่กล่าวทำนองเดียวกันในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คือ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของแกนนำ นปช.ที่ก้าวล่วงสถาบันด้วยว่า “ผมเป็นทหารรับไม่ได้ ดังนั้น ต้องออกมาช่วยกันดูแล ขัดขวาง ไม่ให้คนเหล่านี้พูดจาหรือให้ร้ายอีก ประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่คนไม่กี่กลุ่มที่ทำให้สถาบันเสียหาย ผมคิดว่าสิ่งที่ทำจะสนองกลับโดยเร็ววัน”
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็เห็นด้วยว่าควรมีการดำเนินคดีแกนนำ นปช.ที่กล่าวปราศรัยจาบจ้วงสถาบัน โดยชี้ว่า เป็นการกระทำที่ไม่สมควรและกระทบต่อจิตใจคนไทยอย่างยิ่ง นายสุเทพ ยังสวนกลับ พ.ต.ท.ทักษิณที่ระบุว่าหลังสงกรานต์ไม่ควรสาดโคลนเรื่องการล้มล้างสถาบันด้วยว่า “คุณทักษิณนั่นแหละตัวดี ต้องหยุดสักที หยุดสั่งสักที ผมฝากไปเลย ทำความผิดในประเทศหลายเรื่องแล้ว ก็เห็นอยู่ เวลาโทรศัพท์ไปพูดกับแดง ใช้คำไม่เหมาะสม ทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณและบริวารควรหยุดเสียที” นายสุเทพ ยังบอกให้ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดตีสองหน้าด้วย เพราะการบอกให้ลูกน้องออกมาทำสิ่งที่ไม่สมควร แล้วตัวเองออกมาทำเป็นว่าขอร้องให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้หยุดสาดโคลนกันนั้น ถือว่าเป็นการตีสองหน้าอย่างชัดเจน
ด้านแกนนำ นปช.ไม่พอใจที่ถูกผู้บัญชาทหารบกแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบัน จึงได้เปิดแถลงตอบโต้(13 เม.ย.) โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ยืนยันว่า คนเสื้อแดงไม่เคยมีความคิดจะล้มล้างสถาบัน อีกทั้งที่ผ่านมาได้แสดงความจงรักภักดีปกป้องสถาบันมาตลอด ทั้งนี้ นายจตุพร ,นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ ส่งนายทหารพระธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบัน ได้เอาคืนด้วยการเข้าแจ้งความกลับให้ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ดำเนินคดี พล.อ.ประยุทธ์ และนายทหารพระธรรมนูญ ข้อหาแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ก็ยืนยันแทนคนเสื้อแดงทุกคนว่า “คนเสื้อแดงขอยืนยันว่าเราไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสถาบันเบื้องสูง การต่อสู้ของคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น การดำรงอยู่ของสถาบันเบื้องสูงไม่เป็นปัญหาใดใดกับคนเสื้อแดง”
ทั้งนี้ ไม่เพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก จะแจ้งความดำเนินคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำ นปช.บางคนฐานหมิ่นสถาบัน แต่ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ยังเตรียมดำเนินคดีแกนนำ นปช.และแนวร่วมจำนวน 18 คนฐานหมิ่นสถาบันเช่นกัน หลังจากตรวจสอบคลิป ภาพถ่าย และคำพูดของบุคคลที่ร่วมปราศรัยทั้ง 18 คนแล้ว น่าจะเข้าข่ายถูกดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงมาตรา 112 ฐานหมิ่นสถาบัน และมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นให้มีการล่วงละเมิดกฎหมาย นายธาริต ยังได้เตรียมไปยื่นถอนประกันแกนนำ นปช.ทั้ง 9 คนที่ได้รับการประกันตัวก่อนหน้านี้ แต่ยังไปขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยจะยื่นขอถอนประกันทั้งต่อศาลและอัยการในวันที่ 18 เม.ย.เวลา 10.00น.
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า การที่แกนนำ นปช. ซึ่งผูกติดอยู่กับพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้กล่าวพาดพิงจาบจ้วงสถาบันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ส่งผลให้ฝ่ายความมั่นคงโทรศัพท์ถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ถอนตัวออกจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย คนสนิท พล.อ.ชวลิต บอกว่า มีแนวโน้มสูงที่ พล.อ.ชวลิตจะตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทย เพราะ พล.อ.ชวลิตเป็นอดีตนายกฯ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และอดีตผู้บัญชาการทหารบก มีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ประกอบกับ พล.อ.ชวลิตได้ประกาศต่อสาธารณะว่ามาอยู่พรรคเพื่อไทย เพื่อการันตีความจงรักภักดีให้ เมื่อบุคลากรของพรรคทำตรงกันข้าม พล.อ.ชวลิตจึงไม่ควรอยู่ให้เสียคนตอนแก่ ทั้งนี้ นายชวลิต บอกให้รอฟังเหตุผลการตัดสินใจของ พล.อ.ชวลิตในเร็วๆ นี้
2. “กกต.” รับรอง 73 ส.ว.สรรหาชุดใหม่แล้ว ด้าน “พท.” ซัด ทายาทอสูร ขณะที่ “เรืองไกร” เตรียมร้องค้านหลังสอบตก!
ความคืบหน้าการคัดเลือก ส.ว.สรรหาชุดใหม่เพื่อทดแทนชุดเก่าที่อยู่ในตำแหน่งมาครบวาระ 3 ปี ล่าสุด ได้ตัวบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมการสรรหาที่มีนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นประธานได้คัดเลือก ส.ว.สรรหาจำนวน 73 คนจากผู้สมัครทั้งหมด 658 คน แล้วส่งต่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อประกาศรับรอง ซึ่ง กกต.ได้ประกาศรายชื่อ ส.ว.สรรหาทั้ง 73 คนให้สาธารณชนได้ทราบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 เม.ย.
