xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 6-12 มี.ค.2554

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “ในหลวง-พระราชินี” ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยเหตุแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น!
 ผลจากแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิถล่มเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น(11 มี.ค.)
เมื่อวันที่ 11 มี.ค.เวลา 14.46น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 12.46น.ตามเวลาในประเทศไทย ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรง 8.9 ริกเตอร์ บริเวณนอกชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูง 4-10 เมตร สร้างความเสียหายให้อาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างหลายแห่ง โดยเฉพาะในเมืองเซนได จังหวัดมิยางิ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างถูกคลื่นซัดลอยไปกับสายน้ำ ไม่เท่านั้นยังเกิดไฟลุกไหม้ขึ้นที่โรงกลั่นน้ำมันคอสโม ในเมืองอิจิฮารา จังหวัดจิบะ และอีกหลายจังหวัดของญี่ปุ่น ขณะที่สนามบินอิบารากิทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากกรุงโตเกียวราว 80 กิโลเมตร ที่เพิ่งสร้างเสร็จเป็นเวลา 1 ปี ก็พังถล่มลงมา

ทั้งนี้ ผลจากแผ่นดินไหวและสึนามิดังกล่าว ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยพบผู้เสียชีวิตแล้วหลายร้อยราย ผู้บาดเจ็บอีก 1 พันกว่าราย และยังมีผู้สูญหายอีกนับพันราย โดยตัวเลขยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

รายงานแจ้งว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้ นับว่ารุนแรงที่สุดในรอบ 140 ปีของญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังจัดเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดอันดับ 7 ของโลก โดยที่ญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้เคยเกิดแผ่นดินไหวที่เขตคันโตเมื่อปี 2466 วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 8.3 ริกเตอร์ มีผู้เสียชีวิตไป 143,000 คน ส่วนปี 2539 เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงอีกครั้งที่เมืองโกเบ ความรุนแรง 7.2 ริกเตอร์ มีผู้เสียชีวิต 6,300 คน

อนึ่ง ญี่ปุ่นตั้งอยู่บนวงแหวนไฟแปซิฟิก ซึ่งประกอบไปด้วยภูเขาไฟจำนวนมาก เป็นพื้นที่เกิดแผ่นดินไหวกว่า 90% ของโลก

ด้านนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า มีคนไทยอยู่ในญี่ปุ่นประมาณ 5 หมื่นคน โดยอยู่ในกรุงโตเกียว 2-3 หมื่นคน สำหรับพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวครั้งนี้มากที่สุดคือ จังหวัดมิยางิ ซึ่งมีคนไทยอาศัยอยู่ประมาณ 300 คน ส่วนใหญ่แต่งงานกับชาวญี่ปุ่น และมีนักเรียนบางส่วน ด้านสถานทูตไทยรีบประสานเพื่อตรวจสอบว่าคนไทยในมิยางิต้องการความช่วยเหลืออะไรบ้าง

หลังเกิดแผ่นดินไหวและเกิดคลื่นสึนามิอย่างรุนแรง จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชสาส์นแสดงความเสียพระราชหฤทัยไปยังสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ได้ส่งสาส์นแสดงความเสียใจไปยังนายนาโอโตะ คัง นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเช่นกัน รวมทั้งมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น 5 ล้านบาทให้รัฐบาลญี่ปุ่นด้วย โดยพร้อมช่วยเหลือเพิ่มเติม หากญี่ปุ่นประสานมา