สำหรับ ส.ว.สรรหาทั้ง 73 คน คัดเลือกมาจาก 5 ภาค ภาควิชาการ 14 คน ได้แก่ นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา ,นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ปี 2550 ,ศาสตราจารย์เกียรติคุณตรึงใจ บูรณสมภพ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายพิเชต สุนทรพิพิธ อดีต ส.ว.สรรหา ,รศ.วิชุดา รัตนเพียร น้องสาวนายประวิช รัตนเพียร อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ฯลฯ ส.ว.สรรหาจากภาครัฐ 14 คน ได้แก่ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ,พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม จากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ,นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช พี่ชายนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ฯลฯ
ส.ว.สรรหาจากภาคเอกชน 15 คน ได้แก่ นายบุญชัย โชควัฒนา จากหอการค้าไทย ,นายวันชัย สอนศิริ ทนายความ ,นางยุวดี นิ่มสมบุญ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีต ส.ว.สรรหา ฯลฯ ส.ว.สรรหาจากภาควิชาชีพ 15 คน ได้แก่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ,พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ,นางกีระณา สุมาวงศ์ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายตวง อันทะไชย อดีต ส.ว.สรรหา ,รศ.ทัศนา บุญทอง อดีต ส.ว.สรรหา ,นายสมชาย แสวงการ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายสัก กอแสงเรือง จากสภาทนายความ ,พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีกลาโหม น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ฯลฯ ส่วน ส.ว.สรรหาจากภาคอื่นจำนวน 15 คน ได้แก่ พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ จาสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ,นายมณเฑียร บุญตัน จาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ,พล.ต.ท.สมยศ ดีมาก จากสมาพันธ์สมาคมศิษย์เก่าคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ,นายจักรธรรม ธรรมศักดิ์ จากพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ฯลฯ
ทั้งนี้ ในบรรดา ส.ว.สรรหาชุดใหม่ 73 คน มี ส.ว.สรรหาชุดเก่าได้รับเลือกเข้ามาด้วยจำนวน 31 คน ขณะที่พรรคเพื่อไทย(พท.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ส.ว.สรรหาชุดใหม่ มีหลายคนเป็นทายาทอสูร เช่น พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และนายสัก กอแสงเรือง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)
ด้าน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม เผยความรู้สึกหลังได้รับเลือกเป็น ส.ว.สรรหาว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับการสรรหาให้มาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง ส่วนที่มีการวิจารณ์ตนโดยผูกโยงกับกองทัพนั้น ยอมรับว่า ตนไม่สามารถปฏิเสธความเป็นทหารได้ แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์อุดมการณ์ของตน “ผมพยายามที่จะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้คนเลวมีโอกาสมารับผิดชอบบริหารประเทศ... ผมมาจากทหาร แน่นอนที่ต้องมีความผูกพันกับกองทัพ ทหารมีหลายแบบ ต้องดูว่าจะพิสูจน์ตัวผมเองได้อย่างไร”
ขณะที่ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชาย พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม เผยหลังได้รับเลือกเป็น ส.ว.สรรหาว่า ภูมิใจที่ได้มีโอกาสเข้ามาช่วยงานบ้านเมือง พร้อมยืนยันว่า การเป็นน้องชาย พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เป็นสาเหตุให้ได้รับเลือกครั้งนี้ ด้านนายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช พี่ชายนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ก็ยืนยันเช่นกันว่า เหตุที่ตนได้รับเลือกเป็น ส.ว.สรรหา มาจากความรู้ความสามารถ ไม่เกี่ยวกับที่เป็นพี่ชายของนายประสพสุข
ส่วนกรณีที่มีบางฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า ส.ว.สรรหาชุดใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้ออกมาสวนกลับว่า “จริงหรือ ถามว่า พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ นี่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณไหม ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณไหม พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ต่อต้านทักษิณไหม คนพูดมันพูดเอาแต่ได้...พูดแบบนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. มันพูดให้ชาติเสียหาย”
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีอดีต ส.ว.สรรหาบางคนที่สอบตกไม่ได้รับเลือกในครั้งนี้ ออกมาร้องคัดค้านผลการสรรหา ส.ว.แล้ว นั่นคือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โดยบอกว่า จะไปร้องคัดค้านการสรรหา ส.ว.ในวันที่ 18 เม.ย. เพราะการสรรหาดังกล่าวน่าจะไม่ถูกต้องในหลายประเด็น เช่น ในการประชุมคณะกรรมการสรรหา นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) ไม่ได้เข้าประชุมด้วย ส่วน ส.ว.สรรหาชุดเก่าที่ได้รับเลือกเข้ามา 31 คน ก็อาจมีปัญหาเรื่องการนับอายุเวลา เป็นต้น
ทั้งนี้ หลัง กกต.ประกาศรับรองผลการสรรหา ส.ว.ทั้ง 73 คนแล้ว นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และรักษาการประธานวุฒิสภา จึงได้นัดประชุมวุฒิสภาในวันที่ 18 เม.ย.นี้ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ในวาระ 2 และ 3 พร้อมนัดประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือกประธานวุฒิสภาคนใหม่แทนนายประสพสุข บุญเดช ที่หมดวาระจากการเป็น ส.ว.สรรหาในวันที่ 22 เม.ย. นายนิคม ยังส่งสัญญาณเชิงหาเสียงให้ตัวเองด้วยว่า “หากผมได้รับเลือกตั้งเป็นประธานวุฒิสภา จะเปิดโอกาสให้ ส.ว.สรรหาได้มีโอกาสเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 อย่างไรก็ดี ผมจะไม่ลาออกจากตำแหน่งรองประธานคนที่ 1 ก่อนเพื่อลงสมัครประธานวุฒิสภา”
3. “ทักษิณ” ดัน “ยิ่งลักษณ์” นั่งเก้าอี้นายกฯ ด้าน “สนธยา” ทิ้ง ภท. ตั้งพรรคใหม่ ขณะที่ “ประดิษฐ์” ตีจาก รช. เล็งซบ ชพ.!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งกระแสย้ายพรรค และการแยกวงตั้งพรรคใหม่ รวมทั้งการหาแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาเคาะก่อนหน้านี้แล้วว่า คนที่พรรคจะชูเป็นนายกฯ คือที่คนที่พรรควางให้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์)ลำดับที่ 1 นั้น ล่าสุด แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เผย(10 เม.ย.)ว่า หลังจากแกนนำพรรค อาทิ นายสมชาย-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ หัวหน้ากลุ่มวังบัวบาน และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณเกี่ยวกับการจัดบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อที่เมืองดูไบแล้ว ทุกคนเห็นตรงกันว่า ผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเป็นสายตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณที่สุด โดยจะนำข้อสรุปดังกล่าวไปหารือกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธาน เพื่อจัดบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์คนอื่นๆ ต่อไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย รวมทั้งนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่มีข่าวว่าจะย้ายพรรคไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยจะชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ เพราะเป็นคนในตระกูลชินวัตร และใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก อาจทำให้เกิดปัญหาหลังเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวออกมา นายเสนาะได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยบอกว่าไม่เห็นด้วย และไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวได้ เพราะตนยังไม่ได้ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทยเต็มตัว
ขณะที่นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น ส.ส.กลุ่มนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พูดถึงข่าวที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคาะแล้วว่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 เพื่อชูเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าดี ทุกอย่างจะได้จบ พร้อมเชื่อว่า ข่าวดังกล่าวจะไม่ทำให้นายมิ่งขวัญตีจากพรรคเพื่อไทยไปตั้งพรรคใหม่ นายสุรสิทธิ์ ยังคุยโวด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เหมาะที่จะเป็นนายกฯ มากกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ถ้าเทียบความรู้ความสามารถ คุณปู(น.ส.ยิ่งลักษณ์) เก่งกว่านายอภิสิทธิ์เยอะ เคยบริหารบริษัทใหญ่ ทำธุรกิจประสบความสำเร็จมาก เส้นทางการต่อสู้ชีวิตของคุณปูเหมือนท่านทักษิณ ส่วนนายอภิสิทธิ์ไม่มีอะไรเลย แค่เด็กจบจากเมืองนอก ฝึกให้พูดเก่งๆ มีภาพลักษณ์ดีๆ เท่านั้น ไม่มีประสบการณ์ทำธุรกิจและทำมาหากินอะไร”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ส่งสัญญาณไม่สนข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยเตรียมชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ โดยบอกว่า ถึงนาทีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องพยายามหาคนที่มีภาพลักษณ์ดีมากลบภาพลักษณ์ตัวเอง ถ้าหาใครไม่ได้ก็ต้องเอาพี่น้องตัวเองขึ้นมา ซึ่งไม่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์หวั่นไหว เพราะแพ้ชนะอยู่ที่ประชาชน พร้อมยืนยันว่า กระแสนิยมนายอภิสิทธิ์ยังดีไม่มีลด และเหมาะจะเป็นนายกฯ อีกครั้งหลังเลือกตั้งครั้งหน้า
นอกจากความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมีกระแสย้ายพรรคของแกนนำบางพรรค เช่น นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรครวมชาติพัฒนา(รช.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ยื่นหนังสือลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรครวมชาติพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรค โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. อย่างไรก็ตาม นายประดิษฐ์ไม่ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคลังแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า นายประดิษฐ์จะย้ายไปอยู่กับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่พรรคชาติไทยพัฒนา(ชพ.) ด้าน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า การลาออกของนายประดิษฐ์จะไม่ส่งผลกระทบกับงานของพรรค เพราะยังมีรองเลขาธิการพรรคทำหน้าที่แทน
นอกจากกระแสย้ายพรรคแล้ว ยังมีการแยกวงตั้งพรรคใหม่ โดยเกิดขึ้นที่พรรคภูมิใจไทย(ภท.) เมื่อนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้ากลุ่มชลบุรี(1 ในผู้ที่ติดอยู่ในบ้านเลขที่ 111) ได้ออกมายอมรับ(15 เม.ย.)ว่า ตนได้ให้ภรรยาไปยื่นจดตั้งพรรคใหม่แล้ว ชื่อ “พรรคพลังชล” ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ถ้ารับรองเมื่อไหร่ จะเปิดตัวทันที ส่วนเหตุผลที่แยกมาตั้งพรรคใหม่นั้น นายสนธยา บอกว่า “เพราะได้รับเสียงเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่ กอปรกับเป็นความตั้งใจที่มีมานาน เมื่อมีพรรคโคราชเกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะมีพรรคชลบุรีบ้าง เพราะชลบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ น่าจะเป็นหลักให้ประเทศได้ โดยตั้งใจจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ในภาคตะวันออก 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ตั้งเป้ากวาด ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 10 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งนางสุกุมล คุณปลื้ม ภริยาของผมก็จะลงสมัคร ส.ส.ชลบุรีด้วย”
นายสนธยา ยืนยันด้วยว่า การออกมาจากพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรค เพราะตนกับนายเนวินไม่ได้เป็นแค่เพื่อนนักการเมือง แต่เป็นเหมือนพี่น้อง และก่อนออกจากพรรคภูมิใจไทย ตนก็ได้ปรึกษานายเนวินแล้ว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า เหตุที่นายสนธยาตัดสินใจออกจากพรรคภูมิใจไทยมาตั้งพรรคใหม่ครั้งนี้ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากฐานเสียงที่เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ ที่ไม่ต้องการลงคะแนนให้ ถ้านายสนธยายังอยู่กับพรรคภูมิใจไทยต่อไป
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย บอกว่า รู้มานานแล้วว่านายสนธยาไปตั้งพรรคใหม่ พร้อมยืนยันว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อพรรคภูมิใจไทยมากนัก เพราะกลุ่มนายสนธยามีแค่ 3-4 คน นายศุภชัย ยังส่งสัญญาณเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคพลังชลของนายสนธยาด้วย โดยบอกว่า หากกลุ่มนายสนธยาได้รับเลือกตั้ง อาจมาร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทยก็ได้ เพราะยังเป็นกลุ่มเดียวกันอยู่
4.ยอดเจ็บ-ตายสงกรานต์ปีนี้ ลดลงจากปีก่อน ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นหญิงนิรนามทำงามหน้า เต้นเปลื้องผ้าโชว์ที่สีลม!
บรรยากาศหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา นอกจากประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางไปท่องเที่ยวเล่นสาดน้ำตามต่างจังหวัดแล้ว ในส่วนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวเช่นกันที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 13-16 เม.ย.