2. “อภิสิทธิ์” ประกาศ ยุบสภาสัปดาห์แรกเดือน พ.ค. ด้าน “ณัฐวุฒิ” เย้ย ยุบหนียึดอำนาจ ขณะที่ “เฉลิม” โว “บุหรี่” หมัดน็อครัฐบาล!
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ความคืบหน้ากรณีพรรคเพื่อไทย(พท.) ในฐานะฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 9 คน รวมทั้งยื่นถอดถอนนายกฯ และรัฐมนตรีอีก 8 คน โดยขอเวลาอภิปราย 4 วัน คาดว่าจะเป็นวันที่ 15-18 มี.ค. ขณะที่ 1 ในประเด็นหลักที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายนายกฯ ก็คือ เชื่อว่านายกฯ มีส่วนรู้เห็นในการวิ่งเต้นล้มคดีกรณีอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องบริษัท ฟิลลิปมอร์ริส (ไทยแลนด์) จำกัด กรณีเลี่ยงภาษีบุหรี่ ทำให้รัฐเสียประโยชน์จากภาษีที่ควรจะได้รับ 6.8 หมื่นล้านบาทนั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค. นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต ส.ส.มหาสารคาม และอดีตผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ซึ่งย้ายมาอยู่พรรคเพื่อไทย โดยเป็นรองโฆษกพรรค ได้เปิดแถลงร่วมกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยแฉว่า นายกฯ ชอบสร้างภาพพจน์ว่าเป็นคุณชายขาวสะอาด แต่กลับใช้ “เสี่ย ก.” คนใกล้ชิดที่ทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาล วิ่งเต้นล็อบบี้เพื่อล้มคดีของบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ ซึ่งนายกฯ ต้องรู้ดีอยู่แล้วว่า เสี่ยดังกล่าวเป็นล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังระดับประเทศ “ถ้านายกฯ ยังไม่จัดการกับเสี่ย ก. จะนำหลักฐานอื่นมาแฉอีกว่าเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร ซึ่งผมได้ข้อมูลจากคน ปชป. ที่ไม่สามารถทนพฤติกรรมได้ จึงนำข้อมูลมาบอกผม”

ขณะที่นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาสำทับว่า พรรคเพื่อไทยมีหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นถึงพฤติการณ์แทรกแซงกระบวนการพิจารณาของอัยการสูงสุด ซึ่งเป็นเอกสารที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำถึงหน่วยงานราชการต่างๆ 7 หน่วย เพื่อหารือกรณีดีเอสไอสั่งฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ ในวันที่ 2 ก.ย.2552 แต่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น นายกฯ ถึงได้ให้หน่วยงานต่างๆ ที่สั่งฟ้องทบทวน โดยอ้างว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ นายประเกียรติ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า นายกฯ เพี้ยนหรือเปล่า เพราะแม้ว่าบุหรี่ที่นำเข้าจะผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ผู้นำเข้าสำแดงเท็จหลบเลี่ยงภาษีของไทย ถือเป็นความผิดของบริษัทเอกชนที่เป็นผู้นำเข้า ไม่ใช่ความผิดของประเทศผู้ผลิต เรื่องนี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใดใด

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ไม่มีการแทรกแซงคดีอยู่แล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า มีชื่อนายเกียรติ สิทธีอมร ผู้แทนการค้าไทย และคณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ บอกว่า “เห็นนายเกียรติบอกว่าจะให้ข่าว เชื่อว่าไม่มีปัญหาอะไร”

ทั้งนี้ วันเดียวกัน(7 มี.ค.) นายเกียรติ ได้เปิดแถลงข่าวตอบโต้นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า “เสี่ย ก.” เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงคดีบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ โดยยืนยันว่า ตนไม่รู้ เพราะไม่เคยเป็นเสี่ย แต่ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ในฐานะที่ตนเป็นผู้แทนการค้าไทย เพราะเรื่องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ มีการฟ้องร้องกันไปถึงองค์การการค้าโลก(ดับเบิลยูทีโอ) และว่า เรื่องดับเบิลยูทีโอที่เกี่ยวกับบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ มีหลายหน่วยงานมากที่เกี่ยวข้อง “ฝ่ายค้านพยายามจะโยงเรื่องดับเบิลยูทีโอกับการดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมของกฎหมายไทย ซึ่งมีหลายประเด็นที่อาจจะเกี่ยวเนื่อง แต่บางประเด็นก็ไม่เกี่ยวเนื่องกันเลย ดังนั้น อย่าโยงแบบเหมารวมในลักษณะนี้ เพราะไม่น่าจะเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง” ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความพยายามแทรกแซงอัยการจริงหรือไม่ นายเกียรติ ตอบอย่างมีอารมณ์ว่า “แทรกแซงได้ยังไง ถามจริงๆ เถอะ มีใครเคยแทรกแซงอัยการได้หรืออย่างไร และผมไม่เคยเห็นท่านนายกฯ จะไปแทรกแซง จะไปแทรกแซงด้วยวิธีไหน”