ด้านมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ได้ร่วมกับศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สำรวจความเห็นประชาชนอายุ 12-30 ปี ใน กทม.และปริมณฑลกว่า 1,300 ครัวเรือน เกี่ยวกับพ่อตัวอย่างในโอกาสวันครอบครัว 14 เม.ย. พบว่า ในส่วนของนักการเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 47.3 ยกให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นพ่อตัวอย่าง รองลงมาคือ นายชวน หลีกภัย ร้อยละ 24.3 และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร้อยละ 8.8 ขณะที่ดารา ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 66.1 ยกให้เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ เป็นพ่อตัวอย่าง รองลงมาคือ สมบัติ เมทะนี ร้อยละ 6.0 และฉัตรชัย เปล่งพานิช ร้อยละ 4.0
สำหรับบรรยากาศการเล่นสาดน้ำใน กทม. ปีนี้ทาง กทม.ได้ชวนคนไทยร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการทำลายสถิติโลกเกี่ยวกับการสาดน้ำที่มีคนมากที่สุดในโลก ภายใต้ชื่องาน “สร้างสรรค์ สามัคคี ปีใหม่ไทย กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด” โดยพร้อมใจกันใช้ปืนฉีดน้ำใส่กันไม่หยุดเป็นเวลา 10 นาที ที่บริเวณลานเซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. โดยมีผู้ร่วมสร้างสถิติครั้งนี้กว่า 3,000 คน จากเดิมที่เมืองวอราโดเลีย ประเทศสเปน ทำสถิติโลกไว้ที่ 2,671 คน เมื่อปี 2550
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ปีนี้ มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นที่ย่านสีลม โดยมีวัยรุ่นหญิงกลุ่มหนึ่งได้ยึดพื้นที่แยกนรารมย์ ซึ่งเป็นสี่แยกบริเวณถนนสีลมตัดกับถนนราธิวาสราชนครินทร์ เต้นเปลื้องเสื้อชั้นในโชว์หน้าอกบนหลังคารถเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.ของวันที่ 14 เม.ย. ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความชอบใจของผู้ที่เล่นสาดน้ำสงกรานต์บริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มีผู้ถ่ายคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ด้านนายสุรเกียรติ ลิ้มเจริญ ผู้อำนวยการเขตบางรัก ซึ่งดูแลพื้นที่ย่านสีลม พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ทางเขตไม่ได้จัดงานดังกล่าว จึงอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่เบื้องต้นได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีถึงที่สุด ในข้อหากระทำอนาจารในที่สาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 388 แล้ว “เรื่องนี้สำหรับผม ผมรู้สึกซีเรียสมาก เสียใจมาก ถ้าวันนั้นผมอยู่ในเหตุการณ์ ผมจะขึ้นไปลากตัวลงมาส่งตำรวจเดี๋ยวนั้นจริงๆ คนไม่กี่คนทำความสุขและความดีงามของเทศกาลสงกรานต์ให้แปดเปื้อน เป็นความเสื่อม เป็นสิ่งที่น่าละอายมาก ทำให้คนเป็นหมื่นเป็นแสนที่มาเล่นฉลองสงกรานต์ด้วยความสุขต้องมาพบเจอสิ่งที่น่าละอาย”
ขณะที่ พ.ต.ท.โสตถินันท์ กัณฑวงศ์ รองผู้กำกับการ สน.ทุ่งมหาเมฆ พูดถึงคลิปวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวว่า ยังไม่แน่ใจว่า จุดที่เต้นโชว์อยู่ในท้องที่ สน.ทุ่งมหาเมฆหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 388 นั้น ผู้ใดกระทำการอันควรขายหน้าต่อธารกำนัล โดยเปลือยหรือเปิดเผยร่างกายหรือกระทำการลามกอย่างอื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และความผิดตาม พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ
สำหรับยอดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย(11-17 เม.ย.)นั้น ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เผยว่า ได้เกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 3,215 ครั้ง ลดลงจากปีที่แล้ว 301 ครั้ง ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตมีจำนวน 271 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 90 คน ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 3,476 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 326 คน สำหรับจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุด คือ พระนครศรีอยุธยา 19 คน ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา
1.“ประยุทธ์” สุดทน แจ้งจับ “จตุพร” หมิ่นสถาบัน ขณะที่เจ้าตัว ปฏิเสธทันควัน พร้อมฟ้องกลับ ด้าน “บิ๊กจิ๋ว” รับไม่ได้ ส่อทิ้ง “พท.” !
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ได้ชุมนุมใหญ่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พร้อมจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ส่วนการปราศรัยบนเวทีนั้น ไฮไลต์อยู่ที่ 3 คน คนแรกคือ นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ต้องหาคดีเผยแพร่คลิปการประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลบหนีไปต่างประเทศระยะหนึ่งและเพิ่งกลับมารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 30 มี.ค. โดยหลังจากตำรวจให้ประกันตัว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ก็ประกาศว่า นายพสิษฐ์จะมาขึ้นเวทีเสื้อแดงแฉคดีเบื้องหลังคดียุบพรรคพลังประชาชน-ไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ในการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงวันที่ 10 เม.ย. ทั้งนี้ นายพสิษฐ์ ได้กล่าวบนเวทีเสื้อแดง โดยเปรียบเทียบคดียุบพรรคว่าเหมือนการแข่งขันฟุตบอล ที่มีกรรมการมีหัวหน้ากรรมการเป็นผู้ตัดสิน แต่เผอิญผู้จัดการสนามซึ่งไม่มีหน้าที่ต้องมายุ่ง กลับพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้สโมสรที่ตัวเองชอบชนะ โดยผู้จัดการสนามมีบุญคุณกับหัวหน้าผู้ตัดสิน ขณะที่หัวหน้าผู้ตัดสินก็อยากเลื่อนวิทยฐานะตัวเองเป็นบอร์ดกรรมการสนาม ผู้จัดการสนามจึงใช้มือวิเศษและเท้าวิเศษ สโมสรไหนที่ตัวเองชอบก็ใช้มือวิเศษบอกว่าช่วยหน่อยนะ แต่ถ้าทีมไหนไม่ชอบก็ใช้เท้าวิเศษกระทืบมัน นายพสิษฐ์ ยังอ้างด้วยว่า มีความพยายามสกัดไม่ให้ตนมาขึ้นเวทีเสื้อแดง “พี่น้องฟังแล้วกลับไปคิดดูยังอยากดูการเล่นแบบนี้หรือไม่ วันนี้หูตาสว่างกันได้แล้วครับ ตัวจริงเสียงจริงมาแล้ว ไม่กลัวตายด้วยครับ เขายิ่งไม่ให้มา ผมยิ่งมาครับ พี่น้องสู้ไหมครับ ต้องยุติธรรมใช่ไหมครับ”
สำหรับไฮไลต์คนที่ 2 คือนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ซึ่งปราศรัยหลายข้อความที่อาจเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน เช่น กล่าวหาว่าทหารรักษาพระองค์และทหารเสือพระราชินีเป็นคนยิงคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 นอกจากนี้ยังได้กล่าวเปรียบเปรยว่าเป็นการฆ่าลูกเพื่อปกป้องพ่อ ฆ่าลูกเพื่อพ่อ ฆ่าลูกเพื่อแม่ รวมทั้งกล่าวกระทบกระเทียบว่าอยากไปออกรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย ฯลฯ
ส่วนไฮไลต์คนที่ 3 ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่วิดีโอลิงก์มาสดุดีคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 พร้อมกล่าวหาว่าทหารเป็นฝ่ายใช้ปืนสไนเปอร์ยิงคนเสื้อแดง และว่า ตนกำลังให้ทนายความยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้ทวีตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ในเวลาต่อมา โดยวอนให้ทุกฝ่ายหยุดสาดโคลนทางการเมืองต่อกัน “...หลังสงกรานต์ อยากขอร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันในฐานะคนไทยด้วยกัน สาดน้ำเสร็จก็สะอาดแล้ว หยุดสาดโคลนการเมืองกันเถอะ บ้านเมืองจะได้เดินต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกล่าวถึงหรืออ้างอิงสถาบัน เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ผมขอร้องทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นแดง เป็นเหลือง เป็นพรรคการเมืองหรือกองทัพ”
ทั้งนี้ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงอย่างมาก โดยเฉพาะถ้อยคำของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่หลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าน่าจะเข้าข่ายละเมิดและหมิ่นสถาบัน โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ถึงกับทนไม่ได้ ต้องส่งนายทหารพระธรรมนูญของกองทัพบกไปแจ้งความต่อตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ เพื่อดำเนินคดีนายจตุพร รวมทั้งแกนนำ นปช.อีก 2 คนที่กล่าวทำนองเดียวกันในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คือ นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงพฤติกรรมของแกนนำ นปช.ที่ก้าวล่วงสถาบันด้วยว่า “ผมเป็นทหารรับไม่ได้ ดังนั้น ต้องออกมาช่วยกันดูแล ขัดขวาง ไม่ให้คนเหล่านี้พูดจาหรือให้ร้ายอีก ประเทศไทยมีอยู่ไม่กี่คนไม่กี่กลุ่มที่ทำให้สถาบันเสียหาย ผมคิดว่าสิ่งที่ทำจะสนองกลับโดยเร็ววัน”
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็เห็นด้วยว่าควรมีการดำเนินคดีแกนนำ นปช.ที่กล่าวปราศรัยจาบจ้วงสถาบัน โดยชี้ว่า เป็นการกระทำที่ไม่สมควรและกระทบต่อจิตใจคนไทยอย่างยิ่ง นายสุเทพ ยังสวนกลับ พ.ต.ท.ทักษิณที่ระบุว่าหลังสงกรานต์ไม่ควรสาดโคลนเรื่องการล้มล้างสถาบันด้วยว่า “คุณทักษิณนั่นแหละตัวดี ต้องหยุดสักที หยุดสั่งสักที ผมฝากไปเลย ทำความผิดในประเทศหลายเรื่องแล้ว ก็เห็นอยู่ เวลาโทรศัพท์ไปพูดกับแดง ใช้คำไม่เหมาะสม ทั้งหมด พ.ต.ท.ทักษิณและบริวารควรหยุดเสียที” นายสุเทพ ยังบอกให้ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดตีสองหน้าด้วย เพราะการบอกให้ลูกน้องออกมาทำสิ่งที่ไม่สมควร แล้วตัวเองออกมาทำเป็นว่าขอร้องให้ฝ่ายโน้นฝ่ายนี้หยุดสาดโคลนกันนั้น ถือว่าเป็นการตีสองหน้าอย่างชัดเจน
ด้านแกนนำ นปช.ไม่พอใจที่ถูกผู้บัญชาทหารบกแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบัน จึงได้เปิดแถลงตอบโต้(13 เม.ย.) โดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ ยืนยันว่า คนเสื้อแดงไม่เคยมีความคิดจะล้มล้างสถาบัน อีกทั้งที่ผ่านมาได้แสดงความจงรักภักดีปกป้องสถาบันมาตลอด ทั้งนี้ นายจตุพร ,นายวิเชียร ขาวขำ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ แกนนำ นปช. ที่ถูก พล.อ.ประยุทธ์ ส่งนายทหารพระธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีฐานหมิ่นสถาบัน ได้เอาคืนด้วยการเข้าแจ้งความกลับให้ตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ดำเนินคดี พล.อ.ประยุทธ์ และนายทหารพระธรรมนูญ ข้อหาแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ก็ยืนยันแทนคนเสื้อแดงทุกคนว่า “คนเสื้อแดงขอยืนยันว่าเราไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสถาบันเบื้องสูง การต่อสู้ของคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น การดำรงอยู่ของสถาบันเบื้องสูงไม่เป็นปัญหาใดใดกับคนเสื้อแดง”
ทั้งนี้ ไม่เพียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก จะแจ้งความดำเนินคดีนายจตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำ นปช.บางคนฐานหมิ่นสถาบัน แต่ทางอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ ยังเตรียมดำเนินคดีแกนนำ นปช.และแนวร่วมจำนวน 18 คนฐานหมิ่นสถาบันเช่นกัน หลังจากตรวจสอบคลิป ภาพถ่าย และคำพูดของบุคคลที่ร่วมปราศรัยทั้ง 18 คนแล้ว น่าจะเข้าข่ายถูกดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงมาตรา 112 ฐานหมิ่นสถาบัน และมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นให้มีการล่วงละเมิดกฎหมาย นายธาริต ยังได้เตรียมไปยื่นถอนประกันแกนนำ นปช.ทั้ง 9 คนที่ได้รับการประกันตัวก่อนหน้านี้ แต่ยังไปขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยจะยื่นขอถอนประกันทั้งต่อศาลและอัยการในวันที่ 18 เม.ย.เวลา 10.00น.
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า การที่แกนนำ นปช. ซึ่งผูกติดอยู่กับพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้กล่าวพาดพิงจาบจ้วงสถาบันรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในการปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ส่งผลให้ฝ่ายความมั่นคงโทรศัพท์ถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ถอนตัวออกจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย คนสนิท พล.อ.ชวลิต บอกว่า มีแนวโน้มสูงที่ พล.อ.ชวลิตจะตัดสินใจลาออกจากพรรคเพื่อไทย เพราะ พล.อ.ชวลิตเป็นอดีตนายกฯ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และอดีตผู้บัญชาการทหารบก มีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ประกอบกับ พล.อ.ชวลิตได้ประกาศต่อสาธารณะว่ามาอยู่พรรคเพื่อไทย เพื่อการันตีความจงรักภักดีให้ เมื่อบุคลากรของพรรคทำตรงกันข้าม พล.อ.ชวลิตจึงไม่ควรอยู่ให้เสียคนตอนแก่ ทั้งนี้ นายชวลิต บอกให้รอฟังเหตุผลการตัดสินใจของ พล.อ.ชวลิตในเร็วๆ นี้
2. “กกต.” รับรอง 73 ส.ว.สรรหาชุดใหม่แล้ว ด้าน “พท.” ซัด ทายาทอสูร ขณะที่ “เรืองไกร” เตรียมร้องค้านหลังสอบตก!