ขณะที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาเตือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีว่า หากยังไม่ชี้แจงเรื่องดังกล่าว พรรคเพื่อไทยจะเปิดประเด็นใหม่ทุกวันต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย บอกว่า ข้อมูลเรื่องรัฐบาลแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมกรณีบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ สำแดงราคาบุหรี่เป็นเท็จ ถือว่าเป็นข้อมูลเด็ดที่จะน็อครัฐบาลได้ เพราะมีความชัดเจนทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนถึงการพิจารณาของดีเอสไอ กระทั่งอัยการสั่งไม่ฟ้อง “ผมก็มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน และหากให้ผมช่วยในการอภิปราย ก็ยินดี เพราะก็มีข้อมูลอีกส่วนที่เชื่อมโยงถึงนักการเมืองที่เกี่ยวข้องด้วย”

ด้านนางแทมมี่ แซน ผู้จัดการทั่วไป ฟิลลิป มอร์ริส สาขาประเทศไทย เผยว่า คณะกรรมการไต่สวนข้อพิพาทของดับเบิลยูทีโอได้มีคำวินิจฉัจล่าสุดว่า หน่วยงานศุลกากรของไทยไม่มีเหตุผลใดในการปฏิเสธราคาสำแดงของบริษัทฯ “ขอยืนยันว่า ราคาศุลกากรที่บริษัทได้สำแดงนั้น เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายประเทศไทยและหลักเกณฑ์ด้านการประเมินราคาศุลกากรที่เกี่ยวข้องกับดับเบิลยูทีโออย่างถูกต้องเสมอมา”

ขณะที่นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด พูดถึงกรณีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้องบริษัท ฟิลลิป มอร์ริสฯ กับพวกซึ่งเป็นผู้บริหารรวม 14 คน ร่วมกันแสดงราคานำเข้าบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร และแอลแอนด์เอ็ม จากประเทศฟิลิปปินส์ต่ำกว่าปกติ เพื่อชำระภาษีบุหรี่ต่อกรมสรรพสามิตน้อยกว่าความเป็นจริง ทำให้รัฐเสียหายกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ทั้งที่ในชั้นสอบสวน พนักงานอัยการที่ทำงานร่วมกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีความเห็นสั่งฟ้อง โดยยืนยันว่า อัยการพิจารณาสำนวนไปตามพยานหลักฐาน ไม่มีอำนาจใดใดจากภายนอกมากดดันการพิจารณาสั่งคดีของอัยการได้ อีกทั้งคดีนี้ยังมาไม่ถึง ขณะนี้เป็นเพียงความเห็นของคณะทำงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าเรื่องการประกาศยุบสภาที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยบอกว่าจะยุบสภาภายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้นั้น ล่าสุด นายอภิสิทธิ์ได้ให้ความชัดเจนอีกระดับหลังเข้าหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เมื่อวันที่ 11 มี.ค. “ผมตั้งใจจะนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อให้ยุบสภาไม่เกินสัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่ผมค่อนข้างมั่นใจว่าความชัดเจนเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบ การแบ่งเขตเลือกตั้งจะเรียบร้อย คือไม่มีปัญหาแล้วจากการได้พูดคุยกับ กกต.ในวันนี้ ผมทราบดีว่าอาจจะมีเพื่อนนักการเมือง เพื่อนพรรคร่วมรัฐบาล หรือเพื่อน ส.ส.ที่ไม่เห็นด้วย แต่ผมได้ตัดสินใจ เพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของผมตั้งแต่ต้นว่าเราควรเลือกตั้งก่อนที่สภาจะครบวาระ”

ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช. เชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ต้องการประกาศยุบสภาเพื่อหนีการรัฐประหาร โดยบอกว่า การที่นายอภิสิทธิ์เข้ากองทัพบก เพื่อพบกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกเมื่อวันก่อน โดยอ้างว่าเข้าไปดูข้อมูลที่จะใช้ชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น แท้จริงแล้วคือการเข้าไปเช็คอุณหภูมิภายในกองทัพ และเมื่อทราบปฏิกิริยาแล้วก็ทำให้นายอภิสิทธิ์ต้องประกาศวันยุบสภาทันที เพื่อใช้คำประกาศยุบสภานี้เป็นหลักในการพิงหลัง ไม่ให้ถูกยึดอำนาจจากกองทัพ

3. ศอ.รส. ขีดเส้น “พันธมิตรฯ” ยุติชุมนุมภายใน 15 มี.ค. อ้างใช้พื้นที่จัดงานกาชาด ด้านทนายพันธมิตรฯ ชี้ รบ.กลัวความชั่วถูกเปิดโปง!

ตำรวจนำกำลังเข้ายึดพื้นที่คืนจากกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐ(7 ก.พ.)
ความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกเอ็มโอยู ปี 2543 ,ให้ถอนตัวออกจากกรรมการมรดกโลก และผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แต่รัฐบาลไม่สนองตอบข้อเรียกร้อง รวมทั้งยังพยายามหาวิธีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนอกจากประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ในพื้นที่ 7 เขตรอบทำเนียบรัฐบาลแล้ว ยังให้ตำรวจเข้ารื้อเต๊นท์ของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นระยะๆ โดยอ้างว่าเพื่อเปิดการจราจรให้ประชาชนสัญจรไปมา ทั้งนี้ หลังจากตำรวจได้เข้ารื้อเต็นท์บางส่วนเมื่อเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ.โดยอ้างว่าเพื่อเปิดถนนราชดำเนินนอก คู่ขนานฝั่งด้านหน้ากระทรวงศึกษาธิการแล้ว ปฏิบัติการยึดคืนพื้นที่ครั้งที่ 2 ก็ตามมาเมื่อเช้ามืดวันที่ 7 มี.ค. คราวนี้ เป็นพื้นที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ถนนพิษณุโลก ที่กลุ่มเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติชุมนุมอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้ตำรวจจะยึดคืนได้ แต่ภายหลังกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติก็ยึดกลับคืนในที่สุด

ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ พูดถึงกรณีที่ตำรวจนำกำลังยึดคืนพื้นที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชษฐว่า การชุมนุมบริเวณดังกล่าวไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือหมู่คณะไหน แต่ทุกคนมาชุมนุมเพื่อปกป้องแผ่นดินให้ทั้งตำรวจและรัฐบาล เมื่อกลั่นแกล้งไล่ผู้ชุมนุมออกไป ผู้ชุมนุมก็จะกลับมาที่เดิม

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงการขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมว่า ตำรวจจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป และเจรจาตามความจำเป็น เพราะไม่อยากให้กระทบกระทั่งกัน และพยายามให้คนสัญจรไปมาขณะที่ผู้ชุมนุมยังอยู่ต่อไปได้ ส่วนข่าวที่ว่าจะมีการเข้าเคลียร์พื้นที่ก่อนวันที่ 15 มี.ค.เพื่อนำมาใช้จัดงานกาชาดนั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า ไม่ทราบว่างานดังกล่าวเกี่ยวกับถนนพิษณุโลกหรือไม่

ด้านศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) ได้ส่งหนังสือเตือนให้พันธมิตรฯ และกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติยุติชุมนุมภายในวันที่ 15 มี.ค. โดยอ้างว่าต้องใช้พื้นที่เพื่อเตรียมจัดงานกาชาด และว่า เมื่อถึงเวลาคงต้องดำเนินการตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ไม่เพียง ศอ.รส.จะขีดเส้นให้พันธมิตรฯ ยุติชุมนุม แต่ยังจี้ให้หน่วยงานของรัฐแจ้งความดำเนินคดีพันธมิตรฯ ด้วย โดยอ้างว่าพันธมิตรฯ ลักลอบต่อกระแสไฟฟ้าจากสายไฟบริเวณถนนราชดำเนินนอก นำไปใช้ในการชุมนุม รวมทั้งลักลอบใช้น้ำประปา จึงอยากให้การไฟฟ้านครหลวงและการประปานครหลวงตรวจสอบและร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของราชการ

ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรฯ พูดถึงกรณีที่ ศอ.รส.ขีดเส้นให้พันธมิตรฯ ยุติชุมนุมภายในวันที่ 15 มี.ค.นี้ว่า เอากฎหมายฉบับไหนมาบังคับ และว่า การขอพื้นที่เพื่อจัดงานกาชาดเป็นแค่ข้ออ้าง ความจริงคือ รัฐบาลกลัวเวทีของพันธมิตรฯ เปิดโปงข้อเท็จจริง เปิดโปงความชั่ว เพราะหากรัฐบาลและคณะรัฐมนตรีพ่ายแพ้ จะเป็นการเดิมพันชีวิต หลังจากที่พันธมิตรฯ ไปยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) “หากเจ้าหน้าที่ตำรวจมารื้อทรัพย์สิน หรือทำร้ายร่างกายของผู้ชุมนุมที่มาใช้สิทธิตาม รธน. บุคคลนั้นย่อมใช้สิทธิเพื่อป้องกันตัวตามสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่ผ่านมาพันธมิตรฯ ยอมผ่อนปรนมาโดยตลอด แต่รัฐบาลนี้ลุแก่อำนาจ มารังแกคนไทยด้วยกันเอง แต่ไม่กล้าดำเนินการขับไล่เขมรให้พ้นไปจากอธิปไตยไทย และไม่ยอมปฏิบัติตาม 3 ข้อเรียกร้องที่พันธมิตรฯ ได้ยื่นไป จึงถือว่าขาดความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศชาติอีกต่อไป”

เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง ศอ.รส.จะประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ในพื้นที่ 7 เขตรอบทำเนียบฯ แต่ล่าสุด ยังได้ประกาศห้ามประชาชนใช้ถนนรอบบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ถนนสุขุมวิทด้วย ทั้งซอยสุขุมวิท 39 ซอยสุขุมวิท 31 ซอยสวัสดี และแยกพร้อมศรี-แยกโรงเรียนสวัสดี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.เป็นต้นไป ซึ่งเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การประกาศดังกล่าวไม่เหมาะสม เป็นการอำนวยความสะดวกแก่นายกฯ แต่ทำให้ประชาชนที่อยู่บริเวณดังกล่าวเดือดร้อน ไม่สามารถสัญจรไปมาได้โดยสะดวก ขณะที่นายกฯ อ้างว่า ประกาศดังกล่าวไม่ได้ใช้กับประชาชนทั่วไป แต่ใช้สำหรับคนที่จะก่อความวุ่นวายเท่านั้น

ทั้งนี้ นอกจากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว ทางกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง ก็ได้นัดชุมนุมในวันนี้(12 มี.ค.) ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 15.00น. ถึง 02.00น.ของวันที่ 13 มี.ค. โดยแกนนำ นปช.ทั้ง 7 ที่ได้รับการประกันตัวเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ประกาศพร้อมขึ้นเวทีปราศรัยด้วย แม้ศาลจะสั่งห้ามยุยงหรือปลุกระดมให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองก็ตาม และหลังจากนี้ กลุ่มเสื้อแดงยังได้นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 19 มี.ค.ในโอกาสครบรอบ 10 เดือนของการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่บริเวณแยกราชประสงค์ ก่อนเคลื่อนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

เป็นที่น่าสังเกตว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนที่หลบหนีคดีก่อการร้ายได้ทยอยเข้ามอบตัวแล้ว และได้รับการประกันตัวเช่นเดียวกับ 7 แกนนำ นปช.ก่อนหน้านี้ เช่น นายอดิศร เพียงเกษ ,นายอารีย์ ไกรนรา หัวหน้าการ์ด นปช. ,นายวิสา คัญทัพ และนางไพจิตร อักษรณรงค์ เป็นต้น