ความคืบหน้าการคัดเลือก ส.ว.สรรหาชุดใหม่เพื่อทดแทนชุดเก่าที่อยู่ในตำแหน่งมาครบวาระ 3 ปี ล่าสุด ได้ตัวบุคคลเรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมการสรรหาที่มีนายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นประธานได้คัดเลือก ส.ว.สรรหาจำนวน 73 คนจากผู้สมัครทั้งหมด 658 คน แล้วส่งต่อให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อประกาศรับรอง ซึ่ง กกต.ได้ประกาศรายชื่อ ส.ว.สรรหาทั้ง 73 คนให้สาธารณชนได้ทราบอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 เม.ย.
สำหรับ ส.ว.สรรหาทั้ง 73 คน คัดเลือกมาจาก 5 ภาค ภาควิชาการ 14 คน ได้แก่ นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีต ส.ว.สรรหา ,นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ปี 2550 ,ศาสตราจารย์เกียรติคุณตรึงใจ บูรณสมภพ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายพิเชต สุนทรพิพิธ อดีต ส.ว.สรรหา ,รศ.วิชุดา รัตนเพียร น้องสาวนายประวิช รัตนเพียร อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ฯลฯ ส.ว.สรรหาจากภาครัฐ 14 คน ได้แก่ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร อดีตประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ,พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม จากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ,นายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช พี่ชายนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ฯลฯ
ส.ว.สรรหาจากภาคเอกชน 15 คน ได้แก่ นายบุญชัย โชควัฒนา จากหอการค้าไทย ,นายวันชัย สอนศิริ ทนายความ ,นางยุวดี นิ่มสมบุญ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย อดีต ส.ว.สรรหา ฯลฯ ส.ว.สรรหาจากภาควิชาชีพ 15 คน ได้แก่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ,พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ,นางกีระณา สุมาวงศ์ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายตวง อันทะไชย อดีต ส.ว.สรรหา ,รศ.ทัศนา บุญทอง อดีต ส.ว.สรรหา ,นายสมชาย แสวงการ อดีต ส.ว.สรรหา ,นายสัก กอแสงเรือง จากสภาทนายความ ,พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีกลาโหม น้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม ฯลฯ ส่วน ส.ว.สรรหาจากภาคอื่นจำนวน 15 คน ได้แก่ พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์ จาสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ ,นายมณเฑียร บุญตัน จาสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ,พล.ต.ท.สมยศ ดีมาก จากสมาพันธ์สมาคมศิษย์เก่าคณะเซนต์คาเบรียลแห่งประเทศไทย ,นายจักรธรรม ธรรมศักดิ์ จากพุทธสมาคมแห่งประเทศไทย ฯลฯ
ทั้งนี้ ในบรรดา ส.ว.สรรหาชุดใหม่ 73 คน มี ส.ว.สรรหาชุดเก่าได้รับเลือกเข้ามาด้วยจำนวน 31 คน ขณะที่พรรคเพื่อไทย(พท.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ส.ว.สรรหาชุดใหม่ มีหลายคนเป็นทายาทอสูร เช่น พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) และนายสัก กอแสงเรือง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)
ด้าน พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม เผยความรู้สึกหลังได้รับเลือกเป็น ส.ว.สรรหาว่า รู้สึกดีใจที่ได้รับการสรรหาให้มาทำงานเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง ส่วนที่มีการวิจารณ์ตนโดยผูกโยงกับกองทัพนั้น ยอมรับว่า ตนไม่สามารถปฏิเสธความเป็นทหารได้ แต่เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์อุดมการณ์ของตน “ผมพยายามที่จะทำอะไรก็ได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ให้คนเลวมีโอกาสมารับผิดชอบบริหารประเทศ... ผมมาจากทหาร แน่นอนที่ต้องมีความผูกพันกับกองทัพ ทหารมีหลายแบบ ต้องดูว่าจะพิสูจน์ตัวผมเองได้อย่างไร”
ขณะที่ พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชาย พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม เผยหลังได้รับเลือกเป็น ส.ว.สรรหาว่า ภูมิใจที่ได้มีโอกาสเข้ามาช่วยงานบ้านเมือง พร้อมยืนยันว่า การเป็นน้องชาย พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เป็นสาเหตุให้ได้รับเลือกครั้งนี้ ด้านนายประสงค์ศักดิ์ บุญเดช พี่ชายนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ก็ยืนยันเช่นกันว่า เหตุที่ตนได้รับเลือกเป็น ส.ว.สรรหา มาจากความรู้ความสามารถ ไม่เกี่ยวกับที่เป็นพี่ชายของนายประสพสุข
ส่วนกรณีที่มีบางฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่า ส.ว.สรรหาชุดใหม่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้ออกมาสวนกลับว่า “จริงหรือ ถามว่า พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ นี่ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณไหม ดร.สม จาตุศรีพิทักษ์ ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณไหม พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ต่อต้านทักษิณไหม คนพูดมันพูดเอาแต่ได้...พูดแบบนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. มันพูดให้ชาติเสียหาย”
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีอดีต ส.ว.สรรหาบางคนที่สอบตกไม่ได้รับเลือกในครั้งนี้ ออกมาร้องคัดค้านผลการสรรหา ส.ว.แล้ว นั่นคือ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ โดยบอกว่า จะไปร้องคัดค้านการสรรหา ส.ว.ในวันที่ 18 เม.ย. เพราะการสรรหาดังกล่าวน่าจะไม่ถูกต้องในหลายประเด็น เช่น ในการประชุมคณะกรรมการสรรหา นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) ไม่ได้เข้าประชุมด้วย ส่วน ส.ว.สรรหาชุดเก่าที่ได้รับเลือกเข้ามา 31 คน ก็อาจมีปัญหาเรื่องการนับอายุเวลา เป็นต้น
ทั้งนี้ หลัง กกต.ประกาศรับรองผลการสรรหา ส.ว.ทั้ง 73 คนแล้ว นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 และรักษาการประธานวุฒิสภา จึงได้นัดประชุมวุฒิสภาในวันที่ 18 เม.ย.นี้ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง 3 ฉบับ ในวาระ 2 และ 3 พร้อมนัดประชุมวุฒิสภาเพื่อเลือกประธานวุฒิสภาคนใหม่แทนนายประสพสุข บุญเดช ที่หมดวาระจากการเป็น ส.ว.สรรหาในวันที่ 22 เม.ย. นายนิคม ยังส่งสัญญาณเชิงหาเสียงให้ตัวเองด้วยว่า “หากผมได้รับเลือกตั้งเป็นประธานวุฒิสภา จะเปิดโอกาสให้ ส.ว.สรรหาได้มีโอกาสเข้ามาดำรงตำแหน่งรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 อย่างไรก็ดี ผมจะไม่ลาออกจากตำแหน่งรองประธานคนที่ 1 ก่อนเพื่อลงสมัครประธานวุฒิสภา”
3. “ทักษิณ” ดัน “ยิ่งลักษณ์” นั่งเก้าอี้นายกฯ ด้าน “สนธยา” ทิ้ง ภท. ตั้งพรรคใหม่ ขณะที่ “ประดิษฐ์” ตีจาก รช. เล็งซบ ชพ.!
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งกระแสย้ายพรรค และการแยกวงตั้งพรรคใหม่ รวมทั้งการหาแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย โดยในส่วนของพรรคเพื่อไทยนั้น หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกมาเคาะก่อนหน้านี้แล้วว่า คนที่พรรคจะชูเป็นนายกฯ คือที่คนที่พรรควางให้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ(ปาร์ตี้ลิสต์)ลำดับที่ 1 นั้น ล่าสุด แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย เผย(10 เม.ย.)ว่า หลังจากแกนนำพรรค อาทิ นายสมชาย-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ หัวหน้ากลุ่มวังบัวบาน และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางไปปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณเกี่ยวกับการจัดบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อที่เมืองดูไบแล้ว ทุกคนเห็นตรงกันว่า ผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะได้อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเป็นสายตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณที่สุด โดยจะนำข้อสรุปดังกล่าวไปหารือกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรคที่มี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นประธาน เพื่อจัดบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์คนอื่นๆ ต่อไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย รวมทั้งนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่มีข่าวว่าจะย้ายพรรคไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยจะชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ เพราะเป็นคนในตระกูลชินวัตร และใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณมาก อาจทำให้เกิดปัญหาหลังเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ตาม หลังมีข่าวออกมา นายเสนาะได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เคยบอกว่าไม่เห็นด้วย และไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเรื่องดังกล่าวได้ เพราะตนยังไม่ได้ย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทยเต็มตัว
ขณะที่นายสุรสิทธิ์ เจียมวิจักษณ์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็น ส.ส.กลุ่มนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ พูดถึงข่าวที่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณเคาะแล้วว่าให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั่งปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 เพื่อชูเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าดี ทุกอย่างจะได้จบ พร้อมเชื่อว่า ข่าวดังกล่าวจะไม่ทำให้นายมิ่งขวัญตีจากพรรคเพื่อไทยไปตั้งพรรคใหม่ นายสุรสิทธิ์ ยังคุยโวด้วยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เหมาะที่จะเป็นนายกฯ มากกว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ถ้าเทียบความรู้ความสามารถ คุณปู(น.ส.ยิ่งลักษณ์) เก่งกว่านายอภิสิทธิ์เยอะ เคยบริหารบริษัทใหญ่ ทำธุรกิจประสบความสำเร็จมาก เส้นทางการต่อสู้ชีวิตของคุณปูเหมือนท่านทักษิณ ส่วนนายอภิสิทธิ์ไม่มีอะไรเลย แค่เด็กจบจากเมืองนอก ฝึกให้พูดเก่งๆ มีภาพลักษณ์ดีๆ เท่านั้น ไม่มีประสบการณ์ทำธุรกิจและทำมาหากินอะไร”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ส่งสัญญาณไม่สนข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณและพรรคเพื่อไทยเตรียมชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ โดยบอกว่า ถึงนาทีนี้ พ.ต.ท.ทักษิณต้องพยายามหาคนที่มีภาพลักษณ์ดีมากลบภาพลักษณ์ตัวเอง ถ้าหาใครไม่ได้ก็ต้องเอาพี่น้องตัวเองขึ้นมา ซึ่งไม่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์หวั่นไหว เพราะแพ้ชนะอยู่ที่ประชาชน พร้อมยืนยันว่า กระแสนิยมนายอภิสิทธิ์ยังดีไม่มีลด และเหมาะจะเป็นนายกฯ อีกครั้งหลังเลือกตั้งครั้งหน้า
นอกจากความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมีกระแสย้ายพรรคของแกนนำบางพรรค เช่น นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เลขาธิการพรรครวมชาติพัฒนา(รช.) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ยื่นหนังสือลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรครวมชาติพัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเลขาธิการพรรค กรรมการบริหารพรรค และสมาชิกพรรค โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. อย่างไรก็ตาม นายประดิษฐ์ไม่ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยคลังแต่อย่างใด ทั้งนี้ มีข่าวก่อนหน้านี้ว่า นายประดิษฐ์จะย้ายไปอยู่กับ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ที่พรรคชาติไทยพัฒนา(ชพ.) ด้าน นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ยืนยันว่า การลาออกของนายประดิษฐ์จะไม่ส่งผลกระทบกับงานของพรรค เพราะยังมีรองเลขาธิการพรรคทำหน้าที่แทน
นอกจากกระแสย้ายพรรคแล้ว ยังมีการแยกวงตั้งพรรคใหม่ โดยเกิดขึ้นที่พรรคภูมิใจไทย(ภท.) เมื่อนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้ากลุ่มชลบุรี(1 ในผู้ที่ติดอยู่ในบ้านเลขที่ 111) ได้ออกมายอมรับ(15 เม.ย.)ว่า ตนได้ให้ภรรยาไปยื่นจดตั้งพรรคใหม่แล้ว ชื่อ “พรรคพลังชล” ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ถ้ารับรองเมื่อไหร่ จะเปิดตัวทันที ส่วนเหตุผลที่แยกมาตั้งพรรคใหม่นั้น นายสนธยา บอกว่า “เพราะได้รับเสียงเรียกร้องจากประชาชนในพื้นที่ กอปรกับเป็นความตั้งใจที่มีมานาน เมื่อมีพรรคโคราชเกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะมีพรรคชลบุรีบ้าง เพราะชลบุรีถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ น่าจะเป็นหลักให้ประเทศได้ โดยตั้งใจจะส่งผู้สมัคร ส.ส.ในภาคตะวันออก 4 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ตั้งเป้ากวาด ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 10 คน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งนางสุกุมล คุณปลื้ม ภริยาของผมก็จะลงสมัคร ส.ส.ชลบุรีด้วย”
นายสนธยา ยืนยันด้วยว่า การออกมาจากพรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรค เพราะตนกับนายเนวินไม่ได้เป็นแค่เพื่อนนักการเมือง แต่เป็นเหมือนพี่น้อง และก่อนออกจากพรรคภูมิใจไทย ตนก็ได้ปรึกษานายเนวินแล้ว อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า เหตุที่นายสนธยาตัดสินใจออกจากพรรคภูมิใจไทยมาตั้งพรรคใหม่ครั้งนี้ เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากฐานเสียงที่เป็นสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ ที่ไม่ต้องการลงคะแนนให้ ถ้านายสนธยายังอยู่กับพรรคภูมิใจไทยต่อไป
ด้านนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย บอกว่า รู้มานานแล้วว่านายสนธยาไปตั้งพรรคใหม่ พร้อมยืนยันว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อพรรคภูมิใจไทยมากนัก เพราะกลุ่มนายสนธยามีแค่ 3-4 คน นายศุภชัย ยังส่งสัญญาณเป็นพันธมิตรทางการเมืองกับพรรคพลังชลของนายสนธยาด้วย โดยบอกว่า หากกลุ่มนายสนธยาได้รับเลือกตั้ง อาจมาร่วมกิจกรรมกับพรรคภูมิใจไทยก็ได้ เพราะยังเป็นกลุ่มเดียวกันอยู่
4.ยอดเจ็บ-ตายสงกรานต์ปีนี้ ลดลงจากปีก่อน ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นหญิงนิรนามทำงามหน้า เต้นเปลื้องผ้าโชว์ที่สีลม!
บรรยากาศหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา นอกจากประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาและเดินทางไปท่องเที่ยวเล่นสาดน้ำตามต่างจังหวัดแล้ว ในส่วนของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวเช่นกันที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ตั้งแต่วันที่ 13-16 เม.ย.
ด้านมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว ได้ร่วมกับศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ สำรวจความเห็นประชาชนอายุ 12-30 ปี ใน กทม.และปริมณฑลกว่า 1,300 ครัวเรือน เกี่ยวกับพ่อตัวอย่างในโอกาสวันครอบครัว 14 เม.ย. พบว่า ในส่วนของนักการเมือง ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 47.3 ยกให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเป็นพ่อตัวอย่าง รองลงมาคือ นายชวน หลีกภัย ร้อยละ 24.3 และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร้อยละ 8.8 ขณะที่ดารา ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 66.1 ยกให้เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ เป็นพ่อตัวอย่าง รองลงมาคือ สมบัติ เมทะนี ร้อยละ 6.0 และฉัตรชัย เปล่งพานิช ร้อยละ 4.0
สำหรับบรรยากาศการเล่นสาดน้ำใน กทม. ปีนี้ทาง กทม.ได้ชวนคนไทยร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยการทำลายสถิติโลกเกี่ยวกับการสาดน้ำที่มีคนมากที่สุดในโลก ภายใต้ชื่องาน “สร้างสรรค์ สามัคคี ปีใหม่ไทย กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด” โดยพร้อมใจกันใช้ปืนฉีดน้ำใส่กันไม่หยุดเป็นเวลา 10 นาที ที่บริเวณลานเซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อวันที่ 13 เม.ย. โดยมีผู้ร่วมสร้างสถิติครั้งนี้กว่า 3,000 คน จากเดิมที่เมืองวอราโดเลีย ประเทศสเปน ทำสถิติโลกไว้ที่ 2,671 คน เมื่อปี 2550
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ปีนี้ มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเกิดขึ้นที่ย่านสีลม โดยมีวัยรุ่นหญิงกลุ่มหนึ่งได้ยึดพื้นที่แยกนรารมย์ ซึ่งเป็นสี่แยกบริเวณถนนสีลมตัดกับถนนราธิวาสราชนครินทร์ เต้นเปลื้องเสื้อชั้นในโชว์หน้าอกบนหลังคารถเมื่อเวลาประมาณ 23.00 น.ของวันที่ 14 เม.ย. ท่ามกลางเสียงโห่ร้องด้วยความชอบใจของผู้ที่เล่นสาดน้ำสงกรานต์บริเวณดังกล่าว ทั้งนี้ ได้มีผู้ถ่ายคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง
ด้านนายสุรเกียรติ ลิ้มเจริญ ผู้อำนวยการเขตบางรัก ซึ่งดูแลพื้นที่ย่านสีลม พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ทางเขตไม่ได้จัดงานดังกล่าว จึงอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่เบื้องต้นได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีถึงที่สุด ในข้อหากระทำอนาจารในที่สาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 388 แล้ว “เรื่องนี้สำหรับผม ผมรู้สึกซีเรียสมาก เสียใจมาก ถ้าวันนั้นผมอยู่ในเหตุการณ์ ผมจะขึ้นไปลากตัวลงมาส่งตำรวจเดี๋ยวนั้นจริงๆ คนไม่กี่คนทำความสุขและความดีงามของเทศกาลสงกรานต์ให้แปดเปื้อน เป็นความเสื่อม เป็นสิ่งที่น่าละอายมาก ทำให้คนเป็นหมื่นเป็นแสนที่มาเล่นฉลองสงกรานต์ด้วยความสุขต้องมาพบเจอสิ่งที่น่าละอาย”
ขณะที่ พ.ต.ท.โสตถินันท์ กัณฑวงศ์ รองผู้กำกับการ สน.ทุ่งมหาเมฆ พูดถึงคลิปวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวว่า ยังไม่แน่ใจว่า จุดที่เต้นโชว์อยู่ในท้องที่ สน.ทุ่งมหาเมฆหรือไม่ อยู่ระหว่างตรวจสอบ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 388 นั้น ผู้ใดกระทำการอันควรขายหน้าต่อธารกำนัล โดยเปลือยหรือเปิดเผยร่างกายหรือกระทำการลามกอย่างอื่น ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และความผิดตาม พ.ร.บ.วัฒนธรรมแห่งชาติ
สำหรับยอดอุบัติเหตุและผู้เสียชีวิตในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย(11-17 เม.ย.)นั้น ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เผยว่า ได้เกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 3,215 ครั้ง ลดลงจากปีที่แล้ว 301 ครั้ง ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตมีจำนวน 271 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 90 คน ส่วนผู้บาดเจ็บมีจำนวน 3,476 คน ลดลงจากปีที่แล้ว 326 คน สำหรับจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุมากที่สุด คือ พระนครศรีอยุธยา 19 คน ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เมาสุรา