ส่วนความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับนายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ผู้สื่อข่าวเอฟเอ็มทีวี เครือข่ายสันติอโศก ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเปรยซอร์ ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีข่าวว่านายวีระป่วยนั้น เมื่อวันที่ 6 มี.ค.นายปรีชา สมความคิด น้องชายนายวีระ ได้ออกมายืนยันหลังเข้าเยี่ยมพี่ชายว่า นายวีระกำลังป่วยหนัก เรียกว่า “ปางตาย” เพราะป่วยหลายโรค พร้อมเผยว่า ขณะนี้เลยเวลาที่จะอุทธรณ์คดีแล้ว คงต้องมุ่งหน้าสู่กระบวนการขอพระราชทานอภัยโทษอย่างเดียว “ผมขอร้องนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล รวมถึงสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อยากให้ทั้งสองฝ่ายเร่งช่วยเหลือ 2 คนไทยด้วย เพราะเวลานี้ญาติของคนทั้งสองเป็นห่วงมาก”

ขณะที่นายสมบูรณ์ ทองบุราณ ที่ปรึกษาเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ บอกว่า ได้ทราบจากญาติของนายวีระว่า ขณะนี้นายวีระมีอาการเหงือกอักเสบเนื่องจากติดเชื้อ หลังจากที่ครอบฟันหลุด ทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ น้ำหนักลด นอกจากนี้ยังฝากถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทยด้วยว่า ให้ส่งเจ้าหน้าที่สถานทูตไปสอบถามสารทุกข์สุขดิบนายวีระบ้าง

ด้านนายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ รีบออกมาบอกว่า สถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงพนมเปญได้นำอาหารไปส่งให้ที่เรือนจำทุกวัน วันละ 2 รอบ และได้ถามแพทย์ในเรือนจำตลอด ซึ่งแพทย์แจ้งแค่ว่านายวีระป่วยเป็นไข้หวัดเล็กน้อยเท่านั้น แต่เมื่อญาติเข้าเยี่ยมจึงพบว่านายวีระป่วยหนัก ซึ่งล่าสุด สถานทูตได้ทำหนังสือแจ้งไปทางเรือนจำเปรยซอร์เพื่อขออนุญาตส่งแพทย์เข้าไปดูอาการนายวีระแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ยังไม่ได้รับคำตอบจากทางการกัมพูชาว่าจะอนุญาตหรือไม่ ส่วนการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษนายวีระและ น.ส.ราตรีนั้น นายธานี บอกว่า เอกสารเสร็จสมบูรณ์แล้ว อยู่ระหว่างให้บุคคลทั้งสองเซ็นชื่อ เพื่อยื่นต่อทางการกัมพูชาต่อไป

4. โจรใต้เหิม คาร์บอมบ์แฟลตตำรวจนราธิวาส เจ็บ 5 ราย-รถพังยับนับสิบ ด้านผู้การนราฯ ถูกเด้งทันที!
สภาพความเสียหายหลังโจรใต้วางระเบิดคาร์บอมบ์ใต้ถุนแฟลตตำรวจ สภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส(7 มี.ค.)
เหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากโจรใต้ก่อเหตุยิงพระและสามเณรวัดศรีมหาโพธิ์ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ขณะออกบิณฑบาตเมื่อวันที่ 5 มี.ค. ทำให้พระมรณภาพ 1 รูป และสามเณรบาดเจ็บอีก 1 รูปแล้ว กลางดึกคืนเดียวกันจนถึงรุ่งเช้าวันที่ 6 มี.ค. กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบยังได้ก่อเหตุในพื้นที่ 4 อำเภอของ จ.ปัตตานีอีก ทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บ 7 ราย

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก พูดถึงเหตุไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า จะต้องปรับมาตรการต่างๆ ให้รัดกุมขึ้น เพราะทหารอยู่ในที่แจ้งและแต่งเครื่องแบบในการทำงาน แต่อีกฝ่ายใช้การปลอมปนกับประชาชน จึงค่อนข้างยากที่จะแยกออกว่าใครเป็นคนดีหรือร้าย และว่า ขณะนี้ได้ข้อมูลทางการข่าวว่ามีการเตรียมการและรวบรวมกำลังจะปฏิบัติต่อเจ้าหน้าที่เป็นหลัก โดยมีเป้าหมายที่ครู พระ และโรงเรียน จึงต้องเพิ่มมาตรการดูแลให้รัดกุมยิ่งขึ้น “ฝ่ายหนึ่งต้องการเอาชนะก็ต้องแรงขึ้น เพราะต้องการให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว ซึ่งเขาเคยประกาศว่าถ้าฆ่าคนธรรมดาจะเป็นข่าวแค่วันสองวัน แต่ถ้าหากเป็นครูหรือพระ จะพาดหัวข่าวได้หลายวัน ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์อย่างดียิ่งของเขาเอง จึงอยากขอร้องสื่อในการทำหน้าที่ ซึ่งผมไม่ได้ต้องการที่จะปิดบัง แต่ไม่ต้องการให้เข้าไปอยู่ในจุดมุ่งหมายของเขา ขอเรียนว่าเจ็บคนเดียวก็ไม่ได้ ตายคนเดียวไม่ได้ และต้องไม่มีใครเจ็บใครตาย”

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ไม่สงบยังคงเกิดขึ้นรายวัน โดยเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ได้เกิดเหตุระเบิดในลักษณะคาร์บอมบ์ที่ใต้ถุนแฟลตตำรวจ สภ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ตั้งอยู่ริมถนนสาย อ.ศรีสาคร-อ.จะแนะ บ้านคอลอกาเว ห่างจาก สภ.ศรีสาคร 1 กิโลเมตร แรงระเบิดนอกจากทำให้เกิดเพลิงไหม้รถกระบะโตโยต้า วีโก้ ที่คนร้ายซุกซ่อนระเบิดแสวงเครื่องไว้แล้ว ยังทำให้รถกระบะและรถเก๋งของตำรวจที่จอดบริเวณดังกล่าวถูกไฟไหม้เสียหายอีก 14 คัน นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 5 ราย

จากการสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ คนร้าย 1 คนได้ขับรถกระบะคันดังกล่าวเข้าไปจอดที่ลานจอดรถใต้ถุนแฟลตตำรวจ จากนั้นได้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของเพื่อนที่ติดเครื่องรออยู่หน้าแฟลตตำรวจหลบหนี ระหว่างนั้น จ.ส.ต.สานิตย์ ขวัญสุข ผบ.หมู่ ป. สภ.ศรีสาคร ตะโกนเรียกให้คนร้ายจอดรถเพื่อตรวจค้น แต่คนร้ายขว้างระเบิดเอ็ม 26 เข้าใส่ ทำให้ชาวบ้านและตำรวจที่อยู่บริเวณดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ จากนั้นไม่กี่นาที คนร้ายอีกชุดหนึ่งซึ่งคาดว่าแฝงตัวอยู่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนคาร์บอมบ์

ด้าน พ.ต.อ.บรรลือ ชูเวทย์ รอง ผบก.ภ.จังหวัดนราธิวาส เผยว่า จ.ส.ต.สานิตย์สามารถจดจำใบหน้าและตำหนิรูปพรรณของคนร้ายที่ขับรถยนต์ซุกระเบิดเข้าไปจอดใต้ถุนแฟลตตำรวจได้ รวมทั้งคนร้ายอีก 1 คนที่ติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่บนถนนด้านหน้าแฟลตตำรวจ ซึ่งล่าสุด มีรายงานว่า ตำรวจได้ออกหมายจับคนร้าย 1 รายแล้ว

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุคาร์บอมบ์ดังกล่าว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีคำสั่งย้าย พล.ต.ต.ชัยทัต อินทนูจิตร ผบก.ภ.จังหวัดนราธิวาส ไปช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้ายะลา พร้อมสั่งการให้ พล.ต.ต.ยงยุทธ เจริญวานิช รองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาช่วยราชการในพื้นที่ จ.นราธิวาสแทน

ด้านพรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ชี้ว่า สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในภาคใต้สะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ดังนั้นรัฐบาลควรปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ หรือนายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย เพราะคนใต้เริ่มเห็นแล้วว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่ารู้ปัญหาภาคใต้นั้น เป็นเรื่องที่โกหกทั้งเพ
กำลังโหลดความคิดเห็น